เก่าไปใหม่มายังคงใช้ได้เสมอ โดยเฉพาะสิ่งที่เป็นกระแส ของที่เคยใหม่ในวันนั้นอาจจะกลายเป็นของสุดเชยในวันนี้ เราเลยจำเป็นต้องอัปเดต Trends ใหม่ ๆ อยู่เสมอ สำหรับปีนี้เทรนด์ดีไซน์ ต้องยกให้กับ Gradient ที่แทรกซึมเข้าไปในหลายแบรนด์ใหญ่ แล้วของปีหน้าจะเป็นอะไรบ้าง ไม่ต้องคอยเดาให้ปวดหัว เรารวบรวมมาให้แล้ว สำหรับเทรนด์ไหนที่มีแนวโน้มว่าจะมาแรงในปีหน้า ให้หนุ่มสายดีไซน์ได้เตรียมตัวกันตั้งแต่ปลายปีนี้ Asymmetry Design by Vasjen Katro การจัดวางคอมโพสจะมาในรูปแบบที่ไร้ขอบเขต ไม่มีกรอบ ไม่ต้องสมมาตร ง่าย ๆ คือ Open compositions นั่นเอง การจัดวางแบบนี้ ฟังดูอาจรู้สึกว่ามันง่าย แต่จริง ๆ มันยากกว่าการมีกรอบมากำหนดไว้เสียอีก เพราะการจัดวางแบบไร้ขอบเขต ก็ต้องคำนึงถึงน้ำหนักของแต่ละฝั่ง ของแต่ละ Elements เพราะมันจะวางตรงไหนก็ได้ แต่ใช่ว่ามันจะสวยทั้งหมด ถือว่าเป็นเทรนด์ที่ท้าทายความสร้างสรรค์และความชาญฉลาดในการออกแบบของหนุ่มนักออกแบบอยู่ไม่น้อย Floating Elements Project by Nahel Moussi, Louis Ansa, Romain Avalle ต่อยอดจากข้อที่แล้ว นอกจากการวางแบบไร้ขอบเขตแล้ว วัตถุที่ดูเหมือนลอยเคว้งคว้างอยู่ก็มาแรงไม่แพ้กัน ทั้งสองแบบดูจะมีความคล้ายคลึงกันอยู่มาก แต่ความแตกต่างคือ Floating
แม้จะถูกแซะอยู่บ่อย ๆ ว่าเป็นรองเท้ารูปทรงขัดตาขัดใจ แต่ตอนนี้กลายเป็นแรร์ไอเทมไปแล้วสำหรับ Post Malone x Crocs ล่าสุดพวกเขากำลังเตรียมตัวปล่อยรองเท้าในดรอปที่สองตามออกมา หลังจากรองเท้ารุ่นแรกได้รับความนิยมจากแฟน ๆ อย่างท่วมท้น ถึงขนาดราคา Resell ใน eBay พุ่งทะยานเกิน 10 เท่าของราคาป้ายไปแล้ว Post Malone x Crocs คู่แรกถูกปล่อยออกมาแบบเซอร์ไพรส์แฟน ๆ ในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยเลือกถ่ายทอดผลงานลงบนรองเท้า Iconic ของค่ายซึ่งทุกคนคุ้นตากันดีอย่าง Classic Clog ซึ่งการทำออกมาครั้งนั้นเหมือนเป็นการโยนหินถามทางมากกว่าถ้าดูจากจำนวนที่ผลิตออกมา แต่ทว่ามันกลับสร้างปรากฏการณ์ด้านยอดขายฟ้าถล่มดินทลาย รวมไปถึงเสียงตอบรับด้านบวกเป็นวงกว้าง ทำเอาคนที่เคยด่า Crocs ต้องกลืนน้ำลายตัวเองกันหลายอึก ซึ่งเป็นต้นเหตุให้เกิดการปล่อยรองเท้ารุ่นที่สองตามออกมาในที่สุด Post Malone x Crocs ดรอปที่สองมากับรองเท้าในโมเดลเดียวกันกับคู่แรก แต่เปลี่ยนมาใช้โทนสีเหลืองสดเป็นหลัก ตัวรองเท้ามาพร้อมกราฟิกลายลวดหนามซึ่งถือเป็นลายที่ Post Malone หลงใหลเป็นพิเศษ ตกแต่งด้วยเข็มกลัดจาก Jibbitz ไม่ว่าจะเป็นรูปงู, หัวกะโหลก รวมถึงโลโก้ PM-2 ตัดด้วย In-Sole สีดำสนิทสร้างมิติที่แปลกใหม่ โดยมีแผนจะวางขายสู่ตลาดในวันที่
