ฤดูฝนประเทศไทยนั้นช่างแสนยาวนาน สภาพอากาศเอาแน่เอานอนไม่ได้อย่างนี้ ระวังจะเปียกปอนกันแบบไม่ทันได้ตั้งตัว หนุ่ม ๆ ที่จะเดินทางไปไหนมาไหนช่วงนี้ อย่าลืมพกร่ม พกเสื้อกันฝนติดตัวกันไว้บ้าง และสิ่งหนึ่งที่ต้องพกไว้ขาดไม่ได้เลยก็คือเสียงเพลง! มาเปลี่ยนช่วงเวลาติดฝนที่แสนน่าเบื่อให้กลายเป็นบรรยากาศสุดสุนทรีย์ ด้วย Playlist นี้จาก UNLOCKMEN ครั้งนี้เราจะมาแนะนำเพลงที่เกี่ยวกับ “ฝน” จริง ๆ มาดูว่าศิลปินแต่ละคนเขาจะนำสายฝนมาตีความอย่างไร และเขียนขึ้นมาเป็นเพลงแบบไหนกันบ้าง Laughter In The Rain – Neil Sedaka เพลงพอปเก่า ๆ ฟังสบายจากปี 1974 จากศิลปินนาม Neil Sedaka ทำนองเพลงน่ารัก ฟังแล้วอารมณ์ดี “Oh, I hear laughter in the rain, Walking hand in hand with the one I love” (ผมได้ยินเสียงหัวเราะท่ามกลางสายฝน จูงมือเดินกันไปกับหวานใจของผม) จังหวะนั้นถ้าอยู่กับแฟนหรือสาวที่ชอบ หากหยิบเพลงนี้ขึ้นมาเปิดให้เธอฟัง รับรองว่ามีเขินแน่
หากหนังรักไม่ใช่แนวทางของคุณ ลองมาดูหนัง ‘ไม่รัก’ กันบ้างดีกว่า เมื่อวันที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมา ทาง Netflix ได้ปล่อย Trailer ภาพยนตร์เรื่องใหม่ ‘Marriage Story’ ออกมาให้แฟน ๆ รับชมกันเป็นที่เรียบร้อย หนังเรื่องนี้กำลังเป็นที่จับตามองอย่างมาก เพราะได้นักแสดงชั้นนำอย่าง Scarlett Johansson มารับบท Nicole ฝ่ายภรรยา และ Adam Driver มารับบท Charlie ฝ่ายสามี เรียกได้ว่าสลัดภาพ Black Widow แห่งทีม Avengers และ Kylo Ren จาก Star Wars ไปได้เลย เพราะบทบาทของพวกเขาในครั้งนี้ คือสองสามีภรรยาที่กำลังเผชิญปัญหาชีวิตคู่อย่างหนัก จนในที่สุดความไม่ลงรอยของพวกเขา ก็นำไปสู่จุดแตกหักนั่นก็คือ ‘การหย่าร้าง’ หนังมีตัวดำเนินเรื่องเป็นสามีและภรรยา Netflix เลยหัวใส ปล่อย Trailer ออกมาให้ชมถึง 2 ตัว โดยตัวแรกจะเป็นมุมมองที่ Nicole มีต่อ
หนุ่ม ๆ ทั้งหลายคงไม่พลาดดูซีรีส์ตีแผ่วงการหนังผู้ใหญ่ของญี่ปุ่นยุค 80 กับเรื่อง The Naked Director จากช่อง Netflix เพื่อล้วงลึกและเข้าใจถึงโลกของการทำหนัง AV ที่เหนือจินตนาการ ทว่าในวันนี้ UNLOCKMEN จะไม่ได้มาพูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับหนัง AV แต่จะพูดถึงแฟชั่นแสนสะดุดตาของ Muranishi Toru พร้อมกับบอกเล่าเรื่องราวในช่วงเวลาดังกล่าวของญี่ปุ่นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แฟชั่นยอดนิยมของชายหนุ่มช่วงเวลานั้นเป็นอย่างไร คนญี่ปุ่นมีแนวคิดเกี่ยวกับการแต่งตัวแบบไหน รับวัฒนธรรมการแต่งตัวมาจากใคร