“ความสำเร็จ” เป็นคำที่มีนิยามความหมายแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่จุดหมายที่มีร่วมกันคงหนีไม่พ้นการได้เป็นที่สุดในด้านต่าง ๆ ของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง เงินทอง หรือ ความสุข ส่วนนิยามความสำเร็จในมุมมองของ UNLOCKMEN เรามองว่าไม่ใช่แค่เพียงการเป็นที่สุดในด้านใดด้านหนึ่ง แต่มันคือการบาลานซ์ให้เราสามารถมีความสุขกับชีวิตได้ครบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จเรื่องงาน และชีวิตส่วนตัว ซึ่งแนวคิดนี้ไม่ได้เป็นเพียงความรู้สึกส่วนตัวที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดลอย ๆ เพราะในวันนี้เรามี 2 ตัวแทนคนรุ่นใหม่มากความสามารถ ซึ่งยืนอยู่ในจุดที่ผู้คนต่างให้การยอมรับ พวกเขาจะมาแชร์มุมมองที่มีผลต่อความสำเร็จ และเคล็ดลับที่ทำให้ก้าวมาสู่จุดนี้ กับมิติของชีวิตซึ่งไม่ได้หยุดอยู่แค่ที่ทำงาน หรือโฟกัสแค่เงินทอง และความสำเร็จส่วนตัวเพียงอย่างเดียว แต่มันคือการมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง และรักษาสมดุลระหว่างการทำงาน และชีวิตส่วนตัวได้อย่างพอดิบพอดี เริ่มต้นด้วยมุมมองของ แนท-วสุ วิรัชศิลป์ สถาปนิกหนุ่มผู้ก่อตั้ง VaSLab Studio (บริษัท แวสแล็บ) บริษัทที่ออกแบบสถาปัตยกรรมได้อย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และสร้างผลงานจนเป็นที่ยอมรับในระดับโลก กับอาชีพสถาปนิกที่เปรียบเทียบผลงานชิ้นหนึ่งเหมือนดั่งงานศิลปะแห่งการอยู่อาศัย แรงบันดาลใจเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องใส่เข้าไปในผลงานทุก ๆ ชิ้นที่ทำลงไป สิ่งสำคัญอย่างยิ่งคือ Creativity ห้ามหมด ในการทำงานแต่ละครั้ง ความตั้งใจและความภาคภูมิใจจะต้องถูกใส่ลงไปในทุก ๆ process ในขณะเดียวกันเราก็ต้องทำจินตนาการในหัวให้สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นผลงานจริงที่ตัวเองและผู้เกี่ยวข้องรู้สึกดีกับมันได้ “แค่แรงบันดาลใจจากคนใกล้ตัว ก็สามารถสร้างผลงานระดับโลกได้” ถ้าเราอยากจะประสบความสำเร็จ เคล็ดลับคือต้องเป็นคนที่ไม่หมกมุ่นอยู่กับตัวเอง
Young Professional เป็นกลุ่มมาแรงที่เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีและอินเตอร์เน็ต พวกเขาทุ่มเทพลังในการสร้างสรรค์พื้นที่ให้กับตนเองและก้าวสู่ความสำเร็จอย่างรวดเร็วจากการหาโอกาสจากสิ่งรอบตัวที่ไม่คาดคิดว่าจะเป็นไปได้ พลังของกลุ่ม Young Success ในทางการตลาด กลุ่ม Young Professional จัดอยู่ในกลุ่ม “Mass Affluent Segment” ซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริหาร เจ้าของกิจการ หรืออาชีพอิสระ และเป็นกลุ่มที่ได้รับความสนใจจากธุรกิจต่างๆ เพราะเป็นกลุ่มที่มีอำนาจการใช้จ่าย มีแนวทางการใช้ชีวิตที่ชัดเจน และเป็นผู้นำความคิดของผู้คน กลุ่ม Mass Affluent ในเอเชีย เป็นกลุ่มที่มีขนาดใหญ่และมีการเติบโตรวดเร็วมากที่สุด โดยคาดการณ์ว่า ภายในปี 2020 จะมีมูลค่าสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 43.