Patek Philippe แบรนด์นาฬิกาสุดหรูที่มีประวัติยาวนานกว่าร้อยปี ใครได้ยินก็ต้องรู้จักและอยากมีเก็บไว้เป็นของตัวเองซักเรือน ซึ่งการรักษาคุณภาพและชื่อเสียงของแบรนด์ให้อยู่มาอย่างยาวนานได้ขนาดนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย UNLOCKMEN พร้อมไขคำตอบว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้ Patek Philippe สามารถคงความหรูหราและมูลค่ามีระดับมาได้จนถึงปัจจุบัน จุดเริ่มต้นของแบรนด์นาฬิกาชื่อก้องโลกเริ่มต้นขึ้นใน ค.ศ.1839 อังตวน นอร์เบิร์ด เดอ ปาเต็ก ดีไซน์เนอร์ยอดฝีมือกับเพื่อนของเขา ฟรองซัวส์ ซีซาเปค ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทนาฬิกาขึ้นในเมืองเจนีวา โดยใช้ชื่อว่า Patek, Czapek & Cie ผลิตนาฬิกาคุณภาพยอดเยี่ยมเป็นเวลากว่า 6 ปี จนกระทั่ง ซีซาเปค ได้แยกตัวออกมา ทำให้ปาเต็กได้คุมบังเหียนของบริษัท ต่อมาในช่วงเวลาใกล้กันใน ค.ศ. 1844 ช่างทำนาฬิกานามว่า ฌอง เอเดรียน ฟิลิป ก็ได้สร้างชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาจากการบุกเบิกเทคโนโลยีนาฬิการะบบกลไกแบบไม่ต้องใช้กุญแจ หรือ Keyless stem-winding system ได้สำเร็จ เพราะแต่เดิมการตั้งเวลาจะต้องใช้กุญแจเพื่อแกะด้านหลังของนาฬิกา ทำให้ฝุ่นหรือไอน้ำเข้าตัวนาฬิกาอยู่บ่อยครั้ง แถมในบางทีก็ทำกุญแจหายอีก สิ่งที่ฟิลิปคิดค้นขึ้นนั้นสามารถแก้ปัญหาทั้งหมดที่กล่าวมา ด้วยสิ่งที่เรียกว่า เม็ดมะยม ที่ตั้งเวลาได้โดยไม่ต้องมานั่งแกะตัวเรือนให้เสี่ยงต่อความชื้นและฝุ่นละออง และในรายละเอียดเล็ก ๆ นี้เองที่ส่งผลในเรื่องของความสะดวกสบายอย่างเหลือเชื่อ ทำให้ผลงานของฟิลิปได้รับรางวัลชนะเลิศจากเวที Products
เกมคอนโซลและรองเท้าผ้าใบ นับเป็นไอเทม 2 ชนิดตลอดกาลที่สามารถสร้างความสุขให้กับผู้ชายอย่างเราได้เสมอ เพราะต่อให้เวลาผ่านไปสักแค่ไหน เราก็ยังหลงเหลือความชอบในพวกมันอยู่ไม่มากก็น้อยและดูเหมือนว่าแบรนด์กีฬายักษ์ใหญ่อย่าง NIKE จะเข้าใจจุดนี้เป็นอย่างดี เลยจัดการการตอบสนองความต้องการของเหล่า Sneakerhead ทั่วโลกด้วยการส่งโมเดลรองเท้าล่าสุดอย่าง PlayStation x NIKE PG 2.5 ออกมาให้ต้องเก็บเงินพร้อมเคลียร์ตู้รองเท้ากันอีกแล้ว PlayStation x NIKE PG 2.5 คือรองเท้าบาสเกตบอลรุ่นประจำตัวของ Paul George นักบาสเกตบอลจากทีม Oklahoma City Thunder ในลีก NBA โดยรองเท้ารุ่นแรกของเขาอย่าง NIKE PG 1 ถูกส่งออกมาเป็นครั้งแรกในปี 2017 และด้วยกระแสตอบรับที่ยอดเยี่ยม ทำให้ Nike เดินหน้าพัฒนาแนวทางของมันจนออกมาเป็นรองเท้ารุ่นล่าสุด ที่ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากเครื่องเกมคอนโซลในตำนานอย่าง PlayStation 1 และพื้นฐานความชื่นชอบในการเล่นเกมของ Paul George PlayStation x NIKE PG 2.5 มาในโทนสีหลักคือ Wolf Grey โดยมีการใส่รายละเอียดจากเครื่อง PlayStation Classic
