สำหรับนักสะสมนาฬิกาข้อมือหรือผู้ที่ชื่นชอบนาฬิกา การปรับแต่งนาฬิกาเรือนโปรดให้มีดีไซน์และลูกเล่นที่ไม่ซ้ำใครก็เป็นอีกหนึ่งความสนุกของเหล่านักสะสม และครั้งนี้สำนักปรับแต่งนาฬิกาชื่อดังอย่าง MAD Paris ก็สร้างความตื่นเต้นให้กับแวดวงนาฬิกาอีกครั้งด้วยการสร้างสรรค์ผลงานสีรุ้งบน Rolex Daytona MAD Paris คือสำนักปรับแต่งนาฬิกาข้อมือชื่อดังที่มีจุดเริ่มต้นมาจากนักสะสมนาฬิกากลุ่มหนึ่งที่ต้องการเปลี่ยนให้นาฬิกาของตัวเองพิเศษและโดดเด่นไม่เหมือนใคร และขึ้นชื่อเรื่องการปรับแต่งนาฬิกาแบรนด์ดัง ๆ เช่น Rolex, Patek Philippes และ Audemars Piguets การปรับแต่งนาฬิกาของ MAD Paris ทำทุกอย่างตั้งแต่ดัดแปลงหน้าปัด ปรับแต่งสายข้อมือใหม่ เพิ่มเครื่องประดับหรือเปลี่ยนสีวัสดุใหม่ทั้งหมด ไปจนถึงรายละเอียดเล็ก ๆ เกี่ยวกับกลไกด้านในที่ซับซ้อน ด้วยเทคโนโลยีทันสมัยผสมผสานกับงานทำมือเพื่อให้นาฬิกาแต่ละเรือนออกมาตรงตามความต้องการของแต่ละคน คอลเลกชันสุดพิเศษของ MAD Paris อยู่บน Rolex รุ่น Dayona นาฬิกาข้อมือที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 1963 ออกแบบมาสำหรับนักแข่งรถโดยเฉพาะ MAD Paris ได้นำนาฬิกาจากตระกูล Dayona มาปรับแต่งใหม่ จนเหล่าคนรักนาฬิกาสนใจกันล้นหลาม เพราะทางสำนักแต่งได้นำแซฟไฟร์ซึ่งเป็นพลอยตระกูลคอรันดัมที่มีความแข็งแกร่งรองจากเพชร โดยใช้แซฟไฟร์สีสันหลากหลายทั้งสีชมพู ฟ้า เหลือง เขียว ม่วง และน้ำเงิน นำมาร้อยเรียงต่อกันตรงขอบหน้าปัดนาฬิกาให้เหมือนกับสีของรุ้งกินน้ำ ด้านในหน้าปัดนาฬิการุ่นพิเศษ พื้นและเส้นบอกเวลาภายในจะเป็นสีดำทั้งหมด
สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องค่าสายตาไม่ว่าจะสายตาสั้นหรือสายตายาว แว่นตาคือสิ่งที่จะต้องมีติดตัวและสวมใส่อยู่ตลอดเวลา ในขณะที่มีดพับสวิสก็คือไอเทมที่เหล่านักเดินทางหรือผู้ชื่นชอบการเดินป่าขาดไม่ได้ ไอเทมทั้งสองชิ้นมีความสำคัญต่างกัน แต่มีประโยชน์มากเหมือนกันจึงทำให้เกิดไอเดียสุดล้ำที่จะนำทั้งแว่นสายตาและมีดพับมารวมกัน GlassesUSA แบรนด์แว่นตาจากสหรัฐฯ ร่วมมือสร้างปรากฎการณ์ใหม่ให้กับโลกของมีดพับและแว่นไปพร้อมกันด้วยการ Collaboration กับ Victorinox Swiss Army จุดเริ่มต้นของไอเดียนี้มาจากเรื่องง่าย ๆ โดยทีมนักออกแบบแว่นตาคนหนึ่งของบริษัทไปตั้งแคมป์แล้วเกิดต้องการที่เปิดขวดขึ้นมา แต่ทั้งตัวกลับมีแค่ของใช้ทั่วไปรวมถึงแว่นตาที่สวมอยู่ และความต้องการที่เปิดขวดในครั้งนั้นทำให้วันต่อมาเขาเริ่มร่างแบบแว่นตาที่ไม่มีใครเคยทำและติดต่อกับแบรนด์มีดพับชื่อดังทันที Victorinox Swiss Army แบรนด์มีดพกพาและที่เปิดขวดไวน์สัญชาติสวิสเซอร์แลนด์อันโด่งดัง ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1897 ผลิตมีดพับอเนกประสงค์ตอบโจทย์เหล่านักเดินทางและคนที่ชื่นชอบการตั้งแคมป์ ด้วยดีไซน์สุดเฉพาะตัวและลวยลายที่ไม่เหมือนใครทำให้มีดพับแบรนด์นี้เป็นของสะสมและของขวัญช่วงเทศกาลได้อีกด้วย ทั้งสองบริษัทตัดสินใจร่วมกันออกแบบแว่นตาที่มีส่วนประกอบเป็นมีดพับ โดยใช้ชื่อว่า Survival Rx ผ่านการตรวจสอบเรื่องความปลอดภัยด้วยแม่เหล็กนีโอไดเมียมล้ำสมัยช่วยจัดวางอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้เข้ากับขาแว่นที่ทำจากเทอร์โมพลาสติก ผสมผสานเข้ากับคาร์บอนไฟเบอร์ที่มีคุณสมบัติเด่นเรื่องน้ำหนักเบา ทนทานต่อการบิดหักและเกิดรอยขีดข่วนยาก เป็นวัตถุดิบที่ใช้กันแพร่หลายในวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ ฟังก์ชันมีดพับของ Victorinox Swiss Army บนแว่น Surival Rx สามารถใช้งานได้หลากหลาย เป็นทั้งที่เปิดขวดแบบฝา กรรไกรจิ๋ว ไขควง ตะไบ และที่เปิดขวดไวน์ ครบถ้วนตามความต้องการขั้นพื้นฐานสำหรับเหล่าผู้ชื่นชอบการออกไปตั้งแคมป์ นอกจากนี้มีดพับของแบรนด์ยังผลิตจากบริษัทสเตนเลสสตีลชื่อดังของของสวิซเซอร์แลนด์ ทำให้หมดห่วงเรื่องสนิมและสามารถถอดออกจากแว่นตาได้ Victorinox Swiss Army จุดเริ่มต้นจากมีดพับแต่พัฒนาต่อยอดเพื่อขยายตลาดของแบรนด์ให้กว้างขึ้นด้วยการเพิ่มสินค้าอื่น ๆ
โรงแรม Muji อาจไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับผู้ชื่นชอบสไตล์มินิมัล เพราะ Muji สร้าง Muji Shenzhen Hotel สาขาแรกของโลกที่ประเทศจีนไว้แล้ว แต่เมื่อ Muji เปิดตัวโรงแรมแห่งที่สามในญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศต้นกำเนิดแบรนด์ก็ทำให้ผู้คนกลับมาสนใจโรงแรมของแบรนด์ผลิตภัณฑ์สุดมินิมัลอีกครั้ง UNLOCKMEN จะพาไปดูการตกแต่งห้องแต่ละแบบของโรงแรม Muji ใจกลางกรุงโตเกียว ว่าจะสร้างสรรค์สไตล์มินิมัลในพื้นที่จำกัดออกมาเป็นอย่างไร เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่หลงใหลการแต่งห้องแบบเรียบง่ายแต่มีระดับ โรงแรม Muji แห่งแรกของญี่ปุ่นตั้งอยู่ในย่านกินซ่าที่พลุกพล่าน บนตึก Marronnnier Gate Ginza Complex มีห้องพักทั้งหมด 79 ห้อง ตั้งแต่ชั้น 7 ไปจนถึงชั้น 10 ส่วนเคาท์เตอร์ของโรงแรมจะอยู่ที่ชั้น 6 หมดกังวลเรื่องความไม่เป็นส่วนตัวแม้จะอยู่ตรงย่านใจกลางเมือง Muji กล่าวถึงคอนเซปต์ของโรงแรมที่กำลังจะเปิดตัวช่วงเดือนหน้าได้เป็นประโยคสั้น ๆ ว่า “anti-gorgeous, anti-cheap” ไม่หรูหราเกินไปแต่ก็ไม่โลว์คลาส ตอบสนองความพึงพอใจและพื้นที่ใช้สอยได้อย่างครบถ้วน พร้อมเอกลักษณ์ที่เด่นชัดเมื่อเห็นก็จะรู้เลยว่านี้คือสไตล์ของ Muji เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นภายในโรงแรมล้วนเป็นของที่ผลิตโดย Muji ทั้งเฟอร์นิเจอร์แบบบิลท์อิน เฟอร์นิเจอร์ลอยตัว ทำให้ห้องพักเต็มไปด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติมากมายทั้งไม้ หิน เสื่อทาทามิอันเป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่น ไปจนถึงข้าวของเครื่องใช้