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา คิดเป็น 20% ของธุรกิจบริหารจัดการความมั่งคั่งในเอเชีย ประเทศไทย ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่ากลุ่ม Mass Affluent ในประเทศไทยมีจำนวน 500,000 ราย มีแนวโน้มเติบโต 7% ต่อปี มีเงินฝาก 1.3 ล้านบัญชี รวม 3.2 ล้านล้านบาท เท่ากับ
มีหลายเหตุผลที่ทำให้คนอยากควักเงินซื้อห้องในคอนโดมิเนียม ซึ่งเหตุผลของแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป บางคนซื้อเพื่อเป็นที่อยู่หลัก ก็ต้องมองหาห้องขนาดใหญ่ พื้นที่อยู่ใกล้ที่ทำงาน เดินทางไปกลับสะดวก บางคนซื้อเน้นใกล้รถไฟฟ้า เพื่อจะได้เดินทางไปจุดหมายต่าง ๆ ในกรุงเทพได้สะดวกขึ้น เพราะต้องยอมรับว่ารถไฟฟ้านอกจากจะช่วยประหยัดเวลารถติดบนถนนในช่วงเวลาเร่งรีบได้มาก ส่งผลให้สุขภาพจิต และสุขภาพกายดีขึ้นตามลำดับ เป็นการหา solution ที่หลายคนใช้ปรับไลฟ์สไตล์ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตเมืองหลวงยุคปัจจุบัน ก่อนหน้านี้รถไฟฟ้ายังไม่กระจายตัวออกสู่พื้นที่รอบนอก ทำให้คอนโดมิเนียมกระจุกตัวแข่งกันบนพื้นที่โซนกรุงเทพชั้นใน จนราคาต่อตารางเมตรสูงลิบลิ่ว แค่เช็คราคาก็ทำให้คนทำงานหน้ามืดไปตาม ๆ กัน แต่ตอนนี้รถไฟฟ้าได้กระจายตัวออกไปสู่ชานเมืองมากขึ้น พร้อมกับเทรนด์ผู้คนที่อยากได้คอนโดสักห้อง เพื่อตอบโจทย์หลักที่เน้นความสะดวกในการเดินทาง ขับรถเข้าเมืองได้ง่ายดาย มีรถไฟฟ้าใช้รอรับถึงหน้าโครงการ แม้จะไม่ได้อยู่บนทำเลทองคำ แต่ก็สามารถไปถึงได้ด้วยเวลาไม่เกิน 20 นาที ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้ทันทีในย่านสำโรง ที่ปัจจุบันได้ชื่อว่าเป็นย่าน “Underrated Living Area” กับราคาที่อยู่อาศัยเฉลี่ยแถว ๆ 75,000 บาทต่อตารางเมตรเท่านั้น ประหยัดไปเบา ๆ ก็สิบล้าน ถ้าเทียบกับพื้นที่ในย่าน Prime Area ที่ราคาเฉลี่ยตบเท้าพุ่งขึ้นแตะไปตารางเมตรละ 200,000 – 300,000 บาท คำว่า “สำโรง” อาจทำให้หลายคนจินตนาการภาพในหัวว่าอยู่ไกล เดินทางยาก