ใกล้ช่วงสิ้นปีเข้ามาทุกที หนุ่ม ๆ คนไหนยังไม่มีโปรแกรมหยุดประจำปีก็เตรียมตัวจองตั๋วหาทริปพักผ่อนกันได้แล้วแต่สำหรับคนที่มีเป้าหมายแล้วก็ควรหากระเป๋ามาแพ็ครอไว้ได้เลย โดยเฉพาะคนชอบเที่ยวแบบพัก Hostel หรือลากกระเป๋าลุยไปทุกที่แล้วละก็ OFF-WHITE™ x RIMOWA คือหนึ่งในกระเป๋าที่เราอยากแนะนำให้นักเดินทางทุกคนควรหามาครอบครองเอาไว้ OFF-WHITE™ x RIMOWA “PERSONAL BELONGINGS” ผลงานจากการ Collaboration ชิ้นล่าสุดระหว่างแบรนด์ร้อนแรงที่สุดแห่งปีอย่าง Off-White™ กับแบรนด์ผู้เชี่ยวชาญในการผลิตกระเป๋าเดินทาง (Luggage) จากประเทศเยอรมนีที่รู้จักกันในชื่อ RIMOWA โดยครั้งนี้นับเป็นผลงานชุดที่ 3 ซึ่งมาในรูปแบบ Metal cases ผลิตจากอลูมิเนียมคุณภาพดีซึ่งถือเป็น Signature ของแบรนด์ RIMOWA เลยก็ว่าได้ แต่ถ้าถามว่าทำไมอลูมิเนียมถึงได้กลายมาเป็นวัสดุหลักของพวกเขาได้ นั้นก็เพราะหลังจากโรงงานผลิตหลักของแบรนด์ถูกสร้างขึ้นได้ประมาณ 30 ปี แต่ทว่าในปี 1930 ก็เกิดเหตุไฟไหมครั้งใหญ่ขึ้นพร้อมกับเผาทำลายวัสดุหลักอื่น ๆ ที่ใช้ในการทำกระเป๋าไปจนหมดเหลือแค่เพียงแผ่นอลูมิเนียมเท่านั้น จากนั้นมากระเป๋าที่ผลิตจาก Metal จึงกลายมาเป็นผลงานมาสเตอร์พีซของพวกเขามาถึงปัจจุบัน เมื่อชิ้นงานพิเศษถูกเลือกมาอยู่ในมือของดีไซเนอร์หนุ่มสุดไฮป์เลยเกิดการรวมตัวกันออกมาเป็นกระเป๋าเดินทางในลุคสตรีตที่ดึงดูดทุกสายตาตั้งแต่ลากขึ้นเครื่องโดย OFF-WHITE™ x RIMOWA “PERSONAL BELONGINGS” มาพร้อมด้านยาว 57 เซนติเมตร,
เหลือเวลาแค่ 2 เดือนเท่านั้นก่อนจะจบปี 2018 สำหรับปีนี้หนุ่ม ๆ หลายคนคงจะเต็มอิ่มกับรองเท้านับร้อยคู่ที่ถูกปล่อยหมุนเวียนกันออกมาเรียกเงินในกระเป๋าเราตลอดทั้ง 10 เดือน แต่สำหรับคนที่พลาดก็ไม่ต้องกังวลไปเพราะเดือนพฤศจิกายนเองก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะตั้งเป้าหมายการซื้อเอาไว้ เพราะรองเท้าแต่ละคู่ที่จะปล่อยออกมาวางขายในเดือนนี้สวยจนอยากเป็นหนี้แน่นอน Adidas Yeezy BOOST 350 V2 “Zebra” RE-STOCK กลับมาอีกครั้งสำหรับ Adidas Yeezy BOOST 350 “Zebra” สีที่เคยมีราคาแตะหลักครึ่งแสนมาแล้วในไทยเมื่อตอนเปิดตัวครั้งแรกซึ่งต้องมาดูกันว่ารอบนี้จะปล่อยออกมาเพียงพอกับความต้องการของเหล่า