หนึ่งในแบรนด์มอเตอร์ไซค์ที่หันมาเอาจริงด้าน zero-emissions motorcycle หรือมอเตอร์ไซค์พลังไฟฟ้าก็คือ “Husqvarna Motorcycles” หลังจากเปิดตัว E-pilen concept คันแรกไปก่อนหน้านี้ไม่นาน มอเตอร์ไซค์ดีไซน์สปอตร์ขุมพลัง 8 kW ที่สามารถขี่ได้ไกลถึง 100 km และสามารถถอดเปลี่ยนแบตเตอรี่สำรองใส่ใช้งานได้ทันที ต่างจากรถพลังไฟฟ้าทั่วไปที่มักจะมีแบตเตอรี่แบบ Built-in ไม่สามารถถอดเปลี่ยนเองได้ ซึ่งมีเสียงตอบรับในทางที่ดีเยอะมาก เรียกว่าเปิดตัวมาก็ได้ฐานแฟนคลับจำนวนมากไปในทันที มาถึงผลงานชิ้นที่สองของ Husqvarna Motorcycles “Vektorr concept” ที่มาในบอดี้ Scooter พลังงานไฟฟ้า จุดเด่นอยู่ที่ดีไซน์ออกแบบให้มีทั้งความเท่แบบย้อนยุค แต่กลับผสมผสานรายละเอียดของความทันสมัยให้เข้ากันได้เป็นอย่างดีด้วย design concept Progressiveness, Innovation, Style and Uniqueness สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 45 km/h และขี่ได้ระยะทาง 95 km ต่อการชาร์จไฟเต็มหนึ่งครั้ง Husqvarna Motorcycles วางตำแหน่ง Vektorr concept ให้เป็นยานพาหนะสำหรับคนเมืองที่ต้องการความเรียบง่ายในการเดินทาง ขนาดกะทัดรัด ขี่ง่ายเหมือน Scooter
นาฬิกา Super Chronomat (ซุปเปอร์ โครโนแมต) คือ นาฬิกาในตระกูล Chronomat (โครโนแมต) ที่โดดเด่นที่สุดของ Breitling (ไบร์ทลิ่ง) จนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นทางเลือกอันยอดเยี่ยมที่สุด สำหรับผู้ที่ต้องการนาฬิกาที่มีความสมดุล ระหว่างความทนทานและความมีสไตล์ โดยได้แรงบันดาลใจจากนาฬิกา Frecce Tricolori (ฟรีคเช่ ตรีโคโลรี่) ที่ Breitling สร้างขึ้นสำหรับฝูงบิน Italian Air Force’s Aerobatic Fleet (อิตาเลี่ยน แอร์ฟอร์ซส แอโรบาติก ฟลีต) ในปี 1983 ซึ่ง Super Chronomat (ซุปเปอร์โครโนแมต) คือนาฬิกาสปอร์ตที่ถูกเพิ่มพลัง และความอเนกประสงค์ไปจนหรูหราพอที่จะใส่ไปงานเลี้ยงมื้อค่ำได้เช่นกัน “นี่คือนาฬิกาที่คุณจะสังเกตได้โดยไม่ต้องสงสัย” Georges Kern (จอร์จส์เคิร์น) Breitling CEO (ไบร์ทลิ่งซีอีโอ) กล่าวว่า “นาฬิกาเรือนนี้ แข็งแกร่งพอสำหรับทุกสถานการณ์แต่ก็ไม่ขัดต่อสไตล์ของคุณ” ตามแบบฉบับดั้งเดิมของ Chronomat ด้วยหมุดป้องกันกระจกหน้าปัด Sapphire
ไม่ใช่เรื่องปกติที่เราจะได้เห็น Supercar ดีไซน์จากแรงบันดาลใจของความเป็นมอเตอร์ไซค์ แต่สำหรับ Suzuki ซึ่งมีทั้งรถยนต์และตำนานความแรงแห่งโลกสองล้ออย่าง Hayabusa จึงไม่ยากที่จะนำจุดเด่นของยานพาหนะทั้งสองอย่างมาใช้เป็น design concept ในการออกแบบ Misano คันนี้ขึ้นมา Suzuki Misano ชื่อที่ได้มาจากสนามแข่งใน Italy เป็นโปรเจคที่เกิดจากการร่วมมือกันของ Suzuki และสถาบันออกแบบ Istituto Europeo di Design (IED) ที่รวมเอาทั้งจุดเด่นของ DNA มอเตอร์ไซค์และรถยนต์ Suzuki เข้าไว้ด้วยกัน