ทะเล คลื่นสีครามที่พร้อมพยศ กลืนสิ่งมีชีวิตจากชายฝั่งตลอดเวลา แม้อันตรายแต่ก็เป็นสถานที่เสรี เป็นบ้าน เป็นพื้นที่ทำกินของคนบางกลุ่มมายาวนานหลายทศวรรษติดต่อกัน และที่คาบสมุทรนอกชายฝั่งเกาหลีใต้ บริเวณเกาะเชจูเป็นแหล่งกำเนิดฝึกฝนอาชีพที่เรียกว่า Haenyeo หรือนักประมงหญิงขึ้น ย้อนกลับไปราวศตวรรษที่ 17 วัฒนธรรม Haenyeo กำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรก โครงสร้างสังคมตอนนั้นผู้หญิงเป็นผู้นำครอบครัว เป็นนักดำน้ำที่ทำประมงเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว ขณะที่ผู้ชายอย่างเรา ๆ ทำหน้าที่ดูแลบ้าน ประเพณีที่ถ่ายทอดความรู้เรื่องการดำน้ำลึกไร้อุปกรณ์ช่วยเหลือ เพื่อประมงจึงเป็นสิ่งที่ส่งต่อภายในกลุ่มผู้หญิงตั้งแต่อายุยังน้อย จากรุ่นสู่รุ่น ทั้งความรู้เรื่องสิ่งมีชีวิตในทะเล และการอยู่ร่วมกับผืนน้ำที่ไร้ขอบเขต สิ่งเหล่านี้คือมรดกที่จับต้องไม่ได้ซึ่งได้รับการบันทึกไว้โดย UNESCO เทคนิคการกลั้นหายใจที่น่าทึ่งแบบเพียว ๆ ไม่มีอุปกรณ์ช่วยชีวิตประเภทถังอากาศ มีเพียงชุดยางบาง ๆ ให้สวมกับหน้ากากครอบหน้าที่หน้าตาแปลก ๆ รัดแน่นจนเจ็บปวด แผ่นยางบางที่สวมไว้สร้างสมดุลหูขณะดำน้ำทำให้หูสูญเสียการได้ยินชั่วขณะก็ไม่ได้สะดวกสบายเหมือนรูปแบบการดำน้ำปัจจุบัน แม้จะแลกมาด้วยความเจ็บปวด แต่นี่ก็เป็นหนึ่งในภูมิปัญญาที่คนสมัยก่อนเรียนรู้เพื่อทำประมงอย่างยั่งยืน การใช้อุปกรณ์ที่น้อยชิ้นมีข้อดีที่ไม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมใต้ทะเล วิถีล่าที่นุ่มนวลทำให้ระบบนิเวศท้องทะเลสมบูรณ์ แต่ใช่ว่าทุกคนจะสอบผ่านการเป็น Haenyeo เพราะความชำนาญด้านเทคนิคอย่างเดียวไม่พอให้เอาชีวิตรอดได้ หากขาดความแข็งแกร่งของจิตใจที่พร้อมเผชิญกับความมืดเยียบเย็น เนื่องจากคุณสมบัติสำคัญคือการควบคุมสติใต้น้ำที่อาจพบเรื่องไม่คาดฝันตลอดเวลา ปัจจุบัน Haenyeo รุ่นใหม่ไม่ค่อยมีให้เห็นแล้วและวัฒนธรรมนี้ก็เริ่มเลือนหายไปจากสังคมเกาหลีแม้รัฐบาลจะพยายามอนุรักษ์ไว้ เพราะ Haenyeo เป็นอาชีพที่เอากายเข้าแลก ทั้งเสี่ยงและอันตรายแม้ผู้ชายอกสามศอกก็ยังไม่อยากทำ แต่ Alain Schroeder
ที่สุดของตำนานนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ ซามูไรหาญกล้าผู้ออกรบอย่างดุดันแม้จะมีตาเพียงดวงเดียว สำหรับชายผู้ที่ชื่นชอบความเท่แบบญี่ปุ่นและชื่นชอบซามูไร คงไม่มีใครไม่รู้จักกับยุค เซ็นโงคุ ที่สร้างชื่อให้กับเหล่านักรบผู้เก่งกาจ และนักสู้คู่ยุคเดือด ซามูไรนาม ดาเตะ มาซามุเนะ ชายที่เกิดมาพร้อมกับความบกพกพร่องทางสายตา แต่ด้วยความสามารถที่ไม่เป็นสองรองใคร รวมถึงความแข็งเกร่งที่แสดงให้ทุกคนได้สัมผัสมากกว่าแค่ชื่อเสียง จนได้รับการขนานนามว่าเป็น มังกรตาเดียวแห่งเซ็นโงคุ ดาเตะ มาซามุเนะ เกิดเมื่อปีค.ศ. 1567 ในปราสาทของตระกูลโยเนซาวะ เขาเป็นลูกชายคนโตของไดเมียว (ผู้ครองนคร) แคว้นมุตสึ มาซามุเนะสูญเสียตาขวาตั้งแต่กำเนิดด้วยโรคไข้ทรพิษ (Smallpox) แต่บางตำนานก็ได้เล่าขานเรื่องราวของเขาอย่างแปลก ๆ เช่น ผู้เป็นพ่อสั่งให้คนรับใช้ประจำตัวเป็นผู้ควักลูกตาออก แต่ยังไร้ซึ่งเหตุผลที่หนักแน่นพอมารองรับข้อสันนิษฐานนี้ และก็มองไม่เห็นถึงความจำเป็นที่คนเราจะต้องควักลูกตาออกข้างหนึ่ง แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตามแต่ ดาเตะ มาซามุเนะ เป็นเด็กผู้ชายที่มีตาข้างเดียว ซึ่งความไม่สมบูรณ์นี้เองที่ถึงแม้จะเป็นพี่ชายคนโตของตระกูลก็ตาม กลับไม่ได้เป็นที่รักของมารดาเท่าไหร่นัก และถูกมองว่าไม่คู่ควรกับการได้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งไดเมียวแห่งโยเซนาวะผู้ครองแคว้นมุตสึ ด้วยนิสัยหาญกล้าบ้าบิ่น ชื่นชอบการแข่งขัน กระหายชัยชนะ จึงทำให้ มาซามุเนะ เป็นที่ถูกพูดถึงตั้งแต่ยังเด็ก มีตำนานเล่าขานความโหดเหี้ยมเด็ดขาดของมาซามุเนะว่า เมื่อตอนอายุ 11 ปี และต้องแต่งงานกับ ทามูระ เมโงฮิเมะ แต่มาซามุเนะเกิดความหวาดระแวงว่าตระกูลทามูระจะพยายามหักหลัง เขาได้ลงมือสังหารคนรับใช้ของภรรยาตัวเองเสียสิ้น ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูลไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก ซึ่งต้องทำความเข้าใจว่าในสังคมญี่ปุ่นสมัยก่อนยังมีมุมมองเรื่องอายุที่ต่างกับยุคปัจจุบัน เด็กเกือบทั่วทั้งเอเชียมักแต่งงานเร็วเป็นเรื่องธรรมดา และเด็กอายุสิบกว่าขวบก็มีเรื่องครอบครัวและความรับผิดชอบมาให้คิดมากกว่าเด็กอายุรุ่นเดียวกันอย่างในปัจจุบัน หลังจากนั้นต่อมาในปี 1581
