ด้วยประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 145 ปี ทำให้ Audemars Piguet (โอเดอมาร์ ปิเกต์) แบรนด์นาฬิกาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ถือเป็นแบรนด์ผู้ผลิตเครื่องบอกเวลาชั้นสูงที่เก่าแก่ที่สุด ซึ่งยังคงดำเนินธุรกิจสืบทอดกันในครอบครัวผู้ก่อตั้งมาจนปัจจุบัน (ตระกูลโอเดอมาร์และตระกูลปิเกต์) นับตั้งแต่ปี 1875 Audemars Piguet ยังคงผลิตเครื่องบอกเวลาที่เมือง Le Brassus (เลอ บราซูส์) โดยสืบสานฝีมือการทำงานของช่างผู้เชี่ยวชาญจากรุ่นสู่รุ่น พร้อมทั้งพัฒนาทักษะและเทคนิคใหม่ ๆ เพื่อขยายขอบเขตความชำนาญที่มีอยู่เดิม พร้อมทั้งเพิ่มขีดความสามารถอันนำไปสู่การก้าวข้ามขีดจำกัดที่เคยมีอย่างต่อเนื่อง ในช่วงปี 1970 โอเดอมาร์ ปิเกต์เริ่มต้นการเพิ่มสีสันบนหน้าปัดนาฬิกาด้วยอัญมณี ไม่ว่าจะเป็นโทนสีน้ำตาล สีเขียว และสีน้ำเงิน ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการออกแบบหน้าปัดนาฬิกาข้อมือเจเนอเรชันใหม่ที่ทั้งโดดเด่นและเปี่ยมชีวิตชีวาในช่วงปี 1990 และนับแต่นั้นเป็นต้นมาโอเดอมาร์ ปิเกต์จึงพัฒนาหน้าปัดสีสันต่าง ๆ มาจนถึงปัจจุบัน ล่าสุด Audemars Piguet แบรนด์เครื่องบอกเวลาชั้นสูงจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์เผยโฉมเหล่าโมเดลใหม่ของนาฬิกาข้อมือจากคอลเลคชั่น Royal Oak ที่มาพร้อมหน้าปัดใหม่ในโทนสีเขียว โดยในครั้งนี้ยังได้นำเสนอ Royal Oak “Jumbo” Extra-Thin ที่ถูกรังสรรค์ขึ้นด้วยแพลทินัม 950 ซึ่งมาพร้อมกับหน้าปัดสีเขียวสโมคกรีนในเทคนิค Sunburst และพิเศษยิ่งขึ้นกับรุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่นอย่าง
แฟชั่นเสื้อวงในบ้านเราถือว่าบูมขึ้นมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะเสื้อวงแนว Rock หรือ Metal นี่ยิ่งแล้วใหญ่ หลังจากที่มี Celebrity หยิบเอาเสื้อเหล่านี้มาใส่จนกลายเป็นกระแสเมนสตรีม และยิ่งถ้าตัวไหนหายาก เก่าเก็บ เข้าขั้นเป็นของเสื้อสะสมเสื้อวินเทจแล้วด้วยล่ะก็ ราคาอาจจะพุ่งทะยานไปไกลกว่าที่หลายคนคิด แต่พวกเราจะรู้หรือไม่ว่า เบื้องหลังของเสื้อวงระดับโลกที่มีลวดลายเท่ ๆ หรือบางลวดลายที่มีเอกลักษณ์จนกลายเป็นภาพจำของวงเหล่า หนึ่งในนั้นมีฝีมือคนไทยอยู่ด้วย ซึ่งวันนี้ UNLOCKMEN จะพาทุกคนไปรู้จักกับ คุณ หนุ่ย – ธนฤทธิ์ พรมภา หรือชื่อในวงการก็คือ “NAMSING” ศิลปินชาวไทยที่มีผลงานไปไกลระดับโลก และฝากผลงานการออกแบบลายเสื้อให้กับวง Rock/Metal ระดับรุ่นใหญ่ระดับตำนานมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็น AC/DC, Slayer, Slipknot, Muse, Rob Zombie และอื่น ๆ อีกมากมาย หากอยากรู้ว่าเขามีจุดเริ่มในเส้นทางสายนี้ได้ยังไง และอะไรคือแรงบันดาลใจที่ทำให้เขาก้าวมาถึงจุดนี้ได้ วันนี้เราจะไปพูดคุยกับ คุณ หนุ่ย กันแบบเจาะลึกแน่นอน จุดเริ่มต้นของการเป็นนักวาด “เริ่มจากผมเรียนจบวาดรูปมา พอจบมาก็มาเริ่มทำงาน แต่ต้องเปลี่ยนจากการวาดมือมาเป็นการใช้คอม แต่อย่างน้อยมันก็ยังเป็นงานที่ได้วาดรูปค่อนข้างจะตรงสาย แต่ถ้าจะพูดไปมันก็อาจจะไม่ได้ตรงขนาดนั้น เพราะเราใช้คอมวาดไม่ค่อยเป็นในตอนแรก
