MK vs สุกี้ตี๋น้อย – ในวันที่อาณาจักรสุกี้รุ่นใหญ่ที่เคยเป็นเบอร์หนึ่งแบบไม่มีใครกล้าท้าชน ประกาศเปิดเกมบุฟเฟต์ 299 บาททั่วประเทศ วัดใจกันแบบหม้อต่อหม้อ เสียงสั่นสะเทือนในวงการก็เริ่มขึ้นทันที ไม่ใช่เพราะราคาน่าตกใจ แต่เพราะมันคือสัญญาณการเปลี่ยนเกมที่ชัดเจนที่สุดในรอบหลายปี สิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้การประกาศของ MK ก็คือการตอบโต้อย่างรวดเร็วจาก “สุกี้ตี๋น้อย” ที่ลั่นหม้อสวนทันทีด้วยโปรโมชั่นบุฟเฟต์ 199 บาท แม้จะลดราคาลงไม่เยอะมาก แต่ก็โดนใจกระตุ้นความคุ้มค่าให้กลุ่มลูกค้าตามหลัก odd price strategy เบื้องหลัง Price war ของหม้อที่เดือดดาลนี้ มีตัวเลขที่ร้อนพอๆ กันซ่อนอยู่ ฝั่ง MK ยังคงเป็นองค์กรใหญ่ที่มีรายได้รวมในปี 2567 กว่า 15,809 ล้านบาท แม้จะลดลงจากปีก่อนหน้า แต่ก็ยังทำกำไรสุทธิได้ถึง 1,441 ล้านบาท เป็นเงินที่มากพอจะลองกลยุทธ์ ทดสอบโมเดล มีเวลาให้หายใจได้อีกหลายรอบ มีธุรกิจในเครือช่วยกระจายความเสี่ยง แต่สิ่งที่สังเกตได้ชัดคือ momentum เริ่มชะลอตัว ผลกำไรในไตรมาสแรกปี 2568 ที่ 234 ล้านบาท ลดลงถึง 32%
ในโลกที่เต็มไปด้วยแรงกระตุ้น สิ่งเร้ารอบด้านที่คอยปั่นให้อารมณ์ขึ้นจนอยากตอบโต้ฟาดกลับให้สะใจ ไม่ว่าจะบน Social Media บนถนน หรือจากคนรอบตัว การตอบโต้กลับทันที กลายเป็นพฤติกรรมที่ถูกสังคมหล่อหลอมขึ้นมาจนเราลืมการควบคุมตัวเอง ทุกคนถูกฝึกให้อารมณ์ขึ้นง่าย ตอบโต้ไวแบบไม่มีใครยอมเสียเวลา ราวกับว่าการตอบโต้ก่อนคือผู้ชนะ แต่ยิ่งเราเร่งตอบโต้มากเท่าไร ก็ยิ่งเปิดช่องให้อารมณ์ชั่ววูบเข้ามาควบคุมสมองมากขึ้นเท่านั้น ทำให้เราอยากแนะนำทักษะที่ไม่มีใครพูดถึงกันเลย แต่จำเป็นสุด ๆ ในยุคนี้ นั่นคือ “ศิลปะของการไม่ตอบโต้ทันที” — The Art of Not Reacting ไม่ใช่เพราะเราอยากสอนให้ทุกคนเป็นพระ หรือให้กลืนเก็บกดความรู้สึกจนไม่เหลือความเป็นตัวเอง แต่เพราะการตอบโต้แบบไร้สติ อาจเป็นเหมือนการโยนระเบิดใส่ชีวิตตัวเองโดยไม่รู้ตัว เพราะมีหลายเคสที่การตอบสนองทันทีแบบไร้สติ กลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว สร้างปัญหาชีวิตให้ลุกลามใหญ่โตโดยไม่จำเป็น ทำไมเราตอบโต้เร็วเกินไป? ย้อนกลับไปตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ สมองส่วน Amygdala กลไกเอาตัวรอดของมนุษย์ มันถูกออกแบบมาเพื่อสั่งให้เราหนีเมื่อเจอเสือ ตอบโต้เมื่อถูกคุกคาม หรือที่เราเรียกมันว่า Fight or Flight Response แต่ปัญหาคือ ยุคนี้เราไม่ได้ถูกไล่ล่าโดยสัตว์ป่าอีกต่อไป ทุกวันนี้สิ่งที่กระตุ้น Amygdala ของเรากลับกลายเป็น คอมเมนต์แดกดันในโซเชียล เสียงแตรเสียงด่าจากรถคันข้าง ๆ ข้อความแซะจากคนในออฟฟิศ หรือคำพูดประชดในวงสนทนา
