เคยอยู่ในภาวะแบบนี้ไหม สักครั้งที่หัวใจของเราเยียบเย็น เศร้าลึก ซึมนาน และเริ่มรู้สึกว่าปฏิกิริยาที่มีกับเรื่องเดิม ๆ เริ่มไม่เหมือนเก่า เสียใจแต่ไม่มีน้ำตา สนุกแต่หัวเราะไม่ออก ถ้าคุณกำลังอยู่ในสภาพนี้มาสักระยะโดยไร้สาเหตุ บางทีนี่อาจเป็นสัญญาณเบื้องต้นที่บอกว่าคุณเข้าใกล้สิ่งที่เรียกว่า “Melancholia” เข้าไปทุกที ร้องไห้ไม่ได้ เพราะน้ำดีสีดำ Melancholia (เมลานโคเลีย) คืออะไร? Melancholia เป็นศัพท์ที่ใช้เรียกความเศร้ามาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ โดยมีที่มาจากคำว่า “melaina kole” หมายถึง “น้ำดีสีดำ” ซึ่งตามความเชื่อของแพทย์กรีกในยุคนั้นลงความเห็นว่ามันเป็นสาเหตุของความเศร้า อ้างอิงจาก Humors หรือของเหลวทั้ง 4 ในร่างกายมนุษย์ที่เชื่อว่าทำหน้าที่ควบคุมร่างกายและจิตใจมนุษย์ แต่น้ำดีสีดำนี้ถ้ามีมากเกินไปแพทย์ก็มีวิธีแก้ไขมันเช่นกันผ่านการปรับสมดุลด้วยการเปลี่ยนอาหารหรือให้ยารักษาทางการแพทย์ เมื่อวิธีการปรับความเศร้าเข้าสมดุลของ Melancholia มองความเศร้าว่าเป็น “โรค” ที่หายได้และต้องได้รับการ “รักษา” ประกอบกับหลักแนวคิดของมันที่กล่าวถึงสารเคมีในร่างกายที่เปลี่ยนแปลงทำปฏิกิริยาจนเป็นตัวบ่มความเศร้า ชื่อนี้จึงถูกนำมาใช้เรียกประเภทของอาการซึมเศร้ารุนแรงในปัจจุบันสำหรับอาการที่ไร้ความรู้สึกต่อทุกสรรพสิ่งรอบตัว และเป็นภัยเงียบไปสู่การฆ่าตัวตาย Melanchonia ไม่ใช่การกลั้นน้ำตาของลูกผู้ชาย ถ้าคุณร้องไห้ไม่ออกเพราะความรู้สึกกดทับที่เกิดขึ้นจากการเป็นผู้ชาย นั่นอาจจะไม่ใช่ Melancholia เพียงแต่เป็นการสะกดน้ำตาในระดับค่านิยมทางวัฒนธรรมที่มองว่าผู้ชายที่หลั่งน้ำตาออกมาคือผู้ชายอ่อนแอเท่านั้น แต่ด้วยค่านิยมเดียวกันนี้ก็ทำให้ความหมายของ “น้ำตาลูกผู้ชาย” ซื่อสัตย์ ยิ่งใหญ่และมีเกียรติขึ้น เช่น ซามูไรและนักรบยุคกลายของญี่ปุ่นที่แสดงความรู้สึกต่อโศกนาฎกรรมด้วยการร้องไห้ เป็นต้น นอกจากนี้
ในบางครั้งเราอาจรู้สึกโดดเดี่ยวและคิดว่ามีเพียงแค่เราเท่านั้นที่ไม่สามารถจัดการกับความรู้สึกแย่และผิดหวังให้ออกไปจากใจได้ แต่แท้จริงแล้วในโลกใบนี้มีคนมากกมายกำลังเผชิญกับความรู้สึกด้านลบและพยายามกำลังจัดความรู้สึกแย่ ๆ ออกไปอยู่เช่นกัน ดังนั้น UNLOCKMEN จึงอยากตบบ่าแนะนำวิธีที่จะทำให้คนที่กำลังเผชิญหน้ากับความเครียด ความเศร้าและความรู้สึกแย่ ๆ ให้สามารถผ่านมันไปให้ได้ เพราะโลกไม่ได้มีเพียงเราแค่คนเดียวที่กำลังเครียด จากการสำรวจในงานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่าชาวอเมริกันจำนวนกว่า 16 ล้านคน ไม่สามารถจัดการกับความรู้สึกแย่ ๆ ได้ และจากความเครียดที่ต้องเผชิญจึงทำให้โรคซึมเศร้ากลายเป็นอาการทางจิตเวชที่พบมากเป็นอันดับหนึ่งในสหรัฐ ฯ บุคคลที่ทางการแพทย์ให้คำนิยามว่าเป็น โรคซึมเศร้า จะมีอาการหลายอย่างที่แสดงออกมาอย่างเช่น ความเครียด ความเศร้า ไม่อยากทำอะไร ไม่อยากเคลื่อนไหวร่างกายมากนัก หรือลดความสนใจในกิจกรรมที่เคยชื่นชอบ ไม่อยากอาหาร รวมถึงนอนหลับไม่สนิท บางคนอาจจะยังไปไม่ถึงคำว่าโรคซึมเศร้า หากมีความเครียดอยู่ในหัวตลอดไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม การใช้ชีวิตในแต่ละวันจะมีความยากลำบากมากขึ้น อย่างเช่นการสะบัดผ้าห่มแล้วลุกออกจากเตียงอาจกลายเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก และความเครียดจะก่อให้เกิดความรู้สึกว่าไม่พร้อมก้าวออกจากเตียงเพื่อเผชิญหน้ากับสิ่งต่าง ๆ ในแต่ละวัน เพราะมวลความเครียดที่กระจายอยู่ทั่ว ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสุขภาพจิตหลายคนจึงได้แบ่งปันเคล็ดลับที่จะทำให้ผู้ที่มีความเครียดหรือความกังวลใจสามารถเริ่มต้นวันใหม่ได้อย่างราบรื่น วางแผนล่วงหน้าก่อนลุกจากเตียง หากวันไหนเริ่มรู้สึกว่ากลุ่มก้อนความสิ้นหวังกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ การสำรวจอารมณ์ของตัวเองในตอนเช้ารวมถึงวางแผนเตรียมรับมือกับสิ่งที่กำลังจะเจอเมื่อลุกจากเตียงคือการเริ่มต้นที่ดี เช่น การตั้งปลุกล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงก่อนที่จะตื่นขึ้นจริง ปกติเราอาจตื่นตอน 8 โมงเช้า ก็ให้เปลี่ยนไปตั้งปลุกเป็น 7 โมง และลุกออกจากเตียงอีกหนึ่งชั่วโมงให้หลัง Harben Bradford นักจิตวิทยาในรัฐจอร์เจียกล่าวว่า
ภาพลักษณ์แสนดุดันและน้ำเสียงทรงพลังอันเป็นเอกลักษณ์ของ Corey Taylor ทำให้เขาเป็นเหมือน Trademark ของทั้งสองวงที่เขาเป็นสมาชิก ทั้ง Stone Sour และ Slipknot แม้เขาจะไม่ได้เป็นฟรอนต์แมนคนแรกแบบดั้งเดิมของวง แต่พอก้าวเข้ามารับตำแหน่งเขากลายเป็นที่รักของแฟน ๆ และเพื่อน ๆ ในวงชนิดที่ไม่มีใครกังขาในจุดที่เขายืนอยู่เลยแม้แต่น้อย ทว่าทุกอย่างบนโลกนี้ไม่ได้มีแค่ด้านเดียว เบื้องหลังความสำเร็จและภาพลักษณ์อันดุดัน ยังมีมุมมืดที่เขาต้องเผชิญและก้าวผ่านมันมาได้ด้วยตัวเอง มาดูเรื่องราวในอีกมุมที่ปลุกปั้นให้เขาเป็น Corey Taylor อย่างในวันนี้ หลายคนคงเคยทราบกันมาบ้างว่า Corey เอง เคยต่อสู้กับโรคซึมเศร้ามานาน สาเหตุมาจากเหตุการณ์กระทบกระเทือนจิตใจในวัยเด็กอย่างการถูกล่วงละเมิดทางเพศในช่วงวัยรุ่นเหมือนกับคนอื่น เขากลายเป็น “เหยื่อ” ของผู้ไม่หวังดี ที่แฝงตัวมาในรูปแบบของเพื่อนบ้านที่แสนดี เขาเป็นเพื่อนที่สนิทกันอย่างรวดเร็ว กิน เที่ยว ดื่ม เล่นดนตรีด้วยกัน จนกระทั่งวันที่เปลี่ยนทุกอย่างไป หลังจากเหตุการณ์นั้น เขาเลือกที่จะปิดปากให้สนิทเพื่อแลกกับความปลอดภัยของตัวเองและแม่ จนมันกลายเป็นแผลในใจของเขาเสมอมา เรื่องราวเหล่านั้นเป็นเหมือนฝันร้ายที่ตามมาหลอกหลอนเขาเรื่อยมา จนทำให้เขาค้นพบว่าการมองหาแสงสว่างให้กับตัวเองส่งผลให้ตัวเขาดีขึ้นรวมถึงผลงานเพลงของเขาด้วยเช่นกัน สำหรับบางคนเรื่องราวเหล่านี้อาจเป็นบาดแผลที่ยังคงคอยทิ่มแทงให้จมอยู่กับฝันร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ Corey เลือกทางที่แตกต่างออกไป เขาเอาเรื่องราวเหล่านั้นมาหล่อหลอมให้ตัวเองแข็งแกร่ง ให้มันเป็นอุปสรรคที่หินที่สุดแล้วก้าวออกจากมันมาให้ได้ แล้วมันจะกลายเป็นเพียงด่านง่าย ๆ ที่เราเคยก้าวผ่านมันมาแล้ว และทำให้เขาแข็งแกร่งอย่างที่เป็นในทุกวันนี้ “ผมมองโลกด้วยสายตาที่ชัดเจนมากขึ้น” “ผมเริ่มมองหาความสงบให้ตัวเอง
ปัจจุบันโรคซึมเศร้านั้นเป็นโรคที่เกิดขึ้นกับวัยรุ่นและกลุ่มวัยทำงานมากที่สุด ทำให้หลายคนมองข้ามโรคซึมเศร้าที่เกิดขึ้นกับพ่อแม่มือใหม่หรือหญิงสาวตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรให้ความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะด้วยความไม่รู้ทำให้สังเกตอาการได้ยาก หากรับมือไม่ทันก็จะสร้างความสูญเสียให้แก่คู่สามีภรรยาที่กำลังจะสร้างครอบครัวเป็นอย่างมาก สำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ เมื่อรู้ว่ากำลังจะมีลูก สิ่งที่ทั้งคู่มักพุ่งเป้าให้ความสนใจเป็นส่วนใหญ่คือการศึกษาอาการในช่วงตั้งครรภ์ ซึ่งในบางครั้งอาจจะลืมและมองข้ามการศึกษาอาการและผลกระทบต่าง ๆ หลังคลอด อย่างเช่นอาการซึมเศร้าหลังคลอดบุตร ที่จะถือเป็นจุดเปลี่ยนและเป็นช่วงเวลาอันตรายที่ส่งผลกระทบต่อครอบครัวได้มากกว่าที่คิด อาการซึมเศร้าหลังคลอด เป็นเรื่องที่ต้องหมั่นสังเกตและให้ความใส่ใจกันเป็นอย่างมาก เคยมีกรณีชายหนุ่มที่ต้องสูญเสียภรรยาไปด้วยโรคซึมเศร้าหลังคลอด อย่างเช่นกรณีของ Kim Chen ที่แต่งงานกับแฟนสาวพยาบาล และเมื่อแฟนสาวของเขาตั้งครรภ์ ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดีจนถึงขั้นสร้างครอบครัวด้วยกัน กระทั่งเมื่อภรรยาของเขาคลอดลูกก็เริ่มเกิดความเครียด เวลาผ่านไปสองเดือน ภรรยาของเขาได้หายตัวไป Chen โทรแจ้งตำรวจและสุดท้ายก็พบว่าภรรยาของเขาได้เสียชีวิตลงจากการฆ่าตัวตายเพราะความเครียดจากโรคซึมเศร้าหลังคลอดบุตร ดังนั้นการหมั่นดูแลเรื่องอารมณ์ของภรรยาหลังคลอดลูกจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ชายเรามองข้ามไม่ได้เด็ดขาด โดยอาการซึมเศร้าหลังการคลอดบุตรแบ่งได้เป็น 3 ระยะ ระยะที่หนึ่ง ภาวะอารมณ์เศร้าหลังคลอด หรือ Postpartum Blue ที่คนนิยมเรียกสั้น ๆ ว่า Baby Blue อาการในระยะแรกถือเป็นอาการปกติที่สามารถเจอได้ทั่วไปสำหรับคุณแม่ที่พึ่งคลอด โดยจะมีความรู้สึกเศร้าซึมประมาณ 3-10 วันหลังจากคลอดบุตร เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอย่างฉับพลัน รวมถึงความเครียดและแรงกดดันจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น เรื่องความสัมพันธ์ของคู่สมรส สุขภาพของทารก การคลอดบุตรก่อนกำหนด รวมถึงสภาวะทางเศรษฐกิจและสังคม ด้วยเหตุผลต่าง ๆ จึงทำให้มีอาการอ่อนเพลีย
คำว่ามังงะหรือการ์ตูนนั้นคือสิ่งที่อยู่คู่กับเด็กมาอย่างยาวนาน เป็นมายาคติทางสังคมที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัยทั้ง 2 สิ่งนี้ก็ไม่เคยถูกแยกออกจากกัน แต่แท้จริงแล้วในโลกมังงะอันกว้างใหญ่นั้น มีผลผลิตมากมายที่เด็ก ๆ ไม่ควรแม้แต่จะเปิดอ่าน เพราะเนื้อหาอัดแน่นไปด้วยความรุนแรง เลือด ภาพชวนอาเจียน หรือแม้กระทั่งเซ็กซ์ แต่ผู้ใหญ่ทั้งหลายที่พ้นวัยทำใบขับขี่มาแล้วสามารถอ่านได้อย่างไม่มีปัญหา ดังนั้นสำหรับใครที่กำลังโหยหามังงะเนื้อหาหนักหน่วงอยู่ล่ะก็ วันนี้เรามีมาแนะนำด้วยกันทั้งหมด 5 เรื่อง รับรองว่าดาร์กสมใจแน่นอน Berserk Written by: เคนทาโร่ มิอุระ ถึงแม้เรื่องนี้จะขึ้นแท่น ‘มังงะที่อาจไม่ได้อ่านตอนจบในชาตินี้’ แต่ถ้าพูดถึงมังงะสายดาร์กแล้วไม่มี Berserk อยู่ในลิสต์คงเป็นอะไรที่ไม่น่าให้อภัยเป็นอย่างยิ่ง เพราะมังงะเรื่องนี้คือตำนาน และเป็นรุ่นบุกเบิกของมังงะสายดาร์กเลยก็ว่าได้ Berserk เล่าเรื่องของ ‘กัทส์’ เด็กกำพร้าที่มีชะตากรรมน่าสงสาร ทุกสิ่งโหดร้ายกับเด็กชายคนนี้ตั้งแต่ลืมตาดูโลก เขาเติบโตขึ้นมาเป็นทหารรับจ้างผู้โดดเดี่ยว กัทส์ต้องต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดในแผ่นดินที่เต็มไปด้วยสงคราม