ผู้ชายสายลุยกับการผจญภัยเป็นสิ่งคู่กัน และผู้ชื่นชอบการผจญภัยไม่ควรพลาดกับ Khaki Field Mechanical 38mm รุ่นใหม่ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากกองทัพ สร้างขึ้นเพื่อความเป็นนิรันดร์ นี่คือนาฬิการุ่นล่าสุดจากคอลเลคชัน Khaki Field ของ Hamilton ที่ขาดไม่ได้สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัย Khaki Field ที่แต่เดิมเป็นนาฬิกาของทหาร ถือเป็นหนึ่งในนาฬิกาที่ได้รับการแนะนำและสวมใส่กันอย่างกว้างขวางที่สุดในคอลเลคชันของ Hamilton นาฬิการุ่นนี้มีความแข็งแรงทนทาน พร้อมฟังก์ชันครบครัน ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของบุคลากรในกองทัพ และยังเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้ชื่นชอบและนักสะสม Hamilton ตัวเรือนสเตนเลสสตีลด้านขนาด 38 มม. มาพร้อมหน้าปัดสีเข้มพร้อมแสง ตัวเลขเรืองแสง หลักชั่วโมงและนาทีและสาย NATO ที่ทนทาน: Khaki Field Mechanical ใหม่คือผลงานแกะกล่องซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากต้นแบบในทศวรรษ 1940 และยังคงเอกลักษณ์ความเป็น Hamilton และนาฬิกากองทัพไว้อย่างเหนียวแน่น ซิงโครไนซ์นาฬิกา ไม่มีอะไรเกินความพอดีภายใต้นาฬิกาใหม่เรือนนี้ เพราะนี่คือเวอร์ชั่นดั้งเดิมของ ‘แฮ็ค’ วอชที่จะหยุดฟังก์ชันวินาทีได้ด้วยวิธีดึงเม็ดมะยมขึ้น ซึ่งตอนนี้ถือเป็นคุณสมบัติมาตรฐานของนาฬิกาขึ้นลาน ซึ่งเป็นวิธีที่สมบูรณ์แบบเพื่อให้กองทัพซิงโครไนซ์นาฬิกาได้อย่างสมบูรณ์แบบ นาฬิกาคอลเลคชันนี้มีสองแบบให้เลือก: หน้าปัดสีดำด้านมาพร้อมกับตัวเลขเรืองแสงสีขาวและดัชนีบนตัวเรือนพ่นทรายโลหะด้าน และสายสีกากีแบบ NATO พร้อมลูปหนังสีน้ำตาลเข้ม หรือหน้าปัดสีน้ำตาลด้านพร้อมเข็มนาฬิกาเคลือบสารเรืองแสง Super-LumiNova® สีทราย
จบสิ้นการรอคอยที่แสนยาวนาน วันนี้การร่วมมือกันของแบรนด์เฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านดีไซน์สวีเดน ‘Ikea’ กับ LA-based Streetwears Designer เจ้าของแบรนด์ STAMPD ‘Chris Stamp’ ก็ได้ฤกษ์ดี เปิดตัว ‘SPANST Limited Edition Collection’ ที่หมายมั่นปั้นมือออกมาสักที ซึ่งนี่ถือเป็นการก้าวข้าม comfort zone เดิมของ Ikea สู่เส้นทางสาย Street Lifestyle & Culture อย่างยอดเยี่ยม เพราะนอกจาก Furniture เท่ ๆ ที่ดูจะจับกลุ่มนัก Skateboard แล้ว ยังมีของแต่งบ้าน, Accessories และ Fashion Items สุดหล่อออกมาขายอย่างครบถ้วน ใครกำลังมีแผนจะแต่งบ้านใหม่ อยากได้อะไรที่เท่ ดิบ สะท้อนไลฟ์สไตล์ชาว Street ล่ะก็ ไม่ต้องคิดเยอะให้ปวดสมองอีกต่อไป เอาทุกชิ้นใน Collection นี้ไปวางได้เลย ยังไงก็ออกมาเท่แน่นอน Chris Stamp เป็น fashion designer ชื่อดัง