แม้ท้องฟ้า และผืนน้ำไม่อาจมาบรรจบ แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือสองสิ่งที่อยู่เคียงคู่กันตลอดมา เปรียบเสมือนนาฬิกานักบิน และ นาฬิกาดำน้ำ เรือนเวลายอดนิยมที่เรามักจะพบเห็นอยู่บนข้อมือของเหล่าสุภาพบุรุษทั้งหลาย ซึ่งหนุ่ม ๆ ผู้หลงใหลในเสน่ห์ของเครื่องบอกเวลาแทบทุกคน เป็นต้องมีนาฬิกาทั้ง 2 ประเภทเก็บเอาไว้ในคอลเลกชัน เพื่อเป็นไอเทมสำหรับสวมใส่เพิ่มความมั่นใจให้กับ Everyday Look รวมไปถึงโอกาสพิเศษต่าง ๆ และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ภาพของท้องนภา และห้วงมหาสมุทรซึ่งยังคงอยู่เคียงคู่ ณ เส้นขอบฟ้า จะมีโอกาสมาประดับบนข้อมือของสาวกเรือนเวลาอีกครั้ง กับ Avigation BigEye และ Legend Diver Watch คู่หูเรือนเวลาตัวแทนแห่งแผ่นฟ้า และ ผืนน้ำจาก Longines (ลองจินส์) แบรนด์เก่าแก่ระดับโลก อีกหนึ่งความภาคภูมิใจของนวัตกรรมเวลาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่ยืนหยัดมายาวนานกว่า 189 ปี นับตั้งแต่วันแรกที่ริเริ่มผลิตนาฬิกาในปี 1832 ที่เมือง Saint-Imier โดยนาฬิกาข้อมือ The Longines Avigation BigEye และ The Longines Legend Diver Watch รุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวออกมา บอกเลยว่าแต่ละเรือนนอกจากจะคงความคลาสสิก
Benedicte Piccolillo สาวอาร์ตมากความสามารถจากฝรั่งเศสเจ้าของ Design Studio ‘Voglio Bene’ ผู้เริ่มต้นจากเส้นทาง Photographer จากนั้นจึงผันตัวสู่การเป็น Digital Graphic จากการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ผลงานที่โดดเด่นของ Piccolillo คืองานอาร์ตที่ผสมผสานความเป็น Renaissance กับ Modernity เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว โดยการใช้แรงบันดาลใจจากผลงานศิลป์เก่าแก่จากยุค Middle Ages จาก Italian และ Spanish ที่มักจะเกี่ยวข้องกับศาสนา นำมาเพิ่ม graphci design เข้าไปในงานต้นแบบจนกลายเป็นชิ้นงานที่ดูร่วมสมัย ทำให้มีวัง คฤหาสน์ หรือแม้แต่ Museums ที่มีผลงานเก่า ๆ มากมายมักจะชักชวน Piccolillo เพื่อร่วมงาน Colloboration โดยใช้ ‘coups de Coeur’ หรือการนำชิ้นงานเก่าแก่มา twist เพื่อจัดแสดงเป็น Exhibition ให้กับคนรุ่นใหม่ได้เข้าถึงงานศิลป์เก่าแก่ที่มีคุณค่า นอกจากงานอาร์ตเพื่อจัดแสดง
