จบสิ้นการรอคอยที่แสนยาวนาน วันนี้การร่วมมือกันของแบรนด์เฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านดีไซน์สวีเดน ‘Ikea’ กับ LA-based Streetwears Designer เจ้าของแบรนด์ STAMPD ‘Chris Stamp’ ก็ได้ฤกษ์ดี เปิดตัว ‘SPANST Limited Edition Collection’ ที่หมายมั่นปั้นมือออกมาสักที ซึ่งนี่ถือเป็นการก้าวข้าม comfort zone เดิมของ Ikea สู่เส้นทางสาย Street Lifestyle & Culture อย่างยอดเยี่ยม เพราะนอกจาก Furniture เท่ ๆ ที่ดูจะจับกลุ่มนัก Skateboard แล้ว ยังมีของแต่งบ้าน, Accessories และ Fashion Items สุดหล่อออกมาขายอย่างครบถ้วน ใครกำลังมีแผนจะแต่งบ้านใหม่ อยากได้อะไรที่เท่ ดิบ สะท้อนไลฟ์สไตล์ชาว Street ล่ะก็ ไม่ต้องคิดเยอะให้ปวดสมองอีกต่อไป เอาทุกชิ้นใน Collection นี้ไปวางได้เลย ยังไงก็ออกมาเท่แน่นอน Chris Stamp เป็น fashion designer ชื่อดัง
คนที่มีศิลปะในหัวใจ จะละเลงงานศิลป์จากปลายปากกาหรือปลายพู่กันมันก็ไม่ใช่ปัญหาตราบเท่าที่หัวใจยังคงเปี่ยมความเป็นศิลปิน เช่นเดียวกับ Bro รุ่นปู่จากแดนอาทิตย์อุทัยผมทรงโมฮอว์กคนนี้ที่กำหมัดจุ่มนวมในถังสี รัวใส่ผืนผ้าใบหรือกระดาษแบบไม่ยั้งจงกลายเป็นงานศิลปะที่ไปติดตามแกลอรี่ดังขึ้นชื่อมากมาย หลายคนสงสัยว่าชายชราฟิตปั๋งผมขาวคนนี้เป็นใคร นักมวยเก่าหรือไม่ ? เราตอบได้ตรงนี้เลยว่า “ไม่” เพราะปู่เขาขึ้นแค่สังเวียนผ้าใบเท่านั้นจนเกิดเป็น signature ประจำตัวของเขาที่ใครก็เรียกว่า “Boxing painting” วิญญาณศิลปินนักสู้ก่อนสวมนวม! Ushio Shinohara มีชื่อเล่นที่คนส่วนใหญ่เรียกกันติดปากว่า Gyu-chan เกิดที่โตเกียวในปี 1932 เรียนศิลปะในเมเจอร์จิตรกรรมสีน้ำมันที่ Tokyo Art University ก่อนจะออกมาเดินทางมุทะลุเสาะแสวงหาจิตวิญญาณและตั้งรกรากใหม่ทำมาหากินไกลบ้านจากแดนตะวันออกสู่ตะวันตกที่ “นิวยอร์ก” เมืองแห่งการเสาะหาอิสรภาพทางความคิดและชีวิต มาถึงตอนนี้ปู่ก็มีอายุยาวนานกว่า 8 ทศวรรษของการใช้ชีวิตแล้ว เพราะอายุ 85 ปีเข้าไปแล้ว ถือเป็นบิ๊กบอยรุ่นใหญ่ที่เก๋าเรื่องการใช้ชีวิต ซึ่งแน่นอนว่าไฟฝันจากวันวานที่ยังลุกโชติช่วงถึงตอนนี้ที่ยังคงฟิตฟุตเวิร์กได้ย่อมทำให้ปู่เป็นหนึ่งในตำนานมีชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการบุกเบิกทางศิลปะพอสมควร หนึ่งในความคูลของปู่ที่หลายคนอาจจะไม่รู้คือเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งกลุ่ม Neo-Dada movement หรือกลุ่มการเคลื่อนไหวของศิลปะดาด้าใหม่ในช่วงปี 1960 แนวศิลปะที่ว่าด้วยจิตวิญญาณของกลุ่มศิลปินเลือดนักสู้ที่ต้องการต่อกรกับกลุ่มทุนนิยมแบบสันติ โชว์ความเป็นไปของยุคจากการหยิบวัสดุใกล้ตัวทั้งหลายมาสร้างเป็นงานประติมากรรม จนเป็นการก้าวสำคัญที่แปะป้าย “Junk art” หรือศิลปะขยะ ให้กับงานแขนงนี้ หรือจะเรียกว่าเป็นเอกลักษณ์ของงานขึ้นมาเลยก็ว่าได้ ซึ่งงานที่ได้จากการกว้านวัสดุเหลือใช้มาสร้างตอนหลังเราจะเห็นได้ว่าเป็นแนวศิลปะที่มีให้เห็นบ่อยในนิทรรศการยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็นพวกงาน installation หรืองานประติมากรรม สำหรับงาน
คนเราให้ความสำคัญของแต่ละอย่างไม่เท่ากัน อย่างเจ้าของบ้านหลังงามในเมือง Yokohama ครอบครัวนี้ เป็นบ้านที่รักการอ่านหนังสือมากเป็นพิเศษ จึงมีชั้นวางหนังสือที่ใหญ่โตกว่าบ้านทั่วไปนัก แต่ติดปัญหาที่ประเทศญี่ปุ่นนั้น ต้องพบกับแผ่นดินไหวบ่อย ๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แน่นอนว่าชั้นวางหนังสือที่ใหญ่โตขนาดนี้ ย่อมทำให้เสี่ยงอันตราย และชั้นวางรูปทรงทั่วไป ยิ่งทำให้หนังสือตกเสียหายได้ จึงตัดสินใจไปปรึกษากับบริษัทออกแบบ Shinsuke Fujii Architects ได้ออกมาเป็นบ้านในคอนเซปต์ชื่อ The Bookshelf House Shinsuke Fujii Architects แก้ไขปัญหาชั้นหนังสือ ด้วยการปรับเปลี่ยนมุมชั้นวางที่มีขนาดใหญ่เป็นส่วนหนึ่งของกำแพง ให้มีองศาโน้มเอียงลึกลงไปแบบเส้นทะแยงมุม แต่ละชั้นมีไม้ยื่นออกมาเหมือนขั้นบันได ช่วยให้ทุกคนในบ้านสามารถใช้งานได้ง่าย แม้ต้องปีนขึ้นไปหยิบหนังสือชั้นบนสุด ก็สะดวกเหมือนเดินขึ้นลงทั่วไป ที่สำคัญคือความปลอดภัยในสุขภาพของคนในบ้านเมื่อเกิดแผ่นดินไหว เพราะจะไม่โดนหนังสือถล่มทับ และสุขภาพของหนังสือสะสมหายาก ที่จะไม่หล่นลงมาชำรุดเสียหาย นอกจากชั้นหนังสือ พื้นที่ฟังก์ชั่งทั้งหมดของตัวบ้านออกแบบสไตล์ Seamless แทนที่จะแบ่งพื้นที่เป็นชั้น 1 ชั้น 2 เจ้าของบ้านตัดสินใจรวมพื้นที่ทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกันให้ความรู้สึกเหมือนห้อง Penthouse ขนาดใหญ่ โต๊ะทานข้าวและครัวอยู่บริเวณด้านล่าง ส่วนด้านบนซึ่งเป็นพื้นยกระดับ เป็นส่วนของพื้นที่นั่งเล่น ห้องทำงาน และห้องนอน ไม่ใช่เด่นแค่ด้านใน ภายนอกก็ออกแบบได้เท่ไม่น้อย แผ่นเหล็กสีดำขนาดใหญ่ยาวต่อเนื่องตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนฐานคอนกรีต ทำให้เห็นประโยชน์ใช้สอยอีกอย่างของชั้นหนังสือจากภายนอก ซึ่งมุมทะแยงช่วยกันฝนขณะเปิดปิดประตูได้อีกด้วย และเพื่อความเป็นส่วนตัว
