แม้ปัจจุบันหลายคนจะจำภาพรถสมรรถนะสูงสัญชาติฝรั่งเศสในชื่อของ Bugatti แต่ในอดีตยังมีรถที่เคยสร้างตำนานไว้มากมาย รวมถึงครั้งนึงเคยได้ชื่อว่าเป็น Supercar ที่เร็วที่สุดในฝรั่งเศสอีกด้วย นั่นคือ Venturi 400 GT ตัวแข่งที่เกิดมาอยู่ในสนามแข่งโดยเฉพาะ ก่อนจะถูกปรับเปลี่ยนเป็นรถที่ใช้งานบนท้องถนนได้ เชื่อว่าชื่ออาจจะไม่คุ้นหูชาว UNLOCKMEN หลายคน วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับตำนานที่ถูกนำออกประมูลด้วยมูลค่าที่คาดว่าจะสูงถึงเกือบ 7 ล้านบาท ย้อนไปในปี 1984 มี 2 วิศวกรผู้ก่อตั้ง Venturi นามว่า Claude Poiraud และ Gerard Godfroy หวังอยากสร้างรถยนต์ที่สามารถลงแข่งขันในรายการต่าง ๆ เพื่อสร้างชื่อเสียงให้โลกได้รู้จักกับ French performance GT Cars มากขึ้น กว่าจะมีรถยนต์ที่ติดป้าย Venturi ออกมาก็กินเวลาไปถึงปี 1986 ก่อนบริษัทจะถูกขายออกไปในปี 2000 ให้กับเจ้าของคนใหม่ Gildo Pallanca Pastor ผู้หันไปเอาดีทางด้าน Formula E ซึ่งในช่วงระยะเวลานั้นมีรถยนต์ถูกผลิตออกมาหลายรุ่น แต่ในปี 1992 Venturi ได้มีผลงานรถยนต์ที่เป็นพระเอกของค่าย ซึ่งปัจจุบันก็ยังถูกพูดถึงจากนักเลงรถยนต์ตัวจริงทั่วโลก
รถยนต์อเนกประสงค์อย่าง SUV คือรถที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน เพราะไม่ว่าถนนจะขรุขระหรือเป็นหลุมเป็นบ่อแค่ไหนก็สามารถพาเราผ่านไปได้ทุกที่ และจะเป็นอย่างไรถ้ารถ SUV ที่ออกแบบมาเพื่อตอบรับการขับขี่บนทุกถนนกลายเป็นรถยนต์สุดหรูที่มีราคาสูงเกือบร้อยล้านบาท ด้วยฝีมือของแบรนด์รถยนต์น้องใหม่อย่าง Karlmann King Karlmann King คือรถยนต์ SUV ที่มีหน้าตาแหวกแนวรถ SUV ในแบบเดิม ๆ เกิดจากผลงานการดีไซน์โดยทีม Automobile Technology (IAT) ที่ออกแบบให้กับ Unique Club ซึ่งเป็นสำนักแต่งรถยี่ห้อ Ford และ Chevrolet ในประเทศจีน โดยจะผลิตรถยนต์หน้าตาดุดันอย่าง Karlmann King เพียงแค่ 12 คันเท่านั้น ในราคาสูงลิบถึง 2 ล้านดอลลาร์ ที่คิดเป็นเงินไทยราว 70 ล้านบาท การที่รถยนต์ SUV มีราคาสูงขนาดนี้ รวมถึง Karlmann King เป็นแบรนด์รถน้องใหม่ไร้ชื่อและประวัติที่บอกเล่าเรื่องราวอันยาวนานเหมือนกับแบรนด์รถยนต์สุดหรูเจ้าดังอย่าง Rolls-Royce ที่เพิ่งออกรถยนต์ SUV อย่าง Rolls-Royce Cullinan ไปเมื่อไม่นานมานี้ ด้วยความเป็นน้องใหม่แต่ออกรถยนต์ราคาสูงยิ่งกว่า
นอกจากรถยนต์มากมายที่ทยอยเปิดตัวใน Detroit Auto Show ไม่ว่าจะเป็น Toyota Supra (5th gen) หรือ Mustang Shelby 500GT ที่เป็นตัวแรงน่าโดนประจำงานแล้ว ภายอีเวนต์ยังขนของเล่นชิ้นใหญ่เอาใจชาว Truck Lover อย่าง Chevrolet Silverado ที่ผลิตจากเลโก้กว่า 300,000 ชิ้น มาตั้งอวดโฉมไว้ในงานอีกด้วย Chevrolet Silverado LEGO สเกล 1:1 เกิดจากความร่วมมือระหว่าง Chevrolet, Lego และ Warner Bros ที่เริ่มโปรเจกต์แรกด้วยกันเมื่อปี 2017 ด้วย Batmobile LEGO โดยเป็นแบบจำลองเสมือนจริงที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก 2019 Chevrolet Silverado 1500 LT Trail Boss ในลุค Premium Truck สีแดงสด LEGO Silverado มีน้ำหนัก 3,307 ปอนด์ (1,500