ผิวอ่อนนุ่มของมนุษย์เอาเข็มแหลมจุ่มสีจิ้มย้ำลงไปให้เลือดซิบ หมึกซึมเข้าไปในผิวหนัง จะได้รอยสักบ่งบอกตัวตน ผู้ชายกับรอยสักเป็นของคู่กัน แต่ที่อยู่กับรอยสักได้ดีไม่แพ้ผิวหนังมนุษย์ ก็ผิวของ “หินอ่อน” จากงาน Iconic ที่ถูกเพิ่ม “รอยสัก” เข้าไปจนกลายเป็นงานศิลป์ร่วมสมัย และมีศิลปินท่านนึงที่อาจหาญทำมันได้สำเร็จจนได้ Fabio Viale เกิดใน Cuneo ทางตอนเหนือของ Italy ประเทศที่ขึ้นชื่อด้านหินอ่อนคุณภาพดี เริ่มเข้ามาคลุกคลีกับวงการหินอ่อนเมื่อเข้าเรียนที่โรงเรียนศิลปะตอนอายุ 16 ปี นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขารู้สึกหลงใหลในวัสดุชิ้นนี้ ต่อมาเขาผลิตงานประติมากรรมสลักหินอ่อนมากมาย และมีผลงานบางส่วนที่โด่งดังเข้าตาวงการร้านขายของแอนทีค ถือเป็นจุดเริ่มต้นเส้นทางศิลปินเต็มตัวของ Fabio เส้นทางก่อนเป็นศิลปินอิสระ คือการสร้างรูปปั้นเพื่อตกแต่งสุสานในเมืองมิลาน แต่หลังทำไปสักพัก Fabio ก็เลือกเส้นทางศิลปินเดี่ยวออกมาทำงานคนเดียว ย้ายจากอิตาลีไปอยู่ทั้งนิวยอร์กและรัสเซีย มุ่งมั่นสร้างผลงานจนในที่สุดเขาก็มีผลงานสร้างชื่อเข้าจนได้ โดยมีรางวัล Cairo Prize ให้ชื่นใจเป็นชิ้นแรก กระทั่งปี 2015 เขาตัดสินใจทำงานร่วมกับ Poggiali Gallery ใน Florence เพื่อจัดนิทรรศการส่วนตัว และผลงานนั้นได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์เพราะได้รับเกียรติให้นำเข้าไปติดตั้งไว้ในโบสถ์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่างมหาวิหารซานโลเรนโซ แต่ทั้งหมดก็ยังไม่ไวรัลเท่างานล่าสุดที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้ เป็นการสร้างรูปปั้นไอคอนิกตามแบบที่สำคัญในประวัติศาสตร์ แล้วนำมาใส่รอยสักลงไปจากการตีความของ Fabio แต่มันไม่ได้ธรรมดาแค่นั้น เพราะจุดสำคัญคือรอยสักบนหินทั้งหมดนี้ไม่ได้ใช้วิธีทาสีทับธรรมดา แต่ใช้เทคนิคทำให้เหมือนสีซึมอยู่ด้านในจนดูคล้ายกับรอยสักมนุษย์จริง
ใครเคยเดินเหยียบเศษหมากฝรั่งที่คนถุยทิ้งไว้บ้าง? มันเป็นสิ่งที่กวนใจ สกปรกเลอะเทอะ เอาออกยาก แต่ด้วยความเหนียวหนืดของมัน จึงมีสองนักเรียนดีไซน์เนอร์ Hugo Maupetit และ Vivian Fischer คิดไอเดียการเปลี่ยนซากหมากฝรั่งให้เป็นล้อสเก็ตบอร์ดได้สำเร็จ ไอเดียนี้แจ่มตั้งแต่ขั้นตอนแรกคือการสะสมเศษซากหมากฝรั่งด้วยการออกแบบและติดตั้งบอร์ด “Gum Collection Board” ผลิตจาก polymethyl methacrylate (PMMA) plastic ให้คนแปะหมากฝรั่งเคี้ยวแล้วให้เป็นที่เป็นทาง จากนั้นจะมาเก็บไปทั้งกระดานสัปดาห์ละครั้ง 1 บอร์ดจะได้หมากฝรั่งประมาณ 60 ชิ้น ในขณะที่ล้อแต่ละอันจะใช้เศษหมากฝรั่งประมาณ 10 – 30 ชิ้น แล้วแต่ขนาดและความแข็งแรง ทั้งบอร์ดและหมากฝรั่งจะถูกส่งต่อไปที่โรงงานเผื่อผ่านกระบวนการใช้ความร้อนหลอมรวมกันก่อนจะแปลรูป ทำสี และพิมพ์ออกมาเป็นล้อสเก็ตบอร์ดในที่สุด ข้อดีของโปรเจคนี้คือ เมื่อล้อเหล่านี้พังเสียหาย ก็สามารถนำกลับไปกระบวนการแปรรูปได้อีกครั้ง แม้บอร์ด PMMA ที่เต็มไปด้วยเศษหมากฝรั่งจะดูไม่ค่อยสวยงาม แต่เรื่องการใช้งานถือว่าโอเคมาก เพราะลดการคายถุยทิ้งตามพื้นทางเดินได้ไปในตัว เพราะปัญหาการทิ้งเศษหมากฝรั่งใน UK นั้นค่อนข้างหนัก มีเพียง 10% ที่ทิ้งเป็นที่เป็นทาง อีก 90% ถูกทิ้งอย่างไม่เป็นระเบียบ และทุกปีต้องใช้งบประมาณถึง 2,700