มินิมอลสไตล์ยังคงเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่ได้รับความนิยมในทุกยุคสมัย ในปัจจุบันที่วิถีชีวิตของคนเมืองส่วนใหญ่ต้องพบเจอกับการเปลี่ยนแปลงที่มาเร็วไปเร็ว สไตล์มินิมอลจึงยังเป็นเสน่ห์ที่ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของผู้คน โดยเฉพาะด้านการแต่งตัว เพราะมักสร้างความสบายตาให้กับผู้พบเห็น และในขณะเดียวกันก็สามารถสร้างลุคที่เรียบเท่ น่าค้นหา ให้กับผู้สวมใส่ได้อีก แนวทางเดียวแบรนด์แฟชั่นดังระดับโลกอย่าง ‘คาลวิน ไคลน์’ (CALVIN KLEIN) ที่ครั้งนี้ได้ถ่ายทอดไอเดียสดใหม่ในดีไซน์มินิมอล เปิดตัวนาฬิกา 4 รุ่น ที่ผสมผสานเส้นสายการออกแบบที่มีความทันสมัยสามารถสวมใส่ได้ในทุกโอกาส และยังคงมาตรฐานการผลิตนาฬิกาตามแบบฉบับ Swiss Made จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ด้วยการเลือกใช้วัสดุคุณภาพเยี่ยม เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่ต้องการนาฬิกาที่สวมใส่ได้ทุกวันแต่ยังคงไว้ซึ่งสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว สำหรับเรือนเวลาจาก ‘คาลวิน ไคลน์’ (CALVIN KLEIN) ดีไซน์ล่าสุดนั้น มี 4 รุ่นด้วยกัน เริ่มจาก CALVIN KLEIN Cheers ที่ชวนให้ระลึกถึงต้นกำเนิดของแบรนด์ซึ่งสะท้อนชีวิตในเมืองของชาวอเมริกัน ผ่านการออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเส้นขอบฟ้า สู่สายนาฬิกาที่สามารถสวมใส่ได้เหมือนเครื่องประดับที่เข้ากันได้ดีกับทุกลุค ด้วยวัสดุสแตนเลสสตีลเนื้อดีรูปทรงเรขาคณิตที่ซ้อนทับกันในโทนสี PVD Gold และ PVD Pink Gold สื่อถึงความประณีตและพิถีพิถันของผู้ออกแบบ นำเสนอบนหน้าปัด 2 สี ได้แก่สีเงินและสีดำ อีกทั้งยังมีน้ำหนักเบา และสามารถกันน้ำได้ถึง 30
คนที่มีศิลปะในหัวใจ จะละเลงงานศิลป์จากปลายปากกาหรือปลายพู่กันมันก็ไม่ใช่ปัญหาตราบเท่าที่หัวใจยังคงเปี่ยมความเป็นศิลปิน เช่นเดียวกับ Bro รุ่นปู่จากแดนอาทิตย์อุทัยผมทรงโมฮอว์กคนนี้ที่กำหมัดจุ่มนวมในถังสี รัวใส่ผืนผ้าใบหรือกระดาษแบบไม่ยั้งจงกลายเป็นงานศิลปะที่ไปติดตามแกลอรี่ดังขึ้นชื่อมากมาย หลายคนสงสัยว่าชายชราฟิตปั๋งผมขาวคนนี้เป็นใคร