โบทาโอชิ กีฬาสุดอันตรายจากดินแดนซามูไรที่เปลี่ยนสนามกีฬาให้กลายเป็นสมรภูมิเดือด ด้วยความรุนแรง และกติกาที่สามารถทำอะไรก็ได้กับฝ่ายตรงข้าม ทำให้กีฬานี้สงวนไว้สำหรับลูกผู้ชายที่ไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวตายของชาวญี่ปุ่นเท่านั้น ชื่อโบทาโอชิ มีที่มาจากการผสมกันของสองคำคือ โบ ที่แปลว่า ท่อนไม้ และ ทาโอชิ ที่มีความหมายว่า ทำให้ล้ม รวมกันเป็นการทำให้เสาของศัตรูล้มลงให้ได้ กีฬานี้ที่ไม่มีต้นกำเนิดแน่ชัดว่าเริ่มมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่จุดเริ่มต้นที่ชัดเจนนั้นเริ่มขึ้นที่โรงเรียนเตรียมทหารแห่งหนึ่งใน ค.ศ. 1940 หัวใจของกีฬาโบทาโอชิคือการทำให้เสาของฝ่ายตรงข้ามล้มลงเกิน 30 องศา จนเมื่อ ค.ศ. 1973 ได้มีการเปลี่ยนกติกาใหม่จาก 30 องศา กลายมาเป็น 45 องศาเพื่อความมันส์ยิ่งขึ้น ซึ่งกรรมการจะเป็นผู้ตัดสินว่าเสานั้นล้มลงถึงเกณฑ์หรือไม่ ส่วนกติกาจะแบ่งผู้เข้าแข่งขันออกเป็นสองทีมจากผู้เล่นทั้งหมด 150 คน แบ่งเป็นฝั่งละ 75 คน และเกมจะสิ้นสุดลงเมื่อเสาของทีมใดทีมหนึ่งล้มลง ฝั่งที่ทำให้เสาล้มได้ก่อนจะเป็นผู้ชนะ แค่ทำให้เสาล้มมันจะไปยากอะไร ดูแล้วเหมือนง่าย แต่จริง ๆ มันไม่หมูอย่างที่คิด ด้วยกฎเหล็กที่ห้ามตุกติก ห้ามพกอาวุธ ใช้ได้แค่พลังกายและพลังใจล้วน ๆ การกระแทกกันเหมือนกีฬารักบี้ที่มีสมาชิกมากกว่าเป็นสองเท่า การดึงทึ้งจนเสื้อขาด ไปจนถึงการแลกหมัดกันเป็นเรื่องปกติเมื่อเริ่มการแข่งขัน ด้วยจำนวนคนกว่า 150 คน การวิ่งทะลวงฝ่าฝูงชนเพื่อล้มเสาจึงทำได้ยาก ฝั่งทีมรุกก็ลุยกันเต็มที่
ยุคนี้การฟังเพลงค่อนข้างเทไปทาง Music Streaming ซะส่วนมาก การฟังในแพลตฟอร์มอื่น ๆ จึงย้ายจากการใช้งานไปเป็นของสะสมแทน ไม่ว่าจะเป็นแผ่นไวนิล เทป แผ่นซีดี ด้วยเทคโนโลยีที่เพิ่มความสะดวกสบายและพยายามพัฒนาคุณภาพไม่ให้ด้อยกว่าแพลตฟอร์มอื่น ๆ จนการฟังเพลงของเรามันไม่ใช่แค่เพื่อความบันเทิง ที่กด Play แล้วปล่อยผ่านไปไม่ให้เหงาหูเฉย ๆ แต่มันยังกลายเป็นส่วนหนึ่งของ Lifestyle ที่สื่อถึงรสนิยมของเราไปด้วย UNLOCKMEN จะพาหนุ่ม ๆ มาสำรวจรสนิยมด้านการฟังเพลงของเราเองแบบละเอียด Base On เพลงที่เราฟังบน Spotify ด้วย Feature ดี ๆ จาก Spotify เราอาจจะคิดว่าเราชอบสไตล์ใดสไตล์หนึ่งมาตลอด มาดูกันว่าจริง ๆ แล้วเราฟังเพลงแบบไหนกันแน่ You Are What You Listen ก่อนอื่น เราต้องล็อกอินบัญชีของ Spotify ที่เว็บ https://spotify.me/en แล้วเว็บจะประมวลผลจากข้อมูลการฟังเพลงบนบัญชี Spotify ของเรา แล้วออกมาเป็นข้อมูลการฟังว่าเราฟังเพลงแนวไหน ฟังนักร้องคนไหนมากที่สุด แทร็กที่ฟังมากที่สุด เราเป็นนักฟังประเภทไหน ฟังเพลงเหมือนกับใคร และอีกสารพัดข้อมูลที่เราเองก็อาจจะไม่ได้สังเกตตัวเองมาก่อน เพราะบางครั้งเรามักจะคิดว่าเราชอบเพลงแนวนี้เสียเหลือเกิน