เป็นปัญหาใหญ่สำหรับนักออกแบบ ตากล้อง หรือใครก็ตามที่ต้องใช้ iMac ในการทำงาน แม้ประสิทธิภาพจะจัดว่าเด็ดตามประสา apple หน้าจอจะแจ่มชัดจัดเต็มแค่ไหน แต่เมื่อต้องไปทำงานออกกองแบบ on-site หรืออยากจะแบกคอมไปจบปัญหาแก้งานแก้สีต่อหน้าลูกค้า ครั้นจะแบก iMac ไปก็ทุลักทุเลเหลือรับ ถามใครที่เคยแบกไปจะรู้ดีว่าการต้องยัด iMac ใส่กล่องหอบขึ้นรถไฟฟ้ามันเหมือนฝันร้ายชัด ๆ วันนี้เรามีทางออกมาบอกกล่าวชาว iMac User โดยเฉพาะ นั่นคือ Lavolta Carrying Case Bag กระเป๋าที่ถูกออกแบบมาเพื่อบรรจุ iMac สะพายอย่างเหนือชั้น Lavolta Case Bag เป็นกระเป๋าที่ผลิตแบบ handmade อย่างดี ภายนอกดีไซน์สวยงาม ภายในมีผ้า Microfiber นุ่ม ๆ คอยรองรับหน้าจอไม่ให้มีรอยขีดข่วย และรองรับแรงกระแทกได้ประมาณหนึ่ง มีหน้าที่ห่อหุ้ม iMac ได้แบบง่าย ๆ ใน 3 ขั้นตอน สวมเข้าจากด้านล่าง เอาขาตั้งลอดเข้าไปในหูหิ้ว ดึงกระเป๋าขึ้นคลุมถึงจอด้านบน จากนั้นก็รูดซิปปิดเป็นอันเสร็จพิธี ยังไม่จบแค่นั้น
ใกล้ถึงฤดูร้อนทีไร สิ่งที่หลายคนนึกถึงคงจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากเรื่องราวของอากาศร้อนระอุทะลุองศาเดือด ที่พวกเราต้องประสบพบเจอกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ภายใต้ความอบอ้าวอันน่าสะพรึงกลัวนั้น มันยังมีความสดชื่น สดใส กลิ่นอายของการท่องเที่ยวพักผ่อนเจืออยู่ด้วยไม่ใช่น้อย และเมื่อพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในช่วงซัมเมอร์ มั่นใจว่าภาพของหาดทรายขาวทอดยาวสุดสายตา ตัดกับน้ำทะเลสีฟ้าครามส่องประกายระยิบระยับยามต้องแสงอาทิตย์ คือสิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในจินตนาการของใครหลายต่อหลายคนแบบไม่ต้องสืบ และระหว่างที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่ เราเชื่อว่าผู้ชายชาว UNLOCKMEN จำนวนไม่น้อยคงวางแผนจองตั๋ว จัดทริป เตรียมพาสาวข้างกายไปผ่อนคลายริมหาดกันแล้วเรียบร้อย แต่จะแค่พาไปเที่ยว เล่นน้ำ อาบแดด นอนอ่านหนังสือ นั่งชมพระอาทิตย์ตกริมหาดด้วยกัน มันยังดูเป็นกิจกรรมที่ธรรมดาไป เพราะอุตส่าห์มีโอกาสได้ใช้เวลาร่วมกับสุดที่รักทั้งที งานนี้ผู้ชายอย่างเราสามารถหาจังหวะเหมาะ ๆ ทำเรื่องเซอร์ไพรส์ สร้างความประทับใจให้กับเธอคนนั้น เพื่อเพิ่มแต้มรัก ช่วยกระชับความสัมพันธ์ได้ไม่ยาก และถ้าหากใครยังไม่มีไอเดียดี ๆ วันนี้เราอาสามานำเสนอตำรามัดใจสาวข้างกาย ที่ขอรับรองด้วยเกียรติของ UNLOCKMEN ว่า แค่ตั้งใจทำตามขั้นตอนอย่างจริงใจและเต็มใจ มันจะทำให้การไปทะเลครั้งนี้เป็นครั้งที่หวานชื่น และเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาแห่งความสุขที่จะติดตรึงอยู่ในใจเธอคนนั้นไปอีกนานแสนนาน ONE PREPARE EVERYTHING SHE NEEDS เปิดเกมแบบเก๋า ๆ เริ่มต้นด้วยการเอาอกเอาใจในแบบที่เธอต้องเซอร์ไพรส์ ด้วยการลุกขึ้นมาจัดกระเป๋าตระเตรียมทุกสิ่งอย่าง ของจำเป็นทั้งหลายสำหรับการไปเที่ยวทะเลต้องมีครบอย่าให้ขาด เพิ่มเติมคะแนนความหล่อด้วยการไม่ลืมที่จะใส่ใจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเช่นการเตรียมชุดว่ายน้ำสวย