นักมวยเก่าหรือไม่ ? เราตอบได้ตรงนี้เลยว่า “ไม่” เพราะปู่เขาขึ้นแค่สังเวียนผ้าใบเท่านั้นจนเกิดเป็น signature ประจำตัวของเขาที่ใครก็เรียกว่า “Boxing painting” วิญญาณศิลปินนักสู้ก่อนสวมนวม! Ushio Shinohara มีชื่อเล่นที่คนส่วนใหญ่เรียกกันติดปากว่า Gyu-chan เกิดที่โตเกียวในปี 1932 เรียนศิลปะในเมเจอร์จิตรกรรมสีน้ำมันที่ Tokyo Art University ก่อนจะออกมาเดินทางมุทะลุเสาะแสวงหาจิตวิญญาณและตั้งรกรากใหม่ทำมาหากินไกลบ้านจากแดนตะวันออกสู่ตะวันตกที่ “นิวยอร์ก” เมืองแห่งการเสาะหาอิสรภาพทางความคิดและชีวิต มาถึงตอนนี้ปู่ก็มีอายุยาวนานกว่า 8 ทศวรรษของการใช้ชีวิตแล้ว เพราะอายุ 85 ปีเข้าไปแล้ว ถือเป็นบิ๊กบอยรุ่นใหญ่ที่เก๋าเรื่องการใช้ชีวิต ซึ่งแน่นอนว่าไฟฝันจากวันวานที่ยังลุกโชติช่วงถึงตอนนี้ที่ยังคงฟิตฟุตเวิร์กได้ย่อมทำให้ปู่เป็นหนึ่งในตำนานมีชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการบุกเบิกทางศิลปะพอสมควร หนึ่งในความคูลของปู่ที่หลายคนอาจจะไม่รู้คือเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งกลุ่ม Neo-Dada movement หรือกลุ่มการเคลื่อนไหวของศิลปะดาด้าใหม่ในช่วงปี 1960 แนวศิลปะที่ว่าด้วยจิตวิญญาณของกลุ่มศิลปินเลือดนักสู้ที่ต้องการต่อกรกับกลุ่มทุนนิยมแบบสันติ โชว์ความเป็นไปของยุคจากการหยิบวัสดุใกล้ตัวทั้งหลายมาสร้างเป็นงานประติมากรรม จนเป็นการก้าวสำคัญที่แปะป้าย “Junk art” หรือศิลปะขยะ ให้กับงานแขนงนี้ หรือจะเรียกว่าเป็นเอกลักษณ์ของงานขึ้นมาเลยก็ว่าได้ ซึ่งงานที่ได้จากการกว้านวัสดุเหลือใช้มาสร้างตอนหลังเราจะเห็นได้ว่าเป็นแนวศิลปะที่มีให้เห็นบ่อยในนิทรรศการยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็นพวกงาน installation หรืองานประติมากรรม สำหรับงาน
เชื่อว่าหลายคนต้องรู้จัก Swatch (สวอท์ช) แบรนด์ที่เปิดตัวในฐานะปฏิวัติรูปแบบนาฬิกาสวิสที่ทั่วโลกรู้จักเป็นอย่างดี ด้วยแนวคิดสุดล้ำและดีไซน์จากปรัชญาของแบรนด์ที่สะท้อนถึงสีสัน กลไก ความเบาสบาย และความโปร่งใส รวมถึงนาฬิการุ่นพิเศษที่นำเสนออย่างต่อเนื่อง แบรนด์ Swatch ยืนหยัดตัวตนในโลกแห่งกีฬามาเสมออย่าง Snowboard, Free Ski, Surfboard, วอลเล่ย์บอลชายหาด และจักรยานทางลาดวิบาก อีกทั้ง Swatch ยังสนันสนุนคุณค่าแห่งงานศิลปะ ด้วยการร่วมงานกับศิลปินมากมาย ล่าสุด SWATCH (สวอท์ช) ได้เปิดสองคอลเลคชั่นล่าสุด ชวนสนุกรับซัมเมอร์ 