เพื่อเผยให้เห็นว่าอะไรบ้างที่มีส่วนทำให้สไตล์การแต่งตัวของราชาหนังเอวีโดดเด่นไม่แพ้ใครในเรื่อง ความเนี้ยบและลุคสุดทางการตั้งแต่หัวจรดเท้าคือสิ่งสำคัญของผู้ชายญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นถือเป็นชนชาติที่ให้ความสำคัญกับการแต่งตัวเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขาคิดเสมอว่าการก้าวออกจากบ้านจะต้องพบเจอกับผู้คนมากมาย ดังนั้นเสื้อผ้า หน้า ผม ทุกอย่างจะต้องเนี้ยบและพร้อมเสมอสำหรับทุกสถานการณ์ จึงทำให้ผู้ชายญี่ปุ่นวัยทำงานส่วนใหญ่จะแต่งตัวเคร่งเครียดคล้ายกันไปเสียหมด หลายครั้งที่มีคนพยายามหาคำตอบเรื่องความเนี้ยบที่ทำกันจนเคยชินของคนญี่ปุ่นว่ามันมีจุดเริ่มต้นมาจากไหน คำตอบที่ได้ค่อนข้างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเพราะได้รับการปลูกฝังกันมานาน หรือค่านิยมของการให้เกียรติตัวเองและผู้อื่น ทำให้คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่คำนึงถึงการแต่งตัวให้เหมาะสมเวลาจะออกจากบ้าน ว่ากันว่าแฟชั่นจะเติบโตพร้อมกับเศรษฐกิจ หลังจากปี 1945 ที่ประเทศญี่ปุ่นยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขในสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้สูญเสียทั้งประชากร เมือง เงิน เป็นหนี้จำนวนมหาศาล ช่วงหลังสงครามโลกญี่ปุ่นแทบไม่เหลืออะไรเหลือเลยนอกจากซากปรักหักพัง ตอนนั้นคงไม่มีใครหน้าไหนในประเทศสนใจการแต่งตัวก่อนเรื่องปากท้องอย่างแน่นอน เหล่าผู้คนที่อยู่รอดจะต้องเอาตัวรอดให้ได้พร้อมกับขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ก้าวต่อไป และกว่าญี่ปุ่นจะฟื้นตัวขึ้นมาได้อย่างทุกวันนี้ก็ปาเข้าไปช่วงปลายโชวะ ระหว่างรอยต่อของต้นยุคเฮเซ (1986-1991) กว่าหลายสิบปีญี่ปุ่นเปลี่ยนฐานะจากประเทศที่แพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 เขยิบขึ้นมาเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจดีอันดับต้น ๆ
หากเอ่ยชื่อ ‘เป้ อารักษ์ อมรศุภศิริ’ หลายคนจดจำเขาในฐานะศิลปิน บ้างก็ในฐานะนักแสดง หรือหากติดตามกันมาอย่างยาวนาน คุณอาจจดจำเขาในฐานะ ‘เป้ Slur’ จากมือกีตาร์ขาเดฟหัวฟูในวันนั้น สู่ชายผู้เรียกได้ว่าหยิบจับมาแล้วแทบจะทุกอย่าง เป็นได้ทุกสิ่งที่วงการบันเทิงจะให้เขาเป็น แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีครั้งไหนที่เป้จะทอดทิ้งความรักที่มีต่อเสียงดนตรี เขายังคงเดินหน้าผลิตงานเพลงใหม่ ๆ และดำรงฐานะ ‘ศิลปิน’ ของตัวเองไว้โดยเสมอมา แม้การฉายเดี่ยวของเขาจะทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์มากมาย และความตั้งใจก็ถูกจู่โจมด้วยความคิดเห็นเชิงลบ อะไรคือเคล็ดลับที่ทำให้เขาคนนี้ไม่ท้อ และไม่เคยถอดใจ? แม้ชีวิตจะของเป้ อารักษ์จะดำเนินไปในเส้นทางไหน ยาวไกลเพียงใด เขาก็พร้อมจะตีวงเลี้ยว เพื่อนำตัวเองกลับเข้าสู่ถนนสายดนตรีอยู่เสมอ วันนี้เราจะขอเชิญชาว UNLOCKMEN มารับฟังบทสนทนาสบาย ๆ ที่แสนตรงไปตรงมาจากปากผู้ชายคนนี้ไปพร้อม ๆ กัน ยินดีต้อนรับเป้สู่การทำเพลงอีกครั้ง! สำหรับชีวิตบนเส้นทางสายดนตรี เข้าปีที่เท่าไหร่แล้ว เป้: คิดว่าน่าจะราว ๆ 14 ปี ประมาณนั้น ถ้านับจากอัลบั้มที่ออกสู่สายตาประชาชนชุดแรก (ในฐานะมือกีตาร์ Slur ) ผมอายุ 21 แต่ถ้าเอาแบบเริ่มทำ Slur จริง ๆ ผมเพิ่งจะ 19-20
สำหรับใครที่เป็นคอซีรีส์หรือชื่นชอบหนังแนวสืบสวนสอบสวนคงไม่พลาดดู Mindhunter จาก Netflix ผลงานของผู้กำกับ David Fincher ที่หลงใหลในเรื่องราวของเหล่าฆาตกร และต้องการเจาะลึกถึงความคิด ความรู้สึกในการสังหารคนว่าในช่วงเวลานั้นเขาคิดอะไร สภาพแวดล้อมหล่อหลอมให้กลายเป็นคนชั่วหรือทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะจิตใจที่ดำมืดอยู่แล้ว ซีรีส์เรื่อง Mindhunter จำลองการพูดคุยระหว่างเจ้าหน้าที่ FBI กับผู้ต้องหาคดีหนักในยุค 70 เนื้อหาของบทสนทนาจะเล่าถึงการก่อเหตุในแต่ละครั้ง เพื่อทำความเข้าใจวิธีคิดของฆาตกรโรคจิตและหาทางยับยั้งการเกิดเหตุน่าสลดในภายภาคหน้า หรือสำหรับบางคดีที่ฆาตกรยังไม่ยอมบอกว่าฝังศพของเหยื่อไว้ที่ไหนบ้าง พวกเขาจะต้องพูดคุยเพื่อไขคดีไปพร้อมกัน ด้วยเรื่องราวที่หนักหน่วงของ Mindhunter ทำให้ UNLOCKMEN สนใจหยิบเรื่องราวของฆาตกรต่อเนื่องรายหนึ่งนาม Edmund Kemper มาเล่าสู่กันฟังว่าชายคนนี้เพี้ยนจนกู่ไม่กลับและสร้างความสะพรึงกลัวให้กับสังคมได้มากน้อยแค่ไหน เด็กหนุ่มกับพฤติกรรมวิกลจริต เด็กชายเคมเปอร์เติบโตในรัฐแคลิฟอร์เนียร์ ท่ามกลางครอบครัวที่ไม่อบอุ่น พ่อแม่ของเขามีปากเสียงกันแทบจะตลอดเวลา สุดท้ายทั้งสองคนหย่าร้างและส่งลูกชายของตัวเองไปอยู่กับตายาย ความประหลาดในตัวเขาเริ่มแสดงออกผ่านพฤติกรรม เขาชอบเล่นเป็นนักโทษประหารกับน้องสาว โดยแบ่งกันเลือกว่าจะตายด้วยวิธีไหนทั้งเก้าอี้ไฟฟ้า หรือโดนรมควันในห้องแก๊ส เมื่ออายุ 10 ขวบ เด็กชายฆ่าแมวและฝังไว้ในสวนข้างบ้าน เวลาผ่านไปก็ฆ่าแมวอีกหนึ่งตัวเพราะเห็นว่าน้องสาวของเขาชอบมันมากเกิน แถมยังเก็บซากแมวไว้ในตู้จนสุดท้ายแม่ก็มาเจอซากศพแมวที่ส่งกลิ่นชวนคลื่นไส้ เด็กชายเคมเปอร์มีความสุขกับการฆ่า สนใจใคร่รู้ในเรื่องพิธีกรรมลี้ลับ เขาเคยเอาตุ๊กตาของน้องสาวมาทำพิธีบางอย่างด้วยการตัดหัวตุ๊กตา รวมถึงเรื่องเล่าเกี่ยวกับบทสนทนาระหว่างเขากับพี่สาวอีกคนว่าทำไมไม่ลองจูบครูของตัวเองดูล่ะ และเธอก็ได้คำตอบที่ชวนตกใจจากน้องชายว่า “ถ้าผมจะจูบเธอ ผมต้องฆ่าเธอก่อน” นอกจากนี้แม่ขี้เมาของเขาอาจเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เด็กชายโตมาเป็นคนวิกลจริต คุณนายเคมเปอร์เลี้ยงเขามาด้วยความลำเอียง ชอบพูดถ้อยคำดูถูกเหยียดหยามใส่ ไล่ให้เขาไปนอนในห้องใต้ดินเพราะกลัวว่าเขาจะทำร้ายน้องสาวของตัวเอง ไม่ยอมกอดลูกชายเพราะการกอดจะเปลี่ยนให้เขาเป็นเกย์ และในที่สุดเวลาที่เขาก่อคดีฆาตกรรมก็มาถึง
หลังจาก THE 1975 วงดนตรีขวัญใจวัยรุ่นจาก Manchester ประเทศอังกฤษ ได้ออกมาประกาศชื่อสตูดิโออัลบั้มลำดับ 4 ‘Notes on a Conditional Form’ ทางวงก็ได้ปล่อยแทร็กแรกของอัลบั้มตามมาเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยแทร็กแรกในทุก ๆ อัลบั้มของพวกเขาจะใช้ชื่อว่า ‘The 1975’ จนเหมือนเป็นธรรมเนียม แต่สำหรับแทร็ก The 1975 ของอัลบั้มนี้กลับไม่เหมือนครั้งไหน เพราะแทร็กนี้ไม่ใช่เพลงอินโทรสั้น ๆ แบบที่วงเคยทำ แต่เป็นดนตรีที่มีทำนองพร้อมเสียงเด็กผู้หญิงกำลังพูดอะไรบางอย่าง! และถ้าหากคุณตั้งใจฟังต่อไป คุณจะพบว่ามันคือสุนทรพจน์อันแสนทรงพลังเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อมนั่นเอง เจ้าของเสียงนี้ไม่ใช่ใคร แต่คือสาวน้อย Greta Thunberg นักรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อมชาวสวีเดนที่กำลังโด่งดังไปทั่วโลกในขณะนี้ แม้เธอจะมีอายุเพียง 16 ปี แต่กลับมีความมุ่งมั่นกล้าหาญ เธอลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อโลกของเราอย่างจริงจัง โดยบางส่วนของแทร็ก The 1975 นี้ ได้มีการหยิบยกข้อความจากสุนทรพจน์จริงที่ Greta เคยกล่าวไว้ในงาน World Economic Forum เมื่อปี 2018 นอกจากสุนทรพจน์ของ Greta จะถูกเผยแพร่ให้ผู้คนบนโลกได้ฟังเพิ่มขึ้นแล้ว
ในยุคที่ซูเปอร์ฮีโร่เกลื่อนเมือง ค่ายหนังต่างพยายามทำหนังยอดมนุษย์รวมพลังต้านวายร้ายกอบกู้โลกและพิทักษ์จักรวาลออกมาให้ได้ชมกัน แต่มีมินิซีรีส์เรื่องหนึ่งจากช่อง Amazon Prime ที่ดึงความสนใจของเหล่าคนดูได้ตั้งแต่การปล่อยตัวอย่างครั้งแรก เพราะซีรีส์เรื่อง The Boys จะนำเสนออีกแง่มุมหนึ่งว่า จะเป็นอย่างไรหากฮีโร่ที่คุณคลั่งไคล้นิสัยเสียไม่ต่างจากคนทั่วไป ซ้ำอาจจะเลวร้ายยิ่งกว่าด้วยซ้ำ ? เรื่องราวของซูเปอร์ฮีโร่ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ทางธุรกิจเกิดขึ้นจากหนังสือการ์ตูน The Boys ของ Garth Ennis และ Darick Robertson ส่วนเนื้อหาที่ถูกดัดแปลงมาเป็นภาพยนตร์โทรทัศน์จะบอกเล่าถึงโลกยุคปัจจุบันที่ซูเปอร์ฮีโร่มีตัวตนจริง