แม้ว่ากระแสโควิดจะยังระบาดไปทั่วโลก ชะลอเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวให้ธุรกิจต้องหยุดชะงักไปตาม ๆ กัน แต่ทว่ากระแสเทรนด์แฟชั่นไม่ได้นิ่งหยุดตาม เพราะในโลกแห่งการแต่งตัวยังคงหมุนตัวไปยังรวดเร็วต่อเนื่องและไม่มีท่าทีว่าจะหยุดง่าย ๆ เสียด้วย ซึ่งเทรนด์แฟชั่นที่กำลังเป็นที่นิยมทั้งในและต่างประเทศประจำปี 2021 ยังคงเป็นเทรนด์ที่ฮิตต่อเนื่องมาจากปี 2020 นั้นคือ Utility ที่เป็นการผสมผสานวัฒนธรรมหลาย ๆ อย่าง ทั้งแฟชั่นญี่ปุ่นและยุโรป จนเกิดเป็นสไตล์ใหม่ สำหรับจุดสำคัญคือการที่ไอเทมเหล่านั้นจำเป็นจะต้องมีกระเป๋าอเนกประสงค์ให้เลือกใช้งาน เน้นความเรียบหรูไม่จำเป็นจะต้องมีลวดลายที่เยอะแยะให้ดูรกตา สำหรับสไตล์ Utility นั้นคือเสื้อผ้าที่เน้นฟังก์ชันเป็นหลัก โดยไม่จำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์ที่ตายตัว แต่ที่เราเห็นบ่อย ๆ คือเสื้อผ้าที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเครื่องแบบทหาร (Military) เนื่องจากเสื้อผ้าเหล่านี้คือเสื้อผ้าฟังก์ชันที่มีช่องกระเป๋าให้เก็บของมากมายเต็มไปหมด และสีสันส่วนใหญ่จะเน้นไปทาง Earth Tone ที่ดูสบายตาย ไม่ฉูดฉาดตา หากจะบอกว่าสไตล์นี้ฮิตขนาดไหน เพราะตั้งแต่แบรนด์บนรันเวย์อย่าง Louis Vuitton , Alyx ไปจนถึงสตรีทอย่าง Engineered Garments , Beams , Stussy ล้วนต้องมีลุค หรือไอเทมที่สอดคล้องกับแนว Utilitty สำหรับ Must Item
คอลัมน์ The Profiles เดือนนี้ เราขอพาทุกคนไปทำความรู้จักเรื่องราวของสตรีมากฝีมือเจ้าของตำแหน่งกราฟิกดีไซน์เนอร์คนแรกของ Apple ผู้พลิกโฉมวงการอินเตอร์เฟซคอมพิวเตอร์ในยุคกำลังตั้งไข่ ถ้าพูดถึงแบรนด์อย่าง Apple หลายคนคงจะนึกถึง Steve Jobs ศาสดา CEO ผู้ล่วงลับ หรือถ้าเป็นสาย Product Design ก็ต้อง Jony Ive ผู้ออกแบบ Mac มาแล้วหลายต่อหลายรุ่น แต่หนึ่งในฟันเฟืองคนสำคัญที่ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่ กับ Steve Jobs ปลุกปั้นเครื่อง Macintosh เครื่องแรกของโลก คือหญิงสาวที่ชื่อว่า Susan Kare (ซูซาน แคร์) และผลงานที่เธอฝากไว้นั้นมีอิทธิพลต่อวงการเทคโนโลยี และกราฟิกดีไซเนอร์อย่างไรบ้าง เชิญมาร่วมหาคำตอบไปพร้อมกันได้เลย ซูซาน แคร์ จบการศึกษาวิจิตรศิลป์จาก Mount Holyoke College พร้อมทั้งปริญญาโทและปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก เรียกได้ว่าเธอผู้นี้มีความรู้ความสามารถด้านการออกแบบไม่ใช่เล่น ๆ ประกอบกับในช่วงเวลานั้น Steve Jobs กำลังมองหาพันธมิตรที่จะสามารถฝึกอบรมซอฟต์แวร์ใหม่ ๆ เมื่อเขาได้ไปที่บริษัท Xerox ทำให้เขาต้องทึ่งกับสิ่งที่เขาได้เจอ
สุดยอดเลนส์ตระกูล M ของชาว Leica ที่มี f กว้างสุดใจ และให้โทนภาพที่คม สวย มี “visual signature” คาแรคเตอร์ของตัวเองชัดเจน วันนี้ถือเป็นโอกาสพิเศษที่ Noctilux-M ได้กลับมาอีกครั้งใน 2 บอดี้ คือสีดำ Standard Black ที่หาซื้อได้ทุกที่ กับบอดี้สีเงิน ที่มีจำนวนจำกัดเพียง 100 ตัว มีจำหน่ายเฉพาะชอป Leica เท่านั้น การกลับมาของ Noctilux ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ช่วงที่ถูกผลิตออกมาในปี 1966 – 1975 ถือเป็นสุดยอดเลนส์ที่มีรูรับแสงกว้างถึง f/1.2 และความคมชัดจากการใช้ aspherical elements เป็นครั้งแรกโดยเฉพาะที่ f2.8 ซึ่งหาได้ยากในเลนส์ตั้งแต่ยุคนั้นมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้ราคามือสองของเลนส์ตระกูล Noctilux เรียกว่าแข็งไม่มีตก ซื้อไปใช้ไม่มีคำว่าเสียใจ มันจึงเป็นเลนส์ที่พิเศษและชาว Leica ต่างต้องการมีไว้ในครอบครอง สำหร้บ Noctilux M50
หากให้หยิบยกเอาเรื่องของนาฬิกาดำน้ำรุ่นเด่นจาก SEIKO มาพูดคุยกัน เชื่อเหลือเกินว่าบรรดาสาวกทั้งหลายคงใช้สมญานามหรือชื่อเล่นแทนตัวของแต่ละรุ่น ไม่ว่าจะเป็น เต่า, มอนสเตอร์, ซูโม่, ซามูไร ไปจนถึงระดับจอมทัพอย่าง ‘โชกุน (Shogun)’ มาสนทนากันอย่างออกรส ชนิดที่ว่าคนวงนอกฟังแล้วอาจมีอาการงง พาลฟันธงไปว่ากำลังคุยเรื่องมังงะกันอยู่เป็นแน่แท้ ซึ่งต้องบอกว่าพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้คุยกันเรื่องการ์ตูน หรือหนังแฟนตาซีอะไรอย่างที่เข้าใจกัน แต่ต้องอธิบายว่าชื่อเล่นมากมายที่ถูกใช้ในการขนานนามนาฬิกาเรือนโปรด นั้นถูกนำมาจากจุดเด่นของรูปลักษณ์งานดีไซน์ในแต่ละรุ่น ยกตัวอย่างเช่น SEIKO โชกุน คือชื่อเล่นที่ถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับ SEIKO PROSPEX รุ่น SBDC007 ที่โดดเด่นด้วยภาพลักษณ์ความแข็งแกร่งของโลหะที่ใช้ ซึ่งก็คือวัสดุไทเทเนียมที่มีน้ำหนักเบาและมีความทนทานสูง เปรียบได้กับชุดเกราะที่โชกุน หรือเจ้าของตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดในสมัยก่อนสวมใส่ในยามออกรบ และไม่ใช่เพียงแค่วัสดุที่ทำให้ได้มาซึ่งสมญานามโชกุน แต่งานดีไซน์ในส่วนต่าง ๆ ยังสะท้อนจิตวิญญาณชุดเกราะของจอมทัพออกมาอย่างได้ชัดเจน ทั้งในส่วนของ Pointed Markers บนขอบหน้าปัดที่ดูแข็งแกร่ง และ Triangular Notches ที่ออกแบบเพื่อให้หมุนขอบตัวเรือนได้อย่างกระชับ มั่นคง แม่นยำ ตอกย้ำให้ผู้ที่ได้สวมใส่นาฬิกาเรือนนี้รู้สึกได้ว่าความแกร่ง ผสานกับความประณีต รวมถึงน้ำหนักที่เบาของวัสดุไทเทเนียม นั้นควรค่าที่จะเป็นชุดเกราะคู่ใจของโชกุนผู้เกรียงไกร จนกลายเป็นที่มาของชื่อ ‘โชกุน’ นาฬิกาดำน้ำที่เบาที่สุดจาก SEIKO ที่หลายคนยกให้เป็นตำนาน โดยเหตุผลที่ได้กลายเป็นตำนานนั้น