Casio สร้างความตื่นเต้นให้วงการนาฬิกาอีกครั้งในงาน Baselworld ปี 2019 งานจัดแสดงนาฬิกาและเครื่องประดับที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ด้วยการเปิดตัวนาฬิการุ่นใหม่ล่าสุดของตระกูล G-Shock ที่ได้แรงบันดาลใจจากกาแลคซี่ สายรุ้ง และแสงแดดมาสร้างสรรค์นาฬิกาข้อมือที่ไม่ธรรมดา นาฬิกาต้นแบบที่ Casio เลือกหยิบมาแต่งแต้มสีสันคือโมเดล MT-G จากตระกูล G-Shock ที่สร้างชื่อให้แบรนด์ การดีไซน์สีสันของนาฬิกาข้อมือจะใช้แถบสีของรุ้งกินน้ำทั้ง 7 ที่เกิดจากการหักเหของแสงผ่านหยดน้ำที่ล่องลอยอยู่ในอากาศมาตกแต่งบริเวณของนาฬิกา รวมถึงแต่งบนเครื่องหมายและตัวเลขบนหน้าปัด เส้นบอกตำแหน่งเวลาสีทอง สลับกับตัวเลขสีชมพูและสีฟ้าแตกต่างกันไปแต่ละช่องแสดงผล เพิ่มสีสันความสนุกสนานให้กับนาฬิกาสายสปอร์ต ไม่ใช่เพียงแค่สีสันโดดเด่นเท่านั้นที่ผู้คนตอบรับ แต่เทคโนโลยีของนาฬิกาก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะนาฬิกาในตระกูล G-Shock โมเดล MT-G จะผสานโลหะและเรซินทำให้เกิดสีสันสะดุดตา โครงสร้างกันแรงกระแทกด้วย Triple G Resist แข็งแรงแต่ยังคงรูปลักษณ์เพรียวบางเอาไว้ พร้อมสายนาฬิกาน้ำหนักเบาและทนทาน ชิ้นส่วนเรซินคุณภาพเยี่ยมมีคุณสมบัตินำความร้อนต่ำกว่าสเตนเลสสตีล ดังนั้นความเย็นจะส่งผ่านไปถึงข้อมือน้อยกว่าแม้ในฤดูหนาว กระจกนาฬิกาทำจากคริสตัลแซฟไฟร์ทำให้เกิดรอยขีดข่วนยาก รวมถึงการเคลือบแบบไม่สะท้อนแสงจะช่วยให้สามารถมองเห็นหน้าปัดชัดขึ้นแม้จะอยู่บนพื้นที่กลางแจ้ง และสามารถลงน้ำลึกได้ 200 เมตร การซิงค์ปรับแก้เวลาเมื่อเดินทางข้ามทวีปสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว โดยใช้เทคโนโลยีบลูทูธเชื่อมต่อกับสมาร์ตโฟนผ่านแอปพลิเคชั่น G-SHOCK Connected เพื่อรับข้อมูลเวลาที่แม่นยำจากเซิร์ฟเวอร์เวลาออนไลน์ และระบบ MULTIBAND 6 ปรับเวลาอัตโนมัติตามการรับสัญญาณเทียบเวลาจากสถานี 6
นาฬิกาอัจฉริยะอย่าง Apple Watch ถือเป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยมมากในประเทศไทย รวมถึงตอนนี้ก็เข้าใกล้ฤดูร้อนอย่างเป็นทางการเข้ามาทุกทีแล้ว Apple จึงปล่อยสายนาฬิกาคอลเลกชันล่าสุดที่ collaboration กับแบรนด์แฟชั่นชื่อดัง Hermes และ Nike เพื่อต้อนรับฤดูกาลใหม่ที่กำลังมาถึง Apple Watch x Nike+ คือการ collaboration ระหว่างแบรนด์เทคโนโลยีกับแบรนด์เครื่องกีฬาชั้นนำออกมาเป็นนาฬิกาอัจฉริยะและสายนาฬิการุ่นพิเศษสองรุ่นอย่าง Sport Band และ Sport Loop Apple Watch Series 4 Nike+ แตกต่างจาก Apple Watch Series 4 ธรรมดาหลายอย่าง ทั้งเอกลักษณ์ของแบรนด์กีฬาชื่อดัง Nike บน smartwatch พร้อมระบบ Nike Run Club และ Nike Training Club ที่ออกแบบมาเพื่อผู้ใช้สายสปอร์ต Sport Band สายนาฬิกาทำจาก Fluoroelastomer ยางคุณภาพสูงที่มีคุณสมบัติแข็งแรงทนทาน ตัวสายมีรูขนาดใหญ่ออกแบบมาเพื่อระบายอากาศสำหรับผู้ชื่นชอบการออกกำลังกายโดยเฉพาะ พร้อมกับสีใหม่ 3 สี
