จบสิ้นการรอคอยที่แสนยาวนาน วันนี้การร่วมมือกันของแบรนด์เฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านดีไซน์สวีเดน ‘Ikea’ กับ LA-based Streetwears Designer เจ้าของแบรนด์ STAMPD ‘Chris Stamp’ ก็ได้ฤกษ์ดี เปิดตัว ‘SPANST Limited Edition Collection’ ที่หมายมั่นปั้นมือออกมาสักที ซึ่งนี่ถือเป็นการก้าวข้าม comfort zone เดิมของ Ikea สู่เส้นทางสาย Street Lifestyle & Culture อย่างยอดเยี่ยม เพราะนอกจาก Furniture เท่ ๆ ที่ดูจะจับกลุ่มนัก Skateboard แล้ว ยังมีของแต่งบ้าน, Accessories และ Fashion Items สุดหล่อออกมาขายอย่างครบถ้วน ใครกำลังมีแผนจะแต่งบ้านใหม่ อยากได้อะไรที่เท่ ดิบ สะท้อนไลฟ์สไตล์ชาว Street ล่ะก็ ไม่ต้องคิดเยอะให้ปวดสมองอีกต่อไป เอาทุกชิ้นใน Collection นี้ไปวางได้เลย ยังไงก็ออกมาเท่แน่นอน Chris Stamp เป็น fashion designer ชื่อดัง
หากพูดถึงร้านสเก็ตบอร์ดที่เป็นตำนานในบ้านเรา ต้องมีชื่อ Preduce Skate Shop อยู่ในนั้นแน่นอน ร้านขายเสื้อผ้าแฟชั่นรวมถึงแผ่นกระดานสเก็ตบอร์ด (deck) จุดหมายปลายทางของเหล่า sk8er boy ทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ซึ่งครั้งหนึ่งพวกเขาเคยเฟื่องฟูอย่างมากในยุคที่ Nike SB เป็นรองเท้าแรร์ไอเทม แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้ร้านของพวกเขาอยู่ยงคงกระพัน เพราะความเจ๋งของ Preduce คือคาแรกเตอร์สุดชัดเจนที่ไม่เคยเอนเอียงไปตามกระแสโลก กระแสยี่ห้อไหนจะเด่นหรือดัง ถ้าไม่เกี่ยวข้องกับสเก็ตบอร์ด ก็ไม่มีทางที่จะได้เห็นวางอยู่ในร้านอย่างแน่นอน วันนี้ UNLOCKMEN จะพาทุกคนไปรู้จักกับ Preduce Skate Shop ให้มากขึ้น พร้อมแนะนำ Selected เสื้อผ้าเจ๋ง ๆ ภายในร้าน Preduce ว่ามีไอเทมไหนเหมาะจะกลายเป็นคอลเลคชั่นเสื้อผ้าใหม่ในตู้เสื้อผ้าของคุณ ซึ่งนับว่าโชคดีอย่างมากสำหรับการมาเยือนร้าน Preduce ในวันนี้ เนื่องจาก คุณ เต๋า กิจพูลลาภ โปรสเก็ตทีม Preduce แถมยังเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งร้าน Preduce ได้ให้เกียรติพาชมร้านด้วยตนเอง พร้อมเล่าถึงที่มาของร้านอย่างเป็นกันเอง จุดเริ่มต้นของ Preduce “ถ้าพูดถึงทีม Preduce เรารวมตัวกันมาร่วม 20 ปีแล้ว
13 – 15 เมษายน วันสงกรานต์และปีใหม่ไทยที่รู้กันดีว่าโคตรชุ่มฉ่ำชื้นแฉะ มาพร้อมกับ Activity สนุก ๆ กับความเปียกของการเล่นน้ำดับร้อนหลายรูปแบบให้ออกไปลุย แน่นอนว่าผู้ชายคงหลายคนคงจะเลือกรองเท้าผ้าใบคู่ใจไปปะแป้งสาว ๆ เพราะมันช่วยให้เราเดินเฟี้ยวได้แบบเต็มที่มากกว่าคีบแตะไปเสี่ยงเตะขวดและโดนเหยียบเท้าเป็นไหน ๆ หรือแม้จะไม่ได้ไปเล่นน้ำสงกรานต์ก็ตามด้วยสภาพพื้นถนนที่แสนจะสกปรกผลพวงจากการเล่นน้ำทำให้เป็นไปได้ว่ารองเท้าคู่เก่งของคุณอาจจะเลอะเทอะ เปรอะเปื้อนจาก น้ำ โคลน และแป้ง ในสภาพแห้งกรอบยับจนจำสภาพเดิมไม่ได้ ซึ่งเหตุการณ์ต่อไปนี้เราเชื่อว่าหนุ่ม ๆ ทุกคนต้องเคยต้องประสบพบเจอคือการเข้าไปค้น Google หาวิธีดูแลรักษารองเท้าขาวที่ยับเยินเหมือนผ่านสงครามโลกมา พร้อมเจอสารพัดร้อยแปดวิธีโดยพอนำไปทำตามกลับพบว่าสภาพรองเท้ายิ่งเหลืองอ๋อยจนจำเค้าโครงแทบจะไม่ได้เลย ดังนั้นเรื่องนี้จะไม่เป็นปัญหาให้ต้องกังวลอีกต่อไป เพราะวันนี้ UNLOCKMEN ไปถามกูรูการดูแลวิธีรักษารองเท้าสีขาวที่ถูกต้องจากมืออาชีพอย่างร้าน SEEK Thailand ที่จะมาสอนการทำความสะอาดและป้องกันรองเท้าผ้าใบทั้ง 4 วัสดุหลักที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปจากรองเท้าผ้าใบมาฝาก ไม่ว่าจะเป็น Knit , Mesh , Canvas หรือ Leather ซึ่งพออ่านจบนี้รับรองว่ารองเท้าของคุณจะขาวสว่างตราบนานเท่านาน 1. Knit ( ผ้าถัก) Mesh ( ผ้าตาข่าย ) สาเหตุที่นำสองวัสดุนี้มาไว้ในหัวข้อเดียวกัน เพราะทั้งคู่มีวิธีทำความสะอาดเหมือนกัน
เรายังคงวนเวียนอยู่กับวัฒนธรรม skateboard ซึ่งในวันนี้เราจะมาถอดรหัสความเท่ ของชาว skater กันว่าพวกเขาแต่งตัวกันอย่างไร และหากอยากมีสไตล์เหมือนพวกเขา แต่ติดที่เล่นสเก็ตไม่เป็น แต่งแล้วจะมีใครว่าอะไรหรือเปล่า? ก่อนอื่นเลยต้องบอกว่าคนที่แต่งตัวแบบสเก็ตบอร์ด เดิมทีมาจากรากเหง้าของวัฒนธรรมดนตรี ดังนั้นมันจึงถูกผสมผสานด้วยกลิ่นอายของสไตล์หลายประเภทเข้าด้วยกัน แม้จะเริ่มจากการเป็นคนกลุ่มน้อย คนนอกคอกที่ออกแนวต่อต้านสังคม รักอิสระ การแต่งตัวตามความคิดของตัวเองจึงเป็นแกนไอเดียหลักสำหรับ Skateboarding Fashion ซึ่งมีความใจกว้างพอสมควร แต่ทว่าไป ๆ มา ๆ คนส่วนใหญ่กลับต้องการแต่งตัวเหมือนคนกลุ่มน้อยซะงั้น นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการแบ่งแยกกีดกัน มึงมันมาทีหลัง มึงมันรุ่นเล็ก ไอ้นี่มันของปลอม และอื่น ๆ อีกมากมาย ก็แน่ล่ะ การที่คนส่วนใหญ่หันมาแย่งชิงสิ่งที่คน Skater สร้างขึ้นมา ย่อมสร้างความไม่พอใจบ้างอยู่แล้ว แต่ถ้าเรามองไปที่จุดเริ่มต้น ความอิสระเสรีทางความคิด นั่นแปลว่าตัวสไตล์เองไม่ใช่คนใจแคบ แต่เป็นผู้คนต่างหากที่สร้างกรอบมันขึ้นมา ปัจจุบันเราก็ได้เห็น Skaterboard Brand ออกมาจับมือกับไลฟ์สไตล์แบรนด์ หรือแม้แต่ Luxury Brand ชนิดรายวัน แม้บรรดาตัวจริงรุ่นใหญ่จะไม่ค่อยพอใจ แต่เรากลับมองว่ามันคือต้นตอหลักที่สไตล์นี้ถือกำเนิดขึ้น ดังนั้นแม้เราจะไม่ได้เล่นสเก็ตบอร์ดจริง ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องไปซีเรียส ขอแค่รู้สึกมั่นใจกับสไตล์ที่แต่งออกมาเท่านั้นเป็นพอ อย่าได้แคร์คนแซะคนแซว
