Benedicte Piccolillo สาวอาร์ตมากความสามารถจากฝรั่งเศสเจ้าของ Design Studio ‘Voglio Bene’ ผู้เริ่มต้นจากเส้นทาง Photographer จากนั้นจึงผันตัวสู่การเป็น Digital Graphic จากการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ผลงานที่โดดเด่นของ Piccolillo คืองานอาร์ตที่ผสมผสานความเป็น Renaissance กับ Modernity เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว โดยการใช้แรงบันดาลใจจากผลงานศิลป์เก่าแก่จากยุค Middle Ages จาก Italian และ Spanish ที่มักจะเกี่ยวข้องกับศาสนา นำมาเพิ่ม graphci design เข้าไปในงานต้นแบบจนกลายเป็นชิ้นงานที่ดูร่วมสมัย ทำให้มีวัง คฤหาสน์ หรือแม้แต่ Museums ที่มีผลงานเก่า ๆ มากมายมักจะชักชวน Piccolillo เพื่อร่วมงาน Colloboration โดยใช้ ‘coups de Coeur’ หรือการนำชิ้นงานเก่าแก่มา twist เพื่อจัดแสดงเป็น Exhibition ให้กับคนรุ่นใหม่ได้เข้าถึงงานศิลป์เก่าแก่ที่มีคุณค่า นอกจากงานอาร์ตเพื่อจัดแสดง
ผิวอ่อนนุ่มของมนุษย์เอาเข็มแหลมจุ่มสีจิ้มย้ำลงไปให้เลือดซิบ หมึกซึมเข้าไปในผิวหนัง จะได้รอยสักบ่งบอกตัวตน ผู้ชายกับรอยสักเป็นของคู่กัน แต่ที่อยู่กับรอยสักได้ดีไม่แพ้ผิวหนังมนุษย์ ก็ผิวของ “หินอ่อน” จากงาน Iconic ที่ถูกเพิ่ม “รอยสัก” เข้าไปจนกลายเป็นงานศิลป์ร่วมสมัย และมีศิลปินท่านนึงที่อาจหาญทำมันได้สำเร็จจนได้ Fabio Viale เกิดใน Cuneo ทางตอนเหนือของ Italy ประเทศที่ขึ้นชื่อด้านหินอ่อนคุณภาพดี เริ่มเข้ามาคลุกคลีกับวงการหินอ่อนเมื่อเข้าเรียนที่โรงเรียนศิลปะตอนอายุ 16 ปี นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขารู้สึกหลงใหลในวัสดุชิ้นนี้ ต่อมาเขาผลิตงานประติมากรรมสลักหินอ่อนมากมาย และมีผลงานบางส่วนที่โด่งดังเข้าตาวงการร้านขายของแอนทีค ถือเป็นจุดเริ่มต้นเส้นทางศิลปินเต็มตัวของ Fabio เส้นทางก่อนเป็นศิลปินอิสระ คือการสร้างรูปปั้นเพื่อตกแต่งสุสานในเมืองมิลาน แต่หลังทำไปสักพัก Fabio ก็เลือกเส้นทางศิลปินเดี่ยวออกมาทำงานคนเดียว ย้ายจากอิตาลีไปอยู่ทั้งนิวยอร์กและรัสเซีย มุ่งมั่นสร้างผลงานจนในที่สุดเขาก็มีผลงานสร้างชื่อเข้าจนได้ โดยมีรางวัล Cairo Prize ให้ชื่นใจเป็นชิ้นแรก กระทั่งปี 2015 เขาตัดสินใจทำงานร่วมกับ Poggiali Gallery ใน Florence เพื่อจัดนิทรรศการส่วนตัว และผลงานนั้นได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์เพราะได้รับเกียรติให้นำเข้าไปติดตั้งไว้ในโบสถ์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่างมหาวิหารซานโลเรนโซ แต่ทั้งหมดก็ยังไม่ไวรัลเท่างานล่าสุดที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้ เป็นการสร้างรูปปั้นไอคอนิกตามแบบที่สำคัญในประวัติศาสตร์ แล้วนำมาใส่รอยสักลงไปจากการตีความของ Fabio แต่มันไม่ได้ธรรมดาแค่นั้น เพราะจุดสำคัญคือรอยสักบนหินทั้งหมดนี้ไม่ได้ใช้วิธีทาสีทับธรรมดา แต่ใช้เทคนิคทำให้เหมือนสีซึมอยู่ด้านในจนดูคล้ายกับรอยสักมนุษย์จริง