เรียกได้ว่าสมการรอคอยสำหรับ New Mustang Shelby GT500 ที่เพิ่งเปิดตัวไปในงาน Detroit Auto Show ไปหมาด ๆ พร้อมกับคำเปิดเผยจาก Ford ว่านี้จะเป็น “มัสแตงค์ที่แรงที่สุดของค่ายในเวลานี้” ด้วยขุมกำลังที่มาพร้อมแรงม้ามหาศาล Mustang Shelby GT500 (2020) เปิดตัวพร้อมรูปลักษณ์ภายนอกที่ถูกพัฒนาใหม่ให้มีความดุดัน ด้วยกระจังหน้า 2 ช่องขนาดใหญ่ซึ่งจะสนับสนุนการทำงานของระบบ Aerodynamic และหมุนเวียนระบายความร้อนในระบบได้ดีขึ้นจาก Shelby GT350 ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ยังมีบังโคลนขนาดใหญ่และ Diffuser ด้านหลังผลิตจากวัสดุที่สามารถระบายความร้อนได้ โดยทีมวิศวกรจาก Ford เคลมว่าอุโมงค์ลมที่เกิดจากการวิ่งของ Shelby GT500 (2020) นั้นสมบูรณ์แบบ ด้านภายในห้องโดยสารของ Mustang Shelby GT500 (2020) ก็ถูกออกแบบมาให้ป้องกันเสียงอย่างเงียบสนิท เริ่มจากแผงคอนโซลซึ่งผลิตจากเส้นใยคาร์บอนไฟเบอร์ เบาะผู้โดยสารจาก Recaro ซึ่งอาจไม่ตอบโจทย์เรื่องความนุ่มสบาย แต่ได้อารมณ์ของการเป็นรถสนามเต็ม ๆ แน่นอน นอกจากนี้แต่งเติมความหรูหราด้วยการตกแต่งด้านในของประตูด้วยหนังกลับ
หลายคนเคยบ่นว่า รถแรง กี่แรงอาชาก็เป็นได้แค่ม้าบ้าน วิ่งได้แค่ตามกฎหมายกำหนด สุดท้ายซื้อมาก็ไม่ได้อะไร นั่งอั้นกันอยู่บนถนน เราจะจ่ายเยอะกว่าไปเพื่ออะไร ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะเราเองก็เคยคิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่นั่นก็ก่อนที่จะรู้จักกับถนนสายนี้ Autobahn ทางหลวงพิเศษของเยอรมนีที่ทำให้เราอยากไปเหยียบประเทศเยอรมนีมากกว่าที่เคย ความเร็วไม่ใช่ฆาตกรบนท้องถนน ก่อนจะเริ่มพูดถึงถนนเส้นนี้ เรื่องที่เราไม่อยากพลาดยกมาพูดถึงคือประเด็นเรื่องการขับขี่ด้วยความเร็วที่คนมักมองว่าคร่าชีวิตคนบนท้องถนน คนส่วนใหญ่มักคิดว่าการเหยียบมิดไมล์มันสัมพันธ์กับอุบัติเหตุ ซึ่งส่วนหนึ่งอาจจะใช่ แต่ถ้าจะมองกันอย่างยุติธรรมอีกนิด ความเร็วคงไม่ใช่ประเด็นเดียวของอุบัติเหตุ ข้อมูลจาก OECD’s International Transport Forum ปี 2013 คือหนึ่งในเครื่องยืนยันว่าความเร็วไม่ใช่ทั้งหมดของปัญหา เพราะเมื่อเผยจำนวนผู้เสียชีวิตแล้ว ประเทศเยอรมนีมีจำนวนผู้เสียชีวิตราว 3,339 คน สูงกว่าประเทศฝรั่งเศสที่จำกัดความเร็วเพียงเล็กน้อย (คนเสียชีวิต 3,268) และน้อยกว่าสหรัฐอเมริกาที่ออกกฎหมายจำกัดความเร็วเกือบ 10 เท่า เนื่องจากสถิติผู้เสียชีวิตของสหรัฐฯ สูงถึง 30,000 คน เมื่ออุบัติเหตุไม่ใช่เรื่องของความเร็ว