สำหรับใครที่ยังไม่มีแผนจะเดินทางไปไหนในช่วงวันหยุดสงกรานต์นี้ ทีมงาน UNLOCKMEN มีช่องทางลัดหาเงินด่วนมาแนะนำคือการไปแคมป์รองเท้าพร้อมรอกดออนไลน์ เนื่องจากในวันที่ 14 เมษายนนี้จะมีสนีกเกอร์รุ่นโหด ๆ ที่สายคอลเลคเตอร์ต้องตกตะลึงวางจำหน่ายพร้อมกันถึง 4 รุ่นด้วยกัน หรือถ้าคุณสายสะสมต้องบอกว่าห้ามพลาด เพราะแต่ละคู่ที่กำลังจะวางขายล้วนโหดจนจิ้มไม่ถูกอยากจะคว้ามาไว้เสียแทบทุกคู่ #1 โดยคู่แรกจะเป็นการเปิดตัวรองเท้ารุ่น Air Jordan III “Free Throw Line” ซึ่งถือเป็นการครบรอบ 30 ปีของแบรนด์ ที่สำคัญโมเดล III ยังจัดว่าเป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับสายนักสะสม เพราะมันมีเรื่องราวเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยว่าเป็นรองเท้าคู่ที่ทำให้ราชาดังค์ Michael Jordan สามารถคว้าแชมป์ Slamdunk Contest สมัยแรกได้ สำหรับหน้าตาของรองเท้าคู่นี้ หลายคนที่เป็นแฟน Jordan อาจจะสงสัยว่าทำไมมันช่างคล้ายกับรุ่น White/Cement เสียเหลือเกิน ไม่ต้องตกใจไปเพราะมันคือรุ่นเดียวเพียงแต่แบรนด์ได้ทำการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดเล็กน้อย ๆ เพื่อสื่อถึงการเฉลิมฉลองการคว้าแชมป์ของ Michael Jordan ไม่ว่าจะเป็นบริเวณลิ้นรองเท้าที่ใส่ตัวเลข 147 หรือสกอร์รวมการดังค์สามครั้งของ MJ รวมไปถึงบริเวณส้นเท้าที่จะมีปริ้นเลข 3.51 หรือเวลาที่ Jordan กำลังค้างตัว air
ในวาระพิเศษของการเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีของการก่อตั้งในปีนี้ ทาง Mido นำเสนอความพิเศษโดดเด่นของเรือนเวลาผ่านทางนาฬิการุ่นที่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์และผ่านการพิสูจน์ถึงความคลาสสิคมาแล้วผ่านทางระยะเวลาแห่งการทำตลาดที่ยาวนานมากกว่าครึ่งศตวรรษ และด้วยโดดเด่นที่มีความแตกต่างออกไป ทำให้ Commander Shade กลายเป็นสิ่งที่สามารถสร้างความน่าตื่นตาตื่นใจได้เป็นอย่างดีเมื่อมีการอวดโฉมด้วยหน้าปัดใหม่ ที่ถูกจัดวางอยู่บนตัวเรือนทรงดั้งเดิมที่เปิดตัวออกสู่ตลาดครั้งแรกเมื่อปี 1959 ตัวนาฬิกามาพร้อมกับตัวเรือนแบบชิ้นเดียว (Monocase) ทรงกลมพร้อมด้วยแนวทางการออกแบบที่ฉีกแนวและเปิดกว้างทางความคิด และด้วยการได้รับอิทธิพลโดยตรงกับรุ่นที่เปิดตัวในปี 1979 หน้าปัดสีรมควันถูกขัดซาตินเป็นลายซันเรย์ สามารถดึงดูดสายตาทุกคู่ได้เป็นอย่างดี และจากการเลือกใช้การตกแต่งในแบบทูโทนด้วยโทนสีดำ-เงินในทุกรายละเอียด ทำให้ Commander Shade เป็นเรือนเวลาที่มีความโดดเด่นและชวนให้หลงใหล โดยตัวสายเป็นแบบสายเหล็กถัก Milanese พร้อมกับขัดแต่งด้วยลายซาติน ช่วยทำให้สวมใส่สบายและแนบไปกับข้อมือ และสำหรับการสดุดีต่อจิตวิญญาณของการออกแบบนาฬิกาในยุคทศวรรษที่ 1970 ตัว Commander Shade ถือเป็นอีกตำนานที่จะได้รับการตอบรับจากผู้ที่หลงใหลในเรือนเวลาที่มีรูปแบบโดดเด่นไม่เหมือนใคร และมีดีไซน์ที่อยู่เหนือกาลเวลา ไม่แตกต่างจากหอไอเฟลที่เป็นสัญลักษณ์ของกรุงปารีส ตัวเรือนแบบทรงกลมและผลิตจากเหล็กคือเอกลักษณ์ของคอลเล็กชั่น Commander และเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็นึกถึงและทราบได้ทันทีแม้ว่าจะมองแบบผ่านๆ และด้วยโครงสร้างของตัวนาฬิกาที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร Commander ยืนหยัดและท้าทายกาลเวลาแห่งความเปลี่ยนแปลง โดยที่ยังคงสัมผัสและความรู้สึกถึงความเยาว์วัยและพลังแห่งวัยหนุ่ม-สาวได้เป็นอย่างดี และสิ่งที่ยืนยันถึงเรื่องนี้คือ การที่ Commander เป็นนาฬิกาเพียงคอลเล็กชั่นเดียวของ Mido ที่ยังมีการผลิตและทำตลาดอย่างต่อเนื่องมานับตั้งแต่ถูกเปิดตัวเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1959 และแม้ว่าเวลาจะผ่านไปเกือบๆ 6 ทศวรรษแล้ว
ด้วยความเชื่อ “แฟชั่นมีชีวิต ไม่มีวันหยุดนิ่ง ไม่มีที่สิ้นสุด และไร้รูปแบบ” เป็นแรงขับเคลื่อนแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ มาประดับวงการแฟชั่นโลก เมื่อโลกหมุนเร็วขึ้น การแข่งขันก็รุนแรงและรวดเร็วขึ้นเป็นทวีคูณ หลายแบรนด์ถอดใจไปกลางทาง แต่หนึ่งแบรนด์สัญชาติไทย อย่าง “Jaspal“ (ยัสปาล) ยังคงฝ่าฟันจนสามารถยืนหยัดเคียงคู่ความสำเร็จยาวนานถึง 46 ปี ด้วยเพราะไม่เคยหยุดรีเฟรชตัวเองให้ทันเทรนด์โลกเสมอ จนปัจจุบันเป็นที่ยอมรับในวงการแฟชั่นโลกอย่างน่าภูมิใจ โดยล่าสุดขึ้นแท่นเป็นแบรนด์แรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้ร่วม Collaboration กับดีไซเนอร์ระดับโกลเบิล “Karl Lagerfeld” (คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์) สร้างสรรค์คอลเลกชั่นสุดพิเศษแห่งปี ภายใต้ชื่อ “Karl Lagerfeld for Jaspal” เอาใจแฟชั่นนิสต้าผสานกับความชิคสไตล์ใหม่ ตอบโจทย์เออร์เบิร์นไลฟ์สไตล์แบบตรงใจ หากย้อนเวลาไปสู่จุดเริ่มต้นของ บริษัท ยัสปาล จำกัด อายุยาวนานถึง 4 ชั่วอายุคน เริ่มก่อตั้งในปี พ.ศ. 2490 โดย ยัสปาล ซิงค์ ชาวอินเดียเดินทางเข้ามาเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทำมาหากินด้วยความมุ่งมั่นอดทนจนสามารถตั้งรกรากและสร้างครอบครัวเป็นปึกแผ่น และเจริญรุ่งเรืองบนแผ่นดินไทย ด้วยความช่างสังเกตและหัวการค้าทำให้ติดต่อค้าขายผ้าขนหนูจากอเมริกามาในประเทศไทย นำเข้าแบรนด์ที่ชาวอเมริกันนิยมเข้ามาจำหน่าย ต่อมาขยายไปเป็นสินค้าเครื่องนอน จนมีโรงงานผลิตสินค้าเป็นของตัวเอง ภายใต้แบรนด์