“สบายมากครับ” เป็นคำพูดที่บรรดาชายชาตรีมาดแมนอย่างเรามักจะใช้บอกคนรอบข้างบ่อย ๆ เวลามีปัญหา หลายครั้งก็เป็นการหลอกตัวเองว่าเราสบายดี ยิ่งกับเรื่องอารมณ์ด้วยแล้ว ภาวะผู้นำของเราเหมือนถูกกำหนดมาให้ต้อง Keep Calm อยู่บ่อย ๆ ทั้งที่ในใจบางทีก็เดือด เหงา เศร้า เหมือนคนอื่น ๆ จนสุดท้ายกว่าจะรู้ตัวอีกทีสติที่มีก็ขาดผึงไปจนอาการย่ำแย่ เพื่อกอบกู้อารมณ์ที่เก็บไว้ข้างในให้ใสสะอาดไม่ขุ่นมัว มันเลยมีนวัตกรรมชิ้นนี้ขึ้นมา เรียกว่า “ชุดปฐมพยาบาลอารมณ์” ไว้ใช้เป็นอุปกรณ์สามัญประจำบ้านติดตัวไว้อีกกล่องเพิ่มจากพวกกล่องยาแดง แอลกอฮอล์ หรือสำลี ที่ต้องมีรักษาแผลสด โดยเกิดจากการตั้งคำถามของ Rui Sun ดีไซน์เนอร์ที่ตั้งคำถามว่าทำไมโลกใบนี้มันถึงผลิตแต่โปรดักส์รักษาแผลกายไม่ยอมเหลียวแลแผลใจกันบ้าง “Why do so many products ease physical pain and so few treat emotional stress?” – Rui Sun เปิดกล่อง หยิบใช้ เพื่อให้ครอบคลุมเรื่องเครียด ข้างในกล่องปฐมพยาบาลอารมณ์จะมีของให้เราได้ใช้อยู่ 5 ชิ้น จากการสำรวจคร่าว ๆ
ที่สุดของกล้องถ่ายรูป ที่คนใช้เท่านั้นถึงจะบอกได้ว่า ทำไมการจ่ายเงินค่ากล้องที่ราคาแพงกว่าคนอื่นหลายเท่าตัวนั้น มันแลกกับความพิเศษอะไรกลับมาบ้าง แต่ไม่ว่าจะเป็น Leica User อยู่หรือไม่ก็ตาม ทุกคนต่างให้ความสนใจทุกครั้งเมื่อมีกล้อง Leica รุ่นใหม่เปิดตัวออกมา แม้จะไม่มีการพัฒนาในด้านสเปค แต่ก็มีลูกเล่นและเสน่ห์ที่ชวนให้เราอยากควักเงินเก็บสะสมได้ตลอดเวลา เพราะ Leica ไม่ใช่แค่กล้องถ่ายรูป แต่มันเป็นงานศิลป์ที่ส่งต่อให้คนใน Generation ต่อไปได้อย่างไม่มีขีดจำกัด ล่าสุด Leica ได้ร่วมมือกับ Marcus Wainwright ผู้เป็นทั้ง CEO และ Creative Director ของ Rag & Bone แบรนด์เสื้อผ้าชื่อดังจากย่าน New York City ซึ่งเน้นความเท่แบบ Minimal พร้อมคุณภาพที่สูงกว่าใคร ซึ่งเข้ากับคาแรคเตอร์ของ Leica M Monochrom กล้องสำหรับถ่ายภาพขาวดำของ Leica จนได้ร่วมมือกันออกแบบกล้องโมเดลพิเศษ ‘M Monochrom Stealth Edition’ ตัวกล้องสีดำด้าน (Matte Black Body) ที่จัดการถอดแม้แต่โลโก้
ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่คดีดังถูกกล่าวขานไปทั่วประเทศ แล้วเราต่างวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างถึงพริกถึงขิง แต่เพียงไม่กี่วันเรื่องราวก็ถูกลบเลือนหายไป อาจหายไปกับกระแสข่าวอื่น อาจหายไปกับคดีใหม่ ๆ ที่เข้ามาแทนที่ หรือหลายทีก็หายไปกับความยิ่งใหญ่คับฟ้าของใครบางคน… กรณีการบุกรุกพื้นที่ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรเพื่อล่าสัตว์ป่าสงวนของ นายเปรมชัย กรรณสูตร กรรมการและประธานบริหาร บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวลอปเมนต์เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2561 ก็เช่นกัน ความอึกทึกครึกโครมและความสะเทือนสังคมเมื่อแรกเริ่มอาจคุกรุ่นจนเราไม่คิดว่าเรื่องนี้จะจบลงได้โดยง่าย แต่ก็ตามประสาความเลื่อนไหลของสังคมที่วันหนึ่งข่าวมา ข่าวก็ต้องไป ไหนจะกระแสนายตำรวจใหญ่โค้งรับไหว้นายเปรมชัยอย่างนอบน้อม จนเราอดคิดไม่ได้ว่ากระแสนี้คงเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว เพียงแต่วันนี้ยังมีคนยืนยันว่า “เราไม่ลืม” โดยหนึงในวิธีการบอกว่าเราไม่ลืมเรื่องนี้ก็คือการสร้างสรรค์งานศิลปะ วันนี้ UNLOCKMEN นำผลงานกราฟิกบนโลกออนไลน์ และงานกราฟฟิตี้บนกำแพงจากสถานที่หลากหลายมาบันทึกไว้ว่า วันนี้เราคนไทยทั้งประเทศยังจดจำ กราฟฟิตี้รายแรกกระแทกใจให้ละอาย นี่ถือเป็นกราฟฟิตี้แรกสุดที่โผล่ขึ้นมาหลอกหลอนคนล่าเสือดำ โดยกราฟฟิตี้นี้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นบริเวณจุดก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียว บริเวณหน้าปากซอยพหลโยธิน 34 เรียกเสียงฮือฮาเป็นอย่างมาก โดยความพีคของกราฟฟิตี้นี้อยู่ที่การพ่นทับป้ายของบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวลอปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ได้อย่างแนบเนียน ความหมายก็แสบเหลือร้าย เป็นรูปเสือดำร้องไห้พร้อมรอยกระสุนแดงชัดจัดแจ้งที่หัว ถ้าเราเป็นล่าเสือดำเราคงอาย แต่ไม่รู้ว่าคนทำตัวจริงเขาละอายบ้างหรือเปล่า? Headache Stencil: ลบภาพผม แต่ไม่ลบภาพข้าง ๆ Headache Stencil ได้ยินชื่อนี้ก็การันตีได้เลยว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมากับภาครัฐ อะไที่ไม่ชอบมาพากลเขาต่อต้านด้วยศิลปะ
ถ้าใครสนใจเรื่องวัฒนธรรมที่มีผลต่อการออกแบบและพฤติกรรมมนุษย์เหมือนเรา น่าจะรู้สึกแปลกใจในการเปลี่ยนแปลงความนิยมในหมู่มนุษย์ที่มีต่อรูปทรงและการใช้งานของมัน ในยุคก่อน เราเริ่มด้วยโทรศัพท์เคลื่อนที่เครื่องใหญ่ยักษ์ จากนั้นเทคโนโลยีก็พยายามพัฒนาอย่างสุดความสามารถในการย่อขนาดมันให้เล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตอนนั้นยิ่งเล็กยิ่งล้ำ ยิ่งเล็กยิ่งแพง แต่แล้ววันนึง เราก็มาพบว่ารูปทรงโทรศัพท์เคลื่อนที่มีหน้าตาเหมือนกันทั้งโลกโดยมิได้นัดหมาย และวันนี้พวกเค้ากำลังแข่งกันใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น ซึ่งดูแล้วน่าจะถึงจุดอิ่มตัวในไม่ช้า ทีนี้ถ้าเราให้ทายกันเล่น ๆ ว่า ต่อไปเทรนด์การออกแบบและใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่จะเปลี่ยนไปในทิศทางไหน วันนี้เรากล้าฟันธงเลยว่า มันกำลังจะกลับไปสู่ความเป็น Dumb Phone หรือโทรศัพท์โง่ ที่ไม่ต้องมีความสามารถอะไรมากมาย เพราะคนเริ่มตีตัวออกห่างจากความวุ่นวายออนไลน์กันมากขึ้น ก่อนหน้านี้ Nokia ก็ได้ตอกย้ำเทรนด์ที่เราทำนายไว้อย่างชัดเจน ด้วยการเปิดตัว 3310 ที่ทำเอาโลกสั่นสะเทือน และพีคสุดอีกครั้งที่ทำเอาคนไม่สนใจ Samsung S9 ก็คือการเปิดตัว Nokia 8110 หรือกล้วยหอม ที่บอกตามตรงว่าเรายังอยากได้ แต่ในขณะเดียวกัน ก็มี Dumb Phone ที่น่าสนใจ และเลือกมุ่งยึดพื้นที่นี้ก่อนใครเพื่อน นั่นก็คือโทรศัพท์ตระกูล Light Phone ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในปี 2015 ปัจจุบันได้เดินทางมาถึงรุ่นที่ 2 แล้ว และมีความมั่นใจจากหลายสื่อว่า นี่แหละคืออนาคตของโทรศัพท์มือถือ นั่นคือการกลับคืนสู่สามัญ ที่เราเกริ่นมายาวนาน
คงต้องยอมรับถึงเทรนด์วิถีชีวิตล้ำ ๆ แห่งอนาคต ซึ่งกำลังก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างออกมาให้เห็นเป็นเทคโนโลยีที่ชัดเจนจับต้องได้ในปัจจุบัน ว่า ณ ตอนนี้ไม่น่าจะมีอะไรโดดเด่นไปกว่าเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่เขยิบมาเข้าใกล้ชีวิตประจำวันของมนุษย์เราขึ้นทุกที ผ่านรูปแบบของผู้ช่วยอัจฉริยะที่รองรับการสั่งงานด้วยเสียง อารมณ์เดียวกับที่อัจฉริยะมหาเศรษฐีปากดีขี้โอ่อย่าง Tony Stark (aka Iron Man) นั้นสั่งการ JARVIS ให้ช่วยงานต่าง ๆ ทั้งงานราษฎร์ งานหลวง แบบครอบจักรวาล ซึ่งระบบสั่งงานด้วยเสียงที่พวกเราคุ้นเคยกันดี และกำลังมีบทบาทสำคัญในวิถีชีวิตมนุษย์ยุคปัจจุบัน นอกจากระบบผู้ช่วยอัจฉริยะรองรับคำสั่งเสียงอย่าง Siri จาก Apple, Google Now จาก Google และ Cortana จาก Microsoft ที่มีไว้ให้พวกเราได้เอ่ยปากเจรจาถามไถ่ข้อมูล รวมถึงช่วยจัดการงานต่าง ๆ แล้ว ยังมีอีกหนึ่งยักษ์ใหญ่ที่กำลังร้อนแรงแห่งซิลิคอนวัลเลย์อย่าง Amazon ที่ได้ลงมาลุยเต็มตัว เพื่อผลักดันวิถีชีวิตสะดวกสบาย จัดการชีวิตง่าย ๆ แค่เปล่งเสียงให้ความเป็นรูปธรรมชัดเจนขึ้น ด้วยระบบ Alexa ที่มีให้ใช้งานในลำโพง Amazon Echo รวมถึงอุปกรณ์อื่น