ชีวิตในวัย 40 ไม่ได้ง่ายกว่าเดิมเสมอไป ในบางวันเรารู้สึกมั่นคงกว่าเมื่อก่อน แต่ในอีกหลายคืนเรากลับนอนอยู่กับความกลัวเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน สำหรับบางคน อดีตไม่ได้หายไปไหน มันไม่ใช่แค่ “ความทรงจำ” แต่มันคือ “ความรู้สึก” ที่แผลยังสดเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน เรื่องราวบางอย่างที่เราเคยทำผิด เคยหลงผิด เคยแสดงพฤติกรรมที่วันนี้ยังรู้สึกอาย ยังตามมาหลอกหลอนในแบบที่ไม่มีใครรู้ หลายครั้งมันโผล่ขึ้นมาเองโดยไม่ทันตั้งตัว เหมือนสมองเรากดปุ่ม replay อัตโนมัติแล้วโยนเรากลับไปอยู่กลางเหตุการณ์แบบเดิม เสียงหัวเราะเยาะ สายตาดูถูก การกระทำโง่ ๆ ที่อยากจะลบออกจากชีวิตให้หมด แต่ลบไม่ได้ มันเป็นความรู้สึกที่จำแม่นยิ่งกว่าเรื่องดี ๆ ทั้งชีวิตเสียอีก นักจิตวิทยาเรียกสิ่งนี้ว่า Emotional Flashback – ภาวะที่ความรู้สึกเจ็บจากอดีตย้อนกลับมารุนแรงเหมือนเกิดขึ้นตอนนี้ ทั้งที่เวลามันผ่านไปนานแล้ว คุณไม่ได้อยากจำ แต่มันก็ลืมไม่ได้ และเพราะมันยังเจ็บ… คุณเลยไม่กล้าใช้ชีวิตเต็มที่อีกต่อไป ในโลกที่เราแบกชื่อไว้กับธุรกิจ แบกความรับผิดชอบของหัวหน้าครอบครัว แบกภาพลักษณ์ที่สังคมคาดหวังไว้กับเรา การก้าวพลาดอีกครั้ง ไม่ได้แค่ทำให้เสียหน้า แต่มันอาจทำให้ทุกอย่างพัง และนั่นแหละคือจุดที่ผู้ชายหลายคนเริ่ม “แยกตัว” เพื่อป้องกันความล้มเหลวซ้ำสอง เพราะตอนนี้มันไม่ใช่แค่ความอาย แต่มันคือการเสียสิ่งที่รัก เสียชื่อ เสียสิ่งที่สร้างมาทั้งชีวิต เราพยายามควบคุมทุกอย่าง เลือกไม่เข้าสังคม ไม่ไว้ใจใคร ไม่เปิดเผยตัวตน
“ถ้าเราหายไป ทุกคนคงสบายขึ้น” “แค่ตัวเราอยู่ตรงนี้ ก็ทำให้คนรอบข้างไม่มีความสุข” นี่คือความรู้สึกขมขื่นและทุกข์ทรมาน ที่คนคิดแบบนี้มักจะไม่ปรึกษาใคร ด้วยอาการที่ทำให้รู้สึกว่า เราคือภาระของคนอื่น ทุกอย่างคงจะดีอยู่แล้ว ถ้าไม่มีเราอยู่ตรงนั้น ความรู้สึกแบบนี้เรียกว่า Perceived Burdensomeness Perceived Burdensomeness หนึ่งในทฤษฎีที่อธิบายโดย Thomas Joiner นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน บอกว่ามันคือความเชื่อฝังลึกว่าเราเป็นคนที่ทำให้ชีวิตคนอื่นแย่ลง ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ คนรัก เพื่อน หรือเพื่อนร่วมงาน มันไม่ใช่แค่ความคิดเล่น ๆ ว่า “ต้องให้เพื่อนเลี้ยงข้าวอีกแล้ว” แต่มันคือภาวะซึมเศร้าที่ฝังลึกในสมอง ที่สำคัญคือ “ต่อให้คนอื่นจะไม่คิดแบบนั้น เราก็จะเชื่อว่ามันจริงอยู่ดี มันจึงสร้างความเจ็บปวดให้เกิดขึ้นตลอดเวลา โดยที่ไม่สามารถปรึกษาใครได้ เพราะกลัวจะไปสร้างปัญหาให้คนอื่น สาเหตุที่บางคนมีความคิดแบบนี้มักจะมาจาก 3 ปัจจัยหลักครับ Internalized Shame : การโตมาโดยถูกบอกว่าเป็นตัวปัญหา ทำอะไรก็ผิด รู้สึกผิดที่ตัวเอง “เป็นตัวเอง” พอเจอคนใหม่ๆ ก็กลัวจะเป็นภาระอีก เลยเลือกหายหรือตัดความสัมพันธ์ไปก่อนจะถูกเกลียด Past Trauma หรือ Toxic Relationship : เคยอยู่ในความสัมพันธ์ที่โดนอีกฝ่ายตราหน้าว่า
“เหมือนเปิดแท็บ browser ไว้ 40 อัน แล้วลืมว่ากำลังทำอะไรไว้แต่ละแท็บ…” – ถ้าประโยคนี้โดนใจคุณ… มีโอกาสสูงว่าคุณอาจมีสิ่งที่เรียกว่า Attention Deficit Hyperactivity Disorder อยู่ในตัว และมันไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอย่างที่คนชอบเข้าใจผิด คนที่มี ADHD ส่วนใหญ่มักจะเจอปัญหาเช่น “โฟกัสไม่ได้” ไม่ใช่เพราะไม่ตั้งใจ แต่เพราะสมองรับสิ่งเร้าเยอะเกินไป และ “ความคิดล้น” สมองทำงานพร้อมกันหลาย tasks พร้อมคิดเรื่องอนาคต คิดย้อนอดีตโผล่ขึ้นมาอีก ซึ่งการที่สมองของเราทำงานหลายหน้าที่พร้อมกันมากกว่าคนอื่น ส่งผลให้เราเหนื่อยแบบไม่รู้ตัว เพราะแค่จะนั่งนิ่งๆ ทำงาน ก็ต้องฝ่าความฟุ้งในหัวให้ได้ก่อน ADHD ในหมู่คนทำงาน โดยเฉพาะคนทำอาชีพสายสร้างสรรค์ นักการตลาด เจ้าของธุรกิจ ฟรีแลนซ์ มักไม่ได้แสดงออกแบบ “อยู่ไม่สุข” เหมือนในเด็ก แต่จะกลายเป็น “ความคิดวุ่นวายระดับลึก” ที่จัดการยากกว่าที่คนทั่วไปเข้าใจ เริ่มเร็ว เบื่อง่าย เสพติดไอเดียใหม่ : ตื่นเต้นกับการเริ่มต้นโปรเจกต์ใหม่ๆ แต่พอผ่านไปไม่กี่วัน ความน่าเบื่อมาเยือน ก็อยากจะเริ่มอย่างอื่นต่อ โฟกัสหลุดง่าย ไม่ใช่เพราะขี้เกียจ แต่เพราะสมองไวเกินไป
“คุณเคยดูหนังโฆษณาน้ำมันเชื้อเพลิงมาแล้วกี่ชิ้น?” คำถามนี้คงยากจะให้คำตอบเป็นจำนวนที่แน่ชัด แต่เชื่อเหลือเกินว่าเมื่อพูดถึงโฆษณาน้ำมัน ภาพในหัวของใครหลายต่อหลายคน คงหนีไม่พ้นภาพจำซ้ำ ๆ เดิม ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพปั๊มน้ำมัน หรือภาพ CG กระบอกสูบ, เครื่องยนต์กำลังทำงาน ปิดท้ายด้วยภาพรถยนต์พุ่งทะยานไปบนท้องถนน แต่ ณ ขณะที่เรากำลังเขียนบทความนี้ น่าจะมีผู้คนจำนวนไม่น้อย ที่ได้รับชมหนังโฆษณาน้ำมันตัวใหม่ล่าสุดของ ‘บางจาก’ ที่ไม่ได้ใหม่แค่เพราะเพิ่งถูกเผยแพร่ แต่มันคือความใหม่ และแปลกตาในแง่ของงานภาพและเนื้อหา ที่น่าจะไม่เคยมีใครได้สัมผัสผ่านหนังโฆษณาน้ำมันมาก่อน ซึ่งความแปลกและแตกต่างที่เกิดขึ้น