Errolson Hugh ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ ACRONYM เคยร่วมออกแบบรองเท้ากับไนกี้มาแล้ว 3 รุ่น คือรุ่น Lunar Force 1 (ปี 2015) รุ่น Presto ที่แฟนๆ ต่างชื่นชอบ (ปี 2016) และรุ่น AF 1 Downtown (ปี 2017) ซึ่งรองเท้าทั้ง 3 รุ่น นำเสนอแนวคิด การแก้ปัญหาของรองเท้าที่หลายๆ คนอาจไม่เคยนึกถึงมาก่อน (เช่น รองเท้ารุ่น Lunar AirForce 1 มีการใช้ซิปเพื่อให้สวมใส่ได้ง่ายกว่าที่เคย) สำหรับ NIKE AIR VAPORMAX MOC 2 รองเท้ารุ่นที่ 4 ที่ Hugh ร่วมสร้างสรรค์กับ Nike นั้น เขาตั้งใจจะใช้แนวคิดที่แตกต่างออกไป “รองเท้ารุ่นนี้จะล้ำสมัยมากๆ ไม่มีกลิ่นไอของอดีตเลย ผมใช้แถบรัดที่ยืดหยุ่นสูงแทนการใช้เชือกรองเท้า และรูปแบบของรองเท้าที่เกิดขึ้นนั้นยอดเยี่ยมมากจนเราไม่อยากเสริมแต่งคุณสมบัติพิเศษใดเพิ่มเติมอีก” ในขั้นตอนการออกแบบ Hugh
สำหรับแบรนด์แฟชั่นและไลฟ์สไตล์สุดครีเอทคุณภาพระดับโลกจากญี่ปุ่นแล้วก็คงไม่พลาด BEAMS อย่างแน่นอน จากการที่สร้างความประหลาดใจให้แฟน ๆ เสื้อผ้าสไตล์เฉพาะตัวในแบบฉบับญี่ปุ่นได้อย่างลงตัวแบบที่เราคาดไม่ถึงมาโดยตลอด แน่นอนว่าคอลเลคชั่นใหม่จาก BEAMS ใน SPRING SUMMER 2018 ไม่ทำให้สาวกที่รอคอยต้องผิดหวัง กับการออกแบบในแนวคิดหลักของคอลเลคชั่นสปริงซัมเมอร์ 2018 นี้ ในแต่ละไลน์สินค้าเสื้อผ้าคุณภาพจากแบรนด์ระดับแนวหน้าอย่าง BEAMS ในแต่ละแบรนด์มีแนวคิดอย่างไรบ้างสำหรับคอลเลคชั่นนี้ BEAMS แนวคิด “TOO MUCH” ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ.1976 มุ่งเน้นการสร้างสรรค์เครื่องแต่งกายผู้ชายสวมใส่สบายสำหรับทุกวัน ภายใต้แนวคิด “Basic & Exciting” โดยนำเทรนด์ที่หลากหลายจากทั่วโลกมาใช้ในการออกแบบเสื้อผ้าลำลองชิ้นเบสิคในสไตล์ชุดกีฬา ชุดทำงาน และชุดทหาร ผสมผสานกับสไตล์ไอวี่ ร็อค เซิร์ฟและสเกต เพื่อสร้างสรรค์ลุคลำลองที่ดูทันสมัย แนวคิดหลักของคอลเลคชั่นสปริงซัมเมอร์ 2018 นี้ คือ “TOO MUCH” ซึ่งหมายถึง มากเกินไป โดยนำสไตล์การแต่งกายที่ทันสมัย ชุดกีฬา ชุดทหาร และชุดอเมริกันดั้งเดิม มาผสมผสานกัน ทำให้เกิดลุคใหม่ที่ประกอบไปด้วยกลิ่นอายของแต่ละสไตล์ผสมกัน อีกทั้งยังมีการใช้ไอเท็มขนาดโอเวอร์ไซส์และการเติมเทคโนโลยีลงในเนื้อผ้า ควบคู่กับแบบและสีสันต่าง ๆ โดยไม่มีการแบ่งประเภท