เราคงต้องมามองมุมกลับกันบ้างว่าโครงสร้างถนนหรือเปล่าที่มีผลกับเรื่องนี้ และทำให้เราต้องจำกัดความเร็วความมัน เพราะแท้จริงแล้วถนนไม่ใช่แค่รางโง่ ๆ ให้รถแล่น ลาดยางเสร็จก็จบไป ไม่ต้องไปเหลียวแลอีก หลุมบ่อเล็กน้อย หรือลูกระนาดก็สร้างอุบัติเหตุถึงชีวิตได้ รวมถึงสภาพอากาศที่แปรปรวนก็มีผล ฝนตกถนนลื่นก็เป็นสิ่งที่สร้างอุบัติเหตุได้บ่อยเช่นกัน สิ่งเหล่านี้ไม่นับรวมคนที่อยู่หลังพวงมาลัยซึ่งควรครองสติในการขับขี่ให้ได้ เคารพกฎกติกาบนท้องถนน ฯลฯ
ถือเป็นปีแห่งการแข่งขันสำหรับตลาดของรถสปอร์ต โดยเฉพาะสองค่ายยักษ์ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น BMW ที่ปล่อย Z4 (G29) และ Toyota ที่ตัดสินใจหวนกลับมาผลิตตำนานที่เป็น Iconic ของค่ายอย่าง Supra (5th GEN) ออกมาอีกครั้ง ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจก็คือทั้งสองรุ่นนี้ถูกผลิตขึ้นจากโรงงานเดียวกัน พร้อมข่าวลือสะพัดว่ามีการแชร์แพลตฟอร์มในการสร้างร่วมกันด้วย เพื่อคลายความสงสัยวันนี้เราจะมาเปรียบเทียบให้ชมกันว่าทั้งคู่นั้นมีจุดเหมือนและแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน BMW Z4 (G29) และ TOYOTA Supra (5th Gen) เปิดตัวออกมาในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน แต่ขณะเดียวกันทั้งสองก็มีความเหมือนก็คือการถูกย้ายฐานการผลิตออกจากบ้านเกิดตัวเอง ด้าน Z4 ไม่ได้ถูกผลิตขึ้นจากโรงงาน BMW ใน Dingolfing ประเทศเยอรมนี ส่วนทาง TOYOTA Supra (5th Gen) เองก็เป็นครั้งแรกที่สละแนวทางของความเป็นรถ Japan Domestic Market (JDM) ด้วยการย้ายฐานการผลิตจากโรงงาน Motomachi ใน Toyota City (ผลิต 4th Gen) ที่ควรใช้ผลิต Supra มาเข้าสายพานโรงงานเดียวกับ
“อยากได้รถที่คุ้มค่า ประหยัดน้ำมัน ออพชั่นเพียบ พร้อมพื้นที่กว้างขวางเพื่อความสะดวกสบาย” นี่น่าจะเป็นความคิดแรกที่คนอยากได้รถคิดในใจ แต่ในความเป็นจริงคงจะยากที่จะหาตัวเลือกที่ตอบโจทย์ครบได้ทุกข้อ การจะเลือกซื้อรถยนต์สักคัน ถือเป็นช่วงเวลาที่สนุกสนานสำหรับผู้ชาย แต่การจะเลือกซื้อแบบเดินเข้าไปจิ้มสุ่มสี่สุ่มห้าคงจะไม่ดี เพราะโดยเฉลี่ยช่วงเวลาที่เราจะอยู่กับรถหนึ่งคันนั้นยาวนานถึงราว 5-7 ปี เราจึงควรเลือกรถยนต์ที่ตอบโจทย์ความต้องการใช้งานของตัวเองจริง หลายคนแอบปรึกษาเพื่อนรอบข้าง ถามคำแนะนำให้ช่วยเลือกให้ แต่อย่าลืมว่าแต่ละคนก็มีไลฟ์สไตล์ต่างกัน ความชอบต่างกัน การจะเปรียบว่ารุ่นไหนดีที่สุดจึงเป็นสิ่งนานาจิตตัง เพราะมีข้อดีแตกต่างกันออกไป ที่จริงรถยนต์แต่ละรุ่นจากแต่ละแบรนด์ ถูกออกแบบขึ้นมาโดยมีจุดเด่นและวัตถุประสงค์ในการใช้งานต่างกัน เพื่อให้ลูกค้าได้เลือกรถยนต์ที่เข้ากับไลฟ์สไตล์และตอบโจทย์การใช้รถยนต์ของตัวเอง บางคนอยากได้รถที่ดูดีมีความสปอร์ตที่สุด บางคนอยากได้รถที่ประหยัดมากที่สุด บางคนอยากได้รถที่มีพื้นที่มากที่สุด