MB&F คือหนึ่งในชื่อของแบรนด์ Independent watch maker ซึ่งเป็นที่ต้องการของนักสะสม เป็นที่รู้จักในเรื่องของความสร้างสรรค์ในการนำเสนอเรือนเวลาที่หรูหราและฉีกกรอบดีไซน์อยู่เสมอ และหนึ่งในนาฬิกาของ MB&F ที่ถูกเรียกขานว่าเป็นต้นแบบแรงบันดาลใจในงานดีไซน์แนว retro-futuristic มาจนถึงปัจจุบันก็คือ 2010 MB&F HM4 Thunderbolt ตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 100 เรือน แน่นอนว่าถูกจองจนหมดภายในเวลาแค่ชั่วพริบตา MB&F HM4 Kittyhawk เกิดขึ้นเพื่อฉลองอายุ 10 ปี MB&F ได้เปิดตัวนาฬิกาซีรีส์ Horological Machine 4 ออกมาอีกครั้งในชื่อรหัส “Kittyhawk” นำเอา prot0type เดิมมาดัดแปลงรายละเอียดที่ได้ต้นแบบจากเครื่องบินรบ Curtiss P-40 Kittyhawk ที่โด่งดังในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเฉพาะ iconic graphics สุดโหดของเครื่องบินที่ทำให้หลายคนจดจำมันได้อย่างง่ายดาย เช่นเดียวกับ MB&F HM4 Thunderbolt ตัวเรือน titanium case
รองเท้า คือหนึ่งในไอเทมสำคัญที่ผู้ชายอย่างเราให้ความสำคัญ จึงไม่แปลกที่หนุ่ม ๆ แต่ละคนจะมีรองเท้าหลากรุ่นหลายสไตล์เก็บเอาไว้ในครอบครองสำหรับสวมใส่ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นรุ่นใหม่หรือรองเท้ารุ่นคลาสสิก ขณะเดียวกัน ทุกคนคงทราบดีว่ารองเท้ารุ่นคลาสสิกที่เราเห็นในปัจจุบันหลายรุ่น ต่างมีจุดเริ่มต้นมาจากการเป็น “รองเท้ากีฬา” ไม่ว่าจะเป็น Converse Chuck Taylor Allstar ที่มีพื้นฐานจากการเป็นรองเท้าบาสเกตบอล หรือ Adidas Stan Smith ที่พัฒนามาจากรองเท้าเทนนิส ซึ่งต่อมารองเท้าทั้ง 2 รุ่นก็ปรับตัวเข้ากับยุคสมัยและกลายมาเป็นโมเดลรองเท้าที่อยู่เหนือกาลเวลาไปแล้ว อย่างไรก็ตาม นอกจากรองเท้าที่มีพื้นฐานมาจากกีฬาอย่างบาสเกตบอลหรือเทนนิสแล้ว ยังมีรองเท้าอีกหนึ่งรุ่นที่มีจุดเริ่มต้นมาจากการแข่งขันในโลกความเร็วอย่าง Formula1 กับรองเท้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่าง “Puma SpeedCat” และวันนี้เราจะพาทุกคนไปกับความรู้จักกับ Racing Shoe คู่นี้ให้ดีขึ้นกว่าเดิมไปพร้อมกัน ! กำเนิด Racing Shoes ก่อนจะพูดถึงรองเท้าสำหรับสวมใส่ขับรถที่มีชื่อเสียงมากที่สุด