อาจจะเพราะ Louis Vuitton และ Supreme เคยร่วมงานกันมาก่อน แล้วประสบความสำเร็จทั้งด้านชื่อเสียงและยอดขาย ทำตัวเลขกำไรเพิ่มขึ้นเบา ๆ 23% จึงไม่แปลกใจที่เราจะเห็นแบรนด์ในเครือ LMVH ออกมาจับมือ Collab กับ Supreme กันมากขึ้น โดยล่าสุด LVMH (Louis Vuitton Moet Hennessy) บริษัทที่มีแบรนด์ Luxury อยู่ในมือมากที่สุด ส่งแบรนด์ลูกรัก Rimowa กระเป๋าเดินทางสุดหรูที่ LVMH จ่ายเงินเป็นจำนวนถึง $719,000,000 หรือ 22,500,000,000 (สองหมื่นสองพันห้าร้อยล้านบาท) แลกหุ้น 80% จากมือ Mr. Dieter Morszeck, CEO ของ Rimowa และหลานของผู้ก่อตั้ง Mr. Paul Morszeck ในปี 1989 *FYI: หลายคนยังไม่รู้ นึกว่า LVMH จ่าย $500,000,000 ซื้อ Supreme
เชื่อว่าคุณผู้อ่านหลายท่านน่าจะเป็นวัยรุ่นยุค ’90s – 2000 กันมาก่อน… เปิดเรื่องมาแบบนี้เราไม่ได้มีเจตนาแซวว่าคุณกำลังเข้าสู่ช่วง ‘วัยรุ่น(ใหญ่)’ แล้ว แต่ทีมงาน UNLOCKMEN ตั้งใจจะบอกว่าถ้าใครที่เป็นวัยรุ่นยุคนั้นก็น่าจะเติบโตมาพร้อมกับเพลงแนว Disco, Soul, Funk จากผู้ชายที่ cool ที่สุดคนหนึ่งซึ่งก็คือ ‘บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์’ หรือ บุรินทร์ Groove Riders ที่เรารู้จักกันดี ซึ่งเขาแจ้งเกิดในทันทีนับตั้งแต่อัลบัมแรกของวงที่ใช้ชื่อว่า DiscoVery ปล่อยออกมาเมื่อปี 2544 ทั้งงานเดี่ยวของเขา และกับวง Groove Riders ทำให้เราดิ้นกระจายมานาน และไม่ได้มีแต่เพลงแดนซ์มันโคตรเท่านั้น เพลงซึ้ง ๆ ก็ถูกนำไปใช้ในงานวิวาห์กันเป็นว่าเล่น ส่วนเพลงเศร้าทำน้ำตาร่วงก็ทำงานได้ดีเหลือเกิน ซึ่งเอกลักษณ์อย่างหนึ่งที่เป็นเสน่ห์ติดหูทุกคนก็คือเสียงร้องของคุณบุรินทร์ที่มีทั้งความนุ่มลึก mood & tone ที่เข้ากับแนวเพลง ยังไม่รวมลีลาบนเวทีและสไตล์การแต่งตัวที่จัดจ้าน สำหรับผลงานทางด้านดนตรีของเขากับ Groove Riders มีสตูดิโออัลบัม 3 ชุด ไล่มาตั้งแต่ DiscoVery (2544) , DiscoVery2 (2545) และ The Lift (2550)
นับว่าเป็นข่าวอิมแพคในวงการ High-Fashion เนื่องจากเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เกิดการโยกย้ายข้ามไปมาของกลุ่มผู้มีอิทธิพลและกำหนดทิศทางของแฟชั่นโลกหลาย ๆ คน เริ่มจาก Hedi Slimane ผู้ที่นำความเป็นไลฟ์สไตล์ดึงความเป็น youthful ใส่กลิ่นอายอารมณ์วัฒนธรรมร็อคลงไปจนทำให้แบรนด์ Saint Laurent โดดเด่นทั้งรันเวย์และท้องถนน แต่แล้วเมื่อต้นปีที่ผ่านมา Hedi Slimane ก็ได้ประกาศอำลาตำแหน่ง และย้ายไปนั่งแท่น artistic creative director ของ CÉLINE ดังนั้นคาดว่าทิศทางของแบรนด์น่าจะได้ความเป็น grunge rock aesthetic ของ Slimane มาเต็ม ๆ อย่างแน่นอน มาต่อกับอีกแบรนด์ที่น่าจะเสียศูนย์พอสมควรหลังจาก Riccardo Tisci ผู้ชุบชีวิตแบรนด์ GIVENCHY ให้กลับมาผงาดคืนชีพอีกครั้งด้วยซิกเนเจอร์ส่วนตัวสตรีทลักซ์ชัวรี่อย่าง Dark Romantic และ Animal Spirits ต่าง ๆ โดยเฉพาะ Rottweiler ประกาศลาออกเมื่อปีกลายก่อนจะไปจับโปรเจคกับ Versace อยู่แวบหนึ่งและเพิ่งได้ตอบตกลงรับตำแหน่ง chief creative officer