ไม่เพียงเท่านั้น เขายังต้องพบเจอทั้งการถูกหักหลังและเรื่องราวสุดเลวร้ายเกินจินตนาการ ไม่เพียงเนื้อเรื่องจะเข้มข้นเท่านั้น ในส่วนของลายเส้นก็ดุเดือดไม่แพ้กัน ผู้เขียนใช้เทคนิคการถมดำเพื่อสื่อความรุนแรงของเรื่องให้ออกมาสมจริงที่สุด เรียกว่าหยิบมาอ่านเมื่อไรก็มือดำเมื่อนั้น สำหรับใครที่กำลังอยากเสพเนื้อหาหนักหน่วงรุนแรง Berserk คือมังงะระดับตำนานที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง Junji Ito สำหรับลำดับที่ 2 ในลิสต์นี้ไม่ใช่ชื่อของมังงะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่เป็นชื่อของนักเขียนการ์ตูนชื่อดังผู้ได้รับฉายา ‘ราชาแห่งการ์ตูนสยองขวัญ’ ผลงานของอาจารย์จุนจิ อิโต้
“คุณเข้าโซเชียลมีเดียครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ และใช้เวลากับมันนานแค่ไหน” ว่ากันตามตรง ประโยคคำถามข้างต้นมันเป็นคำถามที่ส่วนตัวแล้วเราเองก็ไม่ค่อยอยากจะเอามาพูดถึงบ่อย ๆ เพราะมันเป็นเรื่องที่งานวิจัยหลายชิ้นระบุตรงกันอยู่แล้วว่าถ้าใช้มากไปก็อาจมีผลเสียตามมา แต่พวกเราหนุ่มเมืองยังคงต้องใช้มันเป็นช่องทางสื่อสาร ส่งงาน แชร์ความรู้ หรือประชุมงาน ดังนั้น เวลามีเรื่องอัปเดตเกี่ยวกับข้อมูลพฤติกรรมการใช้โซเชียลที่น่าสนใจ มีผลกับเราโดยตรง เราจึงเห็นว่าตัองเอามาบอกกัน เพราะอย่างน้อยรู้ไปก็ดีกว่าไม่รู้ ส่วนจะจัดสรรเวลาให้ดีขึ้นได้ไหม เราเองก็คิดว่าต่อให้แน่นแค่ไหนก็คงยังพอมีทางออกให้ได้บ้าง IG, SNAPCHAT & FACEBOOK gonna killed US? ล่าสุดในวารสาร Journal of Social and Clinical Psychology ประจำเดือนธันวาคมตีพิมพ์ผลวิจัยที่ว่าด้วยการเชื่อมโยงระหว่างการใช้โซเชียลมีเดียกับความเหงาว่ามันติดกันมาเป็นแพ็คคู่ โดย Penn research เขาวิจัยกันจริงจังด้วยการทดลอง “ตัดขาด” คนจากโซเชียลมีเดียทั้งหลาย ไม่ว่าจะ Facebook, Snapchat และ IG แล้วพบว่าสุขภาพมันดีขึ้นจริง ๆ การทดลองนี้ใช้คนเข้าร่วมวิจัยทั้งหมด 143 คน (ผู้หญิง 108 คนและผู้ชาย 35 คน) จากกลุ่มนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่ University
