คุณรู้จักคำว่า K-POP ครั้งแรกเมื่อไหร่? สำหรับเรามันค่อนข้างเป็นความทรงจำเลือนราง เนื่องจากเวลาที่ผ่านมายาวนาน แต่ถ้าจำไม่ผิดคงเป็นตอนที่เราได้ยินเพลง Begin ของ TVXQ หรือ ดงบังชินกิ ที่ทุกคนน่าจะรู้จักเป็นอย่างดีจากทางวิทยุ เหตุการณ์นั้นเป็นเหมือนการเปิดประตูโลกดนตรีและวัฒนธรรมอีกบานให้เรา หากนับตั้งแต่ตอนนั้นถึงตอนนี้ เวลาก็ล่วงเลยมาเกินทศวรรษ แต่วงการ K-POP ก็ยังไม่หยุดนิ่งหรือหายไปไหน มีการผลัดเปลี่ยนจากรุ่นสู่รุ่น หลังจาก TVXQ ก็มีชื่อของศิลปินอีกมากมายที่แวะเวียนมาเขย่าวงการ ไม่ว่าจะเป็น BIGBANG, Wonder Girls, Girls’ Generation, Super Junior, SHINee และอีกมากมาย K-POP ยังคงก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง และช่วงนี้มันก็กระโดดขึ้นไปอีกขั้น จากการที่ BLACKPINK ได้ขึ้นแสดงในเทศกาลดนตรี Coachella (สามารถอ่านเรื่องราวความเป็นมาของเทศกาลดนตรีนี้ได้ ที่นี่), BTS ได้ขึ้นปกนิตยสาร Time นอกจากนั้นยังทำสถิติเป็นวงที่ขายตั๋วคอนเสิร์ตหมดเร็วที่สุดและยอดวิวใน YouTube พุ่งสูงที่สุดใน 24 ชั่วโมง สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่แค่ในเกาหลีหรือเอเชีย อีกต่อไป แต่วัฒนธรรม K-POP ได้กระจายไปทั่วโลกแล้ว และยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่าย ๆ แต่ถ้าจะพูดถึงจุดเริ่มต้นของความยิ่งใหญ่นี้ เราอาจจะต้องย้อนกลับไปไกลสักหน่อย ในช่วงเวลาที่โลกยังไม่รู้จักกับ TVXQ ด้วยซ้ำ Seo Taiji and
บทความนี้ไม่มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของซีรีส์ Delhi Crime ในยุคที่หันไปทางไหนก็เจอแต่ Game of Thrones เราที่ไม่ได้โปรดปรานซีรีส์แนวแฟนตาซีอีพิค หักเหลี่ยมชิงบัลลังก์เลยกลายเป็นชนกลุ่มน้อยไปโดยปริยาย คุยกับใครก็ไม่รู้เรื่อง จึงจำเป็นต้องถอยออกมา เดินตามเส้นทางของตัวเองต่อไป จนกระทั่งวันหนึ่งก็บังเอิญเจอซีรีส์เรื่อง Delhi Crime หลบมุมเงียบ ๆ อยู่ใน Netflix สร้างจากเหตุการณ์จริง! นี่คือคำโปรยของซีรีส์เรื่องนี้ เมื่ออ่านเรื่องย่อเพิ่มเติมเราก็จำได้ทันทีว่ามันสร้างมาจากเหตุการณ์รุมโทรมผู้หญิงบนรถบัส เป็นคดีสะเทือนขวัญในช่วงปี 2012 ที่ทั้งโลกให้ความสนใจ เพราะพฤติกรรมของผู้ก่อเหตุมันล้ำเส้นความเป็นมนุษย์ไปมาก เราจึงไม่รอช้า กดปุ่มเพลย์ทันที รู้ตัวอีกทีทั้ง 7 EP ก็จบลงอย่างรวดเร็ว เราเป็นคนที่มีมาตรฐานในการดูซีรีส์ค่อนข้างสูง ถึงแม้จะดูมาเกิน 100 เรื่อง (นับเฉพาะแค่ใน Netflix) แต่ก็มีแค่ไม่กี่เรื่องที่เรากล้าพูดได้เต็มปากว่าชอบและ Delhi Crime คือหนึ่งในนั้น วันนี้เราจะมาพูดถึงประเด็นต่าง ๆ ในเรื่อง และอธิบายว่าทำไมทุกคนจึงไม่ควรพลาดซีรีส์เรื่องนี้ สร้างจากเหตุการณ์จริง อย่างที่คำโปรยของซีรีส์เรื่องนี้บอกไว้ ถึงแม้ นิวเดลี เมืองหลวงของประเทศ อินเดีย จะเป็นเมืองใหญ่ มีประชากรมากกว่า 20 ล้านคน แต่ถึงอย่างนั้นมันกลับแทบไม่เคยได้รับความสนใจจากโลกภายนอกเลย ที่ผ่านมาไม่ว่าจะเกิดคดีอะไรก็ไม่มีสื่อจากประเทศโลกที่ 1