หรือบางคนอาจจะอยากได้รถที่มีออพชั่นทันสมัยให้มากที่สุด จากตัวเลือกที่มีมากมายในตลาด หลายคนจึงอยากให้เราแนะนำรถยนต์ที่ให้ได้มากกว่าในราคาที่คุ้มค่า เป็นรถที่มีในบ้านคันเดียวจบ ตอบโจทย์ได้ครบทุกไลฟ์สไตล์ วันนี้เราจึงยกตำแหน่งรถสุดคุ้ม พื้นที่ใหญ่ ราคาเล็ก ให้กับ Suzuki Ciaz Eco Sedan Suzuki Ciaz Eco Sedan เป็นรถ Eco Sedan ในราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 480,000 – 675,000 บาท ที่ได้ชื่อว่ามีพื้นที่ในห้องโดยสารกว้างใหญ่กว่าใครใน Segment เดียวกัน จึงเป็นรถที่เน้นความสะดวกสบายในการเดินทางมากกว่า แถมยังมีจุดเด่นเรื่องประหยัดน้ำมัน
หลังจากเปิดตัว 911 Carrera S และ Carrera 4S รหัสตัวถัง 992 ในโมเดล Coupe ออกมาให้ยลโฉมกันแล้วก่อนหน้านี้ ล่าสุดทาง Porsche ก็ได้เสนอทางเลือกในการเสียเงินให้กับแฟน ๆ ของค่ายด้วยโมเดลขาประจำอย่าง Cabriolet หรือในลุคเปิดประทุนออกมา ซึ่งจะมีฟังก์ชันอะไรแตกต่าง ๆ จากรุ่นก่อนหน้าบางไปชมกันเลย แม้จะเปิดตัวพร้อมกันในงาน Los Angeles Auto Show แต่ดูเหมือนทาง PORSCHE ตั้งใจจะปล่อย 911 Carrera S และ 911 Carrera 4S ซึ่งเป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ในโมเดล Cabriolet ออกมาตามหลังรุ่น Coupe โดยในสายการผลิตล่าสุด ทางค่ายตั้งใจออกแบบให้มีลักษณะคล้ายกับโมเดลดั้งเดิมในขนาดที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งอาจทำให้แฟน ๆ ที่ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงของมันต้องผิดหวัง แต่สำหรับผู้ที่ชื่นชอบเสน่ห์ที่แบบเดิม ๆ จะต้องถูกใจอย่างแน่นอน ด้านขุมกำลังของ 911 CCarrera S Cabriolet
หนุ่ม ๆ ผู้หลงใหลในการขับขี่พาหนะ 2 ล้อโดยเฉพาะจากค่าย Harley-Davidson คงต้องเริ่มเตรียมเก็บเงินกันได้แล้ว เพราะในปี 2019 นี้จะเป็นศักราชใหม่ที่พวกเขาจะใช้เปิดตัวรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าทรงสมรรถนะคันแรกของค่าย ที่หลายคนรู้จักกัน Livewire™ ออกมาในช่วงเดือนสิงหาคมปีนี้ ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าทุกวันนี้พาหนะที่ใช้พลังงานทางเลือก ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์หรือรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าคือหนึ่งในทางเลือกใหม่สำหรับหนุ่มผู้หลงใหลความเร็วทั้งหลาย ที่พร้อมใจหันมาเทคะแนนให้ความสนใจกันมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าช่วงหลายปีที่ผ่านบรรดาค่ายรถต่างพากันพัฒนารถในสายการผลิตของตัวเองสู่เส้นทางนี้มากขึ้น รวมถึง Harley-Davidson ที่ได้วางแผนรวมถึงเริ่มต้นสายการผลิตรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าของตัวเองตั้งแต่ปี 2014 จนในที่สุดโมเดลสมบูรณ์ของมันในชื่อ Livewire™ ก็พร้อมให้ทุกคนได้ทำความรู้จักแล้ว หลังจากพัฒนามาร่วม 