ไม่ใช่แค่หนึ่งแต่มากันเป็นกลุ่มชื่อว่า The Seven ที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ รูปร่างหน้าตาและบุคลิกตามสูตรหนังซูเปอร์ฮีโร่ ซูเปอร์ฮีโร่กลุ่มนี้อยู่ภายใต้การดูแลของบริษัทเอเจนซี่นาม Vought ที่เป็นเหมือนกับผู้จัดการส่วนตัว คอยดูแล สร้างภาพลักษณ์ดี ๆ ให้กับเหล่าฮีโร่ คนมีพลังพิเศษกลายเป็นอภิสิทธิ์ชน ได้รับการปฏิบัติเยี่ยงซูเปอร์สตาร์ และมีบริษัทคอยตามล้างตามเช็ดและปกปิดเรื่องชั่ว ๆ ที่แก๊ง The Seven ทำเอาไว้ อ่านไม่ผิดหรอกครับ เพราะฮีโร่เหล่านี้ทำเรื่องชั่วไว้มากมายจริง ๆ แต่ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่พวก The Seven ทำตัวไม่ดี เอเจนซี่ของเขาก็จะคอยกลบเกลื่อนและปิดข่าวได้ทันท่วงทีเสมอ ด้วยความไม่ยุติธรรม การทำตัวเหนือกฎหมายของเหล่าฮีโร่ทำให้คนกลุ่มหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำชั่ว ๆ ตั้งตัวเป็นศาลเตี้ยหวังทำลาย The
ชีวิตกรุงเทพฯ ใกล้ชิดความศิวิไลซ์ การจราจรจึงมีความบรรลัยเช่นกัน ช่วงเวลาที่ต้องติดแหงกอยู่บนถนนนาน ๆ นี่มันช่างทรมานว่าไหมครับ? UNLOCKMEN เองก็ไม่ใช่นายกหรือรัฐมนตรีกระทรวงไหน จึงไม่สามารถแก้ไขปัญหาตรงจุดให้ท่านได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เราพอจะช่วยได้ ก็คือการสรรหาเพลงใหม่ ๆ มาให้ท่านได้แอดลง Playlist เอาไว้ รถติดเมื่อไหร่ จงเปิดฟังวนไปจนกว่าจะตื่น ว่าแล้วก็มาดูกันเลยว่าจะมีเพลงอะไรบ้างในสัปดาห์นี้! Black Bull – Foals รถติดแล้วตาจะปิดเมื่อไหร่ ให้งัดเพลงนี้ขึ้นมาฟังโดยพลัน Black Bull เพลงใหม่สุดดุดันจาก Foals วงร็อกจาก Oxford ประเทศอังกฤษ พกกระทิงดำไว้ฟัง ได้ผลชะงัดพอ ๆ กับกินกระทิงแดง กระซิบบอกนิดนึงว่าวงนี้เพิ่งมาเปิดคอนเสิร์ตที่ไทยไปเมื่อวันที่ 14 สิงหาคมที่ผ่านมา ของจริงนี่เดือดไม่ลืมหูลืมตายิ่งกว่า Audio เลยทีเดียวเชียว Out For Blood – Sum 41 Sum 41 วงร็อกสาย Pop Punk จากแคนาดากลับมาระเบิดความเดือดกันอีกครั้ง
เราอาจจะเคยเจอภาพยนตร์ที่ดัดแปลงและสร้างจากชีวิตจริงมานับครั้งไม่ถ้วน บางเรื่องก็เป็นหนัง Feel good หรือบางเรื่องอาจจะเศร้าจนลืมไม่ลง สำหรับปีนี้ก็มีหนังชีวประวัติหลายเรื่องที่ออกฉายให้เราได้ชมกัน แต่คาดว่าคงไม่มีภาพยนตร์ชีวประวัติเรื่องไหนในปีนี้ที่เจ็บเท่ากับ Honey Boy (2019) อีกแล้ว เหตุที่เราบอกว่าหนังเรื่องนี้เจ็บ นั่นเป็นเพราะ Honey Boy เป็นภาพยนตร์กึ่งชีวประวัติที่ดัดแปลงมาจากชีวิตจริงของนักแสดงชายชื่อดัง Shia LaBeouf ที่เมื่อก่อนเราคุ้นหน้าคุ้นตาเขาเป็นอย่างดีกับหนังบู๊แฟรนไชส์เรื่อง