2018 เติมสีสันให้บรรยากาศฤดูร้อนปีนี้เต็มไปด้วยความสนุกสดใสที่ฮอตกว่าอุณหภูมิหน้าร้อน สองคอลเลคชั่นใหม่จากแบรนด์นาฬิกา Swatch ที่ไม่ควรพลาดนี้คือ The Swatch Vibe คอลเลคชั่นที่พร้อมพาสาวกไปสนุกสุดเหวี่ยงกับปาร์ตี้แสงสีนีออน พร้อมด้วยลูกเล่นสายเรืองแสงให้คุณโดดเด่นในทุกค่ำคืน และ Mediterranean Views คอลเลคชั่นที่จัดจ้านด้วยสีสันอันสดใส ชวนให้คุณไปดื่มด่ำกับความสนุกสนานของบรรยากาศริมชายหาดอันร้อนแรงของซัมเมอร์นี้ The Swatch Vibe คอลเลคชั่นสุดคูลที่ดึงคุณให้เหมือนหลุดไปอยู่ในปาร์ตี้นีออนแสนเก๋ ด้วยนาฬิกาสายสปอร์ตที่มาพร้อมกับลวดลายสีสันจัดจ้าน โดดเด่นด้วยลูกเล่นสายนาฬิกาเรืองแสงให้คุณเฉิดฉายได้ในทุกค่ำคืน ดีไซน์ของตัวบอดี้แบบสปอร์ตและลวดลายแบบ 3 มิติ ถูกนำมาผสมผสานให้กลายเป็นคอลเลคชั่นที่เต็มไปด้วยพลัง สีสัน และความสนุกสนาน พร้อมให้คุณไปมันส์ได้ในทุกโอกาส เปลี่ยนฉากจากปาร์ตี้สุดเหวี่ยงมาที่ความเจิดจ้าของบรรยากาศริมชายหาดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ภายใต้ท้องฟ้าแสนสดใส
นับตั้งแต่ NIKE ได้ลงนามเป็นพันธมิตรกับสมาคมบาสเกตบอลแห่งชาติสหรัฐฯ (NBA) ในปี 2015 สัญญาก็ได้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ในฤดูกาล 2017-2018 ในวันนี้ NIKE และ NBA จะเปิดเผยเบื้องลึกเบื้องหลังในการร่วมมือระหว่างนักออกแบบและวิศวกรของไนกี้ รวมถึงนักวิทยาศาสตร์การกีฬาและนักบาสเกตบอลอาชีพที่ได้จับมือกันพัฒนาชุดแข่งบาสเกตบอล ที่มีนวัตกรรมล้ำหน้าที่สุดเท่าที่ NIKE ได้เคยพัฒนามา ในช่วง2 ทศวรรษก่อนนั้น กีฬาบาสเกตบอลเป็นเรื่องของสรีระของผู้เล่น ผู้เล่นมักจะเน้นการเข้าแย่งบอลหรือจับบอลไว้ กับตัว บาสเกตบอลในยุคนั้นจึงมีจังหวะการเล่นที่ช้าและเป็นระบบมาก ต่อมากีฬาบาสเกตบอลมีการเปลี่ยนแปลงกติกา เช่นการกำหนดวิธีป้องกันฝ่ายรุกที่ผิดกติกา (ลดการตั้งรับแบบตั้งโซนโดยใช้แนวป้องกันที่เข้าข่ายผิดกติกา) และลดเวลาที่ผู้เล่นสามารถครอบครองบอลเพื่อให้การแข่งขันเร็วและไหลลื่นขึ้น ผู้เล่นบาสเกตบอลทุกระดับจึงต้องปรับตัวเองให้เข้ากับกติกานี้นั่นก็คือ พวกเขาต้องเคลื่อนไหวในสนามให้เร็วขึ้นและตัดสินใจให้เร็วขึ้นขณะแข่งขัน ทีมบาสเกตบอลอาชีพหลายทีมมีผู้เล่นในทีมน้อยลงและเริ่มเล่นเกมรุกอย่างเต็มตัว “รูปร่างของนักบาสเกตบอลในปัจจุบันแตกต่างจากนักบาสเกตบอลเมื่อ 10 ปีก่อนอย่างสิ้นเชิง วิธีการเคลื่อนที่ในสนามหรือตำแหน่งต่าง