ผลงาน Roadster supercar ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายความเป็น Italian ตัวถังน้ำหนักเบาด้วยขนาดที่กะทัดรัดยาวเพียง 4 เมตร (เกือบเท่ากับ Mazda MX5 ที่ยาว 3.91 เมตร) ภายในมีที่นั่งเรียงหน้ากระดานเพียง 2 ที่ ด้านข้างใช้สำหรับเก็บแบตเตอรี่และสัมภาระ ความสูงจากเบาะถึงพื้นเพียงแค่ 1 เมตรเท่านั้น เพื่อประสบการณ์ความรู้สึกใกล้เคียงกับการขี่มอเตอร์ไซค์ในสนามแข่งมากที่สุด โคมไฟหน้าออกแบบเส้น LED ให้มีลวดลาย
ผลงานล่าสุดของสำนัก Custom มอเตอร์ไซค์สายเท่ Hookie Co. ที่ได้นำ Triumph Bonneville Bobber รถจักรยานยนต์ Hot Rod ยอดฮิตในดวงใจสาย Custom เพราะมีครบทั้งความเร้าใจในการขับขี่ สมรรถนะ สเปค และสไตล์ มาจัดการออกแบบใหม่อีกครั้งในแบบ minimal เน้นความ รูปทรงที่ดูแตกต่าง แต่ที่จริงแล้ว Hookie Co. ออกแบบ Black Orca คันนี้ด้วยการสร้างชิ้นส่วนขึ้นมาใหม่โดยพยายามปรับเปลี่ยนดีไซน์ของ Triumph Bobber ให้น้อยด้วยการแตะต้องอุปกรณ์ถอดเปลี่ยน ไม่แตะต้องชิ้นส่วนโครงสร้างหลักของตัวรถ แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นดูเท่ขึ้นมาก Hookie Co. ทำการเปลี่ยนพาร์ท DAZZLE cover, BULLET turn signals, FROZEN grips, GUARD radiator และ Alcantara SNUG solo seat ในโทนสีดำ blacked-out ซึ่งเป็นสีถนัดสุดของ Hookie Co.
ปัจจัยในการเฟ้นหารถยนต์คู่ใจคันใหม่ของคุณคืออะไร? เชื่อว่าคำตอบร้อยทั้งร้อยจากคำถามนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่องของสมรรถนะการขับขี่ที่ตอบโจทย์, งานออกแบบทั้งภายนอกและภายในที่โดนใจ รวมไปถึงระบบอำนวยความสะดวกที่ครบครัน และขาดไม่ได้กับสิ่งสำคัญอย่างเรื่องของระบบความปลอดภัยที่ช่วยเพิ่มความอุ่นใจในทุกเส้นทาง และในวันนี้หลังจากที่มีโอกาสได้สัมผัส NEW MG HS PHEV รถยนต์ SUV ที่มาพร้อมแนวคิด “REFINEMENT” ซึ่งได้รับการปรับปรุงและพัฒนาต่อยอดความโดดเด่นจาก MG HS ในหลายด้าน ทั้งเรื่องของสมรรถนะจากเทคโนโลยีขั้นสูงของระบบ Plug-in Hybrid ที่ผสานงานออกแบบที่สวยงาม รวมถึงระบบอำนวยความสะดวกและระบบความปลอดภัยเอาไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว เราจึงอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ “REFINEMENT” ในแง่มุมต่าง ๆ ที่น่าสนใจของ NEW MG HS PHEV สำหรับชาว UNLOCKMEN ที่กำลังมองหารถยนต์คันใหม่ได้ใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ สิ่งแรกที่ถือเป็นการ “REFINEMENT” หลัก ๆ ของ NEW MG HS PHEV คือความน่าสนใจของการขับเคลื่อนด้วยระบบ Plug-in Hybrid ที่มาพร้อมพละกำลังสูงสุด 284 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตร จากขุมพลังของเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบขนาด 1.5