อีกไม่กี่อึดใจซีรีส์ตอนแรกของ Games of Throne ที่เรารอคอยก็จะเข้าฉายให้ได้ชมศึกตัดสินสุดท้ายของดินแดนเวสเทอรอส โดยจะเริ่มฉายตอนแรกวันที่ 14 เมษายนนี้ แต่ครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงตัวซีรีส์ที่น่าติดตามเท่านั้น เพราะ HBO เตรียมปล่อยอัลบั้มรวมของเหล่าศิลปินที่ได้แรงบันดาลใจจากมหากาพย์ชิงบัลลังก์ GOT แถมชื่อนักร้องแต่ละคนก็เป็นผู้ที่มีผลงานโดดเด่นซึ่งหลายคนคงรู้จักกันเป็นอย่างดี Columbia Records และ HBO เตรียมปล่อยอัลบั้มในชื่อ For The Thrones (Music Inspiration by HBO Series Games of Throne) ที่มีแผนจะเปิดตัวในเร็ววันนี้ เพียงแค่บรรดารายชื่อศิลปินที่อยู่บนปกอัลบั้มก็ทำให้คอซีรีส์และแฟนเพลงทั้งหลายตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อ ไม่ว่าจะเป็น The Weekend, Travis Scott, SZA, The National, Mumford and Sons, Rosalia, MUSE Matthew Bellamy , ASAP Rocky, Lil Peep และ Ellie Goulding ล่าสุดเพิ่งปล่อยตัวอย่างอัลบั้มความยาว 30
การเลือกดูหนังสามารถบ่งบอกความเป็นตัวตนของเราได้และหลายครั้งที่ตัวตนของเราถูกประกอบสร้างขึ้นมาจากหนังสักเรื่อง หากคุณเบื่อหนังบล็อกบัสเตอร์วันนี้เรามีหนังอาร์ต 11 เรื่อง มาเป็นทางเลือกให้ แม้หนังเหล่านี้จะไม่ได้ใช้นักแสดงชื่อดังหรือใช้ทุนมหาศาล แต่ขอให้เชื่อเถอะว่าหนังที่เราเลือกมาแนะนำในวันนี้อาจจะทำให้คุณหันมาหลงรักหนังอาร์ตอย่างไม่อาจถอนตัว ที่สำคัญการคัมแบ็คของเหล่าผู้กับหนังแนวอินดี้ชื่อดังอย่าง Olivier Assayas Mia Hansen-Løve และ Simon Amstell ก็การันตีได้ในระดับหนึ่งเลยว่า คุณจะไม่ผิดหวังที่เสียสละเวลามาให้หนังแนวนี้บ้างอย่างแน่นอน TOO LATE TO DIE YOUNG (Dominga Sotomayor) จากผู้สร้าง Call me by your name สู่ TooLate to die young ภาพยนตร์ที่มีฉากหลังเป็นประเทศชิลี ซึ่งย้อนไปในปี ค.ศ.1990 ประเทศชิลีกลับมารวมตัวเป็นประชาธิปไตยอีกครั้งหลังจากการล่มสลายทางอำนาจของนายพล Augusto Pinoche โซเฟีย (Demian Hernández) สาวน้อยวัย 16 ปี อาศัยอยู่ในชนบทที่อยู่ใกล้กับเมืองหลวงซันติอาโก เธอมักจะมีปัญหากับพ่ออยู่ตลอดเวลา ท าให้เธอมีความฝันที่อยากจะย้ายไปอยู่กับแม่ของเธอที่เป็นนักดนตรีในเมืองหลวง LONG DAY’S JOURNEY INTO NIGHT
