Errolson Hugh ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ ACRONYM เคยร่วมออกแบบรองเท้ากับไนกี้มาแล้ว 3 รุ่น คือรุ่น Lunar Force 1 (ปี 2015) รุ่น Presto ที่แฟนๆ ต่างชื่นชอบ (ปี 2016) และรุ่น AF 1 Downtown (ปี 2017) ซึ่งรองเท้าทั้ง 3 รุ่น นำเสนอแนวคิด การแก้ปัญหาของรองเท้าที่หลายๆ คนอาจไม่เคยนึกถึงมาก่อน (เช่น รองเท้ารุ่น Lunar AirForce 1 มีการใช้ซิปเพื่อให้สวมใส่ได้ง่ายกว่าที่เคย) สำหรับ NIKE AIR VAPORMAX MOC 2 รองเท้ารุ่นที่ 4 ที่ Hugh ร่วมสร้างสรรค์กับ Nike นั้น เขาตั้งใจจะใช้แนวคิดที่แตกต่างออกไป “รองเท้ารุ่นนี้จะล้ำสมัยมากๆ ไม่มีกลิ่นไอของอดีตเลย ผมใช้แถบรัดที่ยืดหยุ่นสูงแทนการใช้เชือกรองเท้า และรูปแบบของรองเท้าที่เกิดขึ้นนั้นยอดเยี่ยมมากจนเราไม่อยากเสริมแต่งคุณสมบัติพิเศษใดเพิ่มเติมอีก” ในขั้นตอนการออกแบบ Hugh
สำหรับแบรนด์แฟชั่นและไลฟ์สไตล์สุดครีเอทคุณภาพระดับโลกจากญี่ปุ่นแล้วก็คงไม่พลาด BEAMS อย่างแน่นอน จากการที่สร้างความประหลาดใจให้แฟน ๆ เสื้อผ้าสไตล์เฉพาะตัวในแบบฉบับญี่ปุ่นได้อย่างลงตัวแบบที่เราคาดไม่ถึงมาโดยตลอด แน่นอนว่าคอลเลคชั่นใหม่จาก BEAMS ใน SPRING SUMMER 2018 ไม่ทำให้สาวกที่รอคอยต้องผิดหวัง กับการออกแบบในแนวคิดหลักของคอลเลคชั่นสปริงซัมเมอร์ 2018 นี้ ในแต่ละไลน์สินค้าเสื้อผ้าคุณภาพจากแบรนด์ระดับแนวหน้าอย่าง BEAMS ในแต่ละแบรนด์มีแนวคิดอย่างไรบ้างสำหรับคอลเลคชั่นนี้ BEAMS แนวคิด “TOO MUCH” ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ.1976 มุ่งเน้นการสร้างสรรค์เครื่องแต่งกายผู้ชายสวมใส่สบายสำหรับทุกวัน ภายใต้แนวคิด “Basic & Exciting” โดยนำเทรนด์ที่หลากหลายจากทั่วโลกมาใช้ในการออกแบบเสื้อผ้าลำลองชิ้นเบสิคในสไตล์ชุดกีฬา ชุดทำงาน และชุดทหาร ผสมผสานกับสไตล์ไอวี่ ร็อค เซิร์ฟและสเกต เพื่อสร้างสรรค์ลุคลำลองที่ดูทันสมัย แนวคิดหลักของคอลเลคชั่นสปริงซัมเมอร์ 2018 นี้ คือ “TOO MUCH” ซึ่งหมายถึง มากเกินไป โดยนำสไตล์การแต่งกายที่ทันสมัย ชุดกีฬา ชุดทหาร และชุดอเมริกันดั้งเดิม มาผสมผสานกัน ทำให้เกิดลุคใหม่ที่ประกอบไปด้วยกลิ่นอายของแต่ละสไตล์ผสมกัน อีกทั้งยังมีการใช้ไอเท็มขนาดโอเวอร์ไซส์และการเติมเทคโนโลยีลงในเนื้อผ้า ควบคู่กับแบบและสีสันต่าง ๆ โดยไม่มีการแบ่งประเภท
