BAHÁ’Í TEMPLE OF SOUTH AMERICA เป็นวิหารรูปทรงแปลกตาในสาธารณรัฐชิลีที่ถูกคัดเลือกจาก Royal Architectural Institute of Canada (RAIC) ให้เข้ารับรางวัลระดับนานาชาติในฐานะสถาปัตยกรรม transformative ซึ่งถือเป็นอัตลักษณ์ของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ที่ช่วยเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตให้กับคนชุมชน วิหารรูปโดมแห่งนี้ถูกออกแบบโดย Hariri Pontarini Architects บริษัทสถาปนิกชื่อดังของเมืองโตรอนโต นี่เป็นครั้งแรกที่คณะกรรมการเลือกบริษัทสัญชาติแคนาดาให้เข้ารับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ พื้นที่กว่า 25 เอเคอร์ ในแถบชานเมืองซันติอาโกถูกเลือกเป็นที่ตั้งของวิหาร BAHÁ’Í TEMPLE OF SOUTH AMERICA จากที่ตั้งในจุดนี้คุณสามารถมองเห็นทัศนียภาพโดยรอบของเมืองหลวงได้ไกลสุดลูกหูลูกตา พร้อมชื่นชมความงามของเทือกเขาแอนดีสที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหลัง วิหารแห่งนี้เป็นวิหารลำดับที่ 8 และเป็นวิหารหลังสุดท้ายในทวีปที่สร้างขึ้นสำหรับศาสนิกชนผู้ศรัทธาในศาสนาบาไฮ แต่ถ้าหนุ่ม ๆ หลายคนจะไม่คุ้นชื่อศาสนานี้ก็คงไม่แปลกนัก เพราะเพิ่งเกิดขึ้นบนโลกเมื่อ 100 ปีก่อน เราจะขยายความให้ฟังอีกนิดว่าบาไฮเป็นศาสนาที่เชื่อว่าทุกคำสอนจากทุกศาสดาคือสิ่งที่ดี จุดประสงค์ในการออกแบบวิหารแห่งนี้คือสร้างขึ้นเพื่อต้อนรับผู้คนโดยไม่คำนึงถึงความศรัทธาด้านศาสนา และตัวอาคารก็ถูกดีไซน์มาให้เปิดกว้างตามคอนเซ็ปต์ที่ทีมสถาปนิกตั้งใจไว้ แถมก่อนที่จะสร้างขึ้นจริงยังต้องใช้แบบจำลองคอมพิวเตอร์ในการวัด เพื่อให้วิหารแปลกประหลาดหลังนี้เปลี่ยนแปลงรูปร่างเพื่อรับมือกับแผ่นดินไหวได้อย่างสมบูรณ์แบบ ภายนอกของวิหารถูกห่อหุ้มด้วยแผงกระจกรูปทรงปีกนกแก้ว ปีกทั้ง 9 ปีกถูกร้อยเรียงและมาบรรจบกันตรงจุดมงกุฎด้านบนของวิหาร สร้างสรรค์เลเยอร์ด้านนอกด้วยกระจก borosilicate กว่า 1,129 ชิ้น
ความเท่เป็นอะไรที่ต้องมาคู่กับผู้ชายอย่างเราเสมอ นอกจากแจ็คเก็ตหนังหรือผมทรงควิฟที่ช่วยเพิ่มมาดเท่ ๆ ให้กับหนุ่ม ๆ ไอเทมอีกชิ้นที่ขาดไม่ได้เลยคือแว่นกันแดดที่ช่วยกรองทั้งแสง UVA และ UVB แต่คุณสมบัติในการกันแดดของมันอาจเป็นเรื่องรอง ถ้าเทียบกับความเท่เฉียบเนี้ยบในขณะที่สวมใส่ ต่อให้มิกซ์แอนด์แมตช์เสื้อผ้าได้เห่ยสุด ๆ แต่สวมแว่นกันแดดเจ๋ง ๆ สักอันก็เอาอยู่แล้วละครับ วันนี้ UNLOCKMEN เลยยกความเท่ของแว่นกันแดดที่พระเอกคนดังระดับตำนานเขาใส่กัน มาให้หนุ่ม ๆ ของเราดู จะหล่อและคูลขนาดไหน ไปดูกัน! OLIVER PEOPLES 523 (FIGHT CLUB, 1999) แว่นตาสุดแปลกในภาพยนตร์ตลกร้ายลึกลับ FIGHT CLUB ที่พูดถึงปรัชญาช่างแม่งหรือแนวคิดสุญนิยม ไม่เชื่อและไม่ยอมรับระบบคุณค่าใด ๆ แถมยังนำเสนอความเบื่อหน่ายของชีวิตที่นำไปสู่ความมืดมิด และความรุนแรงจากการปลดปล่อยสัตว์ร้ายในตัวมนุษย์ นอกจากความเจ๋งของหนังแห่งอุดมการณ์ ในเรื่องนี้ยังมีแว่นตาเท่ ๆ อีกอันที่หนุ่ม Brad Pitt ใส่เกือบตลอดทั้งเรื่อง แว่นรุ่นนี้คือ OLIVER PEOPLES 523 แว่นกันแดดรุ่นเก๋าสัญชาติอเมริกันที่ผลิตออกมาตั้งแต่ปี 2000 มาพร้อมรูปทรงประหลาดสะท้อนมาดกวน ๆ และความกล้าบ้าบิ่น มีทั้งกรอบสีเงินกับเลนส์สีแดงเลือดนกและกรอบสีเงินกับเลนส์สีส้ม