การอยู่ในคอมฟอร์ทโซนก็เป็นเรื่องที่ทำให้เราสบายอกสบายใจดีอยู่แล้ว จะให้เราก้าวออกไปเสี่ยงเพื่อจะต้องเจอกับความผิดหวังอันน่าเจ็บปวดไปทำไม? แต่ชีวิตเราไม่ได้เกิดมาเพื่อทำสิ่งที่ถูกตลอดเวลา การลองผิดลองถูก การเผชิญหน้ากับความผิดหวัง การกระโจนเข้าไปเสี่ยง ไปเจอกับความผิดหวังก็เป็นส่วนหนึ่งของการเติบโต ไม่ใช่แค่การเติบโตของชีวิตเท่านั้น แต่รวมถึงหน้าที่การงานและธุรกิจด้วย ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ก็อยากเสี่ยง แต่ยังเกร็ง ๆ วันนี้ UNLOCKMEN รวม 3 TED Talks ที่ฟังจบแล้วต้องตะโกนออกมาว่า “รู้ว่าเสี่ยง ก็คงต้องขอลอง!” Success is a continuous journey Richard St. John คือนักธุรกิจที่ผ่านทั้งความสำเร็จ และความล้มเหลวมานับครั้งไม่ถ้วน และเขาเลือกใช้ประสบการณ์ที่ผ่านมาของตัวเองเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับเราทุกคน แรงบันดาลใจที่จะบอกว่า เฮ้ย ความล้มเหลวมันไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิตสักหน่อย เขาเชื่อว่าความสำเร็จมันคือการเดินทางที่ต่อเนื่องยาวนาน การที่เราผิดหวังหนึ่งครั้ง หรือสมหวังหนึ่งครั้ง ไม่ได้บอกว่าเราหมดโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ แต่เมื่อไหร่ที่เราหยุดก้าวไปข้างหน้า หยุดพยายามนั่นแหละ ที่เรากำลังก้าวเข้าสู่ความล้มเหลว Don’t regret regret Kathryn Schulz บอกว่าคนเรามักถูกสอนให้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เสียจนความผิดหวัง ความเสียใจดูเป็นเรื่องเลวร้าย ดูเป็นสิ่งต้องห้าม แต่เธอจะมาบอกเราว่ามันจริงเสมอไปหรือที่ชีวิตคนเราจะต้องมีแต่ความสุข? TED Talks ครั้งนี้เธอจึงจะมาเล่าเรื่องความผิดหวังเสียใจของตัวเอง
คงไม่มีใครไม่รู้จักแบรนด์เครื่องกีฬาชื่อก้องโลกอย่าง Nike และถ้ารู้จักแบรนด์อย่าง Nike แล้วก็คงจะไม่พลาดสโลแกนคุ้นหูที่เอาไปปรับใช้ได้กับทุกเรื่องในชีวิตอย่าง ‘JUST DO IT’ แต่ใครจะรู้ว่าเจ้าสโลแกนดังนี่เองเป็นหนึ่งในหลักทางธุรกิจที่ Phil Knight ผู้ก่อตั้ง Nike ใช้เป็นหนทางในการดำเนินธุรกิจของตัวเองมาด้วย ไม่ใช่แค่เป็นสโลแกนเท่ ๆ สำหรับแบรนด์เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ‘JUST DO IT’ ไม่ได้เป็นหลักการทางธุรกิจเดียวที่ผู้ก่อตั้ง Nike ยึดถือ แต่เขายังมีบทเรียนทางธุรกิจอื่น ๆ ที่เขาเรียนรู้มาตลอดชีวิตของเขาและแชร์ลงในหนังสือ ‘Shoe Dog: A Memoir by the Creator of Nike’ ซึ่งตอนนี้ก็ถูกย่อขนาดมาให้อ่านง่าย ๆ ไว้ทำตามได้ 10 ข้อด้วยกัน มา มาเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กัน 1.ใช้อายุช่วง 20 ให้คุ้ม ออกเดินทาง ค้นหา และเรียนรู้ซะ Phil Knight ใช้เวลาหลังเรียนจบไปกับการออกเดินทางเที่ยวรอบโลก ตอนนั้นเขาอายุ