YEEZY MANIA เมืองไทยหรือเปล่า โดยจะวางขายพร้อมกันทั่วโลกวันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายนนี้ สำหรับหนุ่มไทยสามารถหาซื้อได้ตามช็อป Adidas Brand Center , Adidas Original Store Siam Center หรือผ่านช่องทางออนไลน์ในเว็บไซต์ adidas.co.th ส่วนเงื่อนไขการซื้อคงต้องรอฟังต่อไป หรือถ้าใครอยากลุ้นมันส์ ๆ ทาง Carnival Store ก็มีการขายแบบจับฉลากด้วยเหมือนกัน ราคาป้ายของเจ้าม้าลายอยู่ที่ประมาณ 8,800 บาท ทั้งนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามจำนวนที่ถูกปล่อยเข้ามาในประเทศ เพราะเริ่มมีพ่อค้าคนกลางบางร้านเปิด Pre-order กันแล้วในราคาประมาณ 11,xxx -12xxx
เทรนด์ดีไซน์ก็ไม่ต่างอะไรกับเพลงและแฟชั่นที่ทุกอย่างมันจะวนกลับมาฮิตใหม่อยู่เสมอ ของสุดเชยในวันนั้นคือของโคตรเจ๋งในวันนี้ ผู้ชายอย่างเราเลยไม่อาจตัดสไตล์ไหนทิ้งได้เลยและยังจำเป็นต้องอัปเดตเทรนด์อยู่เสมอ เพื่อให้งานของเราออกมาเกาะกระแสและขายได้นั่นเอง UNLOCKMEN จะพามาเกาะกระแสเทรนด์ดีไซน์ปี 2018 ที่ฮิตกันตั้งแต่ต้นปีและยังคงแข็งแกร่งลากยาวมาถึงปลายปีนี้ได้ แถมยังจะอยู่ต่อไปได้อีกนาน การจัดวาง TEXT ที่ไร้ขอบเขต เป็นอีกสิ่งที่ปีนี้เราจะสังเกตเห็นได้จากหลายแบรนด์หรืออาร์ตเวิร์ก หันมาวาง Text ที่ฉีกจากรูปแบบเดิม ๆ ไปโดยสิ้นเชิง พอแล้วกับข้อความที่ต้องเรียงเป็นประโยคสวยงาม เทรนด์ในปีนี้ เราสามารถฉีกคำออกจากกันได้โดยใช้ “-” เข้ามามีส่วนร่วม เติมเต็มช่องว่างที่หายไปของคำนั้นและเพื่อให้รู้ว่าคำนี้จะเชื่อมกับคำต่อไป อีกแบบคือ การเว้นช่องไฟของคำให้ห่างเต็มพื้นที่ จนตัวอักษรกลายเป็น Elements หนึ่งของการออกแบบไปแล้ว Illustrations เข้ามาเพิ่มมิติได้ตามใจนึก รูปภาพเป็นอีกองค์ประกอบที่เว็บไซต์จะต้องมี และหลายเว็บฯ มีรูปภาพเป็นองค์ประกอบสำคัญเลยด้วย เรามักจะคุ้นเคยแต่ภาพถ่ายถูกนำมาเป็นส่วนสำคัญของหน้า Home เป็น Header หรือส่วนอื่น ๆ เพราะเรามักจะใช้ภาพถ่ายสื่อสารข้อความบางอย่างออกมา และมันก็ทำหน้าที่นี้ได้ดีมาเสมอ แต่ 2018 นี้ ลองขยับมาเป็นงาน Illustrations กันดู อาจจะไม่ใช่ทั้งหมดของภาพ แต่การมี Illustrations ให้ภาพมีกลิ่นอายของลายเส้น ลวดลายจากการวาด ไม่ว่าจะเป็นงานแนวไหนก็ตาม มาเป็นส่วนหนึ่งจะช่วยให้ภาพนั้นดูเป็นงานทำมือมากขึ้น