ๆ ในการเล่นก็แตกต่างกันด้วย เคิร์ท พาร์กเกอร์ (Kurt Parker) รองประธานฝ่ายการออกแบบเครื่องแต่งกายของไนกี้อธิบายว่า “ข้อแตกต่างเหล่านี้เป็นเหตุผลที่ไนกี้อยากพัฒนาทั้งคุณสมบัติและรูปลักษณ์ของชุดแข่งบาสเกตบอลไปพร้อม ๆ กัน” วัตถุประสงค์ที่คุณพาร์กเกอร์ ได้กล่าวข้างต้นเป็นวัตถุประสงค์หลักที่ทำให้ NIKE เปลี่ยนไปหลังจากลงนามเป็นพันธมิตรกับ NBA เมื่อเดือนมิถุนายนปี 2015 นักออกแบบของไนกี้ลงมือออกแบบชุดบาสเกตบอลรุ่นใหม่ที่ไร้สิ่งรบกวนผู้สวมใส่ช่วยให้พวกเขารู้สึกสบายตัว เคลื่อนไหวได้คล่องตัวขึ้น และดูสวยงามในทันที ทีมงานนักออกแบบของไนกี้ที่มีประสบการณ์กว่า 25
เป้าหมายของงานดีไซน์ คือการยกระดับคุณภาพชีวิตที่มีอยู่ให้ดีขึ้น ไม่ใช่แค่ออกแบบให้ดูสวยงามเพียงอย่างเดียว ซึ่งการออกแบบสามารถเป็นอะไรก็ได้ แม้แต่ตัวหนังสือ โดยล่าสุดนักออกแบบ Kosuke Takahashi ผู้เกิดความสงสัยว่า ทำยังไงถึงจะอ่านอักษรเบรลล์ ซึ่งเป็นอักษรสำหรับคนตาบอด ประดิษฐ์โดย หลุยส์ เบรลล์ (Louis Braille) ครูตาบอดชาวฝรั่งเศส ทำให้คนตาบอดจำนวน 285 ล้านคนสามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ Kosuke จึงเกิดไอเดียอยากออกแบบตัวอักษรที่ทำให้ทั้งคนตาดีและคนตาบอดใช้ร่วมกันได้ นี่จึงเป็นที่มาของ BRAILLE NEUE ฟอนต์สุดเท่เปลี่ยนโลกชุดนี้ Kosuke เริ่มการทดลองโดยการเอาตัวอักษรเบรลล์มา map เข้ากับตัวอักษรปกติ แน่นอนว่าการวางเข้าไปเฉย ๆ มันยังไม่พอ เพราะอักษรเบรลล์นั้นมีความซับซ้อน ไม่ได้ represent ตัวอักษรปกติได้มากนัก ตัวอย่างเช่นเลข 2 กับ 3 โดยเลข 2 ในอักษรเบรลล์จะเป็น 2 จุดเรียงลงมา แต่เลข 3 ก็มี 2 จุดเหมือนกัน ไม่ใช่ 3 จุด และเรียงเป็นแนวนอนด้านบน ยิ่งยากยิ่งท้าทาย
คนเราให้ความสำคัญของแต่ละอย่างไม่เท่ากัน อย่างเจ้าของบ้านหลังงามในเมือง Yokohama ครอบครัวนี้ เป็นบ้านที่รักการอ่านหนังสือมากเป็นพิเศษ จึงมีชั้นวางหนังสือที่ใหญ่โตกว่าบ้านทั่วไปนัก แต่ติดปัญหาที่ประเทศญี่ปุ่นนั้น ต้องพบกับแผ่นดินไหวบ่อย ๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แน่นอนว่าชั้นวางหนังสือที่ใหญ่โตขนาดนี้ ย่อมทำให้เสี่ยงอันตราย และชั้นวางรูปทรงทั่วไป ยิ่งทำให้หนังสือตกเสียหายได้ จึงตัดสินใจไปปรึกษากับบริษัทออกแบบ Shinsuke Fujii Architects ได้ออกมาเป็นบ้านในคอนเซปต์ชื่อ The Bookshelf House Shinsuke Fujii Architects แก้ไขปัญหาชั้นหนังสือ ด้วยการปรับเปลี่ยนมุมชั้นวางที่มีขนาดใหญ่เป็นส่วนหนึ่งของกำแพง ให้มีองศาโน้มเอียงลึกลงไปแบบเส้นทะแยงมุม แต่ละชั้นมีไม้ยื่นออกมาเหมือนขั้นบันได ช่วยให้ทุกคนในบ้านสามารถใช้งานได้ง่าย แม้ต้องปีนขึ้นไปหยิบหนังสือชั้นบนสุด ก็สะดวกเหมือนเดินขึ้นลงทั่วไป ที่สำคัญคือความปลอดภัยในสุขภาพของคนในบ้านเมื่อเกิดแผ่นดินไหว เพราะจะไม่โดนหนังสือถล่มทับ และสุขภาพของหนังสือสะสมหายาก ที่จะไม่หล่นลงมาชำรุดเสียหาย นอกจากชั้นหนังสือ พื้นที่ฟังก์ชั่งทั้งหมดของตัวบ้านออกแบบสไตล์ Seamless แทนที่จะแบ่งพื้นที่เป็นชั้น 1 ชั้น 2 เจ้าของบ้านตัดสินใจรวมพื้นที่ทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกันให้ความรู้สึกเหมือนห้อง Penthouse ขนาดใหญ่ โต๊ะทานข้าวและครัวอยู่บริเวณด้านล่าง ส่วนด้านบนซึ่งเป็นพื้นยกระดับ เป็นส่วนของพื้นที่นั่งเล่น ห้องทำงาน และห้องนอน ไม่ใช่เด่นแค่ด้านใน ภายนอกก็ออกแบบได้เท่ไม่น้อย แผ่นเหล็กสีดำขนาดใหญ่ยาวต่อเนื่องตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนฐานคอนกรีต ทำให้เห็นประโยชน์ใช้สอยอีกอย่างของชั้นหนังสือจากภายนอก ซึ่งมุมทะแยงช่วยกันฝนขณะเปิดปิดประตูได้อีกด้วย และเพื่อความเป็นส่วนตัว
กว่าร้อยล้านคนทั่วโลก เป็นสมาชิกของ NETFLIX ผู้ให้บริการ Streaming หนังและซีรี่ส์ยักษ์ใหญ่ของโลก ทุนหนาชนิดที่ว่ามี Original Content เป็นของตัวเองแบบไล่ดูแทบไม่ทัน ส่วนกำไรคงไม่ต้องพูดถึงว่ารายได้จะมหาศาลขนาดไหน เราอาจจะโฟกัสไปที่กำไรจากภาพยนตร์และซีรี่ส์ที่พวกเขาผลิตออกมา แต่ใครจะรู้ว่าจุดที่ช่วยให้ Netflix เซฟเงินได้แบบโคตรเจ๋งปีละหลายล้านดอลลาร์คือการทำ FONT ใช้เอง! วันนี้ UNLOCKMEN จะพามาดูไปพร้อม ๆ กันว่าไอ้ FONT ที่ว่าเนี่ยมันช่วยเซฟเงินมหาศาลขนาดนั้นได้ยังไง “NETFLIX SANS” โลโก้เรียบง่ายที่ทำให้ทุกคนต่างจดจ่อเพื่อรอดูภาพยนตร์ที่กำลังตามมาในไม่กี่อึดใจ หรือภาพปกซีรี่ส์ต่าง ๆ ที่ใช้ฟอนต์ที่เป็นอัตลักษณ์ เรียบ ๆ อ่านง่าย สบายตา แต่ก็เป็นที่จดจำ นั่นคือ “NETFLIX SANS” ที่ถูกดีไซน์โดย Dalton Maag ทีมครีเอทีฟในบริษัทนั่นแหละ แม้ว่าบางเรื่องอาจจะมีฟอนต์ที่เป็นแบบประจำของตัวเองจนเป็นภาพจำไปแล้ว แต่ลองสังเกตดูว่าเรื่องใหม่ ๆ ที่เพิ่งทยอยออกมา หรือแม้แต่ปกจากเรื่องเก่า ๆ (ถ้าใครดู NETFLIX จะสังเกตได้ว่าเรื่องนึงจะมีหลายปก) เริ่มมาใช้เจ้าฟอนต์ “NETFLIX SANS” บ้างแล้ว ทำไมถึงช่วยเซฟเงินได้ ?