ความกลัว ความวิตกกังวล และสารพัดอารมณ์ด้านลบในชีวิตเป็นสิ่งท้าย ๆ ที่มนุษย์อย่างเราอยากเผชิญ คงจะดีไม่น้อยถ้าเรามีวิธีจัดการกับอารมณ์แย่ ๆ ของตัวเองที่อัดแน่นจวนระเบิดได้อย่างอยู่หมัด ไม่ต้องฝันถึงวิธีการที่ว่าอีกต่อไป เมื่อนักวิจัยค้นพบว่ามันมีวิธีจัดการอารมณ์แย่ ๆ ที่วนเวียนอยู่ในตัวเราได้จริง แค่ขอกระดาษ ปากกา และเวลาอยู่กับตัวเองแบบโฟกัส ๆ เพียง 30 วินาทีเท่านั้น เมื่อศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาอย่าง Matthew Lieberman ได้เป็นผู้นำในการทำงานวิจัยที่ชื่อว่า Putting Feelings Into Words: Affect Labeling Disrupts Amygdala Activity in Response to Affective Stimuli. โดยการทำการทดลองดูภาพในสมองของมนุษย์เมื่อมนุษย์เกิดความกลัว วิธีการก็คือ เขาให้กลุ่มตัวอย่างเผชิญหน้ากับความรู้สึกกลัวของตัวเอง จากนั้นก็บอกให้พวกเขาค่อย ๆ หยิบกระดาษกับปากกา มาค่อย ๆ คิดว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับตัวเองนั้นคือความรู้สึกอะไร แล้วก็เขียนลงไป ระหว่างการทดลอง ผู้เข้าร่วมอาจต้องเจอภาพที่ทำให้พวกเขาหวาดกลัว 10 ภาพ แต่ละภาพพวกเขาก็ต้องเขียนลงไปให้ชัดเจนว่ารู้สึกอะไรกับมันกันแน่ ถ้านึกภาพไม่ออก UNLOCKMEN อยากให้ลองคิดว่า
ไม่ว่าจะในฐานะคนทำงาน เจ้าของธุรกิจ หรือระดับหัวหน้างานที่ต้องดูแลการทำงานของคนอีกจำนวนมาก เราต่างแสวงหากลยุทธ์ของการจัดการเวลาทำงานที่จะทำให้คนทำงาน ทำงานได้ทรงประสิทธิภาพสูงสุด คงจะดีไม่น้อยถ้าเราสามารถจัดการเวลาทำงานได้เต็มที่ หนักหน่วง และเห็นผลได้เหมือนนักกีฬาโอลิมปิคฝึกซ้อมก่อนลงสนามจริง อย่ามัวคิดว่าเป็นเรื่องล้อเล่นหรือเป็นไปไม่ได้ ถ้ายังไม่ได้เปิดใจทำความรู้จัก “Interval Training” เทคนิคการบริหารจัดการเวลาฝึกซ้อมสไตล์นักกีฬาโอลิมปิคที่จะทำให้คุณต้องทึ่งกับผลลัพธ์การทำงานของตัวเองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ย้อนกลับไปช่วงทศวรรษที่ 1930 Woldemar Gerschler โค้ชชาวเยอรมันมีความคิดว่าเขาอยากให้นักกีฬาวิ่งของเขาจัดการเวลาการฝึกซ้อมให้ดีขึ้นกว่าที่เป็น หลังจากการทดลอง เขาพบว่านักวิ่งจะสามารถบรรลุเป้าหมายการฝึกซ้อมได้ดีขึ้น ถ้าแบ่งการฝึกออกเป็นเซ็ต ๆ หากมีเวลา 60 นาที Woldemar Gerschler จะแบ่งการฝึกออกเป็น 6 เซ็ต โดยฝึกซ้อมเต็มที่ 7 นาที แล้วพัก 3 นาที ซึ่งการฝึกเต็มที่แล้วแบ่งเวลาให้พัก นักวิ่งจะสามารถวิ่งได้เร็วกว่า วิ่งได้ระยะไกลกว่า และฟอร์มการวิ่งโดยรวมทำได้ดีกว่าการซ้อมวิ่งติดกันรวดเดียว 60 นาที วิธีของ Gerschler ถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายกับนักวิ่ง จนกระทั่งถูกนำไปใช้ในกีฬาประเภทอื่น ๆ และกลายเป็นระบบการฝึกซ้อมสุดทรงพลังที่ถูกเรียกว่า “Interval Training” ที่ได้รับการยอมรับมาถึงปัจจุบัน การฝึกไป พักไป ได้รับการยืนยันจาก K.