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์บ้านเรามีเวลาเปิด – ปิด มีกำหนดเวลาขาย และเวลากินเราก็เป็นอันรู้กันว่าต้องช่วงเย็น ช่วงค่ำหลังเลิกงานเท่านั้นถึงจะเหมาะ เพราะถ้ากินก่อนนั้นเหมือนเราจะโดนตำหนิด้วยสายตา แต่ว่านั่นก็เป็นแค่ Timezone จากวัฒนธรรมในบ้านเราเท่านั้นไม่ได้รวมเส้นแบ่งเวลาอื่น โดยเฉพาะสำหรับเมืองเบียร์อย่างเยอรมันที่เขากินเบียร์กันต่างน้ำ กินหลังออกกำลังกาย กินแทบตลอดทั้งวัน เขายังมีวัฒนธรรมให้เน้นกินเบียร์ก่อนเที่ยงวันอีกด้วย! เรียกได้ว่าพอลืมตา คอที่แห้งผากของเราต้องร้องหาเบียร์ รินขึ้นซดแก้กระหายกันเลยทีเดียว ดื่มเบียร์เช้าช่วยย่อย การดื่มเบียร์เป็นศาสตร์หนึ่งไม่ต่างจากการดื่มไวน์ เบียร์มีความล้ำลึกของมัน มีหลายประเภท มีความหนักเบาตามช่วงเวลา และมีความคราฟต์ให้หลายคนต้องรู้สึกติดอกติดใจ สำหรับวัฒนธรรมการกินเบียร์ก่อนเที่ยงวันคือการดื่มเบียร์ในช่วง brotzei (มื้อที่ 2 ของช่วงเช้า ที่เริ่มกินกันช่วง 10 โมงเป็นต้นไป) พบมากใน “บาวาเรีย” หรือรัฐที่อยู่ทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเยอรมัน เพื่อส่งเสริมวัฒธรรมการดื่มช่วงนี้มันจึงมีการผลิตเบียร์เฉพาะกินช่วงเช้านี้ โดยเขาเรียกมันว่า Hefeweizen (ออกเสียงว่า : HEH-feh-vite-zehn) เบียร์ชนิดนี้คือเบียร์เฉพาะที่ทำขึ้นจากวีท (ข้าวสาลี) แทนที่การใช้บาร์เลย์ ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักที่คอเบียร์ทุกคนลิ้มรสชาติกันเป็นประจำ วีทเบียร์นี้เหมาะกินกับอาหารเพราะให้รสชาติที่นุ่มกว่า สีสันเหลืองสว่างเองก็ให้รสชาติที่เบา แอลกอฮอล์ไม่หนักทำให้ดื่มได้ถี่ในช่วงเช้าไม่ต้องกลัวเมามายจนเสียอาการ ที่สำคัญการหมักวีทเบียร์ยังใช้ยีสต์ชนิดพิเศษที่เพาะมาโดยเฉพาะ ทำให้มีกลิ่นหอมนุ่มคล้าย กล้วย แอปเปิ้ล ซิตรัส ซึ่งเรียกได้ว่านี่คือหนึ่งจุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว กระตุ้นกระบวนการเผาผลาญอาหารให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพขึ้นอีกด้วย