ใครเคยเดินเหยียบเศษหมากฝรั่งที่คนถุยทิ้งไว้บ้าง? มันเป็นสิ่งที่กวนใจ สกปรกเลอะเทอะ เอาออกยาก แต่ด้วยความเหนียวหนืดของมัน จึงมีสองนักเรียนดีไซน์เนอร์ Hugo Maupetit และ Vivian Fischer คิดไอเดียการเปลี่ยนซากหมากฝรั่งให้เป็นล้อสเก็ตบอร์ดได้สำเร็จ ไอเดียนี้แจ่มตั้งแต่ขั้นตอนแรกคือการสะสมเศษซากหมากฝรั่งด้วยการออกแบบและติดตั้งบอร์ด “Gum Collection Board” ผลิตจาก polymethyl methacrylate (PMMA) plastic ให้คนแปะหมากฝรั่งเคี้ยวแล้วให้เป็นที่เป็นทาง จากนั้นจะมาเก็บไปทั้งกระดานสัปดาห์ละครั้ง 1 บอร์ดจะได้หมากฝรั่งประมาณ 60 ชิ้น ในขณะที่ล้อแต่ละอันจะใช้เศษหมากฝรั่งประมาณ 10 – 30 ชิ้น แล้วแต่ขนาดและความแข็งแรง ทั้งบอร์ดและหมากฝรั่งจะถูกส่งต่อไปที่โรงงานเผื่อผ่านกระบวนการใช้ความร้อนหลอมรวมกันก่อนจะแปลรูป ทำสี และพิมพ์ออกมาเป็นล้อสเก็ตบอร์ดในที่สุด ข้อดีของโปรเจคนี้คือ เมื่อล้อเหล่านี้พังเสียหาย ก็สามารถนำกลับไปกระบวนการแปรรูปได้อีกครั้ง แม้บอร์ด PMMA ที่เต็มไปด้วยเศษหมากฝรั่งจะดูไม่ค่อยสวยงาม แต่เรื่องการใช้งานถือว่าโอเคมาก เพราะลดการคายถุยทิ้งตามพื้นทางเดินได้ไปในตัว เพราะปัญหาการทิ้งเศษหมากฝรั่งใน UK นั้นค่อนข้างหนัก มีเพียง 10% ที่ทิ้งเป็นที่เป็นทาง อีก 90% ถูกทิ้งอย่างไม่เป็นระเบียบ และทุกปีต้องใช้งบประมาณถึง 2,700
บางคนอาจจะคิดว่าจักรยานก็แค่ยานพาหนะสองล้อ แต่สำหรับกลุ่มดีไซน์เนอร์ใน Extans ไม่ได้คิดแค่นั้น และนี่คือจักรยานที่น่าจะเรียกได้ว่าสวยงามที่สุดเท่าที่เคยมีมา Extans คือแบรนด์ที่เคยสร้างจักรยานระดับ masterpiece ผ่านตามาบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Akhal Shadow และ Shine ซึ่งราคาของทั้งสองรุ่นนี้ก็สูงถึง $20,000 – $25,000 และผลงานชิ้นล่าสุดที่ต้องการสร้างสรรค์จักรยานที่เลอค่าและหรูหราไม่ต่างจากเพชรที่สวยงามที่สุด และ Akhal Sheen bicycle คือจักรยานที่ตอบทั้งด้านดีไซน์และวัสดุที่ใช้ประกอบมันขึ้นมาได้แตกต่างและเหนือกว่าสองช้ินแรก Extans Akham Sheen ชื่อที่ได้มาจาก “Akhal-Teke” สายพันธุ์ม้าที่เก่าแก่ที่สุด มีจุดเด่นทั้งด้านความสวยงาม ความคล่องตัว อดทน ซึ่งแสดงถึงความสามารถของจักรยานคันนี้ได้ชัดเจน การออกแบบยึดตัวเลขที่สำคัญ 3 ตัวคือ 19, 21 และ 24 มาจากการผลิตจำนวนจำกัดเพียง 19 คัน แต่ละคันน้ำหนักเพียง 21 ปอนด์ หรือราว 9 กิโลกรัม และ 24 คือ ทอง 24k