สงครามการค้าระหว่าง 2 ประเทศมหาอำนาจอย่างจีนและสหรัฐอเมริกาไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ในประเด็น Talk Of The Town ในกรณีของ Huewei กับ Google เพียงเท่านั้น ทว่าความขัดแย้งด้านเศรษฐกิจครั้งนี้อาจส่งผลโดยตรงต่อเหล่าหนุ่ม ๆ ผู้หลงใหลรองเท้าทั่วโลกด้วย เมื่อสินค้าประเภทรองเท้าถูกใส่เป็นหนึ่งในรายชื่อสินค้าที่ถูกเพิ่มกำแพงภาษี หาก Trade War ครั้งนี้ยังดำเนินต่อไป สนีกเกอร์เฮดอย่างเรา ๆ อาจต้องเผชิญกับราคารองเท้าที่เพิ่มสูงขึ้น ขึ้นภาษีในฐานการผลิตที่ใหญ่ที่สุด หลังสหรัฐอเมริกาเปิดเผยรายชื่อสินค้ากว่า 6,000 รายการที่กำแพงภาษีเพิ่มขึ้นอีก 25 เปอร์เซ็นต์ โดยคิดเป็นเป็นมูลค่ารวมกว่า 300,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เหล่าสนีกเกอร์เฮดก็ต้องกุมขมับเพราะสินค้าอย่างรองเท้าก็ถูกบรรจุอยู่ในรายชื่อสินค้าขึ้นภาษีเหล่านั้นด้วย เดือดร้อนถึงบริษัทผู้ผลิตรองเท้ากว่า 173 แห่งต้องร่วมลงนามในจดหมายเปิดผนึก เพื่อพูดถึงผลกระทบที่ผู้ผลิตและผู้บริโภคจะต้องพบเจอจากนโยบายครั้งนี้ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เพราะกำแพงภาษีที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลต่อตลาดรองเท้าในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกอย่างแน่นอน Footwear Distribution and Retailers of America (FDRA) หรือองค์กรนำเข้า-ส่งออกรองเท้าแห่งสหรัฐอเมริกาเผยแพร่จดหมายเปิดผนึกที่แบรนด์รองเท้ายักษ์ใหญ่ทั้ง Nike, Adidas, Converse, Under Armour, Foot Locker, Clarks, Crocs,
ในวันนี้โลกอบอวลความเศร้าอีกครั้งกับการสูญเสียยอดสถาปนิกที่สร้างผลงานสะเทือนวงการสถาปัตยกรรม เมื่อ I.M. Pel ชายผู้หลงใหลในรูปทรงเรขาคณิตจากไปอย่างไม่มีวันกลับด้วยวัย 102 ปี เพราะเขาถือว่าเป็นบุคคลสำคัญที่ต่อยอดแนวคิดของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่และมีอิทธิพลต่อการขับเคลื่อนงานสร้างสรรค์ไม่น้อยเลยทีเดียว Ieoh Ming Pei (เป้ย์ ยวี่ หมิง) หรือชื่อในวงการ I.M. Pei สถาปนิกชาวอเมริกันเชื้อสายจีน ผู้โด่งดังเรื่องการสร้างสรรค์ผลงานสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ที่เน้นรูปทรงเรขาคณิตกับความเกลี้ยงเกลาของโครงสร้างที่ไม่นิยมตกแต่งมากนัก ซึ่งเป็นเทคนิคที่เริ่มใช้กันช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 และแพร่หลายมากหลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2 I.M. Pei ได้รับการยอมรับว่าเป็นปรมาจารย์ของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ที่ชูเรื่องเรขาคณิตและความงามที่สะอาดสะอ้านของตึก เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งพีระมิดแก้วจากผลงานที่ทำให้โลกต้องจดจำอย่าง Louvre Pyramid ที่ทำจากเหล็กกับกระจกทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนจำนวน 603 แผ่น และกระจกทรงสามเหลี่ยม 70 แผ่น ประกอบกัน ก่อร่างเป็นรูปทรงดั่งพีระมิด The solid is for the dead, but the transparent is for the living – I.M. Pei
‘ศิลปะ’ บ่งบอกถึงความคิด ความรู้สึก และแรงบันดาลใจในการสรรสร้างชิ้นงานของศิลปิน นอกจากมันจะเป็นหนึ่งในความสวยงามที่ประดับไว้บนโลกนี้แล้ว บางครั้งก็เป็นเครื่องมือสะท้อนมุมมืดของสังคมและโลกตามขนบ ‘ปัญญาประดิษฐ์’ สมองกล AI แห่งโลกอนาคตอันมีวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์เป็นเบ้าหลอม มันเต็มไปด้วยความสามารถอันน่าทึ่งทัดเทียมมนุษย์และกำลังคืบคลานเข้ามาในโลกดิจิทัล การทำงาน ตลอดจนชีวิตประจำวันของเรา ดูเผิน ๆ แล้วศิลปะและปัญญาประดิษฐ์นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงและเหมือนจะอยู่กันคนละโลกซะด้วยซ้ำ แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าศิลปะที่เต็มไปด้วยความสร้างสรรค์ผสมผสานกับเทคโนโลยี AI จนได้ออกมาเป็นนิทรรศการศิลปะยุคใหม่ของโลกอนาคต The Barbican Centre London ศูนย์ศิลปะ ดนตรี และการแสดงที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป เปิดให้เข้าชม ‘AI: MORE THAN HUMAN EXHIBITION’ นิทรรศการที่จัดแสดงความสามารถของปัญญาประดิษฐ์ภายใต้ฉากหลังของงานศิลปะ ใช้สมองกล AI สุดล้ำประยุกต์งานศิลปะให้หลากหลาย ทันสมัย และมีชีวิต ถือเป็นนิทรรศการ AI แบบ interactive ที่ไม่เคยจัดขึ้นที่ไหนมาก่อน งานนี้รวบรวมสิ่งประดิษฐ์จากศิลปิน นักวิทยาศาสตร์ และนักวิจัย พร้อมผลงานผลเท่ ๆ ของคนดังในอดีต ไม่ว่าจะเป็น Charles Babbage นักคณิตศาสตร์และผู้บุกเบิกคอมพิวเตอร์ชาวอังกฤษที่สร้างเครื่องวิเคราะห์เชิงกลชิ้นแรกของโลก Ada Lovelace
ในปัจจุบัน เราต่างใช้ชีวิตอยู่กับความเร่งรีบ ต้องพบเจอเรื่องราวมากมายที่พาพวกเราไหลผ่านกระแสเวลาไปข้างหน้าแทบไม่ได้หยุดพัก ทำให้บ่อยครั้งที่ผู้คนส่วนใหญ่ต่างโหยหาช่วงเวลาที่เรียบง่าย ช่วงเวลาที่ได้อยู่นิ่ง ๆ กับตัวเอง เพื่อเสพความงดงามของคืนวันที่ผันผ่าน ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือคำอธิบายที่ว่าทำไม แม้พวกเราจะดำรงอยู่ท่ามกลางความสะดวกสบายของเทคโนโลยีล้ำสมัยมากมาย แต่ก็ไม่วายที่จะโหยหาบรรยากาศเก่า ๆ ข้าวของเครื่องใช้วินเทจ ที่ยังคงความคลาสสิกจากอดีตอยู่เสมอ และ RADO Captain Cook Automatic Limited Edition คืออีกหนึ่งความทรงจำอันหอมหวานจากอดีต ในรูปแบบของเรือนเวลาสุดคลาสสิก ที่หวนกลับมาสร้างความประทับใจให้เหล่านักสะสมนาฬิกา และผู้ที่หลงใหลในความวินเทจแบบเต็มเปี่ยม กับรุ่นพิเศษใหม่ล่าสุดในปี 2019 ซึ่งเก็บทุกรายละเอียดทางด้านรูปลักษณ์ของ Captain Cook รุ่นแรก ที่ผลิตขึ้นระหว่างปี 1962 และ 1968 เอาไว้อย่างครบถ้วน ทั้งขนาดที่เป็นเอกลักษณ์และคุณสมบัติที่โดดเด่นจากยุคเก่าผสานเข้ากับความโมเดิร์นด้วยเทคโนโลยีทันสมัย ซึ่งต้องบอกว่านี่เป็นงานถนัดของ RADO ผู้ผลิตนาฬิกาชั้นนำจากสวิส ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตที่ล้ำหน้า ควบคู่ไปกับความสวยงามของดีไซน์ โดย RADO นั้นได้รับการขนานนามว่าเป็น “ผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุ” ที่มีแนวทางการปฏิวัติการผลิตนาฬิกาแบบดั้งเดิม ด้วยการนำเอาไฮเทคเซรามิกที่มีน้ำหนักเบาเป็นพิเศษ และมีสีสันสดใส รวมถึง Ceramos™ มาใช้ก่อนใครในวงการนาฬิกา ถือเป็นการผสมผสานประวัติศาสตร์อันยาวนานของแบรนด์ เข้ากับความโมเดิร์นสมัยใหม่ได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้เรือนเวลารุ่นเก๋าอย่าง
ประเทศอังกฤษไม่ได้โด่งดังแค่วัฒนธรรมการจิบชายามบ่ายและตำนานสยองขวัญของ Jack The Ripper เท่านั้น แต่ที่นี่ยังเป็นแหล่งรวมตัวของศิลปิน ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะและการออกแบบอีกด้วย UNLOCKMEN เลยอยากพาหนุ่ม ๆ ออกไปเสพงานอาร์ตที่ London Craft Week 2019 นิทรรศการที่รวบรวมงานคราฟต์เท่ ๆ จากทั่วทุกสารทิศ โดยฝีมือของนักออกแบบ ช่างฝีมือ ตลอดจนครีเอทีฟจากแบรนด์และแกลเลอรีต่าง ๆ ทั่วโลกกว่า 240 แห่งเอาไว้อย่างจุใจ London Craft Week 2019 ในปีนี้จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 8-12 พฤษภาคม 2562 นับเป็นปีที่ 5 ของนิทรรศการสุดสร้างสรรค์ภายใต้ฉากหลังของกรุงลอนดอน เนื่องจากเป็นนิทรรศการที่ไม่พึ่งพาทุนสาธารณะ สถานที่จัดแสดงผลงานจึงกระจายตัวอยู่ตามตรอกซอกซอยทั่วลอนดอน ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ สตูดิโอ หรือพื้นที่สาธารณะอื่น ๆ ครอบคลุมตั้งแต่ Mayfair ถึง Shoreditch และ Greenwich ถึง Hampstead แถมนิทรรศการกว่าครึ่งยังเข้าร่วมได้ฟรีและไม่ต้องจองล่วงหน้าอีกด้วย วันนี้ UNLOCKMEN เลยรวมงานคราฟต์เจ๋ง
Avengers: Endgame คือหนังที่ร้อนแรงที่สุดในช่วงเวลานี้ แถมกวาดรายได้ไปอย่างถล่มทลายและด้วยกระแสที่ร้อนแรงขนาดนี้ทำให้ Casio แบรนด์นาฬิกาสัญชาติญี่ปุ่นร่วมมือกับ Marvel ปล่อยคอลเลกชันพิเศษที่ได้ฮีโร่จากทีม Avengers มาถึงสามคนด้วยกัน การร่วมมือกันครั้งนี้ส่งผลให้เกิดนาฬิกาข้อมือคอลเลกชันพิเศษอย่าง G-Shock x Marvel Avengers Collection ขึ้น SPIDER MAN Peter Parker เจ้าของฉายา Spider man ถูกนำเรื่องราวมาอยู่บนนาฬิการุ่น DW 6500 รหัส DW-5600SPIDER-1PR ตัวเรือนสีดำและจัดสีตรงขอบจอแสดงผลด้วยสีแดงสด เมื่อกดปุ่มเปิดไฟ EL จอแสดงผลจะมีรูปแมงมุมสีแดงปรากฏขึ้นอยู่ตรงกลาง ใช้กระจกแบบมิเนอรัลส่วนบริเวณสายนาฬิกาประทับตราสัญลักษณ์ Avengers และ Spider man พร้อมกับกล่องใส่นาฬิกาสุดเท่ CAPTAIN AMERICA Captain America รุ่น GA-110 รหัส GA-110CAPTAIN-2PR ถือว่าเป็นนาฬิกา G-Shock รุ่นยอดนิยม ที่มาพร้อมกับหน้าปัดขนาดใหญ่ นาฬิกาข้อมือที่ผสมผสานระหว่างกลไก analog กับ