หนึ่งในอาการป่วยที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุดในสังคมคงไทยช่วงที่ผ่านมาคงหนีไม่พ้น ‘โรคซึมเศร้า’ โรคที่อยู่ ๆ ก็ได้รับความสนใจทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนอยู่ในเงามืด แทบจะไม่มีใครรู้จักด้วยซ้ำ อาจเป็นเพราะความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่ทำให้คนในสังคมมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น ผู้ป่วยจิตเวชหรือการไปหาจิตแพทย์ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือโดนแปะป้ายตีตราว่าเป็น ‘คนบ้า’ อีกต่อไป อย่างไรก็ตามไม่ใช่ทุกคนจะเข้าใจเรื่องนี้ ยังมีบางส่วนที่ขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ ‘โรคซึมเศร้า’ อยู่ โดยเหมารวมว่ามันคือ ‘ความอ่อนแอของจิตใจ’ ดังนั้นวันนี้ UNLOCKMEN จะพาไปทำความรู้จักและเรียนรู้เกี่ยวกับเจ้าโรคซึมเศร้าให้มากขึ้นจากการพูดคุยกับ รศ.นพ.ชาญวิทย์ พรนภดล หัวหน้าสาขาวิชาจิตเวชศาสตร์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลศิริราช หลังจากที่แนะนำตัวพูดคุยกันเล็กน้อย ผู้เขียนและทีมงาน UNLOCKMEN ก็เริ่มเข้าประเด็นในสิ่งที่พวกเราและคนทั่วไปอยากรู้ทันทีว่าจริง ๆ แล้วโรคซึมเศร้าคืออะไรกันแน่ อะไรคือคำนิยามของมัน เป็นโรคทางกายภาพล้วน ๆ ไม่เกี่ยวข้องกับความอ่อนแอของจิตใจหรือเปล่า? “จริง ๆ โรคซึมเศร้าจัดเป็นโรคทางจิตเวช ชื่อภาษาอังกฤษคือ Mental Disorder เป็นโรคทางจิตเวชที่แสดงออกมาเป็นปัญหาทางอารมณ์ แต่มีต้นเหตุจากความผิดปกติของสมอง สิ่งแวดล้อมและจิตใจ นั่นหมายความว่าสาเหตุของโรคซึมเศร้าคือสาเหตุที่เกิดจากภาวะผิดปกติภายในร่างกาย ภายในสมองของเราที่ผลิตสารสื่อประสาทอันเกี่ยวข้องกับความสุขลดต่ำลง ตัวกระตุ้นที่ทำให้อาการตรงนี้มันผิดปกติอาจจะเกิดจากยีน หรือสภาวะจิตใจที่มีเรื่องมากระทบในขณะนั้นครับ เช่น ผิดหวัง ตกงาน มีการสูญเสีย หรืออาจเกิดจากสิ่งแวดล้อม เรื่องสภาวะกดดัน ภาวะที่ขาด Support จากคนรอบข้าง หรือขาดความช่วยเหลือทางด้านจิตใจ
เวลาที่เรารู้สึกซึมเศร้า ไม่ว่าจะเกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราว หรือป่วยเป็นโรคซึมเศร้า หนึ่งในสิ่งที่ช่วยให้ความรู้สึกดีขึ้นได้ ก็คือการโฟกัสกับการทำกิจกรรมที่มัน healthy กับชีวิต ง่าย ๆ ก็คือออกกำลังกายนี่แหละครับ ซึ่งไอ้การยืดเส้นยืดสายออกแรงเพื่อให้เสียเหงื่อเป็นหนึ่งในกิจกรรมรายวันที่ใช้บำบัดอาการซึมเศร้ามานาน แต่การออกกำลังกายแบบไหนที่เหมาะกับการคลายอาการดังกล่าวมากที่สุด ? สำหรับท่านที่มีอาการซึมเศร้า และไม่รู้ว่าจะเริ่มออกกำลังกายแบบไหนดี ผลการวิจัยล่าสุดระบุว่า Strength Training คือการเริ่มต้นที่ดีที่สุด การออกกำลังกายแบบนี้ก็คือการเล่นกล้าม