ก่อนที่เราจะเลือกกดปุ่ม Play เพลงใดสักเพลง คิดว่าเราเลือกเพราะอะไร ? อารมณ์ของตอนนั้น คิดถึงวงที่เคยฟัง เพลงที่ติดอยู่ในหัว แต่ทั้งหมดนี้คือความพอใจ ณ เวลานั้น ๆ ไงล่ะ ที่ทำให้เราเลือกจิ้มเพลงไหนสักเพลงมาขับกล่อมอารมณ์ของเรา UNLOCKMEN รู้สึกว่ามันธรรมดาไป เลยอยากพาทุกคนมาทำความรู้จักกับการฟังเพลงที่ไม่ได้อ้างอิงแค่กับความชอบ แต่เป็นอะไรที่ลึกลงไปในตัวเราแบบ Literally ก็คืออ้างอิงจาก DNA ของเรานั่นเอง มาดูกันว่าคนเราจะเลือกฟังเพลงจาก DNA ของเราได้ยังไง การฟังเพลงเป็นกิจกรรมยอดฮิตติดลมบนของคนทั่วโลก เพราะมันเป็นทั้งการผ่อนคลาย ระบายอารมณ์ รัก เศร้า เหงา โกรธ เป็นอะไรอีกหลายอย่าง จนมันกลายเป็นวัฒนธรรมร่วมของมนุษยชาติไปแล้ว ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ Based On สุนทรียศาสตร์ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับความพอใจ ทั้งการฟังในแต่ละแทร็ก ในแต่ละอารมณ์ Playlist ที่เราจัดเอาไว้ด้วยกัน แบ่งไปตามแนวเพลง ตามมู้ด แต่ทั้งหมดคืออยู่บนความพอใจของเรานั่นแหละ เรามักจะคิดว่าเราจิ้มเพลงไหนขึ้นมาสักเพลงด้วยความพอใจที่จะฟัง ก็ชอบนี่หว่า ก็ต้องเลือกเพลงนี้ฟังสิ แปลกตรงไหน แต่วันนี้ AncestryDNA และ Spotify จะมาพิสูจน์ว่าชาติพันธุ์หรือพื้นที่ที่เราอาศัยอยู่มีผลต่อการฟังเพลงด้วยเช่นกัน
ดนตรีเป็นหนึ่งใน Culture ที่คอยจรรโลงโลกใบนี้มาแสนนาน ตั้งแต่มนุษย์เราเริ่มรู้จักเคาะอะไรสักอย่างให้มันเกิดเสียง และพัฒนามาเรื่อย ๆ จนเป็นการเคาะที่มีจังหวะ พัฒนามาเป็นเครื่องดนตรี ดนตรีที่เป็นมากกว่าสิ่งที่ให้ความบันเทิง ตอนนี้เรามีดนตรีที่แตกแขนงไปหลากหลายแนวนับไม่ถ้วน แต่ถ้าจะให้ยกขึ้นมาสักแนว ที่ Express อารมณ์ของทั้งคนฟังและคนเล่นได้อย่างดุเดือด ที่ดึงเอาสัญชาตญาณดิบของเราออกมาได้แบบหมดเปลือก “Metal” เป็นหนึ่งในตัวเลือกอันดับต้น ๆ อย่างแน่นอน UNLOCKMEN จะพามาทำความรู้จักกับดนตรีที่ดุเดือดอย่าง “Metal” ในเมืองไทยในมุมมองของคนฟัง เบื้องหลังภาพลักษณ์ดุดัน ก้าวร้าว รุนแรง จากเพลง ปกอัลบั้ม คอนเสิร์ต เสื้อวงสีดำ อะไรที่ทำให้พวกเขาหลงรักเมทัล เป็นเมทัลแล้วจำเป็นต้องดุดันก้าวร้าวอย่างเดียวหรือเปล่า ? ฟังเมทัลแล้วเป็นหนุ่มเนิร์ดได้มั้ย ? สารพัดดราม่าในที่อยู่คู่กับวงการเมทัลไทยมานาน มาดูกันว่ากลุ่ม Metalhead ต้องเจออะไรกันบ้างกับผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ HEADBANGKOK เว็บฯของชาวเมทัลไทยที่ทำขึ้นเพื่อตอบสนองความชอบของตัวเองล้วน ๆ มาพูดคุยกันในฐานะของคนฟังที่เรียกว่า Metalhead ที่ติดตามวงการนี้มานาน จุดเริ่มต้นของความรักใน Metal เว็บไซต์ HEADBANGKOK เกิดจากความชอบในดนตรีเมทัลของ “โจ้” และ “เจต” ที่เริ่มสังเกตแล้วว่าสื่อเกี่ยวกับเมทัลอย่างพวกนิตยสารเริ่มล้มหายตายจากไปทีละหัวอย่าง Music Express, Metal
วันไหนเศร้า เราฟังเพลง Feeling Blue จนจมดิ่งไปกับมัน วันไหนอารมณ์ดี เราฟังเพลง Pop ที่สดใสไม่แพ้กับอารมณ์ของเรา หรือวันไหนอยากพักผ่อน เพลง Acoustic, Folk ที่ให้อารมณ์ Chill จนเหมือนได้เอนกายลงบนที่นอนนุ่ม ๆ ในบ่ายวันหยุด จนเราคุ้นเคยกันดีว่าเพลงที่เราฟังมันเชื่อมต่อกับอารมณ์ในตอนนั้นอยู่แล้ว UNLOCKMEN จะพามาดูว่าเพลงมันไม่ได้ส่งผลแค่อารมณ์เท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงมุมมองของคุณต่อโลกใบนี้อีกด้วย ดนตรีเปลี่ยนมุมมองของเราได้ยังไง ? จากการศึกษาของ University of Groningen ใน Netherlands พบว่าดนตรีไม่ได้ส่งผลกับแค่อารมณ์ของเราเท่านั้นแต่ส่งผลถึงมุมมอง ความคิด ของเราอีกด้วย เพลงที่คุณฟังนั่นแหละสามารถส่งผลกับมุมมองและความเข้าใจโลกใบนี้อีกด้วย ผู้ค้นคว้ารีเสิร์ชเรื่องนี้อย่าง Jacob Jolij และ Maaike Meurs จาก Psychology Department พบว่าเวลาคนเราฟังเพลงที่ให้มู้ดความสุขเนี่ย มันไม่ได้ทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นเท่านั้น แต่ทำให้มองสิ่งรอบ ๆ ตัวดูมีความสุขไปด้วย และในทางตรงกันข้ามกันก็เป็นแบบนั้น หากเราฟังเพลงที่ทำให้อารมณ์เราอึมครึม มันก็ทำให้เรารู้สึกว่าสิ่งรอบตัวของเราแม่งเศร้าตามไปด้วย เหมือนอยู่ดี ๆ ก็โดนเมฆหมอกของความเศร้าปกคลุมซะอย่างงั้น พูดให้ชัด
ในรอบปีที่ผ่านมา คงไม่มีศิลปินกลุ่มไหนเป็นกระแสไปมากกว่า BNK48 กลุ่มศิลปินไอดอลสัญชาติญี่ปุ่นแต่เชื้อชาติไทย ความโด่งดังของพวกเธอสร้างปรากฏการณ์ต่าง ๆ มากมาย ทั้งในแง่วัฒนธรรมที่เกิดคำใหม่ ๆ ที่สังคมไทยไม่เคยเห็นมาก่อน เช่น โอตะ โอชิ เซ็มบัตสึ เคงคิวเซย์และอื่น ๆ อีกมากมายให้ได้เรียนรู้ ทั้งในแง่ธุรกิจที่เพิ่งเป็นข่าวใหญ่เมื่อไม่นานมานี้ เมื่อรูป SSR (Super Special Rare ซึ่งเป็นรูปถ่ายพร้อมลายเซ็นของสมาชิกที่จะมีเพียงไม่กี่ใบเท่านั้นและไม่มีการผลิตเพิ่ม) ของมิวสิคหนึ่งในสมาชิกวง