Casio นาฬิกาแบรนด์ดังจากญี่ปุ่นร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 40 ปี ของแอนิเมชันเรื่องดังขวัญใจเด็กผู้ชายอย่าง Gundam ด้วยนาฬิกา G-Shock คอลเลกชันพิเศษสุดที่เต็มไปด้วยความเท่แบบสปอร์ตผสมผสานกับกลไกสุดแข็งแกร่งของกันดั้ม กันดั้มคือแอนิเมชันญี่ปุ่นที่ทำให้เหล่าผู้ชายไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ต้องหลงรักหุ่นยนต์ยักษ์ในเรื่องด้วยกันทั้งนั้น รวมกับดีไซน์หน้าตาของหุ่นยนต์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะคล้ายกับหมวกเกาะเหล็กของนักรบซามูไรที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ยังเท่ไม่เคยตกยุค ความคลาสสิกของโมบิลสูทเหล่านี้จะปรากฏอยู่บนนาฬิกาคอลเลกชันพิเศษที่มีให้เลือกทั้งหมด 4 แบบด้วยกัน RX-78-2 Gundam G-Shock โมบิลสูทสีเอกลักษณ์อย่าง RX 78-2 จากภาค Mobile Suit Gundam เมื่อปี 1979 คือยานพาหนะรูปร่างคล้ายมนุษย์ที่ใคร ๆ ต่างก็จดจำคาแรคเตอร์ของหุ่นตัวนี้ได้ แม้บางคนอาจไม่เคยรู้จักกันดั้มมาก่อน แต่ถ้าเห็น RX 78-2 ก็จะเข้าใจได้ทันทีว่าหุ่นยนต์นี้มาจากแอนิเมะเรื่องอะไร เพราะนี่คือกันดั้มตัวแรกที่มีบทบาทมากต่อวงการแอนิเมชันญี่ปุ่น G-Shock จะนำสีอันโดดเด่นของ RX 78-2 คือสีน้ำเงิน สีแดง และสีเหลือง มาแต่งแต้มบนนาฬิกาสีขาว พร้อมกับสลักคำว่า RX 78-2 ด้วยสีดำไว้บนนาฬิกา โดย RX-78-2 Gundam G-Shock จะวางจำหน่ายในราคา 8,870 บาท
เมื่อห้าปีก่อน Onewheel โด่งดังขึ้นจากสเกตบอร์ดไฮเทคอัจฉริยะ ไม่ต่างจากสเกตบอร์ดในภาพยนตร์เรื่อง Back to the Future และสเกตบอร์ดคู่ใจของโคนันจาก Detective Conan ที่ไม่จำเป็นต้องใช้เท้าของผู้เล่นถีบพื้นเพื่อขับแรงส่งเคลื่อนไปข้างหน้า แต่ใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อน ปีนี้ Onewheel ออกสเกตบอร์ดพลังงานไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุดที่มีขนาดเล็กลง น้ำหนักเบาและมีความเร็วมากขึ้นมาให้เด็กสเกตได้ตาลุกวาว Future Motion บริษัทผู้ผลิต Onewheel ระบุว่าสเกตบอร์ดไฮเทคมีแรงบันดาลใจจากผู้คนในมหานครนิวยอร์ก เพราะนิวยอร์กคือเมืองที่มีเรื่องราวหลากหลายไม่ว่าจะเป็นแฟชั่น อาชีพ รวมถึงพาหนะที่เหล่านิวยอร์กเกอร์เลือกใช้งานก็แตกต่างกันไป กลุ่มคนที่ต้องตาทีมผลิตคือเหล่าเด็กสเกตในเมือง ทำให้เกิดไอเดียว่าถ้าทำให้ไอเทมวินเทจอย่างสเกตบอร์ดกลายเป็นยานพาหนะเดินทางสุดไฮเทค