มุ่งเป้าไปที่การเพิ่มความแข็งแรงของมวลกล้ามเนื้อ ด้วยการยกเวทและวิธีอื่น ๆ แตกต่างจากการออกกำลังกายแบบแอโรบิก (Aerobicexcercise) ที่เน้นออกแรงอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มสมรรถนะของระบบหัวใจหลอดเลือด เช่น วิ่ง ปั่นจักรยาน หรือเล่นกีฬาต่าง ๆ จากข้อมูลจากล่าสุดที่ตีพิมพ์ลงใน JAMA Psychiatry ทำให้เรารู้ว่า การออกกำลังกายแบบมีแรงต้าน (resistance exercise training หรือ RET) เช่น การยกเวท และ Strength Training ที่สามารถช่วยให้โครงสร้างร่างกายของเราแข็งแรงขึ้น และทำให้สมองปลอดโปร่ง คิดอะไรคม ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ยังสามารถช่วยให้คนที่เป็นโรคซึมเศร้าสามารถควบคุมภาวะอาการของตัวเองได้ดีขึ้นด้วย และสมควรได้รับบทบาทเป็นพระเอกเรื่องสุขภาพที่จะมาเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยปราบอาการที่เป็นที่พูดถึงกันทั้งโลก ขณะที่ TIME ก็นำเสนอผลงานวิจัยของ Brett Gordon นักศึกษาจบใหม่ในสาขาพลศึกษาและวิทยาศาสตร์การกีฬาจาก Ireland’s University of
หลายครั้งที่ชีวิตของเราเผชิญกับปัญหาสารพัดรูปแบบที่เข้ามาทดสอบ อาจจะผ่านไปได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่สิ่งสำคัญคือเราได้เผชิญหน้ากับมันและเรียนรู้จากบทเรียนและบาดแผลที่ได้รับ แม้จะฝากแผลเป็นเอาไว้ แต่มันก็คือสิ่งที่คอยย้ำเตือนว่าเราได้อะไรบางอย่างกลับมาจากการต่อสู้กับปัญหาครั้งนี้ เช่นเดียวกับ “Gary Lightbody” ฟรอนต์แมนจาก Snow Patrol ที่ต้องเผชิญกับปัญหาเกี่ยวกับจิตใจ จนเขาไม่อาจทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ เขาต้องพักงานเพลงของวงเอาไว้ และในวันนี้ที่เขากลับมาอีกครั้ง พร้อมผลงานใหม่จากวง UNLOCKMEN อยากจะนำเสนอเรื่องราวระหว่างที่เขาต้องต่อสู้กับสภาพจิตใจที่ไม่แข็งแรง ว่าเขาผ่านมันมาได้ยังไงและในวันที่เขากลับมาอีกครั้งพร้อมผลงานใหม่ล่าสุด จะเป็นยังไงบ้างมาดูกัน ทำความรู้จักกับ Snow Patrol คอเพลงอัลเทอร์เนทีฟร็อกคงคุ้นเคยกับวงไอริชวงนี้ดี เจ้าของผลงานฮิตติดหูอย่าง Chasing Cars, Signal Fire, Run ซึ่งวงนี้ได้รวมตัวกันตั้งแต่สมัยที่พวกเขายังเรียนมหาวิทยาลัยในปี 1994 ก่อนจะมาประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียงเป็นเจ้าของเพลงฮิตได้อย่างทุกวันนี้ พวกเขาต้องผ่านการออกอัลบั้มมาไม่รู้เท่าไหร่ ตั้งแต่อัลบั้ม EP ในตอนแรก และ 2 อัลบั้มกับค่ายเก่าอย่าง Songs for Polarbears และ When It’s All Over We Still Have to Clear Up แม้จะเป็นอัลบั้มอย่างเป็นทางการแล้ว