Transformers และหลังจากนั้นเขาก็ถือว่าเป็นหนึ่งในนักแสดงที่คนวงการบันเทิงด้วยกันเบือนหน้าหนี เพราะความแปลกและความอินดี้ที่เกินจะรับไหว Shia LaBeouf ลองทำอะไรหลาย ๆ อย่างในวงการภาพยนตร์ตั้งแต่การแสดงหนังบล็อกบัสเตอร์ หนังอินดี้ ไปจนถึงเล่นหนัง Rate-R แต่ไม่ว่าความท้าทายที่เข้ามาเป็นอะไร เขาก็พร้อมกระโจนใส่เสมอเช่นเดียวกับครั้งนี้ที่เขาก็ลองอะไรใหม่ ๆ อีกหนด้วยการก้าวขึ้นมาเป็นคนเขียนบทภาพยนตร์และแสดงเองในเรื่อง Honey Boy Honey Boy เรื่องราวว่าด้วยชีวิตจริงของชายที่ชื่อว่า Shia LaBeouf ตั้งแต่วัยเด็กก่อนก้าวเข้าสู่วงการฮอลลีวูด Jeffrey LaBeouf พ่อของเขาเป็นทหารอเมริกันที่ผ่านศึกสงครามเวียดนามผู้ตกงานนับครั้งไม่ถ้วน ขี้เมาและชอบทำร้ายร่างกายลูก แถมยังเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางอยู่บ่อยครั้ง ชีวิตวัยเด็กของ Shia LaBeouf จะต้องดำเนินไปตามความต้องการของพ่อ เติบโตมากับการเลี้ยงดูสไตล์ฮิปปี้ สิ่งที่พ่อต้องการจากตัวเขาคือความโด่งดัง ชื่อเสียงและเงินทอง โดยที่ไม่ถามว่าเด็กหนุ่มมีความฝันหรืออยากจะทำอะไร เมื่อพ่อขี้เมาพยายามทำตัวเป็นป๋าดันให้เด็กหนุ่มเข้าสู่วงการบันเทิง การต่อต้านของเขาจึงเผชิญผลลัพธ์สุดเจ็บปวด
ย้อนไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา คณะดนตรี Guns N ‘Roses วงร็อกระดับตำนานแห่งยุค 80 ได้ยื่นฟ้องร้องบริษัท ‘Oskar Blues Brewery’ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเบียร์แห่งหนึ่งในรัฐ Colorado โทษฐานนำชื่อวง Guns N ‘Roses ไปตั้งเป็นชื่อแบรนด์เบียร์ตัวเองหน้าตาเฉย! งานนี้เล่นเอาเสด็จพ่อทั้งหลายถึงกับฉุนจัด เพราะสมาชิกดั้งเดิมอย่าง Axl Rose, Slash และ Duff McKagan ถึงกับรวมตัวกันเพื่อทุบ เอ๊ย! ฟ้องร้องบริษัทเบียร์นี้โดยพร้อมเพรียงกัน เอาให้รู้ไปเลยว่ากำลังเล่นกับใครอยู่ โดยได้ตั้งข้อพิพาทจำเลยว่า “ล่วงละเมิดนำชื่อวงไปใช้ขายสินค้าโดยไม่ได้รับอนุญาต และจงใจทำให้ชื่อเสียงและศักดิ์ศรีของวงเสื่อมเสีย” นอกจากนั้นวงยังแจ้งอีกข้อกล่าวหาว่า Oskar Blues Brewery ได้นำชื่อวงไปใส่ในสินค้าประเภทอื่นอย่าง เสื้อยืด ผ้าโพกผม และสินค้าอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย โดยทาง Oskar Blues Brewery เผยว่าเคยยื่นเรื่องขออนุญาตใช้โลโก้ที่มีชื่อ Guns N ‘Roses ไปแล้วแต่ไม่ผ่าน (เขาไม่ให้แล้วยังใช้ต่อ ช่างกล้า!) แต่หลังจากถูกยื่นฟ้อง ทางบริษัทก็ลบภาพสินค้าทั้งหมดออกจากเว็บไซต์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว บทสรุป: ล่าสุดทางสำนักข่าว Reuters