นอกจากสูตรสำเร็จที่ใครต่อใครพูดกันว่าขยันสิ พยายามสิ อดทนสิ แล้วจะประสบความสำเร็จทางการเงิน ได้เป็นมหาเศรษฐีภายในหนึ่งชีวิตนี้ ใครจะรู้ว่าหนึ่งกลยุทธที่มหาเศรษฐีที่สร้างฐานะให้ร่ำรวยด้วยตัวเองหลายคนทำเหมือน ๆ กันไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่เราคิดเลย Tom Corley ผู้เขียนหนังสือ Rich Habits – The Daily Success Habits of Wealthy Individuals ที่กว่าจะออกมาเป็นเล่มขนาดนี้ เขาต้องใช้เวลาหลายปีในการศึกษานิสัย วิธีคิดและพฤติกรรมของเหล่ามหาเศรษฐีทั้งหลาย และสิ่งหนึ่งที่เขาค้นพบว่าคนที่ร่ำรวยขึ้นมาด้วยตัวเองมีตรงกันก็คือ “การมีรายได้มากกว่า 1 ช่องทาง” โดย Tom Corley พบว่า 65% ของคนที่ร่ำรวยขึ้นมาด้วยตัวเองมีรายได้จาก 3 ทาง การมีรายได้มาจากช่องทางที่หลากหลายก็เป็นการกระจายความเสี่ยงให้ชีวิตของเราเองนี่แหละ ในวันที่รายได้จากช่องทางหนึ่งฝืด ๆ เคือง ๆ เราก็ยังมีรายได้จากทางอื่นมาคอยค้ำจุนให้อยู่ได้ แต่ถ้าวันใดที่ไม่มีรายได้จากช่องทางใดฝืดเคืองเลย เราก็เตรียมรับรายได้มหาศาล สำหรับคนที่ยังนึกไม่ออกว่าแล้วเราจะเริ่มต้นการมีรายได้เข้ามาในชีวิตมากกว่า 1 ทางได้อย่างไร วันนี้ UNLOCKMEN เอาเคล็ดลับดี ๆ มาบอก 1.ลองเริ่มทำธุรกิจดูสิ มหาเศรษฐีทั่วโลกจำนวนกว่าครึ่งหนึ่งมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มีธุรกิจอยู่แล้วก็ยินดีด้วย
“ศิลปินยิ่งใหญ่ต้องการความกดดันมหาศาล เพื่อสรรค์สร้างงานอลังการระดับโลก” เราต่างเคยเชื่อแนวคิดอะไรทำนองนี้ แต่มันจริงเสมอไปไหมที่ทุกคนจะสร้างสรรค์งานได้ดีในบรรยากาศงานยุ่ง ๆ หรือคิดงานไอเดียกระฉูดท่ามกลางบรรยากาศความรับผิดชอบล้น ๆ วุ่นวาย ๆ เท่านั้น เราอาจต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่เมื่อ หนังสือ The Happiness Track: How to Apply the Science of Happiness to Accelerate Your Success แสดงให้เห็นว่าความคิดล้ำ ๆ เจ๋ง ๆ มักออกมาตอนที่เรารู้สึกผ่อนคลายต่างหาก ถ้ายังจินตนาการไม่ออก เรามีเรื่องราวของนักประดิษฐ์อัจฉริยะอย่าง Nikola Tesla ที่เป็นทั้งนักประดิษฐ์ นักฟิสิกส์ วิศวกรเครื่องกล และวิศวกรไฟฟ้า ถ้ายังไม่นึกไม่ออกอีก UNLOCKMEN ขอกระซิบบอกว่าเขามีส่วนช่วยในการพัฒนาหลอด fluorescent หรือหลอด neon แถมยังเป็นผู้คิดค้นสัญญานวิทยุ และค้นพบหลักการสนามแม่เหล็กไฟฟ้าอีกด้วย ย้อนกลับมาว่าความผ่อนคลายช่วยเรื่องความคิดสร้างสรรค์อย่างไร? Nikola Tesla ในปี 1881 ออกเดินทางไป Budapest พร้อมอาการป่วยอย่างหนัก
#ลงทุนแมน แนะนำวิธีสร้างเงินล้านให้ได้ ภายใน 5 ปีเท่านั้น