บางคนอาจจะคิดว่าจักรยานก็แค่ยานพาหนะสองล้อ แต่สำหรับกลุ่มดีไซน์เนอร์ใน Extans ไม่ได้คิดแค่นั้น และนี่คือจักรยานที่น่าจะเรียกได้ว่าสวยงามที่สุดเท่าที่เคยมีมา Extans คือแบรนด์ที่เคยสร้างจักรยานระดับ masterpiece ผ่านตามาบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Akhal Shadow และ Shine ซึ่งราคาของทั้งสองรุ่นนี้ก็สูงถึง $20,000 – $25,000 และผลงานชิ้นล่าสุดที่ต้องการสร้างสรรค์จักรยานที่เลอค่าและหรูหราไม่ต่างจากเพชรที่สวยงามที่สุด และ Akhal Sheen bicycle คือจักรยานที่ตอบทั้งด้านดีไซน์และวัสดุที่ใช้ประกอบมันขึ้นมาได้แตกต่างและเหนือกว่าสองช้ินแรก Extans Akham Sheen ชื่อที่ได้มาจาก “Akhal-Teke” สายพันธุ์ม้าที่เก่าแก่ที่สุด มีจุดเด่นทั้งด้านความสวยงาม ความคล่องตัว อดทน ซึ่งแสดงถึงความสามารถของจักรยานคันนี้ได้ชัดเจน การออกแบบยึดตัวเลขที่สำคัญ 3 ตัวคือ 19, 21 และ 24 มาจากการผลิตจำนวนจำกัดเพียง 19 คัน แต่ละคันน้ำหนักเพียง 21 ปอนด์ หรือราว 9 กิโลกรัม และ 24 คือ ทอง 24k
ทำยังไงให้การปูแผ่น Solar สามารถเก็บพลังงานแสงอาทิตย์ได้อย่างมีศิลปะ และใช้ประโยชน์จากมันได้สูงสุดทั้งด้านพลังงานและการใช้สอย ถ้าเปลี่ยนจากแนวนอนเป็นภูเขา เราจะใช้แผ่น Solar ได้มากขึ้นบนพื้นที่เท่าเดิม มันจะดูสวยงาม และสามารถปรับใช้งานโครงสร้างได้ตามต้องการ เช่น ปีนผาจำลอง (Rock Climbing) คำตอบที่ได้คือ Solar Mountain ซึ่งไม่ได้มาจาก Engineer แต่เป็นงานดีไซน์เพื่อเทศกาลศิลปะ “Burning Man” ซึ่งมีแนวโน้มจะถูกสร้างจริงในฐานะแหล่งพลังงานของ “Fly Ranch” พื้นที่พัฒนาธรรมชาติยั่งยืนในทะเลทรายเวิ้งว้างทางตอนเหนือของ Nevada Solar Mountain ได้แรงบันดาลใจมาจากภูเขาซึ่งอยู่รอบ ๆ พื้นที่ ทำให้มันดูกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับ landscape ไม่ใช่สิ่งก่อสร้างที่เป็นพิษหรือแปลกปลอม โดยมี concept ในการตั้งต้นดีไซน์ว่า ‘grow energy’, ‘interact’, ‘play’ นอกจากจะสร้างพลังงานไฟฟ้าจากธรรมชาติได้แล้ว ยังหวังให้มันเป็นจุดที่คนจะมารวมตัวกัน และใช้เวลาทำกิจกรรมร่วมกันจากสถาปัตยกรรมทั้ง 4 ชิ้นนี้ได้ด้วย ภูเขา Solar แต่ละลูกจะมีขนาดความสูงประมาณ 30 เมตร และยาวประมาณ 5 – 30