เราขอพาทุกคนย้อนกลับไปทำความรู้จักกับรองเท้าสำหรับแข่งรถ (Racing shoe) คู่แรกของโลกกันก่อน โดยต้องย้อนกลับไปในปี 1963 เมื่อ Gianni Mostile ช่างทำรองเท้าชาวอิตาลีได้ทำการจดสิทธิบัตรรองเท้าสำหรับแข่งรถที่ตัวเขาออกแบบขึ้นมาเองกับมือ งานดีไซน์ของรองเท้าคู่ดังกล่าว ถูกออกแบบให้ส่วน Outsole โอบรัดเท้าไปบรรจบกันด้านหลังตัวรองเท้าเพื่อป้องกันส้นเท้าผู้สวมใส่จากแรงกระแทกระหว่างขับรถ ขณะเดียวกันยังออกถอดพื้นด้านในออก
เชื่อว่าหลายคนที่ชื่นชอบในวัฒนธรรม Chicano culture (Mexican-American culture) ดนตรี รอยสัก รวมไปถึงคนที่เคยดูภาพยนตร์สารคดีอย่าง LA Originals คงจะรู้จักศิลปินชายเดี่ยวที่มีชื่อว่า ‘MISTER CARTOON’ หรือ Mark Machado กันอย่างแน่นอน เพราะนอกจากจะมีฝีไม้ลายมือในการสักที่เรียกได้ว่าเป็นระดับตำนานแล้ว เขายังมีผลงานออกแบบ Collaboration กับแบรนด์ดังระดับโลกขึ้นหิ้งเอาไว้มากมาย วันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับชายผู้นี้ แถมยังมีข่าวดีสำหรับแฟน ๆ ของ ‘MISTER CARTOON’ ชาวไทยโดยเฉพาะมาฝากอีกด้วย ส่วนข่าวดีนั้นจะเป็นอะไร ไปติดตามดูกันได้เลย ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับที่มาที่ไปของชายคนนี้กันหน่อย MISTER CARTOON หรือชื่อจริงคือ Mark Machado ศิลปินสัก และศิลปินกราฟฟิตี้ระดับโลก เกิด โต และอาศัยอยู่ที่ Los Angeles, Califonia ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่ออายุได้ 8 ขวบ เขาก็ค้นหาพรสวรรค์ของตัวเองจนพบ นั่นก็คือการวาดรูป และทำให้เขาเริ่มต้นวาดรูปอย่างจริงจังจากนั้นเป็นต้นมา เมื่ออายุได้ 12 ปี ก็เริ่มหาเงินเลี้ยงตัวเองได้จากการใช้
การตั้งอาณานิคมใหม่นอกโลกเคยเป็นเพียงเรื่องที่เราดูผ่านภาพยนตร์ SCI-FI หรือจินตนาการเอาตอนเล่นกับเพื่อนสมัยเด็ก ๆ เท่านั้น แต่เมื่อมวลมนุษยชาติเดินทางมาถึงปี 2020 เรื่องราวการย้านถิ่นฐานไปดาวอื่น ทั้งเทคโนโลยีการเดินทาง ไปจนถึงความพยายามพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและที่อยู่อาศัยให้มนุษย์ออกไปใช้ชีวิตนอกดาวเคราะห์สีน้ำเงินก็ไม่ใช่เรื่องฝันเพ้ออีกต่อไป แม้ดาวอังคารดูจะเป็นดาวที่มนุษย์สนใจจะย้ายถิ่นฐานไปอยู่มากที่สุดดาวหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อมหาเศรษฐีระดับโลกอย่าง Elon Musk แถลงข่าวว่าเขาจะสร้างเมืองที่พึ่งพาตัวเองได้ 100% บนดาวอังคาร มนุษย์จะใช้ชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องใช้พลังงานใด ๆ จากโลก โดย Starship