หลายคนอาจเคยได้ยินชื่อ Coachella กันอยู่บ่อยครั้ง Coachella นับเป็นเทศกาลดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามยังมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ไม่รู้จักงานนี้ อาจแค่ได้ยินชื่อมาบ้างแล้วแต่ก็ยังไม่เข้าใจว่างานนี้จะมีดนตรีแบบไหน และทำไมถึงงานเป็นที่ใคร ๆ ก็อยากไป UNLOCKMEN จะพาไปทำความรู้จักกับ Coachella ให้มากขึ้น รวมถึงอัปเดตกันว่าปีนี้จะมีศิลปินคนไหนได้ขึ้นเวทีบ้าง จุดเริ่มต้นของเทศกาลดนตรีสุดยิ่งใหญ่นี้เกิดขึ้นเมื่อปี 1993 โดยโชว์ของ Pearl Jam วงร็อกสัญชาติอเมริกันประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะแสงสี บรรยากาศ ความสนุกสนาน รวมถึงพื้นที่ที่ส่งเสริมโชว์ครั้งนั้นให้โดดเด่นน่าจดจำจึงจุดประกายความคิดให้กับ Paul Tollett กับ Rick Van Santen ให้ตัดสินใจจัดเทศกาลดนตรีชื่อว่า Coachella ขึ้นในปี 1999 เป็นเรื่องปกติของงานน้องใหม่เพราะปีแรกของงาน Coachella ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรเพราะจำนวนคนมาร่วมงานนั้นน้อยกว่าทั้งสองคาดการณ์ไว้ แต่เมื่อจัดต่อมาเรื่อย ๆ ก็สามารถทำให้แต่ละปีมีผู้ชมนับแสนที่เดินทางมายังงานแห่งนี้ จำนวนคนมหาศาลทำให้ทีมงานตัดสินใจเพิ่มวันแสดง โดยปกติจัดในวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ในสัปดาห์ที่สองของเดือนเมษายน ก็เพิ่มอีก 3 วันของสัปดาห์ที่สามรวมงานทั้งหมดของ Coachella จะมีด้วยกันทั้งหมด 6 วัน อะไรที่ทำให้ Coachella เป็นเทศกาลดนตรีที่ประสบความสำเร็จ ?
ฤดูร้อนสำหรับผู้ชายหลายคนคือช่วงเวลาแห่งการลุยไม่ยั้ง ช่วงเวลาแห่งกิจกรรมกลางแจ้ง ท้าแดด เสียงข้างในมันร่ำร้องให้ออกไปรับลมทะเล กระโจนใส่ฟองคลื่น ปีนหน้าผา เล่นน้ำสงกรานต์ ฯลฯ ในขณะที่ฤดูร้อนสำหรับผู้ชายหลายคนที่ไม่นิยมชมชอบแสงแดดและอากาศร้อนระอุ การเลือกหมกตัวอยู่ในบ้าน เปิดแอร์เย็นฉ่ำ พร้อมเบียร์เย็น ๆ สักแก้วและหนังสือสักเล่มก็ไม่ต่างจากสวรรค์บนดิน วันนี้ UNLOCKMEN ขอเอาใจผู้ชายสายชิลรับหน้าร้อนด้วยการแนะนำหนังสือ 5 เล่มที่เหมาะกับฤดูร้อน แอบกระซิบว่าบางเล่มอาจทำให้ร้อนได้โดยไม่ต้องเจอแดดด้วยซ้ำ! เมา: ประวัติศาสตร์แห่งการร่ำสุรา ผู้เขียน: Mark Forsyth สำนักพิมพ์: bookscape หน้าร้อนอย่างนี้อะไรจะดีไปกว่าเบียร์เย็นฉ่ำชื่นใจสักแก้ว ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ชายขี้เมาหรือไม่เคยคิดจะเมาเลย แต่การมี “เมา: ประวัติศาสตร์แห่งการร่ำสุรา” ผลงานของ Mark Forsyth เล่มนี้อยู่ในครอบครองช่วงหน้าร้อนนี้เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะเล่มนี้จะพาเราดื่มด่ำเมามายไปกับประวัติศาสตร์แห่งการเมาที่ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ แต่ย้อนยาวไกลไปได้ถึงชาวอียิปต์โบราณ หรือยาวไกลไปถึงความเมาของจักรพรรดิจีน ในเล่มนี้เราจะได้พบความเมาในสารพัดมิติ ทั้งประวัติศาสตร์ การเมือง สังคม ถ้าเป็นผู้ชายขี้เมาเราก็อ่านเล่มนี้เพื่อดื่มเหล้าครั้งต่อไปได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น แต่ถ้าไม่ใช่สายเมา แต่มีเหตุให้ต้องไปอยู่ในวงสนทนาของเพื่อนหรือธุรกิจที่เมากันเป็นประจำ อ่านเล่มนี้ไว้เป็นข้อมูลพูดคุยในวงเหล้าช่วงสงกราต์นี้รับรองว่าดูมีชั้นเชิงขึ้นหลายระดับแน่นอน หยดน้ำหวานในหยาดน้ำตา ผู้เขียน: อุรุดา โควินท์