ถ้า Mercedes-Benz มี AMG ฝั่ง Honda ก็มี Mugen แต่อาจจะไม่เน้นจูนความแรง เพราะมักจะมีแค่ชุดแต่งเสริมอารมณ์สปอร์ตให้รถบ้าน Honda ดูดุดันขึ้น และนี่คือการเปิดตัว Honda HR-V ใหม่ ที่มาพร้อมการใส่ชุดแต่ง Mugen รอบคัน เปลี่ยนฟีลลิ่งรถบ้านให้กลายเป็นรถซิ่ง JDM มันอาจจะไม่หวือหวาอะไรมาก แต่สำหรับคนที่เล็ง HR-V โมเดลใหม่เอาไว้ จะได้เห็นภาพรถคู่ใจคันใหม่ว่าสามารถแต่งอะไรได้บ้างจากโรงงาน ในญี่ปุ่น Honda HR-V Mugen จะมีให้เลือกเฉพาะรุ่น Hybird HR-V (แต่รุ่นอื่นก็สามารถสั่งชุดแต่งเพิ่มภายหลังได้) เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ผสมมอเตอร์ไฟฟ้า ให้พละกำลัง 129 brake horsepower แม้จะไม่มากมายอะไร แต่สำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันก็ถือว่าเหลือเฟือ แถมยังได้ความประหยัดพลังงานสูงสุด แน่นอนว่าการแปะป้าย Mugen ไม่มีผลกับแรงม้า แต่สิ่งที่ได้เพิ่มคืออารมณ์ล้วน ๆ ด้วยชุดแต่งรอบคัน ตั้งแต่กระจังหน้าลายขวางที่ดูโหดจัดพร้อมป้าย Mugen และสเกิร์ตหน้าเสริมเพิ่มความเตี้ยจากพื้นดิน รวมถึงสเกิร์ตข้างและหลังรอบคันยันกรอบป้ายทะเบียน
เชื่อว่าชาว UNLOCKMEN แทบจะทุกคนเลยก็ว่าได้ที่อย่างน้อยในชีวิตนี้ต้องเคยเป็นเจ้าของแบรนด์นาฬิกาจากประเทศ ‘Swiss’ อย่าง ‘Swatch’ กันมาอย่างแน่นอน โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่นคงต้องบอกเลยว่านาฬิกา Swatch นั้นตอบโจทย์ได้ครบครันไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคุณภาพการผลิต ที่มีต้นกำเนิดมาจากแผ่นดินที่ก่อกำเนิดเรือนเวลา รวมไปถึงดีไซน์การออกแบบที่มีลวดลายให้เลือกเยอะที่สุด และสุดท้ายก็คือเรื่องราคาที่คนทุกเพศทุกวัยสามารถจับต้องได้อย่างแท้จริง ในอดีตที่ผ่านมา เราอาจจะติดภาพนาฬิกา Swatch ว่า ตัวนาฬิกานั้นจะต้องมีลวดลาย และสีสันที่หลากหลาย หรือไม่ก็ดู Art ดูคูลสุด ๆ แต่จริง ๆ แล้ว Swatch มีนาฬิกาหลายรุ่นมากที่ถูกยกให้เป็น Iconic ของนาฬิกาที่ถูกดีไซน์ให้ดูเรียบง่าย แต่ดูมีอะไรซ่อนอยู่ ไม่ว่าจะเป็น 1988 Swatch Andromeda GK111, 1989 Swatch Albatross GX700, 1990 Swatch Golden Jelly GZ115, 1995 Swatch Le Grand Soir YLG103 หรือ 1995 Swatch Upside
ของหาย จะกลายเป็นแค่เรื่องในอดีต ด้วย Apple AirTag เป็นอุปกรณ์เสริม iPhone ที่ช่วยให้คุณมีวิธีที่ปลอดภัยและเป็นส่วนตัวในการระบุตำแหน่งสิ่งของสำคัญได้ง่ายๆ Apple เปิดตัว AirTag ซึ่งเป็นอุปกรณ์เสริมชิ้นเล็กที่เรียบหรูดูดีเพื่อช่วยติดตามและค้นหาสิ่งของสำคัญโดยอาศัยแอปค้นหาของฉันจาก Apple ซึ่งไม่ว่าคุณจะติด AirTag ไว้กับกระเป๋าถือ กุญแจ กระเป๋าเป้ หรือสิ่งของอื่นๆ AirTag ก็จะอาศัยเครือข่ายค้นหาของฉันที่กว้างไกลทั่วโลกเพื่อระบุตำแหน่งสิ่งของที่หายไป และขณะเดียวกันยังมีการเข้ารหัสข้อมูลตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูลตำแหน่งที่ตั้งโดยไม่มีการระบุตัวตน