ยานอวกาศที่ถูกคิดค้นมาเพื่อทำภารกิจนี้จะเริ่มเดินทางราว ๆ ปี 2024 ที่กำลังจะมาถึง แต่ดวงจันทร์ก็เป็นดาวอีกดวงหนึ่งที่ NASA เห็นศักยภาพ นั่นจึงเป็นที่มาของโครงการ Artemis ภารกิจเดินทางไปกลับดวงจันทร์ของ NASA ซึ่งภารกิจนี้ไม่ใช่การเดินทางระยะสั้นต้องการการตั้งฐานแบบถาวรบริเวณขั้วใต้ของดวงจันทร์ โดยไม่ใช่แค่เพื่อปฏิบัติภารกิจการสำรวจเท่านั้น แต่ Artemis Base Camp จะเป็นรากฐานสำคัญทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และเศรษฐกิจบนดวงจันทร์ในอนาคตอีกด้วย แม้ความต้องการสร้างโครงสร้างพื้นฐานและที่อยู่อาศัยบนดวงจันทร์จะชัดเจน แต่โจทย์ที่ท้าทายเหล่านักบุกเบิกอวกาศคือการที่สภาพพื้นผิวดวงจันทร์นั้นไม่สามารถนำอุปกรณ์ก่อสร้าง หรือยานพาหนะหนัก ๆ ลงจอดได้เลย เครน รถบรรทุก รถถมดิน ฯลฯ ที่มีส่วนสำคัญในการก่อสร้างบนดาวเคราะห์สีน้ำเงินจึงไม่อาจใช้ในการก่อสร้างบนดวงจันทร์ได้ เทคโนโลยีเครื่องพิมพ์
อย่างที่รู้กันดีอยู่แล้วว่ารอยสักสำหรับคนญี่ปุ่นเป็นสิ่งที่จะต้องถูกซ่อนเอาไว้ใต้ร่มผ้า หรือไม่เปิดเผยให้คนอื่นเห็นมากนักเพราะไม่อย่างนั้นคุณจะต้องพบกับสายตาดูแคลนปะปนกับสายตาหวาดกลัว ซ้ำยังถูกโรงอาบน้ำสาธารณะหรือซาวน่าหลายที่ปฏิเสธที่จะให้เข้าไปใช้บริการ แม้ว่าเราจะมีเงินและเป็นลูกค้าคนหนึ่งเหมือนกัน ก่อนหน้านี้ UNLOCKMEN เคยเล่าเรื่องราวความเป็นมาของการสักและรอยสักที่ชาวญี่ปุ่นมองว่าเป็นสิ่งผิดแปลกจากสังคมหรือจารีตไปแล้วใน (NIHON STORIES: รอยสักญี่ปุ่น ศิลปะอันเป็นเอกลักษณ์ที่ผู้คนทั่วโลกจับตามอง) ทั้งที่ในเวลาเดียวกันชาวต่างชาติกลับรู้สึกยกย่องและชื่นชมศิลปะญี่ปุ่นอันเป็นเอกลักษณ์ที่ถูกเล่าบนเนื้อหนังของบุคคลนั้น ๆ ซึ่งผู้สักชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่มักจะเป็นยากูซ่าหรือไม่ก็เป็นศิลปินที่ไม่ต้องทำงานออฟฟิศ ซึ่งบุคลิกและการทำงานอาจมีส่วนเล็กน้อยที่ทำให้เกิดความรู้สึกแตกต่างในสังคม เมื่อพูดถึงรอยสักเราจะไม่พูดถึงช่างสักก็คงไม่ได้ เพราะพวกเขาคือผู้สร้างสรรค์ศิลปะอันประณีตที่จะอยู่กับคนที่มาสักไปตลอดชั่วชีวิต และในประเทศญี่ปุ่นมีช่างสักผู้โด่งดังคนหนึ่งนามว่า ‘Horimitsu’ (โฮริมิตสึ) ที่มีส่วนช่วยทำให้วัฒนธรรมการสักของญี่ปุ่นยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน ซ้ำยังสร้างชื่อไปทั่วทุกมุมโลก และช่างสักก็ได้มีส่วนช่วยให้คนรุ่นใหม่เริ่มไม่ได้มองว่ารอยสักเป็นเรื่องน่ากลัวอีกต่อไป แต่มันคือศิลปะแขนงหนึ่งที่งดงามต่างหาก “คนที่ไม่มีรอยสักหรือไม่ชอบการสักมักมองว่าคนที่มีรอยสักจะต้องเกี่ยวข้องกับยากูซ่า