เป็นปัญหาใหญ่สำหรับนักออกแบบ ตากล้อง หรือใครก็ตามที่ต้องใช้ iMac ในการทำงาน แม้ประสิทธิภาพจะจัดว่าเด็ดตามประสา apple หน้าจอจะแจ่มชัดจัดเต็มแค่ไหน แต่เมื่อต้องไปทำงานออกกองแบบ on-site หรืออยากจะแบกคอมไปจบปัญหาแก้งานแก้สีต่อหน้าลูกค้า ครั้นจะแบก iMac ไปก็ทุลักทุเลเหลือรับ ถามใครที่เคยแบกไปจะรู้ดีว่าการต้องยัด iMac ใส่กล่องหอบขึ้นรถไฟฟ้ามันเหมือนฝันร้ายชัด ๆ วันนี้เรามีทางออกมาบอกกล่าวชาว iMac User โดยเฉพาะ นั่นคือ Lavolta Carrying Case Bag กระเป๋าที่ถูกออกแบบมาเพื่อบรรจุ iMac สะพายอย่างเหนือชั้น Lavolta Case Bag เป็นกระเป๋าที่ผลิตแบบ handmade อย่างดี ภายนอกดีไซน์สวยงาม ภายในมีผ้า Microfiber นุ่ม ๆ คอยรองรับหน้าจอไม่ให้มีรอยขีดข่วย และรองรับแรงกระแทกได้ประมาณหนึ่ง มีหน้าที่ห่อหุ้ม iMac ได้แบบง่าย ๆ ใน 3 ขั้นตอน สวมเข้าจากด้านล่าง เอาขาตั้งลอดเข้าไปในหูหิ้ว ดึงกระเป๋าขึ้นคลุมถึงจอด้านบน จากนั้นก็รูดซิปปิดเป็นอันเสร็จพิธี ยังไม่จบแค่นั้น
ลองสังเกตไปที่รอบ ๆ ตัวคุณว่าช่วงนี้คุณเห็นอะไรอยู่บ่อย ๆ จนคุ้นตาบ้าง อะไรที่หลายแบรนด์ต่างปรับลุคให้เข้ากับเทรนด์นี้ หากพูดถึงคาเฟ่ก็คงเป็นไฟนีออนสีชมพูดสดใสที่หนุ่ม ๆ หลายคนคงต้องเคยรัวชัตเตอร์ให้แฟนสาวกับเจ้าไฟสีชมพูนี้กันมาบ้าง แล้วถ้าหากมองในงานดีไซน์ สิ่งที่มาแรงไม่แพ้กันคือ “Gradients” การไล่เฉดสีที่ไม่จำเป็นต้องอยู่ในกรอบเดิม ๆ อีกต่อไป เพราะในวันนี้มันมีสารพัดแบบ และหลายแบรนด์ต่างเต็มใจที่จะเอามันมาเป็นหนึ่งในเทรนด์ของงานดีไซน์ UNLOCKMEN จะพามาดูกันว่า Gradients นี้มีอะไรบ้างที่มาแรง เผื่อได้ไอเดียเจ๋ง ๆ เอาไว้ใช้กับงานของคุณ เมื่อ Gradients วนกลับมาอีกครั้ง ในช่วงปีที่ผ่านมาจนถึงปีนี้ เราอาจจะเห็นหลาย ๆ แบรนด์มีงานดีไซน์ที่สีสันสดใสมากขึ้น และถ้าสังเกตดี ๆ มันเป็นการรวมสีแบบ Gradients ที่ยิ่งทำให้ความสดใสของแต่ละสีโดดเด่นขึ้นมาเท่า ๆ กัน ไม่มีอะไรเด่นไปมากกว่ากัน ได้แบบสมูธ เพราะมันคือการไล่เฉดสีและทำให้ทุกอย่างดูนัว ๆ เบลอ ๆ ไว้ก่อน จริง ๆ Gradients มีมานานมากแล้ว เพราะมันคือฟังก์ชั่นพื้นฐานที่เราจะเจอได้ในโปรแกรมที่ใช้ออกแบบทั่วไป แต่เทรนด์มันก็วนไปวนมาอย่างนี้เสมอ เมื่อสักหลายปีก่อน Gradients อาจเป็นอะไรที่เชยระเบิด จนเราชอบเอามาล้อกันอยู่บ่อย ๆ แต่สำหรับวันนี้มันไม่ใช่แบบนั้นอีกต่อไป ตอนนี้ Gradients ตีตลาดได้กระจุย