4 ปี ในที่สุด Harley-Davidson ก็ถือโอกาสเปิดตัวรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าคันแรกของพวกเขาอย่าง Livewire™ ในงาน Milan Motocycle Show นอกจากนี้ยังเปิดเผยว่ามีแผนจะวางขายมันโดยโซนแรกที่มีโอกาสได้สัมผัสความพิเศษก่อนใครเพื่อน คือโซนทวีปอเมริกาเหนือและยุโรปบางประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม Harley-Davidson ก็ยังเก็บรายละเอียดสำคัญอย่างสเปคเครื่องยนต์เอาไว้และมีการเปิดเผยข้อมูลบางส่วนเท่านั้น Livewire™ มากับรูปลักษณ์ภายนอกที่ดุดันตามปรัชญาดั้งเดิมของ Harley-Davidson ด้วยชุดเฟรมอะลูมิเนียมน้ำหนักเบาแต่ทนทานกับรูปทรงที่ดูปราดเปรียวและอุปกรณ์ที่ทันสมัยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอแสดงผล LCD ขนาด 10.9 เซนติเมตร ซึ่งจะช่วยแสดงข้อมูลทั้งความเร็ว ระยะทาง และสถานะของแบตเตอรี่ รวมถึงสามารถให้เราใช้กำหนดโปรแกรมต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเองไม่ว่าจะเป็น ระบบนำทางหรือเครื่องเล่นเพลงที่จะทำให้คุณมีความสุขไปกับการบิดในทุกเส้นทาง
เดือนตุลาคม ปี 1992 เป็นครั้งแรกที่พวกเราได้รู้จักกับรถยนต์เทคโนโลยีตัวแข่ง Rally จากการเปิดตัวของ Subaru WRX หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าย่อมาจาก “World Rally eXperimental” เป็นรถระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ช่วงล่างที่แข็งสำหรับรับมือความเร็วสูงจากเครื่องยนต์ Turbocharged 4 สูบ แต่ดูเหมือนคนที่ชื่นชอบรถ Subaru จะยังไม่พอใจกับ WRX ทำให้อีก 2 ปีต่อมา Subaru ได้เปิดตัว STI (Subaru Tecnica International) ได้รับการปรับปรุงใหม่ให้มีสมรรถนะเดือดขึ้นกว่า WRX ทุกจุด เริ่มต้นทำตลาดแบบจำนวนจำกัดเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น ก่อนกระแสความนิยมจากเหล่านักขับรถแรงทั่วโลกจะเรียกร้องหา Subaru WRX STI จนเริ่มทำตลาดนอกญี่ปุ่นบ้าง โดยมักจะใช้สเปครถแยกกันระหว่างในญี่ปุ่นและอเมริกา ความนิยมและตำนานของป้าย STI สามารถการันตีความพิเศษและสมรรถนะที่แตกต่างของ Subaru ได้เป็นอย่างดีมาโดยตลอดมาจนถึงปัจจุบัน และความเคลื่อนไหวจากคลิปวีดีโอเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาจาก Subaru เป็นการบอกใบ้ชัดเจนว่ากำลังจะมีการมาถึงของ WRX STI เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดเร็ว ๆ นี้แน่นอน และแล้ววันนี้ก็มีการเคลื่อนไหวนล่าสุดอีกครั้ง กับการโพส Instagram