จากข้อเท็จจริงที่ว่าผู้คนส่วนใหญ่ใช้เวลา 1/3 ของชีวิตไปกับการนอน จึงแทบปฏิเสธไม่ได้ว่าห้องนอนนั้นถือเป็นอีกพื้นที่สำคัญของชีวิต ซึ่งนอกจากจะทำหน้าที่เป็นห้องสำหรับพักผ่อน ห้องนอนยังเป็นพื้นที่ที่สามารถสะท้อนตัวตนของเราออกมาได้เป็นอย่างดีผ่านเฟอร์นิเจอร์ รวมถึงข้าวของต่าง ๆ ที่เราเลือกใช้ภายในห้อง ด้วยเหตุผลนี้ทำให้ผู้คนทั้งหลาย รวมถึงผู้ชายอย่างเรา ๆ ต่างก็อยากมีห้องนอนในฝันที่ตกแต่งออกมาในรูปแบบที่ตัวเองปรารถนา ในสไตล์ที่เป็นตัวเองอย่างที่สุด แต่ถึงแม้ใจจะอยากแต่งห้องแบบเต็มที่ ก็ใช่ว่าจะจับต้นชนปลายความต้องการในหัวให้ออกมาเป็นรูปเป็นร่างของห้องนอนในฝันได้ชัดเจนขนาดนั้น วันนี้ UNLOCKMEN จึงขอแนะนำ 5 สไตล์การตกแต่งห้องนอนแมน ๆ ให้ออกมาเท่สมใจ เพื่อเป็นจุดตั้งต้นของไอเดียการออกแบบพื้นที่ส่วนตัวอย่างห้องนอนที่ถ่ายทอดความเป็นตัวเองออกมาได้ชัดเจนที่สุด และที่สำคัญคือต้องไม่หลุดคอนเซ็ปต์ความเท่ในแบบที่ผู้ชายอย่างเราต้องการ ไอเดียแรกสำหรับผู้ชายสายคลาสสิก เน้นคุมโทนสีน้ำตาลของพื้นห้อง และเฟอร์นิเจอร์ไม้ ขาดไม่ได้กับโซฟาหนังดี ๆ เอาไว้นั่งอ่านหนังสือสักตัว พร้อมเพิ่มความโดดเด่นสร้างลูกเล่นให้กับห้องไม่ให้ถูกกลืนไปด้วยสีน้ำตาลเพียงอย่างเดียวด้วยการเลือกเตียงนอน หรือ ตกแต่งผนังหัวเตียงในโทนสีเทา ซึ่งให้ความแตกต่างแต่ก็ยังกลมกลืนกับอารมณ์โดยรวมของห้องนอนสไตล์นี้ ถ้าความเรียบง่ายคือรูปแบบการใช้ชีวิตที่โปรดปราน การแต่งห้องนอนแนวมินิมัลคือทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะในความน้อยก็ยังมีความเท่แฝงอยู่ภายใต้ผนังห้องสีเทาเข้มตัดกับสีน้ำตาลอ่อนของเนื้อไม้ที่นำมาตกแต่งกรุเป็นผนังหัวเตียง และสำหรับเฟอร์นิเจอร์ที่เข้ากับห้องนอนแนวนี้เราแนะนำว่าควรหาเฟอร์นิเจอร์เรียบ ๆ ที่ไม่เน้นดีเทลของพื้นผิวและรูปทรงอะไรมากมายมาใช้ พร้อมเพิ่มมิติให้กับห้องด้วยการใช้สีดำเข้ามาแซมในส่วนของกรอบบานประตู, หน้าต่าง หรือไม่ก็โชว์ความติสท์ด้วยกรอบรูปสีดำเรียบ ๆ ก็ดูเท่ไม่ใช่เล่น อีกหนึ่งทางเลือกของหนุ่มสายมินิมัล แต่เพิ่มความอบอุ่นในแบบฉบับนิปปอนขึ้นมาอีกนิด เฟอร์นิเจอร์ รวมถึงผนังหัวเตียงไม้สีอ่อนยังเป็นหัวใจสำคัญหลักในการสร้างอารมณ์ความอบอุ่นเรียบง่ายให้กับห้องนี้ ที่แตกต่างออกไปก็จะเป็นในเรื่องของการเพิ่มสีสันรวมถึงลูกเล่นงานดีไซน์ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ให้ห้องนอนห้องนี้ดูมีรายละเอียดและความขี้เล่นที่เพิ่มมากขึ้น