เชื่อว่าคุณผู้อ่านหลายท่านน่าจะเป็นวัยรุ่นยุค ’90s – 2000 กันมาก่อน… เปิดเรื่องมาแบบนี้เราไม่ได้มีเจตนาแซวว่าคุณกำลังเข้าสู่ช่วง ‘วัยรุ่น(ใหญ่)’ แล้ว แต่ทีมงาน UNLOCKMEN ตั้งใจจะบอกว่าถ้าใครที่เป็นวัยรุ่นยุคนั้นก็น่าจะเติบโตมาพร้อมกับเพลงแนว Disco, Soul, Funk จากผู้ชายที่ cool ที่สุดคนหนึ่งซึ่งก็คือ ‘บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์’ หรือ บุรินทร์ Groove Riders ที่เรารู้จักกันดี ซึ่งเขาแจ้งเกิดในทันทีนับตั้งแต่อัลบัมแรกของวงที่ใช้ชื่อว่า DiscoVery ปล่อยออกมาเมื่อปี 2544 ทั้งงานเดี่ยวของเขา และกับวง Groove Riders ทำให้เราดิ้นกระจายมานาน และไม่ได้มีแต่เพลงแดนซ์มันโคตรเท่านั้น เพลงซึ้ง ๆ ก็ถูกนำไปใช้ในงานวิวาห์กันเป็นว่าเล่น ส่วนเพลงเศร้าทำน้ำตาร่วงก็ทำงานได้ดีเหลือเกิน ซึ่งเอกลักษณ์อย่างหนึ่งที่เป็นเสน่ห์ติดหูทุกคนก็คือเสียงร้องของคุณบุรินทร์ที่มีทั้งความนุ่มลึก mood & tone ที่เข้ากับแนวเพลง ยังไม่รวมลีลาบนเวทีและสไตล์การแต่งตัวที่จัดจ้าน สำหรับผลงานทางด้านดนตรีของเขากับ Groove Riders มีสตูดิโออัลบัม 3 ชุด ไล่มาตั้งแต่ DiscoVery (2544) , DiscoVery2 (2545) และ The Lift (2550)
เป้าหมายของงานดีไซน์ คือการยกระดับคุณภาพชีวิตที่มีอยู่ให้ดีขึ้น ไม่ใช่แค่ออกแบบให้ดูสวยงามเพียงอย่างเดียว ซึ่งการออกแบบสามารถเป็นอะไรก็ได้ แม้แต่ตัวหนังสือ โดยล่าสุดนักออกแบบ Kosuke Takahashi ผู้เกิดความสงสัยว่า ทำยังไงถึงจะอ่านอักษรเบรลล์ ซึ่งเป็นอักษรสำหรับคนตาบอด ประดิษฐ์โดย หลุยส์ เบรลล์ (Louis Braille) ครูตาบอดชาวฝรั่งเศส ทำให้คนตาบอดจำนวน 285 ล้านคนสามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ Kosuke จึงเกิดไอเดียอยากออกแบบตัวอักษรที่ทำให้ทั้งคนตาดีและคนตาบอดใช้ร่วมกันได้ นี่จึงเป็นที่มาของ BRAILLE NEUE ฟอนต์สุดเท่เปลี่ยนโลกชุดนี้ Kosuke เริ่มการทดลองโดยการเอาตัวอักษรเบรลล์มา map เข้ากับตัวอักษรปกติ แน่นอนว่าการวางเข้าไปเฉย ๆ มันยังไม่พอ เพราะอักษรเบรลล์นั้นมีความซับซ้อน ไม่ได้ represent ตัวอักษรปกติได้มากนัก ตัวอย่างเช่นเลข 2 กับ 3 โดยเลข 2 ในอักษรเบรลล์จะเป็น 2 จุดเรียงลงมา แต่เลข 3 ก็มี 2 จุดเหมือนกัน ไม่ใช่ 3 จุด และเรียงเป็นแนวนอนด้านบน ยิ่งยากยิ่งท้าทาย
ปฎิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบันวัฒนธรรมสเก็ตบอร์ดนั้นได้ก้าวเข้ามามีส่วนสำคัญต่อไลฟ์สไตล์ของผู้ชายส่วนใหญ่เป็นอย่างมาก เพราะหากลองมองไปรอบ ๆ ตัวแบรนด์เสื้อผ้าชื่อดังมากมายล้วนได้ไอเดียคอนเซ็ปต์การออกแบบมาจากชีวิตบนหลังกระดานสี่ล้อแทบจะทั้งนั้น ถ้าหากชาว UNLOCKMEN ยังไม่เชื่อเราขอนำ แบรนด์เสื้อผ้าจากสเก็ตบอร์ดที่ร้อนแรงและเป็น must item จนบางทีคุณอาจจะไม่คิดว่าเนี่ยหรอแบรนด์เสื้อผ้าสเก็ตบอร์ด SUPREME กลายเป็นแบรนด์เสื้อผ้าล้ำค่าที่สุดแบรนด์หนึ่งของโลก เพราะหากคุณมี Supreme อยู่ในมือวันนี้ก็เปรียบเสมือนการครอบครองหุ้นชั้นดีสักตัวที่รอวันออกดอกผล ยิ่งเมื่อบวกกับคอลเลคชั่นสะท้านโลกอย่าง Supreme x Louis Vuitton ทำให้สินค้าของพวกเขาทวีคูณความนิยมกลายเป็นที่ต้องการมากยิ่งขึ้นไปเท่านั้น แต่ทว่าจะมีใครสักกี่คนที่รู้ว่าแท้จริงแล้ว Supreme มีต้นกำเนิดมาจาก James Jebbia ผู้ที่คลุกคลีอยู่ในวงการสเก็ตบอร์ด แม้ตัวเขาจะไม่ใช่นักสเก็ตบอร์ดที่โด่งดังก็ตาม โดยความตั้งใจของ Jebbia คือการทำเสื้อผ้าให้กับโปรสเก็ตบอร์ดได้มีเสื้อผ้าสวยงามไว้ใส่ขณะโชว์สกิลบนบอร์ดสี่ล้อ แถมยังมีเกร็ดเล็กน้อยอีกด้วยว่า Supreme ไม่ได้มีความหมายใด ๆ เพียงแค่ James Jebbia เห็นว่าคำนี้มันเท่ดีก็เท่านั้น Link to shop PALACE ทุกวันนี้คนยังสงสัยด้วยซ้ำว่าสุดท้าย Palace คือสตรีทแบรนด์เนม หรือ สเก็ตบอร์ดแบรนด์ด้วยความก้ำกึ่งและดีไซน์ที่สุดเอกลักษณ์ทำให้ Palace กลายเป็นที่ต้องการอย่างมากจนแทบจะหาราคาป้ายไม่ได้เลย ดังนั้นเมื่อเจอสินค้ายี่ห้อ Palace เราก็ต่างจะคิดไปเองว่ามันเป็น High-street
คนเราให้ความสำคัญของแต่ละอย่างไม่เท่ากัน อย่างเจ้าของบ้านหลังงามในเมือง Yokohama ครอบครัวนี้ เป็นบ้านที่รักการอ่านหนังสือมากเป็นพิเศษ จึงมีชั้นวางหนังสือที่ใหญ่โตกว่าบ้านทั่วไปนัก แต่ติดปัญหาที่ประเทศญี่ปุ่นนั้น ต้องพบกับแผ่นดินไหวบ่อย ๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แน่นอนว่าชั้นวางหนังสือที่ใหญ่โตขนาดนี้ ย่อมทำให้เสี่ยงอันตราย และชั้นวางรูปทรงทั่วไป ยิ่งทำให้หนังสือตกเสียหายได้ จึงตัดสินใจไปปรึกษากับบริษัทออกแบบ Shinsuke Fujii Architects ได้ออกมาเป็นบ้านในคอนเซปต์ชื่อ The Bookshelf House Shinsuke Fujii Architects แก้ไขปัญหาชั้นหนังสือ ด้วยการปรับเปลี่ยนมุมชั้นวางที่มีขนาดใหญ่เป็นส่วนหนึ่งของกำแพง ให้มีองศาโน้มเอียงลึกลงไปแบบเส้นทะแยงมุม แต่ละชั้นมีไม้ยื่นออกมาเหมือนขั้นบันได ช่วยให้ทุกคนในบ้านสามารถใช้งานได้ง่าย แม้ต้องปีนขึ้นไปหยิบหนังสือชั้นบนสุด ก็สะดวกเหมือนเดินขึ้นลงทั่วไป ที่สำคัญคือความปลอดภัยในสุขภาพของคนในบ้านเมื่อเกิดแผ่นดินไหว เพราะจะไม่โดนหนังสือถล่มทับ และสุขภาพของหนังสือสะสมหายาก ที่จะไม่หล่นลงมาชำรุดเสียหาย นอกจากชั้นหนังสือ พื้นที่ฟังก์ชั่งทั้งหมดของตัวบ้านออกแบบสไตล์ Seamless แทนที่จะแบ่งพื้นที่เป็นชั้น 1 ชั้น 2 เจ้าของบ้านตัดสินใจรวมพื้นที่ทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกันให้ความรู้สึกเหมือนห้อง Penthouse ขนาดใหญ่ โต๊ะทานข้าวและครัวอยู่บริเวณด้านล่าง ส่วนด้านบนซึ่งเป็นพื้นยกระดับ เป็นส่วนของพื้นที่นั่งเล่น ห้องทำงาน และห้องนอน ไม่ใช่เด่นแค่ด้านใน ภายนอกก็ออกแบบได้เท่ไม่น้อย แผ่นเหล็กสีดำขนาดใหญ่ยาวต่อเนื่องตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนฐานคอนกรีต ทำให้เห็นประโยชน์ใช้สอยอีกอย่างของชั้นหนังสือจากภายนอก ซึ่งมุมทะแยงช่วยกันฝนขณะเปิดปิดประตูได้อีกด้วย และเพื่อความเป็นส่วนตัว
นับว่าเป็นข่าวอิมแพคในวงการ High-Fashion เนื่องจากเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เกิดการโยกย้ายข้ามไปมาของกลุ่มผู้มีอิทธิพลและกำหนดทิศทางของแฟชั่นโลกหลาย ๆ คน เริ่มจาก Hedi Slimane ผู้ที่นำความเป็นไลฟ์สไตล์ดึงความเป็น youthful ใส่กลิ่นอายอารมณ์วัฒนธรรมร็อคลงไปจนทำให้แบรนด์ Saint Laurent โดดเด่นทั้งรันเวย์และท้องถนน แต่แล้วเมื่อต้นปีที่ผ่านมา Hedi Slimane ก็ได้ประกาศอำลาตำแหน่ง และย้ายไปนั่งแท่น artistic creative director ของ CÉLINE ดังนั้นคาดว่าทิศทางของแบรนด์น่าจะได้ความเป็น grunge rock aesthetic ของ Slimane มาเต็ม ๆ อย่างแน่นอน มาต่อกับอีกแบรนด์ที่น่าจะเสียศูนย์พอสมควรหลังจาก Riccardo Tisci ผู้ชุบชีวิตแบรนด์ GIVENCHY ให้กลับมาผงาดคืนชีพอีกครั้งด้วยซิกเนเจอร์ส่วนตัวสตรีทลักซ์ชัวรี่อย่าง Dark Romantic และ Animal Spirits ต่าง ๆ โดยเฉพาะ Rottweiler ประกาศลาออกเมื่อปีกลายก่อนจะไปจับโปรเจคกับ Versace อยู่แวบหนึ่งและเพิ่งได้ตอบตกลงรับตำแหน่ง chief creative officer
หากพูดถึงวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่ของโลกในปัจจุบันอย่าง Skate Culture ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นจากกีฬาเอ็กซ์ตรีมธรรมดา เพราะแต่เดิมมันเป็นเพียงการเล่นผาดโผนที่แม้แต่ผู้ปdครองเองยังไม่ค่อยจะอนุญาต ก่อนที่จะค่อย ๆ ขยายตัวฝังลึกเข้าไปถึงแก่นสารของวัฒนธรรม ซึ่งแสดงออกผ่านทางการแต่งกาย รสนิยมการฟังเพลง รวมไปถึงสถานที่เที่ยว และกิจกรรมอื่น ๆ อีกมาก ยิ่งในตอนนี้มันได้หลอมรวมกลายเป็น mainstream culture ชนิดที่เราเองยังแทบจะไม่รู้ตัว โดยหากต้องแตกประเด็นของเรื่องสเก็ตบอร์ดออกมาให้พูดเป็นวันก็คงจะไม่จบ แต่เพื่อให้ชาว UNLOCKMEN ได้เข้าใจที่มาวัฒนธรรมกระดานสี่ล้อเพื่อเป็นการวอร์มอัพก่อนสกู๊ปใหญ่ประจำเดือน เราจึงสรุปเรื่องราวความเป็นมาแบบคร่าว ๆ ของวัฒนธรรมสเก็ตบอร์ดมาเล่าให้ฟังในวันนี้ ย้อนกลับไปในปี 1950 กีฬา surfing ถือว่าได้รับความนิยมอย่างมากสำหรับวัยรุ่นชาว California แต่นั้นไม่เพียงพอต่ออะดรีนาลีนที่พุ่งพล่านพยายามหาอะไรที่สนุกสุดเหวี่ยงและต้องการความมันส์บ้าบิ่นในชีวิตประจำวัน ดังนั้นจึงเกิดไอเดียนำเอากล่องไม้มาดัดแปลงมาติดล้อโรลเลอร์สเก็ตลงไปและใช้ไถไปมาตามถนน ซึ่งในเวลานั้นยังคงไม่มีคำว่า skateboard ทว่าคนทั่วไปจะเรียกกลุ่มเด็กเหล่านี้ว่า sidewalk surfing ความนิยมของเจ้ากระดานล้อลื่นมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งบริษัททำกระดาน surf ใน California ได้ติดต่อกับ Bill Richard เจ้าของธุรกิจ Chicago Roller Skate เพื่อประกอบกระดาษสเก็ตบอร์ดสำเร็จรูปขึ้น มาเป็นครั้งแรก โดยผู้เล่นต้องถอดรองเท้า แต่ในเวลาต่อมาได้เกิดโรงงานผลิตอีกนับไม่ถ้วน อาทิ
การเริ่มต้นเช้าวันใหม่ที่ต้องตื่นมาส่องกระจกแล้วพบว่าผมของตัวเองในปัจจุบันไม่ใช่ทรงในอุดมคติอีกต่อไป ทั้งยาวกระเซิง แทงหูทิ่มตา จนเกิดความคิดว่าคงถึงเวลาต้องหั่นออกให้เรียบร้อยเสียหน่อย แต่ความน่ากลัวที่ผู้ชายมักจะต้องเจออยู่เป็นประจำก็คือ การเสี่ยงดวงในร้านตัดผม เพราะเราเองยังจดจำครั้งล่าสุดที่เข้าร้านตัดผมได้ว่า เมื่อบอกให้ช่างตัดทรง Undercut แบบพี่หมื่นเรืองไป แต่เมื่อเสร็จกลับพบว่าทรงที่ได้มาเหมือนกับทหารพึ่งปลดประจำการมาไม่มีผิดเพี้ยน แล้วจะโทษใครได้ล่ะทีนี้ ตัวเราเองหรือช่างตัดผม ? ถ้าไม่อยากให้ความผิดพลาดแบบนี้เกิดขึ้นอีกล่ะก็วันนี้ UNLOCKMEN มี 5 ศิลปะการเข้าร้านตัดผมมาฝาก