ช่วงปี 1980 – 1990 ถือเป็นทศวรรษแห่งการก้าวกระโดดของวงการ 4 ล้อทั่วโลก ค่ายรถยนต์น้อยใหญ่มากมายต่างพากันเดินหน้าพัฒนารถในสายการผลิตของตัวเองให้มีความโดดเด่นมากยิ่งขึ้น ทั้งในด้านสมรรถนะและรูปลักษณ์ ซึ่งก็มีจำนวนไม่น้อยที่ได้สร้างปรากกฎการณ์เอาไว้จนถึงขั้นเป็น Iconic Cars ประจำยุคสมัยเลยทีเดียว แน่นอนว่าช่วงเวลาดังกล่าวมีรถยนต์มากมายหมุนเวียนผลัดกันออกมาโชว์ศักยภาพของตัวเองบนท้องถนน แต่วันนี้ UNLOCKMEN จะขอหยิบยก 5 คัน ที่จะทำให้เรามองเห็นภาพปีศาจ 4 ล้อเจ้าพ่อแห่งยุคสมัยนั้นได้ชัดเจนที่สุด รวมไปถึงราคาค่าครอบครองโดยประมาณในปัจจุบัน ซึ่งจะมีรุ่นไหนบ้างมาดูกันเลย BMW M3 (E30) รถยนต์สมรรถนะสูงที่ผลิตที่ระหว่างปี 1,986-1,990 เปิดตัวครั้งแรกในรูปแบบ Compact Sport Sedans ด้วยโมเดล Coupe และ Convertible พร้อมด้วยขุมกำลังสุดโหดกับเครื่องยนต์ 4 สูบ ซึ่งถือเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้ตลาดรถยนต์ในเวลานั้น โดยเฉพาะในรุ่น Evolution II หรือที่เรียกกันว่า EVO2 มาพร้อมสมรรถนะของรถสนามในขนาดกะทัดรัด ทำให้ BMW M3 E30 กลายเป็นรถที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายไปทั่วโลกในฐานะรถบ้านสุดแรง รวมไปถึงการถูกจับมาปรับแต่งเพื่อเป็นเจ้าสนามในวงการมอเตอร์สปอร์ต ซึ่งจำนวนที่ลดน้อยลงตามกาลเวลา ก็ทำให้มูลค่าของรถสภาพดีพุ่งสูงขึ้นสวนทางและเป็นที่ต้องการของนักสะสมมากขึ้นทุกวัน ค่าตัวโดยประมาณ : 800,000
เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่ารถยนต์คลาสสิคสามารถสร้างมูลค่าขายต่อได้อย่างมหาศาล ด้วยจำนวนที่มีเหลือน้อยในโลกใบนี้ ทำให้ผู้ที่สนใจต้องกัดฟันสู้ราคา เพราะของหายากแบบนี้ไม่ใช่ว่ามีเงินแล้วจะซื้อหาได้ ต้องขอบคุณสำหรับเวลา 51 ปีในคอลเลกชันสะสมส่วนตัว ที่ทำให้ BMW 1600 GT Convertible คันเดียวในโลกคันนี้ กลับมาอยู่ในสภาพที่ดีมาจนถึงปัจจุบัน ก่อนจะถูกทางผู้ผลิตรถยนต์แห่งแคว้นบาวาเรียเรียกกลับมาทำการฟื้นฟู (Restoration) ให้ตัวรถที่มีอายุกว่าครึ่งศตวรรษกลับมาอยู่ในสภาพเหมือนพึ่งออกจากโรงงานอีกครั้ง BMW 1600 GT หรืออีกชื่อ Glas GT ซึ่งพวกเราคงจะรู้จักกันในฐานะรถยนต์ Coupe แบบ 4 ที่นั่ง ได้รับความนิยมจากคอรถคลาสสิกไปทั่วโลก ความสำเร็จดังกล่าวทำให้ทาง BMW ต้องการพัฒนาโมเดลของตัวรถให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น เพื่อตีตลาดลูกค้าในสหรัฐอเมริกาด้วยรูปแบบ Convertible โดยรถต้นแบบถูกผลิตออกมาเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1967 กับฝีมือการออกแบบของดีไซน์เนอร์ชาวอิตาเลียน Pietor Frua เป็นโมเดลที่ BMW หมายมั่นปั้นมือว่าจะส่งให้มันกลาย Roadster ที่ได้รับความนิยมที่สุดในยุคนั้น แต่ทว่าเรื่องราวต่อจากนั้นกลับไม่เคยเกิดขึ้น เนื่องจากปัญหาต่าง ๆ ระหว่างการพัฒนา รวมไปถึงอุบัติเหตุระหว่างการทดลองขับที่ทำให้ Prototype No.1 ได้รับความเสียหายจนเป้าหมายต้องถูกหยุดเอาไว้ก่อน แต่ก่อนโครงการจะถูกพับเก็บ รถต้นแบบสภาพสมบูรณ์คันสุดท้ายที่เหลืออยู่ก็ถูกประมูลไปเป็นของ Herbert Quandt ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