AirTag มีจำหน่ายในแบบแพ็ค 1 ชิ้น และ 4 ชิ้นในราคา 990 บาท และ 3,390 บาท ตามลำดับ ดีไซน์น้ำหนักเบาและการตั้งค่าที่มหัศจรรย์ AirTag ทรงกลมแต่ละชิ้นมีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา ทำจากสแตนเลสสตีลขัดเงาที่มีการสลักข้อความอย่างแม่นยำ อีกทั้งยังทนน้ำและฝุ่นที่ระดับ IP672 มีลำโพงในตัวที่จะเล่นเสียงเพื่อช่วยระบุตำแหน่งของ AirTag พร้อมด้วยที่ครอบแบบถอดได้ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้เปลี่ยนแบตเตอรี่ด้วยตัวเองได้ง่ายๆ นอกจากนี้ AirTag ยังมาพร้อมประสบการณ์การตั้งค่าที่มหัศจรรย์ไม่ต่างจาก AirPods เพียงแค่นำ AirTag มาอยู่ใกล้ๆ iPhone ทั้งคู่ก็จะเชื่อมต่อกันทันที จากนั้นผู้ใช้สามารถตั้งชื่อและเลือกว่าจะใช้
Apple® เปิดตัว iMac® แบบใหม่หมด ที่มาพร้อมกับดีไซน์ที่บางเหลือเชื่อและกะทัดรัดมากยิ่งขึ้นที่เกิดขึ้นได้ด้วยชิป M1 iMac ใหม่ให้ประสิทธิภาพอันทรงพลังในดีไซน์ที่มีบางเพียง 11.5 มิลลิเมตร ด้วยมุมมองด้านข้างอันบางเฉียบจนเหมือนไม่มีเครื่องอยู่ตรงนั้นเลย iMac มีสีสันอันสวยสดมากมายให้เลือกจับคู่กับสไตล์เฉพาะตัวของผู้ใช้งานและเพิ่มความสว่างสดใสให้กับทุกพื้นที่ โดยมาพร้อมกับจอภาพ Retina® 4.5K ขนาด 24 นิ้ว ความละเอียด 11.3 ล้านพิกเซล ความสว่างถึง 500 นิต และการรองรับสีสันได้มากกว่า 1 พันล้านสี ให้คุณได้สัมผัสประสบการณ์การดูที่สวยสะกดตาและมีชีวิตชีวา iMac ใหม่ยังมาพร้อมกับกล้อง FaceTime® HD ระดับ 1080p, ไมโครโฟนคุณภาพระดับสตูดิโอ และระบบเสียง 6 ลำโพง ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นกล้องและระบบเสียงที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาใน Mac® และนี่คือครั้งแรกที่คุณสามารถใช้ Touch ID® บน iMac ได้อีกด้วย ช่วยให้การเข้าสู่ระบบ การซื้อด้วย Apple Pay® หรือการสลับโปรไฟล์ผู้ใช้อย่างปลอดภัยทำได้ง่ายยิ่งกว่าที่เคย เพียงปลายนิ้วสัมผัส ขุมพลังและประสิทธิภาพของ M1
ผลงานการนำสองช่วงเวลาจากอดีตและอนาคตมาบรรจบกัน ผลงานที่น่าสนใจของ Hyundai กับการปลุกชีพ 1975 Hyundai Pony รุ่นแรกสุด ให้กับมาดูเท่ล้ำยุคด้วยขุมพลังไฟฟ้า และมันก็ดูดีมากเลยทีเดียว 1975 Hyundai Pony Heritage EV รถ two-door hatchback คันนี้ออกแบบโดย hyundai‘s Interior Chief Designer ‘Hak Soo Ha’ เป็นผลงานที่สร้างขึ้นเพื่อฉลองโอกาสเปิด Hyundai Motorstudio Busan แห่งใหม่ใน Busan โดยการนำรถ Pony มาถอดแยกชิ้นส่วนจนหมด ก่อนจะเริ่มติดตั้งระบบไฟฟ้า มอเตอร์ และแบตเตอรี่เข้าไปแทนที่เครื่องยนต์เดิม แต่ตอนนี้ยังไม่มีรายละเอียดสเปคของระบบขับเคลื่อนว่าใช้แบตเตอรี่ความจุเท่าไหร่ รายละเอียดของดีไซน์ทั้งภายนอกภายในนั้นสวยงาม สะท้อนศักยภาพของทีมออกแบบใน Hyundai ที่พร้อมสำหรับการขยับเข้าสู่ยุคของ EV ด้วยรูปทรง Retro ของ Pony ที่ถูกเสริมไฟหน้าและไฟท้าย pixelated LED ใหม่ในโคมเดิม สามารถสร้างคาแรคเตอร์ที่น่ารักและทันสมัย กระจกมองข้างบนซุ้มล้อหน้าถูกแทนที่ด้วยกล้องซึ่งเป็นดีไซน์ยอดฮิตของรถยนต์ในยุค 1970s ภายในถูกปรับเปลี่ยนใหม่หมดด้วยอุปกรณ์ทันสมัยในดีไซน์ที่คลาสสิค