“โรคซึมเศร้า” กลายเป็นประเด็นที่เราพูดถึงกันมากขึ้นทุกทีและคนรอบตัวเราก็ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้กันมากขึ้น ๆ อย่าคิดว่า “เฮ้ย เราเป็นผู้ชายอกสามศอก” ไม่มีทางเป็นโรคนี้หรอก UNLOCKMEN อยากบอกว่าโรคซึมเศร้าก็ไม่ต่างจากโรคทางกายภาพอื่น ๆ มันไม่สำคัญว่าเราเป็นเพศอะไร จิตใจแข็งแกร่งแค่ไหน หรือชีวิตสมบูรณ์พร้อมเพียงใด ความป่วยไข้ก็คือความป่วยไข้ที่อาจเดินทางมาหาได้ทุกเมื่อ ที่สำคัญผลการสำรวจพบว่าผู้ชายที่เป็นโรคซึมเศร้าฆ่าตัวตายสำเร็จมากกว่าผู้หญิงถึง 3 เท่า เพราะผู้ชายอย่างเรามักมีความเป็นผู้นำ ความเข้มแข็งที่มันค้ำคอว่า “เป็นผู้ชายห้ามเศร้าให้ใครเห็น” เวลาระเบิดตู้มออกมาจึงแหลกละเอียดทำลายแม้กระทั่งชีวิตตัวเอง UNLOCKMEN ไม่อยากให้ใครไปถึงจุดนั้น มาทำความทำความรู้จักโรคซึมเศร้าไปพร้อม ๆ กันเพื่อจะเข้าใจตัวเองและผู้อื่นมากขึ้นกันเถอะ เรื่องเล่าจากยอดภูเขาน้ำแข็ง ถ้าจะให้พูดถึงหนังสือเรื่องโรคซึมเศร้าเล่มที่ผู้คนพูดถึงมากที่สุดเล่มแรก ๆ ในไทยก็คงหนีไม่พ้น”เรื่องเล่าจากยอดภูเขาน้ำแข็ง”ที่การันตีด้วยรางวัลนายอินทร์อวอร์ดเล่มนี้ นี่คือเรื่องเล่าของผู้หญิงคนหนึ่งที่เผชิญหน้ากับโรคซึมเศร้ามาอย่างหนักแน่นนานกว่า 7 ปี การเดินทางจากช่วงชีวิตที่จมน้ำแสนเหน็บหนาว ฝ่าฟันจนก้าวขึ้นสู่ปลายยอดของภูเขาน้ำแข็งแล้วมาถ่ายทอดเรื่องราวให้เราอ่านได้ รับรองเลยว่าเราจะเปิดใจรับคนใกล้ตัวที่ต้องอดทนกับโรคนี้มากขึ้น หรือเข้าใจตัวเองในฐานะเพื่อนร่วมโรคกับผู้เขียนได้อย่างรักตัวเองมากกว่าที่เคย สามวันดี สี่วันเศร้า ถ้าพูดถึง “ทราย เจริญปุระ” เราอาจนึกภาพผู้หญิงสวยแกร่งในละครหรือภาพยนตร์ไทยพีเรียดย้อนยุคทั้งหลาย ที่จะถ่ายทำฉากสุดโหดขนาดไหนเธอก็ไม่หวั่น ตั้งแต่ฉากที่เป็นผีนางนากห้อยหัวลงจากเพดานในภาพยนตร์เรื่องนางนากหรือเป็นเลอขิ่นบู๊สุดขีดบนหลังม้า สะพายธนูในตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช แต่สิ่งที่หลายคนไม่รู้คือเธอเองก็เป็นผู้ป่วยโรคซึมเศร้าคนหนึ่ง “สามวันดี สี่วันเศร้า”จึงเป็นหนังสือที่เธอออกมาเล่าประสบการณ์การเป็นผู้ป่วยโรคซึมเศร้าของตัวเอง ด้วยสำนวนอ่านง่าย เสพสนุก ทั้ง ๆ ที่เรื่องที่เธอต้องเผชิญมาทั้งหมดนั้นหนักหนาสาหัสจนผู้ชายอย่างเราหลาย ๆ