การออกแบบถือเป็นเรื่องสำคัญเพราะมันโคตรมีส่วนในการดึงดูดให้คนสนใจ ยิ่งในวงการธุรกิจ การสร้างเครื่องหมายการค้าที่เตะตา จะยิ่งทำให้แบรนด์เป็นที่จดจำ ลองสังเกตแบรนด์ระดับโลกอย่าง NIKE, Coca Cola, IKEA และอื่น ๆ อีกมากมาย ที่ผู้คนมักจะจำแบรนด์ได้จากโลโก้และการใช้สีก็เป็นอีกเรื่องที่สำคัญสำหรับการเลือกให้เหมาะสมกับแบรนด์ เพื่อให้ลูกค้าให้ความสนใจและเป็นที่จดจำ UNLOCKMEN จะมาแนะนำทริกเล็กน้อยให้คุณเลือกสีแบรนด์ของคุณให้เตะตาจนลูกค้าต้องเหลียวกลับมามองอีกครั้ง ใช้วงล้อสี วงล้อสีแบบที่เราเคยระบายสีน้ำกันในตอนประถมฯนั่นแหละ ตัวช่วยชั้นเยี่ยม! เราจะได้เห็นสีที่แบ่งเป็นโทนร้อนโทนเย็นและสีคู่ตรงข้าม ซึ่งเป็นด่านแรกสำหรับการเลือกสีในงานดีไซน์ หากเรามองหาลูกเล่น หรือหลีกเลี่ยงสีที่ไม่ไปด้วยกัน เราจะได้เห็นสีในภาพรวมทั้งแต่การไล่โทนสี ความเข้ม ความอ่อน คุณต้องการจะสื่อสารกับคนที่มองแบรนด์แบบไหน ก็ต้องเลือกใช้สีให้ถูกต้อง การดูวงล้อสีจากภาพรวมจึงสามารถเลือกได้แทบจะทุกสีที่มีบนโลกนี้ สีที่คู่กัน ไม่ว่าจะเป็นสีคู่ตรงข้าม หรือสีที่นิยมใช้คู่กัน อย่าง IKEA เป็นตัวอย่างของสีคู่ตรงข้ามที่ดี โดย TEXT สีเหลืองบนพื้นหลังสีน้ำเงินสดใส แม้จะเป็นสีตรงข้าม แต่ด้วยความที่มันเป็นโลโก้ของแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง มันจึงเป็นอะไรที่สะดุดตามากกว่าขัดกัน หรือสีที่นิยมใช้คู่กันในงานดีไซน์ พวก สีเทา – สีครีม ที่แม้จะไม่ได้เป็นสีคู่ตรงข้าม แต่มันคือสีที่เอามาวางคู่กันแล้วช่างเข้ากันซะเหลือกัน ลองหา Reference ตามเว็บดีไซน์จะมีตัวอย่างการใช้สีทั้งภาพถ่ายและงานดีไซน์ สีบ่งบอกตัวตน การเลือกสีสำหรับโลโก้หรือสีประจำแบรนด์จะบ่งบอกถึงภาพลักษณ์ของแบรนด์โดยตรง ว่าต้องการสื่อสารออกไปยังไง อย่างสีโทนเย็น