มีต้นทางมาจากแนวคิดของแบรนด์บางจากที่เชื่อมั่นในการ “สร้างสรรค์พลังไม่รู้จบ” กับเป้าหมายในการพัฒนาน้ำมันเชื้อเพลิงคุณภาพสูงอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองเทคโนโลยียานยนต์ที่พัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่ง สู่การพัฒนาน้ำมันเชื้อเพลิง Bangchak Hi Premium อย่าง Bangchak Hi Premium 97 และ Bangchak Hi Premium Diesel S ยืนหนึ่งในความเป็นพลังสะอาด ที่มาพร้อมความแรง และสามารถปกป้องเครื่องยนต์ได้ 100% ในทุกจังหวะที่เหยียบคันเร่ง การันตีประสิทธิภาพได้จากความเชื่อมั่นของ บริษัท AAS AUTO SERVICE ตัวแทนจำหน่าย PORSCHE, BENTLEY
ในช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ท่ามกลางกระแสโซเชียลที่เชี่ยวกรากไปด้วยไวรัลต่าง ๆ ซึ่งผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาจับจองพื้นที่หัวข้อสนทนาของพวกเราในแต่ละมื้อแต่ละเดย์แบบไม่ให้ได้ว่างเว้น เราเชื่อว่าหนึ่งในเรื่องราวเหล่านั้นต้องมี Bar B GON ‘Oh My GON’ Collection เซ็ตฟิกเกอร์จี๊ดใจจาก Bar B Q Plaza ปักหมุดอยู่ในพื้นที่ความสนใจของใครหลายคนอย่างแน่นอน ยืนยันการคาดคะเนนี้ได้จากกระแสตอบรับเข้าขั้นถล่มทลาย เลื่อนฟีดไปไหนเป็นต้องเจอ ‘คนอวดของ’ โชว์ภาพฟิกเกอร์ Bar B GON ที่ตามล่ามาได้ด้วยความอุตสาหะ หลายคนถึงกับต้องโดดงานไปจัดเซ็ตอาหาร Oh My Pork! และ Oh My Beef! เพื่อให้ได้ครอบครองฟิกเกอร์พี่ก้อนก่อนที่ของจะหมดเกลี้ยงสาขา วันนี้เราจึงอยากจะขอล้วงลึกเบื้องหลังความปังของแคมเปญนี้ จากปากของ ‘รัฐ ตระกูลไทย’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด ผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ด้านการตลาดของ Bar B Q Plaza ที่เคยปลุกปั้นโปรเจกต์เจ๋ง ๆ มาแล้วมากมายตลอด 10 ปี ที่ร่วมงานกับ บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด กับความสงสัยที่ว่า
เราหวังว่าคุณจะเป็น 1 ใน 100 ที่ได้อ่านบทความนี้ และเรารับรองว่า คุณจะเป็น 1% ที่จะทำงานได้มีประสิทธิภาพเหนือกว่าคนอื่น
“อยากใช้ชีวิตให้เต็มที่” ถ้อยคำนี้คงกำลังสะท้อนดังอยู่ในใจของใครหลายต่อหลายคน ยิ่งในกลุ่มคนรุ่นใหม่ซึ่งเต็มไปด้วยเป้าหมาย และไลฟ์สไตล์ที่โคตรจะหลากหลาย การได้มีพลังใช้ชีวิตแบบไม่มีสะดุด พร้อมใส่สุดในทุกกิจกรรม ย่อมเป็นสิ่งที่หัวใจของพวกเขาเหล่านั้นเรียกร้องต้องการอย่างยากจะปฏิเสธ จาก Insight ดังกล่าว เรียกได้ว่าเป็นโอกาสดี ที่ ROCKSTAR บูสเตอร์ดริ้งค์กระป๋องดาวสุดเท่จากอเมริกาเล็งเห็น พร้อมเดินหน้าลุยตลาดในประเทศไทย