หนังสือไม่เพียงบอกเล่าเรื่องราวภายใน แต่ยังสะท้อนเรื่องราวของคนอ่านด้วยว่ามีความสนใจเรื่องไหน ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับหนังสือจึงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถแยกขาดจากกันได้ นี่จึงเป็นโอกาสดีที่เราแอบทำโปรเจกต์ลับ ๆ นี้ขึ้นโดย Snapshot หนังสือที่เราพบในสถานที่ต่าง ๆ ที่ไปเยือนและนำมาเล่าสู่กันฟังเพื่อแนะนำต่อให้ชาว UNLOCKMEN ได้อ่านกัน เผื่อใครที่ชื่นชอบไลฟ์สไตล์ของเจ้าของหนังสือจะเห็นมุมมองอีกด้านที่กว้างขึ้น ที่สำคัญมันยังถือเป็นการปลุกกระแสการอ่านหนังสือล็อตเก่าที่ยังคงเจ๋งเสมอไว้ให้เรามีโอกาสไปพลิกอ่านกัน สำหรับครั้งนี้สถานที่ที่เราตามไป Snap คือ Apos the HQ สถานที่ทำงานของ Apostrophys Group แต่บอกก่อนว่าทั้ง 5 เล่มนี้ไม่ได้เป็นการ Recommend จากชาว Apos แต่อย่างใด หากเป็นความคิดเห็นและการคัดเลือกของเราที่คิดว่าน่าสนใจและต้องการนำมาบอกต่อ Very Thai : everyday popular culture เริ่มต้นเล่มแรกด้วยหนังสือปกแข็งสีชมพูแสบสันจำนวน 320 หน้าที่เขียนด้วยภาษาอังกฤษทั้งฉบับ แต่ไม่ได้ยากเกินความเข้าใจ ข้างในเล่มว่าด้วยเรื่องวัฒนธรรมของไทยที่เราเห็นจนชินตา แต่ชาวต่างชาติที่มาไทยแทบทุกคนล้วนต้องอุทานว่า “อย่างนี้ก็มีด้วยเหรอ” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทิชชู่สีชมพูในร้านอาหาร รถแท็กซี่ที่ตกแต่งด้วยการแปะโน่นนี่เต็มรถ ไปจนถึงการจัดชุดอาหารเล็ก ๆ แล้วปักธูปเพื่อบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ความโดดเด่นของเล่มนี้อยู่ที่มุมมองการนำเสนอจากผู้เขียนหนังสือที่เล่าเรื่องพาซื่อจากความเป็นชาวต่างชาติ แต่มีผลกับการปรับมุมมองที่เคยจำเจของเราไปอย่างสิ้นเชิง แถมยังต่อยอดความคิดให้เราตั้งคำถามกับทุกสิ่งรอบตัวได้มากขึ้นด้วย ดังนั้น Very Thai หรือ
เดินเข้าสู่ปีที่ 50 สำหรับอัลบั้มในตำนานของสี่เต่าทองที่รู้จักกันในชื่อ The White Album เพราะนอกจากต้นสังกัดอย่าง Apple Records จะมีแผนในการ Re-master อัลบั้มออกมาวางขายอีกครั้งในช่วงปลายปีนี้แล้ว พวกเขายังมีโปรเจกต์ปล่อยของที่ระลึกสุดเท่เป็นเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่สร้างเพื่อฉลองครบรอบครึ่งศตวรรษของ Iconic Album ในชื่อ 2Xperience SB Turntable : The Beatles White Album Edition อีกด้วย The White Album คือสตูดิโออัลบั้มที่ 9 ของ The Beatles ถูกปล่อยออกมาครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน ปี 1968 จริง ๆ แล้วชื่อของอัลบั้มคือ The Beatles (เดอะบีเทิลส์) เหมือนชื่อวงแต่เพราะการเปิดตัวพร้อมปกอัลบั้มสีขาวล้วนไร้ลวดลาย แฟนเพลงเลยติดปากเรียกกันว่า The White Album แทน หน้าปกสไตล์ Minimalist ชิ้นนี้ถูกออกแบบโดย Richard Hamilton ศิลปินแนว Modern Art