มีผู้ประมูลไปในราคาสูงถึง 450,000 บาทเลยทีเดียว แต่นอกจากในหมู่โอตะที่คลั่งไคล้แล้ว แน่นอนว่ามีคนรักก็ต้องมีคนเกลียด ที่เห็นได้ชัดเลยในกรณีที่ อร BNK48 โดนชาวเน็ตจำนวนหนึ่ง Cyber Bully ใส่ จนเกิดเป็นเรื่องดราม่าในโลกออนไลน์อย่างที่ได้ทราบข่าวกัน หรือกรณีดราม่าใหญ่โตครั้งล่าสุดที่แคนถูกพักงาน ดังนั้นในบทความนี้เราจึงสัมภาษณ์คน Gen-Y ซึ่งถือว่าเป็นคนเจนหลักเจนหนึ่งในบรรดาโอตะ โดยแต่ละคนก็ต่างอาชีพต่างที่มา แต่จะมาตอบคำถามเดียวกันว่า “คุณคิดอย่างไรกับ BNK48 และ BNK48 มีความหมาย รวมถึงส่งผลอะไรต่อคุณบ้าง?” “ผมเป็นโอตะคนหนึ่ง ถ้าถามว่าคิดยังไงก็คงต้องตอบว่าชอบอยู่แล้วครับ ผมไม่เคยรู้จัก AKB48 มาก่อน
“ผมว่างานคราฟต์คนชอบเยอะ แต่หาคนที่อยู่กับมันได้จริง ๆ ยาก” นี่คือประโยคจากปาก เต้-ธวัชชัย พัฒนาภรณ์ ที่วิ่งวนซ้ำ ๆ อยู่ในหัวเรา เขาคือเจ้าของ Patani Studio สตูดิโออัดและล้างภาพถ่ายฟิล์มที่ยังทำงานแบบแอนะล็อกทุกขั้นตอน ด้วยเหตุผลว่านี่คือส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ และทำมันในฐานะงานคราฟต์ที่ทดลองได้ไม่รู้จบ แต่ในวันที่ดิจิทัลกำลังพาเราหมุนวนไปในกระแสซึ่งรุดหน้าไปเรื่อย ๆ การถ่ายภาพแบบแอนะล็อก และการล้างอัดภาพในฐานะงานศิลปะชิ้นหนึ่งจะยังท้าทายกระแสอยู่ได้อย่างไร คำตอบอยู่ไม่ไกล ในสตูดิโอขนาดกะทัดรัดที่ UNLOCKMEN พาคุณมานั่งฟังคำตอบจาก เต้-ธวัชชัย พัฒนาภรณ์ ตรงนี้แล้ว UNLOCKMEN: ความรู้สึกของเรามันแตกต่างกันอย่างไรเวลาเราใช้กล้องดิจิทัลถ่ายกับกล้องแบบแอนะล็อกถ่าย สำหรับผมภาพที่เห็นตอนถ่าย กับ ภาพที่สำเร็จบนปรินท์จะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพราะว่าช่างภาพเวลาถ่ายภาพมันต้องคิดแล้วว่าตอนจบ จะจบยังไง นึกออกไหมฮะ อย่างเวลาถ่ายดิจิทัล เขาเห็นจอข้างหลังรีวิว โอเค เขาก็จะรู้ว่าไปทำต่อ เผื่ออันเดอร์ เผื่อโอเวอร์ แต่รู้ในหัวแล้วว่าระบบจะทำยังไงต่อ ฟิล์มก็เหมือนกัน ต่อให้ไม่เห็น เพราะมันดูไม่ได้เลย แต่เราก็จะรู้ว่า โอเค มันจบได้ประมาณไหน รู้ว่าความสามารถในการทำงานเป็นยังไง UNLOCKMEN: อะไรคือสิ่งที่กระบวนการดิจิทัลทดแทนฟิล์มไม่ได้แน่ ๆ ถ้าเป็นผมเอง ผมจะถ่ายฟิล์มขาวดำเยอะกว่า มันต้องจบที่การปรินท์รูปในห้องมืด ส่วนอย่างอื่นก็เป็นกระบวนการที่เข้ามาช่วย เช่น การสแกนเพื่อให้เห็นว่ารูปที่ถ่ายมาแล้วมันจะเป็นยังไง