แต่ทั้งสองสิ่งอย่างยากูซ่าและรอยสักไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องลึกซึ้งกันขนาดนั้น” – Horimitsu โฮริมิตสึ หรืออีกชื่อที่คนในวงการเรียกสั้น ๆ ว่า ‘มิตสึซัง’ เป็นช่างสักที่เปิดร้านสักอยู่ในย่านอิเคะบุคุโระ ณ กรุงโตเกียว ด้วยประสบการณ์ที่เรียกได้ว่าคร่ำหวอดในวงการนานกว่า 30 ปี ทำให้ชื่อเสียงของเขาถูกพูดถึงในหมู่ผู้ที่ชื่นชอบการสักและช่างสักด้วยกัน ประกอบกับสไตล์การใช้เข็มวาดลวดลายของเขาจะใช้เทคนิคการสักญี่ปุ่นดั้งเดิมที่เรียกว่า ‘Tebori’ (เทโบริ) อายุกว่า 400 ปี ที่ขึ้นชื่อเรื่องสีสันสดสวยคงทนเหมือนกับวันแรกที่ไปสักแม้จะเวลาจะล่วงเลยมาพักหนึ่งแล้วก็ตาม เทคนิคการสักแบบเก่าแก่ของมิตสึซังจะกินเวลานานกว่าการสักแบบปกติ เขาจะใช้ปากกาสีส้มวาดภาพที่ต้องสักบนผิวหนังแบบช้า ๆ ด้วยความพิถีพิถัน จากนั้นค่อยใช้ปากกาเส้นพู่กันวาดซ้ำอีกรอบ มิตสึซังมักไม่ใช่เครื่องสักในการทำงาน และชอบใช้ใบมีดสเตนเลสแบบด้านเดียวที่ติดอยู่กับด้ามไม้แท่งยาวกรีดลงไปบนเนื้อ ย้ำซ้ำไปซ้ำมาจนกว่าจะได้สีสันลวดลายตามที่เขาพอใจ
บอกตรง ๆ ว่าคงไม่มีใครไม่รู้จัก Swatch เรือนเวลาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ดินแดนที่เปรียบเสมือนมหานครแห่งโลกนาฬิกา แต่หลายคนอาจยังไม่เคยรู้ว่าสวิตเซอร์แลนด์เคยเกือบเสียตำแหน่งเบอร์หนึ่งแห่งอุตสาหกรรมเครื่องบอกเวลาไปกับวิกฤตการณ์ Quartz ในช่วงยุค 70 – 80 จนกระทั่งในปี 1983 เหล่าผู้ประกอบการธุรกิจนาฬิกาสวิสได้ปรึกษาหารือแล้วว่าจะไม่ทนอีกต่อไป จึงได้ร่วมมือกันกอบกู้สถานการณ์ ด้วยการพัฒนานาฬิกาพลาสติกระบบ Quartz ตัวเรือนบางเฉียบ ดีไซน์เรียบง่ายทันสมัย สีสันหลากหลายราคาไม่แพง ออกมาแลกหมัดกับนาฬิกา Quartz จากแดนปลาดิบให้รู้ดำรู้แดงกันไป ผลสุดท้าย ด้วยคุณภาพอันเป็นที่ร่ำลือของนาฬิกา Swiss Made ที่จับต้องได้ในราคาเป็นมิตร ทำให้นาฬิกากู้ชาติของสวิสเรือนนี้ได้รับความนิยมถล่มทลายไปทั่วโลก ช่วยพลิกฟื้นธุรกิจส่งออกนาฬิกาของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ให้กลับมาผงาดอีกครั้ง และเจ้านาฬิกาพลาสติกเรือนที่ว่าก็คือนาฬิกา Swatch ที่ใคร ๆ ต่างก็รู้จัก และน่าจะเคยครอบครองมาแล้วอย่างน้อยคนละเรือนสองเรือน จากการ Debut สู่สายตา และข้อมือชาวโลกในฐานะนาฬิกาพลาสติก ราคาประหยัด สีสันสดใส ทำให้ใคร ๆ ต่างก็มีภาพจำกับความเป็นนาฬิกาพลาสติกของ Swatch แต่จริง ๆ แล้วตลอด 37 ปีที่ผ่านมา Swatch ได้สร้างสรรค์เรือนเวลาหลากรูปแบบ หลายฟังก์ชัน