Ferrari เคยบอกไว้นานแล้วว่า ชีวิตนี้คุณจะไม่ได้เห็นรถ SUV ของเราแน่ เพราะเราจะไม่สร้างมัน แต่รถคันที่เรากำลังดูกันอยู่ตอนนี้ Ferrari บอกว่า “นี่คือรถทรง FUV (Ferrari Utility Vehicle) มันไม่ใช่ SUV” ไม่ใช่เรื่องแปลกที่แต่ละค่ายจะนิยามสไตล์หรือรูปทรงรถของตัวเองตามใจชอบ อย่าง BMW ก็เรียกรถ SUV ของตัวเองว่า SAV Sports Activity Vehicle ก็คงต้องแล้วแต่ Ferrari จะยืนยันล่ะครับ แต่รถคันนี้ดูยังไงมันก็คล้าย SUV แม้จะดูสัดส่วนเตี้ยกึ่ง Touring เล็กน้อยในบางมุม โดยเฉพาะความเตี้ยของตัวรถและส่วนโค้งด้านท้ายที่ลาดคล้าย Sportback (แต่ถ้าดูจากฝาท้าย ยังไงก็ SUV) เรื่องนั้นเอาไว้รอ Ferrari เปิดชุดพรางตาออกก็คงได้รู้กัน แต่วันนี้เรามีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับรถ FUV คันแรกของ Ferrari มาอัพเดทกัน เริ่มจากชื่อ Purosangue (PURR – oh – SAAHN –
ดูเหมือนปีนี้ Toyota จะเอาจริงกับการทำตลาดรถพลังไฟฟ้า 100% ด้วยการเปิดตัวรถโมเดลใหม่ล่าสุด bZ4X All-electric SUV concept เป็นอีกผลงานที่พัฒนาร่วมกับ Subaru ซึ่งคาดว่าจะฝั่งดาวลูกไก่ก็จะใช้โมเดลเดียวกันนี้ทำตลาดด้วยเหมือนกับโปรเจค FT86 กับ BRZ นั่นเอง Toyota bZ4X SUV concept เป็นรถที่ดีไซน์ได้สวยงามมากทั้งภายนอกภายใน เส้นคมสันสร้างความบึกบึนรอบตัว พร้อมรายละเอียดที่แสดงถึงความทันสมัยของเทคโนโลยีที่พัฒนาบนพื้นฐานของ e-TNGA platform ออกแบบมาเพื่อรถไฟฟ้าและแบตเตอรี่โดยเฉพาะ ต่างจากรถโมเดลก่อน ๆ ที่ดัดแปลงจากรถเครื่องยนต์เผาไหม้ จึงมีคุณภาพ และความคงทนกว่าในระยะยาว ดูจากภายนอกสังเกตได้ถึงระยะฐานล้อที่ยาวกว่าปกติ ซึ่งเป็นข้อดีของรถพลังงานไฟฟ้า ช่วยกันการทรงตัวที่ดีกว่า และยังเพิ่มพื้นที่ภายในห้องโดยสารได้ด้วย บวกกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ AWD ของ Subaru ที่ช่วยให้การทรงตัวหนึบแบบในทุกสถานการณ์ มันจึงเป็นรถที่ทั้งสะดวกสบายและสนุกสนานในการขับ เป็นประสบการณ์ที่แตกต่างจากคู่แข่งแน่นอน ส่วนภายในของ bZ4X ไม่ทำให้ดูเกลี้ยงแบบรถไฟฟ้ามากจนเกินไป ยังมีความรู้สึกที่คุ้นเคยของรถยนต์ผสมผสานกับความทันสมัยด้วยหน้าจอ touchscreen ขนาดใหญ่กลางคอนโซล และยังมีปุ่มกดแบบ manual ที่น่าจะถูกใจหลายคน เพราะต้องยอมรับว่าบางฟังก์ชั่นอย่างการควบคุมอุณหภูมิหรือไฟฉุกเฉินแบบปุ่มกดปกติ ใช้งานได้ง่ายกว่าแบบ touchscreen ที่ต้องละสายตามาคลำหาเมื่อต้องการใช้งาน