ที่อำนวยสะดวกและเหมาะกับทุกคนคงเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อย ลักษณะและคุณสมบัติของ Onewheel รุ่นแรกที่ออกในปี 2014 มีรูปร่างแปลกตาจากสเกตบอร์ดทั่วไป เพราะบริเวณกลางแผ่นบอร์ดจะติดตั้งล้อขนาดใหญ่คล้ายกับล้อรถโกคาร์ท ตัวบอร์ดน้ำหนักรวม 11 กิโลกรัม ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนแบบบางซ่อนไว้ภายในโดยลิเธียมไอออนจะชาร์จไฟเร็วใช้งานได้นานกว่าแบตเตอรี่ทั่วไป ส่วนมอเตอร์กำลังขับเคลื่อนอยู่ที่ 500 วัตต์ เร่งความเร็วได้ 20 กม./ชม ชาร์จสองชั่วโมงพร้อมใช้งาน แต่ถ้ารีบจริง ๆ สามารถใช้ระบบ fast charge 50 นาที ด้วยอุปกรณ์เสริม Pint Ultracharger ได้ โดยสเกตบอร์ด Onewheel สามารถใช้งานต่อเนื่อง
หากเราเปิดภาพยนตร์สักเรื่องดู แบบที่ไม่รู้มาก่อนว่านี่คือเรื่องอะไร สิ่งที่ทำให้เราเดาได้ว่านี่คือหนังของผู้กำกับคนไหน คงจะเป็น Signature ของภาพที่เราได้เห็นและเทคนิคการเล่าเรื่อง เหมือนกับเวลาเราคุ้นตากับลายเส้นอันเป็นเอกลักษณ์ของนักวาดการ์ตูน คุ้นกับสำนวนสละสลวยของนักเขียน ผู้กำกับหลายคนก็มักจะมีเอกลักษณ์ของตัวเองจนเรารู้ได้ในทันทีว่านี่คือผลงานของเขา อย่างภาพยนตร์หม่นหมองของ Tim Burton สีฟ้าอมเขียวและภาพสโลวโมชั่นแบบไร้ที่มาของ Zack Snyder และทุกอย่างที่ดูสมมาตรไปหมดในมุมมองของ Wes Anderson หากใครได้ดูภาพยนตร์ของ Anderson มาบ้าง คงพอจะนึกภาพ Mood and tone ของเรื่องออก ว่าเรากำลังจะพูดถึงอะไร ไม่ว่าจะเป็นการจับคู่สีที่ชาญฉลาด ตัวละครเพี้ยน ๆ รวมทั้งมุมมองที่แสนจะสมมาตรมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนสิ่งเหล่านี้กลายเป็นเอกลักษณ์ของเขา ชนิดที่ว่าดูเรื่องไหนก็เจอมันเรื่องนั้นนั่นแหละ แฟน ๆ หลายคนเองก็ชื่นชอบภาพยนตร์ของเขาเพราะฟินกับความสมมาตรที่ได้ชม เคยสงสัยกันบ้างไหม ว่าทำไมรูปร่าง ภาพ มุมมองที่สมมาตร มันถึงทำให้เราฟินจนรู้สึกว่ามันคือสัดส่วนที่ใช่ของมวลมนุษยชาติ เราจะมาหาคำตอบนี้ไปพร้อมกัน สัดส่วนสุดพึงใจ ความลงตัวของสัดส่วนธรรมชาติ ความสมมาตรคือสัดส่วนที่เราคุ้นเคยกันดี เพราะมันคือสัดส่วนที่ธรรมชาติรังสรรค์ ไม่ต้องมองหาที่ไหนไกลเลย ลองมองที่ตัวเราเองนี่แหละ ตอนที่เราแบ่งเซลล์แล้วประกอบร่างมาเป็นตัวเราอย่างในทุกวันนี้ มันคือการประกบเข้าหากันแบบสมมาตร ลองสังเกตดูว่าร่างกายของเรา มันจะมีเส้นตรงกลางลำตัว ชัดเจนที่สุดคงเป็นเส้นตรงหน้าท้อง หากผ่าร่างกายเราในแนวแกน Y มันจะแบ่งครึ่งได้แบบสมมาตรพอดิบพอดี