กับการเจาะกลุ่มเป้าหมายคนทำงานรุ่นใหม่ในช่วง Gen Millennials – Gen Z ที่มีไลฟ์สไตล์ “Work Hard, Play Harder” และต้องการผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเติมเต็มพลังให้กับการใช้ชีวิตแบบเต็มที่ในทุกวัน ด้วยจุดเด่นของ ROCKSTAR ที่วาง Position ไว้เป็นเครื่องดื่มเติมพลังระดับพรีเมียม มีภาพลักษณ์ทันสมัย โดดเด่นด้วยความสดชื่น ซาบซ่า รสชาติกลมกล่อม และยังเป็นเครื่องดื่มผสมกาเฟอีนที่พร้อมเป็นทางเลือกสำหรับคนรุ่นใหม่สาย Healthy ด้วยส่วนผสมของวิตามินซี – วิตามินบีรวม, โสมสกัด (Ginseng Extract) และ Taurine มีให้เลือกทั้ง ‘สูตรออริจินัล’ และ ‘สูตรไม่มีน้ำตาล’ และการจะยืนหนึ่งในตลาด คงไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของ Product
“โฆษณา” เป็นสิ่งที่เราพบเห็นได้ทุกที่ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าเราจะมองไปที่ไหนก็ตาม ถึงแม้ว่า “โฆษณา” จะเป็นสิ่งที่หลายคนมองข้าม หรือรำคาญจนจ้องจะกดข้ามมันไปภายในเสี้ยววินาที แต่สำหรับบางคน โฆษณาคือสิ่งมหัศจรรย์ที่เขาหลงใหลและมองเห็นคุณค่าของมัน จนวันนึงเขาสามารถที่จะเปลี่ยนโฆษณาให้กลายเป็น Content ทำธุรกิจจนประสบความสำเร็จอย่างสวยงามได้ ซึ่งคุณเองก็สามารถเปลี่ยนความคลั่งอะไรบางอย่างให้กลายเป็นธุรกิจได้เช่นกัน วันนี้เราจะพาทุกคนเข้าไปในโลกของคนคลั่งโฆษณา “เพิท พงษ์ปิติ ผาสุขยืด” จาก Ad Addict สื่อออนไลน์ด้านโฆษณาและการตลาด ‘เพราะทุกสิ่งในโลก ล้วนเป็นโฆษณา’ และหาวิธีทำให้คนอื่น ๆ ได้เห็นมุมมองดี ๆ ของมัน ใช้ชีวิตอยู่กับมันได้อย่างมีความสุข มาดูกันว่าคนคลั่งโฆษณาอย่างคุณเพิท สร้างรายได้จากโฆษณาได้อย่างไร มีคำแนะนำอะไรสำหรับคนที่อยากเริ่มต้นทำธุรกิจจากความคลั่งของตัวเองบ้าง จากตัวแทนแข่งแผนการตลาดสมัยมหาวิทยาลัย กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณเพิทคลั่งไคล้โฆษณา สู่การเป็น Founder ของเพจ Ad Addict ที่กำลังไปได้ดีมาก น่าจะคล้ายกับความฝันของคนรุ่นใหม่หลายคน ที่อยากจะทำงานหาเงินบนสิ่งที่ตัวเองคลั่งไคล้บ้าง “ทำไมมาอินกับโฆษณา? จุดเริ่มต้นต้องย้อนกลับไปสมัยมหาวิทยาลัย เราเรียนอยู่คณะการตลาด มันจะมีกิจกรรมนึงที่อาจารย์ให้จับกลุ่มกับเพื่อนเพื่อไปแข่งประชันแผนการตลาด ช่วงนั้นเราชอบแข่งแผนพวกนี้ เราจึงได้รู้จักเอเจนซี่โฆษณา แล้วได้ไปฝึกงานที่หนึ่งจนเหมือนกับได้เปิดโลก” “เรารู้สึกว่าโฆษณามันเป็นพลังอันหนึ่งที่สุดยอดมากนะ มันเปลี่ยนแปลงการกระทำของคน เปลี่ยนแปลงความคิด ความเชื่อ ความรู้สึก หลาย ๆ