ทำยังไงให้การปูแผ่น Solar สามารถเก็บพลังงานแสงอาทิตย์ได้อย่างมีศิลปะ และใช้ประโยชน์จากมันได้สูงสุดทั้งด้านพลังงานและการใช้สอย ถ้าเปลี่ยนจากแนวนอนเป็นภูเขา เราจะใช้แผ่น Solar ได้มากขึ้นบนพื้นที่เท่าเดิม มันจะดูสวยงาม และสามารถปรับใช้งานโครงสร้างได้ตามต้องการ เช่น ปีนผาจำลอง (Rock Climbing) คำตอบที่ได้คือ Solar Mountain ซึ่งไม่ได้มาจาก Engineer แต่เป็นงานดีไซน์เพื่อเทศกาลศิลปะ “Burning Man” ซึ่งมีแนวโน้มจะถูกสร้างจริงในฐานะแหล่งพลังงานของ “Fly Ranch” พื้นที่พัฒนาธรรมชาติยั่งยืนในทะเลทรายเวิ้งว้างทางตอนเหนือของ Nevada Solar Mountain ได้แรงบันดาลใจมาจากภูเขาซึ่งอยู่รอบ ๆ พื้นที่ ทำให้มันดูกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับ landscape ไม่ใช่สิ่งก่อสร้างที่เป็นพิษหรือแปลกปลอม โดยมี concept ในการตั้งต้นดีไซน์ว่า ‘grow energy’, ‘interact’, ‘play’ นอกจากจะสร้างพลังงานไฟฟ้าจากธรรมชาติได้แล้ว ยังหวังให้มันเป็นจุดที่คนจะมารวมตัวกัน และใช้เวลาทำกิจกรรมร่วมกันจากสถาปัตยกรรมทั้ง 4 ชิ้นนี้ได้ด้วย ภูเขา Solar แต่ละลูกจะมีขนาดความสูงประมาณ 30 เมตร และยาวประมาณ 5 – 30
หลังจากที่มีการเปิดตัวกล้อง Full-Frame Mirrorless ระดับพระกาฬตัวใหม่ล่าสุดจากค่าย แคนนอน ในรุ่น EOS R5 และ EOS R6 ไปเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยจัดเต็มเทคโนโลยีขั้นเทพมาให้อย่างครบครัน ใช้งานได้สุดทุกด้านไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพนิ่ง หรือการถ่ายภาพเคลื่อนไหว หรือพูดง่าย ๆ ว่ากล้องทั้ง 2 รุ่นนี้เกิดมาเพื่อกำหนดนิยามใหม่ของความสร้างสรรค์เลยก็ว่าได้ ซึ่งคำกล่าวที่พูดมาข้างต้นไม่ได้เป็นเพียงแค่คำพูดลอย ๆ เพราะมันถูกหยิบยกขึ้นมาปั้นให้เป็นรูปเป็นร่าง ต่อยอดแนวคิดนิยามใหม่ของความสร้างสรรค์ไปสู่อีกขั้นที่เหนือกว่า ในแบบที่ทุกคนสามารถเข้าไปสัมผัสกับประสบการณ์นี้ได้ใน Digital Exhibition ที่มีชื่อว่า ‘Canon EOS Rtist’ นิทรรศการที่จัดแสดงภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นผลงานของ 22 ศิลปินเลือดใหม่ไฟแรงที่กำลังเฉิดฉายในวงการงานสร้างสรรค์ ณ ปัจจุบัน ซึ่งสร้างสรรค์ผลงานเจ๋ง ๆ ออกมาผ่านกล้อง Canon EOS R5 และ EOS R6 รุ่นใหม่ล่าสุด และในวันนี้เราได้หยิบเอาผลงานที่น่าสนใจของศิลปินส่วนหนึ่งจำนวน 8 ท่าน มาให้ชาว UNLOCKMEN ได้ดูกัน เพื่อกระตุ้นต่อมกำเนิดแรงบันดาลใจ ปลุกไฟแห่งความคิดสร้างสรรค์ให้ลุกโชน ก่อนที่จะไปรับชมผลงานของเหล่า
เมื่อพูดถึงเรือนเวลาคุณภาพสูงที่สะท้อนจิตวิญญาณอเมริกันออกมาได้อย่างชัดเจน แน่นอนว่า Hamilton แบรนด์นาฬิกาซึ่งก่อตั้งขึ้นที่เมืองแลงคาสเตอร์ รัฐเพนซิลวาเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี 1892 คือชื่อแรกที่ผู้หลงใหลในเรือนเวลาต่างนึกถึง กับชื่อเสียงเรื่องมาตรฐานการบอกเวลาที่แม่นยำ พร้อมเสน่ห์ของการผสานจิตวิญญาณแห่งความเป็นอเมริกันเข้ากับความเที่ยงตรงตามแบบฉบับของนาฬิกาสัญชาติสวิส จนได้รับความไว้วางใจให้มีบทบาทในช่วงเวลาสำคัญของประวัติศาสตร์การบินมาอย่างยาวนาน