ให้คุณไม่ต้องพลาดได้ผมผิดทรงกลับบ้านอีกต่อไป 1. หารูปตัวอย่างให้เหมาะสม การนำรูปทรงผมไปให้ช่าง จะช่วยคุณได้มากทีเดียว ควรเก็บข้อมูลก่อนจะออกไปร้าน เพราะเราจะมีเวลาเลือกอย่างไม่ต้องเร่งรีบ ค้นหาภาพจากโทรศัพท์หรือนิตยสาร โดยเลือกจากแบบที่มีรูปหน้าและชนิดของผมคล้ายกับเรามากที่สุด อย่าทึกทักไปเองว่านี้แหละใช่ และเมื่อขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้เพื่อเตรียมตัดก็ใช้ภาพชี้จุดให้ช่างดูอย่างชัดเจนว่าคุณต้องการตัดแต่ละส่วนออกแค่ไหน บอกช้า ๆ ไม่ต้องกลัวช่างจะอารมณ์เสียกับความเรื่องมาก เพราะทุกวันนี้การใส่ใจในเรื่องที่ทำให้ตัวเองดูดีเป็นสิ่งที่ทุกคนทำกัน 2. เน้นย้ำกับสิ่งที่คุณต้องการเป็นพิเศษ ถ้าคุณต้องมีรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างตัดผม ให้เน้นจุดบอกไปเลย เพราะบางทีช่างก็อ่านใจเราไม่ออก ตัวอย่างเช่น ผมข้างบนเอาออกนิดเดียว ส่วนนี้ก็ต้องขยายความคำว่านิดเดียว ว่าจะให้ตัดออกตรง ซอยให้บางลง หรือแค่เก็บส่วนชี้ฟู ถ้าคิดว่าร้านที่เข้าช่างรู้จักศัพท์เฉพาะ เช่น Fade ( ไถ่ไล่ระดับผมจากบางไปหนา )
กว่าร้อยล้านคนทั่วโลก เป็นสมาชิกของ NETFLIX ผู้ให้บริการ Streaming หนังและซีรี่ส์ยักษ์ใหญ่ของโลก ทุนหนาชนิดที่ว่ามี Original Content เป็นของตัวเองแบบไล่ดูแทบไม่ทัน ส่วนกำไรคงไม่ต้องพูดถึงว่ารายได้จะมหาศาลขนาดไหน เราอาจจะโฟกัสไปที่กำไรจากภาพยนตร์และซีรี่ส์ที่พวกเขาผลิตออกมา แต่ใครจะรู้ว่าจุดที่ช่วยให้ Netflix เซฟเงินได้แบบโคตรเจ๋งปีละหลายล้านดอลลาร์คือการทำ FONT ใช้เอง! วันนี้ UNLOCKMEN จะพามาดูไปพร้อม ๆ กันว่าไอ้ FONT ที่ว่าเนี่ยมันช่วยเซฟเงินมหาศาลขนาดนั้นได้ยังไง “NETFLIX SANS” โลโก้เรียบง่ายที่ทำให้ทุกคนต่างจดจ่อเพื่อรอดูภาพยนตร์ที่กำลังตามมาในไม่กี่อึดใจ หรือภาพปกซีรี่ส์ต่าง ๆ ที่ใช้ฟอนต์ที่เป็นอัตลักษณ์ เรียบ ๆ อ่านง่าย สบายตา แต่ก็เป็นที่จดจำ นั่นคือ “NETFLIX SANS” ที่ถูกดีไซน์โดย Dalton Maag ทีมครีเอทีฟในบริษัทนั่นแหละ แม้ว่าบางเรื่องอาจจะมีฟอนต์ที่เป็นแบบประจำของตัวเองจนเป็นภาพจำไปแล้ว แต่ลองสังเกตดูว่าเรื่องใหม่ ๆ ที่เพิ่งทยอยออกมา หรือแม้แต่ปกจากเรื่องเก่า ๆ (ถ้าใครดู NETFLIX จะสังเกตได้ว่าเรื่องนึงจะมีหลายปก) เริ่มมาใช้เจ้าฟอนต์ “NETFLIX SANS” บ้างแล้ว ทำไมถึงช่วยเซฟเงินได้ ?