Game Of Thrones ถือเป็นซีรีส์ที่มาแรงที่สุดแห่งยุคด้วยจำนวนทั้งหมด 8 ซีซั่น เป็นเวลากว่า 8 ปี และปีนี้ก็ดำเนินมาถึงบทสรุปสุดท้ายของเรื่องราวอันแสนยาวนานแล้ว ทำให้สารพัดแบรนด์ไม่ว่าจะแบรนด์แฟชั่น เครื่องดื่ม ไปจนถึงเครื่องดนตรีต่างก็นำเรื่องราวของมหากาพย์ GOT มาประดับไว้บนผลงาน แบรนด์ Fender ถือว่าเป็นผู้ผลิตกีตาร์สัญชาติอเมริกาที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ครั้งนี้ Fender ไม่รอช้าจับมือกับ D.B. Weiss หนึ่งในทีมโปรดิวเซอร์ซีรีส์เพื่อดึงเรื่องราวของ 3 ตระกูลใหญ่แห่งดินแดนเวสเทอรอสจากเรื่อง Game Of Thrones มาอยู่บนกีตาร์คอลเลกชันพิเศษ HOUSE STARK (TELECASTER) Stark ตระกูลใหญ่จากแดนเหนือที่มีสัญลักษณ์ประจำตระกูลสุดเท่อย่างหมาป่าไดร์วูฟ ตระกูลผู้เป็นเจ้าของวลี “Winter is Coming” ที่ถูกพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง แถมยังโดดเด่นด้วยเครื่องแต่งกายและนัยน์ตาสีเทา จึงทำให้กีตาร์ทรง Telecaster ที่เป็นรุ่นแรก ๆ ของแบรนด์ Fender ถูกออกแบบให้มีสีเทาด้วยเช่นกัน นอกจากนั้นลวดลายบนตัวกีตาร์ถูกออกแบบให้คล้ายกับแผ่นไม้ พร้อมสลักหมาป่าไดร์วูฟเอาไว้ตรงกลาง และวางจำหน่ายในราคา 25,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 800,000
Casio ถือว่าทำผลงานได้ยอดเยี่ยมมาตั้งแต่ต้นปี ไม่ว่าจะเป็น G-Shock คอลเลกชัน Gundam หรือนาฬิกาที่รับแรงบันดาลใจจากสายรุ้ง และครั้งนี้ในงานนาฬิการะดับโลก Baselworld 2019 ที่ผ่านมา Casio ก็ยังเรียกเสียงฮือฮาอย่างต่อเนื่องด้วยนาฬิการุ่นพิเศษที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณของซามูไร คล้ายกับว่าเป็นธรรมเนียมไปแล้วสำหรับ Casio กับงาน Baseworld เพราะในปี 2017 และ 2018 เปิดตัวนาฬิกา G-Shock ที่ผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีให้เข้ากับวัฒนธรรมสไตล์ญี่ปุ่นรหัส MRG G2000HA-1A ที่นำขั้นตอนการผลิตดาบของ Biho Asano ช่างตีดาบรุ่นที่สามของตระกูลผู้ผลิตดาบซามูไรมาปรับใช้สำหรับผลิตนาฬิกาข้อมือ ทำให้ราคาพุ่งสูงเกือบสามแสนบาท สำหรับ G-Shock MR-G ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของซามูไรในปี 2019 ก็เรียกความสนใจของเหล่าผู้ชื่นชอบนาฬิกาได้เป็นอย่างดี โดยรุ่นรหัส MRG G2000G-1A จะใช้สีหลักคือสีม่วง ผสมผสานเป็นเนื้อเดียวกับไทเทเนียมและทำให้พื้นผิวของโลหะเป็นลายเฉพาะตัว จากนั้นชุบด้วย AIP (Arc lon Plating) ซึ่งเป็นการเคลือบผิวแบบเดียวกับเครื่องบินเจ็ต ตัวเรือนทำจากสเตนเลสสตีล หน้าปัดนาฬิกาจะใช้โทนสีเข้มเป็นหลัก จากนั้นใช้สีแดง-ขาว แบบเดียวกับที่อยู่บนธงชาติญี่ปุ่นแต้มตรงขอบ ขีดบอกเวลา และเข็มวินาที โดดเด่นด้วยสีแดงสดให้ง่ายต่อการดูเวลา กระจกคริสตัลแซฟไฟร์ทนทานต่อรอยขีดข่วน