ด้วยเกียรติประวัติการได้รับเลือกให้เป็นนาฬิกาที่ใช้งานบอกเวลาอย่างเป็นทางการของเที่ยวบินไปรษณีย์สหรัฐอเมริกา อีกทั้งยังมีส่วนร่วมในความสำเร็จของเที่ยวบินปฐมฤกษ์ในเส้นทางการบินเชื่อมระหว่างสองชายฝั่งของสหรัฐฯ นอกจากภาพลักษณ์ของเรือนเวลาที่เกี่ยวข้องกับวงการการบินอย่างแนบแน่น นาฬิกา Hamilton ยังได้รับการขนานนามให้เป็น The Movie Brand ที่สะท้อนภาพวัฒนธรรมความเท่แบบคลาสสิกสไตล์อเมริกันสู่สายตาชาวโลกได้อย่างน่าประทับใจ ยืนยันได้จากการที่นาฬิกาหลายต่อหลายรุ่นของ Hamilton ได้ไปอวดโฉมอยู่ในภาพยนตร์ Hollywood ระดับ Blockbuster มาแล้วมากมายกว่า 500 เรื่อง และต้องบอกว่าหนึ่งในเรือนเวลายอดนิยมตลอดกาลจาก Hamilton ที่บรรดาผู้นิยมในสไตล์ American Classic ต่างโปรดปราน คือตำนานนาฬิกา Chronograph ชื่อเรียบง่าย ที่เปิดตัวมาพร้อมกัน 2 รุ่นอย่าง Chronograph A และ Chronograph B ซึ่งหลายคนน่าจะรู้จักกันดีในชื่อ Hamilton Panda และ Hamilton Reverse Panda
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าชื่อชั้นกิตติศัพท์ในเรื่องคุณภาพ รวมถึงชื่อเสียงด้านนวัตกรรมการบอกเวลาที่เที่ยงตรงแม่นยำ คือสิ่งตอกย้ำภาพเรือนเวลาแห่งความภาคภูมิใจของชาวเอเชียให้กับแบรนด์ Seiko (ไซโก) ได้เป็นอย่างดี และต้องบอกว่าเกียรติประวัติเหล่านี้ใช่ว่าจะได้มาง่าย ๆ ในระยะเวลาอันสั้น แต่มันเกิดขึ้นจากประสบการณ์ที่ถูกสั่งสมพัฒนามาอย่างต่อเนื่องยาวนานเป็นเวลากว่า 140 ปี นับตั้งแต่วันแรกที่ Seiko ได้ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1881 โดย Kintaro Hattori (คินทาโร ฮัตโตริ) ชายหนุ่มวัย 21 ปี ที่นำเอาความตั้งใจ ความรักและความหลงใหลในกลไกบอกเวลามาใช้เป็นแรงผลักดันในการรังสรรค์นาฬิกาคุณภาพสูงจนก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทนาฬิกาชั้นนำในญี่ปุ่น เป็นศูนย์กลางในการออกแบบและมีโรงงานผลิตเป็นของตัวเอง ตลอดระยะเวลา 50 ปีแรกภายใต้การคุมหางเสือของ Kintaro Hattori คือรากฐานสำคัญในการพาชื่อ Seiko ทะยานสู่ความเป็นแบรนด์นาฬิกาอันดับต้น ๆ จากอดีตจนถึงปัจจุบัน และถือเป็นความสำเร็จที่ต่อยอดมาจากวิสัยทัศน์เพียงหนึ่งเดียวที่เขายึดมั่น นั่นคือ “One step ahead of the rest” หรือ “การที่ต้องนำหน้าคู่แข่งอยู่ 1 ก้าวเสมอ” โดยคำกล่าวของ Kintaro Hattori ได้ฝังรากลึกอยู่ในจิตวิญญาณของแบรนด์ และเป็นแรงบันดาลใจในการทำงานของ
ตำนานแห่ง Ventura ถือกำเนิดขึ้น เมื่อ Hamilton ได้สร้างนาฬิกาที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่เรือนแรกของโลกขึ้นในปี 1957 ซึ่งกลายมาเป็นนาฬิกาแห่งโลกอนาคต ราวกับนิยายแนววิทยาศาสตร์ได้กลายมาเป็นจริง ภายใต้ตัวเรือนทรงสามมุมที่สะดุดตา พร้อมดีไซน์คลื่นไฟฟ้าบนหน้าปัดได้พลิกโฉมวงการนาฬิกาของโลกไปตลอดกาลนับตั้งแต่นั้นมา นาฬิการุ่นตำนานอันล้ำยุคอย่าง Ventura