ตอนเด็ก ๆ เวลาดูหนังฮอลลีวูดกับครอบครัว ถ้าพระเอกจะสูบบุหรี่หรือเจ้าพ่อมาเฟียอิตาลีมาดเท่อยากสูบซิการ์ ก็มักจะหยิบไฟแช็คทรงเหลี่ยมเปิดฝาแล้วมีเสียงดังกริ๊งขึ้นมาจุดไฟเสมอ เพราะเห็นในภาพยนตร์บ่อยจนชินตาจึงสงสัยและตั้งคำถามว่ามันคือไฟแช็คอะไร จนได้คำตอบว่ามันคือ Zippo ตัวแทนความเท่ในวัยเด็กที่ตรึงใจมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้ UNLOCKMEN จึงสงสัยว่าอะไรที่ทำให้ไฟ Zippo กลายเป็นไอเทมสุดโปรดของใครหลายคน จนถูกเรียกว่า “A legendary and distinct symbol of America” หรือตำนานที่เป็นสัญลักษณ์ของอเมริกา แล้วจุดเริ่มต้นของตำนานนี้เริ่มมาจากอะไร และทำอย่างไรถึงรับได้ความนิยมมายาวนานไม่เสื่อมคลาย เรื่องราวของของไฟแช็คทรงเหลี่ยม เกิดขึ้นโดยชายชาวอเมริกันชื่อว่า George Grant Blasisdell เขาเป็นชายที่อยากทำงานมากกว่าเรียนหนังสือ เมื่อเขาบอกความต้องการของเขาให้ครอบครัวฟัง พ่อกลับส่งเขาไปยังโรงเรียนเตรียมทหารแทน แต่สุดท้ายจอร์จ เบรสเบล เรียนได้แค่ 2 ปีก็ลาออกกลับมาทำงานที่บ้าน อย่างไรก็ตาม เขาคือเด็กชายที่ไม่มีวุฒิการศึกษา ไม่มีประสบการณ์ทำงาน แม้จะเป็นธุรกิจของครอบครัวตัวเอง แต่เขาต้องเริ่มตั้งแต่การทำงานในโรงงาน รับค่าจ้างชั่วโมงละ 10 เซ็นต์เท่ากับคนอื่น ๆ ถึงจะได้เงินน้อยแต่จอร์จกลับรู้สึกสนุกกว่าการต้องไปนั่งเรียนหนังสือ เขาเก็บเกี่ยวประสบการณ์กับเครื่องจักรและระบบการทำงานอย่างเต็มที่ จนได้ขึ้นมาดูแลกิจการแทนพ่อในปี 1920 ซึ่งเป็นสองปีหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง จอร์จได้ขึ้นมากุมบังเหียนธุรกิจครอบครัวในช่วงเศรษฐกิจทั่วโลกซบเซาจากผลของสงคราม ทำให้เขาเริ่มมองหาธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อสร้างรายได้มากขึ้น
มันต้องมีสักครั้ง ที่เราเดินเข้าไปดูงานจัด Gallery Art แนว Abstract แล้วซึมซับสุนทรียภาพข้างหน้าพร้อมความรู้สึกสงสัยว่า “เฮ้ย ! ทำไมงานนี้เป็นงานดังระดับโลกวะ?” หรือรู้สึก “เข้าไม่ถึงความงามระดับสากล” ที่หลายคนชื่นชม ความสงสัยนี้ถูกเก็บงำมานับศตวรรษ การประเมินค่าความงามที่ไม่อาจตีความให้เห็นเป็นรูปธรรมได้ เพราะ “ความสวย” เป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่เรื่องทั้งหมดนี้ได้รับการอธิบายด้วยผลวิจัยล่าสุดจาก Columbia Business School ว่า ทั้งความเก่งกาจและความครีเอทีฟเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งที่สร้างชื่อเสียงอันโด่งดังให้ศิลปิน เพราะปัจจัยที่ช่วยเป็นป๋าดันพวกเขาโด่งดังมันมาจาก “CONNECTION” ต่างหาก Connection กับแวดวงศิลปะ แม้คอนเนคชั่นฟังแล้วอาจจะดูเป็นเรื่องของธุรกิจมากกว่าศิลปะ แต่การศึกษาวิจัยเรื่อง Fame as an Illusion of Creativity: Evidence from the Pioneers of Abstract Art หยิบ “ชื่อเสียงและความสำเร็จ” แบบนามธรรมในวงการศิลปะ มากางและวิเคราะห์จนพบต้นตอของชื่อเสียงเหล่านั้นว่า นอกจากความเก่งแล้ว สิ่งที่ดันให้พวกเขาโดดเด่นขึ้นมาเหนือศิลปินคนอื่น ๆ คือกลุ่มคนที่พวกเขาคบหา การวิจัยครั้งนี้ใช้ชื่อศิลปินสาย Abstract ที่อยู่ในยุค