ข่าวนี้ทีมงาน UNLOCKMEN อยากจะฝากเตือนภัยสำหรับคนที่ชอบผูกระบบแอคเค้าท์ต่าง ๆ ไว้ที่เดียวกัน หรือ ตั้งค่าพาสเวิร์ดง่าย ๆ ที่สามารถคาดเดาได้ ซึ่งล่อตาล่อใจมิจฉาชีพสายไอทีเสียเหลือเกิน จนเราอยากนำข่าวนี้มาเป็นอุทาหรณ์เตือนใจไม่ให้พลาดพลั้งเสียท่าให้กับผู้ไม่หวังดีเหล่านี้กัน เพราะเมื่อเร็ว ๆ นี้ มีการเปิดเผยว่า MyFitnessPal แอพพลิเคชั่นด้านสุขภาพและออกกำลังกาย ซึ่งเป็นของแบรนด์ชุดกีฬาชื่อดังจากอเมริกาอย่าง Under Armour ประกาศว่าฐานข้อมูลของตัวเองโดนแฮ็กระบบและมีข้อมูลของผู้ใช้งานรั่วไหลไปกว่า 150 ล้านราย แม้ว่าทาง Under Armour จะยืนยันหนักแน่นเหลือเกินว่าข้อมูลสำคัญของลูกค้าไม่มีการรั่วไหลไปไม่ว่าจะเป็น ประกันสังคม, บัตรเครดิต และใบขับขี่ เนื่องจากอ้างว่าถูกเก็บอยู่คนละที่กัน โดย Under Armour ระบุว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2018 แต่เพิ่งค้นพบเมื่อวันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา ข้อมูลที่หลุดออกไปมีชื่อผู้ใช้ อีเมล และโชคดีที่รหัสผ่านส่วนใหญ่ถูกเข้ารหัสผ่าน bcrypt ไว้ ทว่าสิ่งที่ถูกแฮ็กไปคือ อีเมล และค่า Hash ของรหัสผ่าน อย่างไรก็ตามทาง Under Armour ได้แจ้งไปยังผู้ใช้งานทั้งหมดให้เร่งเปลี่ยนรหัสผ่านแล้ว พร้อมทั้งออกแจ้งเตือนผู้ใช้งานถึงเหตุการณ์ที่น่าจะเกิดขึ้นถัดไปคือเรื่องของ Phishing โดยแจ้งว่าอีเมลแจ้งเตือนในเหตุการณ์รั่วไหลของ MyFitnessPal นี้ไม่มีลิงก์หรือไฟล์แนบและไม่มีการร้องขอข้อมูลส่วนตัวใด ๆ
เป็นปัญหาใหญ่สำหรับนักออกแบบ ตากล้อง หรือใครก็ตามที่ต้องใช้ iMac ในการทำงาน แม้ประสิทธิภาพจะจัดว่าเด็ดตามประสา apple หน้าจอจะแจ่มชัดจัดเต็มแค่ไหน แต่เมื่อต้องไปทำงานออกกองแบบ on-site หรืออยากจะแบกคอมไปจบปัญหาแก้งานแก้สีต่อหน้าลูกค้า ครั้นจะแบก iMac ไปก็ทุลักทุเลเหลือรับ ถามใครที่เคยแบกไปจะรู้ดีว่าการต้องยัด iMac ใส่กล่องหอบขึ้นรถไฟฟ้ามันเหมือนฝันร้ายชัด ๆ วันนี้เรามีทางออกมาบอกกล่าวชาว iMac User โดยเฉพาะ นั่นคือ Lavolta Carrying Case Bag กระเป๋าที่ถูกออกแบบมาเพื่อบรรจุ iMac สะพายอย่างเหนือชั้น Lavolta Case Bag เป็นกระเป๋าที่ผลิตแบบ handmade อย่างดี ภายนอกดีไซน์สวยงาม ภายในมีผ้า Microfiber นุ่ม ๆ คอยรองรับหน้าจอไม่ให้มีรอยขีดข่วย และรองรับแรงกระแทกได้ประมาณหนึ่ง มีหน้าที่ห่อหุ้ม iMac ได้แบบง่าย ๆ ใน 3 ขั้นตอน สวมเข้าจากด้านล่าง เอาขาตั้งลอดเข้าไปในหูหิ้ว ดึงกระเป๋าขึ้นคลุมถึงจอด้านบน จากนั้นก็รูดซิปปิดเป็นอันเสร็จพิธี ยังไม่จบแค่นั้น