กลับมาพร้อมดีไซน์ใหม่ล่าสุดในชื่อ ‘Ventura Elvis80 Skeleton’ ภายใต้การตีความความคลาสสิกของ Ventura ในรูปแบบใหม่ เพื่อสร้างสรรค์รูปลักษณ์ที่ทันสมัยอย่างรูปทรง Elvis80 ซึ่งเป็นรูปทรงที่ได้รับการตั้งชื่อตาม Elvis Presley ผู้ที่ถือเป็นแฟนตัวยงของนาฬิกา Ventura Ventura Elvis80 Skeleton กลายมาเป็นนาฬิการะบบอัตโนมัติแทนระบบไฟฟ้า ซึ่งได้สร้างนิยามใหม่ให้กับการผลิตนาฬิกาในทุกมิติ ด้วยกลไกอันโดดเด่นที่ปรากฏบนหน้าปัด โดยหน้าปัดเปลือยของตัวเรือน Ventura Elvis80 Skeleton เผยให้เห็นกลไก H-10-S สุดล้ำ พร้อมการตกแต่งที่โฉบเฉี่ยวแบบ Côtes de Genève มาพร้อมการสำรองพลังงานถึง 80 ชั่วโมง ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่าเราได้ผสานอดีต ปัจจุบันและอนาคตเข้าด้วยกัน โดยยังคงไม่ทิ้งรูปแบบอันเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมของ Ventura ด้วยดีไซน์คลื่นไฟฟ้าที่ถูกนำเสนอผ่านลายซิกแซ็กบนโครงสร้างหน้าปัดแบบเปลือยหรือโครงกระดูก (skeleton) Ventura Elvis80
หากเอ่ยถึง ‘ทองหล่อ‘ คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะนึกถึงพื้นที่ที่มีสีสันที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ พื้นที่ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงแค่จุดศูนย์รวมแหล่งไลฟ์สไตล์อันหลากหลายเอาไว้บนถนนเส้นนี้เส้นเดียว แต่ยังเป็นพื้นที่สำหรับการอยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนเมืองได้เป็นอย่างดี และในวันนี้คอลัมน์ Masterpiece จะพาชาว UNLOCKMEN ทุกท่านไปพบกับ Noble Form Thonglor (โนเบิล ฟอร์ม ทองหล่อ) คอนโดมิเนียมระดับ Flagship โครงการใหม่ล่าสุดใจกลางทองหล่อ ที่รวมเอาฟอร์มต่าง ๆ ที่โดดเด่น ผสานไว้เป็นฟอร์มเดียวที่เป็นได้ทั้งที่อยู่อาศัยและพื้นที่ใช้ชีวิต ในราคาเริ่มต้นเพียง 6.5 ล้านบาท เรียกได้ว่าคุ้มค่าที่สุดในพื้นที่ Prime Location อย่างทองหล่อ ซึ่งเราขอทำการ Grouping รวมเป็น 3 จุดเด่นซึ่งถือเป็นประเด็นสำคัญ ที่ทำให้โครงการนี้เหมาะเหลือเกินสำหรับใครที่กำลังมองหาที่อยู่ทำเลดี และคุ้มค่าที่สุดในย่านทองหล่อ ตลอดเส้นทางประมาณ 2.4 กิโลเมตรของซอยทองหล่อ หรือถนนสุขุมวิท 55 หากแบ่งพื้นที่ออกเป็นโซนต่าง ๆ จะพบว่าแต่ละโซนนั้นมีความแตกต่างของสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างชัดเจน ซึ่งในช่วงต้นซอยฝั่งสุขุมวิทแม้จะอยู่ติดกับรถไฟฟ้าแต่ก็ยังเป็นพื้นที่ของบ้านเรือน ชุมชนเก่า ร้านค้าดั้งเดิมที่เปิดมาแล้วหลายสิบปี แต่สำหรับภาพจำของซอยทองหล่ออย่าง สีสัน ความทันสมัย รวมถึงความเป็นแหล่งไลฟ์สไตล์ระดับไฮเอนด์ที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็น Community Mall, ร้านสินค้าแฟชั่นแบรนด์เนม, ร้านเฟอร์นิเจอร์ของแต่งบ้าน, ซูเปอร์มาร์เก็ต, แหล่งแฮงเอาท์อย่าง