หลังจากที่มีการเปิดตัวกล้อง Full-Frame Mirrorless ระดับพระกาฬตัวใหม่ล่าสุดจากค่าย แคนนอน ในรุ่น EOS R5 และ EOS R6 ไปเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยจัดเต็มเทคโนโลยีขั้นเทพมาให้อย่างครบครัน ใช้งานได้สุดทุกด้านไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพนิ่ง หรือการถ่ายภาพเคลื่อนไหว หรือพูดง่าย ๆ ว่ากล้องทั้ง 2 รุ่นนี้เกิดมาเพื่อกำหนดนิยามใหม่ของความสร้างสรรค์เลยก็ว่าได้ ซึ่งคำกล่าวที่พูดมาข้างต้นไม่ได้เป็นเพียงแค่คำพูดลอย ๆ เพราะมันถูกหยิบยกขึ้นมาปั้นให้เป็นรูปเป็นร่าง ต่อยอดแนวคิดนิยามใหม่ของความสร้างสรรค์ไปสู่อีกขั้นที่เหนือกว่า ในแบบที่ทุกคนสามารถเข้าไปสัมผัสกับประสบการณ์นี้ได้ใน Digital Exhibition ที่มีชื่อว่า ‘Canon EOS Rtist’ นิทรรศการที่จัดแสดงภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นผลงานของ 22 ศิลปินเลือดใหม่ไฟแรงที่กำลังเฉิดฉายในวงการงานสร้างสรรค์ ณ ปัจจุบัน ซึ่งสร้างสรรค์ผลงานเจ๋ง ๆ ออกมาผ่านกล้อง Canon EOS R5 และ EOS R6 รุ่นใหม่ล่าสุด และในวันนี้เราได้หยิบเอาผลงานที่น่าสนใจของศิลปินส่วนหนึ่งจำนวน 8 ท่าน มาให้ชาว UNLOCKMEN ได้ดูกัน เพื่อกระตุ้นต่อมกำเนิดแรงบันดาลใจ ปลุกไฟแห่งความคิดสร้างสรรค์ให้ลุกโชน ก่อนที่จะไปรับชมผลงานของเหล่า
เมื่อพูดถึงเรือนเวลาคุณภาพสูงที่สะท้อนจิตวิญญาณอเมริกันออกมาได้อย่างชัดเจน แน่นอนว่า Hamilton แบรนด์นาฬิกาซึ่งก่อตั้งขึ้นที่เมืองแลงคาสเตอร์ รัฐเพนซิลวาเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี 1892 คือชื่อแรกที่ผู้หลงใหลในเรือนเวลาต่างนึกถึง กับชื่อเสียงเรื่องมาตรฐานการบอกเวลาที่แม่นยำ พร้อมเสน่ห์ของการผสานจิตวิญญาณแห่งความเป็นอเมริกันเข้ากับความเที่ยงตรงตามแบบฉบับของนาฬิกาสัญชาติสวิส จนได้รับความไว้วางใจให้มีบทบาทในช่วงเวลาสำคัญของประวัติศาสตร์การบินมาอย่างยาวนาน ด้วยเกียรติประวัติการได้รับเลือกให้เป็นนาฬิกาที่ใช้งานบอกเวลาอย่างเป็นทางการของเที่ยวบินไปรษณีย์สหรัฐอเมริกา อีกทั้งยังมีส่วนร่วมในความสำเร็จของเที่ยวบินปฐมฤกษ์ในเส้นทางการบินเชื่อมระหว่างสองชายฝั่งของสหรัฐฯ นอกจากภาพลักษณ์ของเรือนเวลาที่เกี่ยวข้องกับวงการการบินอย่างแนบแน่น นาฬิกา Hamilton ยังได้รับการขนานนามให้เป็น The Movie Brand ที่สะท้อนภาพวัฒนธรรมความเท่แบบคลาสสิกสไตล์อเมริกันสู่สายตาชาวโลกได้อย่างน่าประทับใจ ยืนยันได้จากการที่นาฬิกาหลายต่อหลายรุ่นของ Hamilton ได้ไปอวดโฉมอยู่ในภาพยนตร์ Hollywood ระดับ Blockbuster มาแล้วมากมายกว่า 500 เรื่อง และต้องบอกว่าหนึ่งในเรือนเวลายอดนิยมตลอดกาลจาก Hamilton ที่บรรดาผู้นิยมในสไตล์ American Classic ต่างโปรดปราน คือตำนานนาฬิกา Chronograph ชื่อเรียบง่าย ที่เปิดตัวมาพร้อมกัน 2 รุ่นอย่าง Chronograph A และ Chronograph B ซึ่งหลายคนน่าจะรู้จักกันดีในชื่อ Hamilton Panda และ Hamilton Reverse Panda