ถึงจะเป็นแนวดนตรีที่เข้าถึงไม่ง่ายนัก แต่จากความโด่งดังของ Lorde, Dua Lipa, Lana Del Rey, หรือแม้กระทั่ง Cigarettes After Sex ที่มาเปิดคอนเสิร์ตในบ้านเราหลายต่อหลายครั้ง คงปฏิเสธไม่ได้ว่าความนิยมของ Dream Pop ได้ขึ้นมาเป็นหนึ่งในแนวดนตรีกระแสหลักไปแล้ว อย่างไรก็ตาม Dream Pop ไม่ใช่ของใหม่แกะกล่อง ไม่ได้เพิ่งเริ่มต้นเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ประวัติศาสตร์ของมันยาวนานมาตั้งแต่ช่วงยุค 80 วันนี้ UNLOCKMEN เลือกพูดถึง 10 อัลบั้ม Dream Pop ที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจบุัน อ้างอิงจากการจัดอันดับของ Pitchfork Floating Into the Night (1989) Artist: Julee Cruise ย้อนไป ณ ยุคบุกเบิกของ Dream Pop อัลบั้ม Floating Into the Night ของศิลปินสาวจาก ไอโอวา สหรัฐอเมริกา Julee Cruise คือหนึ่งในอัลบั้มที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุด เมื่อ Falling หนึ่งในเพลงจากอัลบั้มนี้ได้รับเลือกจาก David Lynch ให้เป็นเพลงเปิดของ Twin Peaks ซีรีส์แนวลึกลับสืบสวนที่ดังที่สุดในยุคนั้น
ณ ที่แห่งหนึ่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา UNLOCKMEN มีสนทนากับ ฮิวโก้ จุลจักร จักรพงษ์ ศิลปินมาดเท่จากค่าย ME Records ที่ทุกคนน่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดี ในขณะที่คุณฮิวโก้กำลังเดินเลียบเจ้าพระยาพร้อมกีตาร์คู่ใจ ขณะที่กำลังยืนมองเขาจากด้านหลังความคิดหนึ่งก็แว่บเข้ามาในหัวเรา ทางเดินเลียบเจ้าพระยาที่ร้อนระอุด้วยแสงแดด แออัดด้วยผู้คน ก็เปรียบเหมือนเส้นทางบนถนนสายดนตรีที่ยาวนานของเขา และแน่นอนว่ามันไม่ได้มีแค่ความราบรื่น หลังจากถ่ายรูปเสร็จเรียบร้อย ก็ถึงเวลาที่เราจะได้นั่งละเลียดสนทนากับเขา เดินทางบนถนนสายดนตรีมากี่ปีแล้วครับ? “ถ้าเป็นทางการก็น่าจะประมาณ 19 ปีครับ” แล้วจากวันนั้นจนถึงวันนี้ ดนตรีของคุณฮิวโก้มีการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาไปอย่างไรบ้าง? “มันน่าจะเปลี่ยนแปลงไปตามวัยมากกว่า เพราะว่าสิ่งที่เราต้องการหรือสิ่งที่เราชอบมันเปลี่ยนไปตามอายุ ความก้าวร้าวของวัย 20 กับ 30 ปลาย ๆ มันไม่เท่ากัน การเรียงลำดับความสำคัญของสิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราสนใจ ก็ต่างกัน เสียงที่เราได้ยินก็เปลี่ยนไป แต่มันก็มีแกนบางอย่างที่ไม่เปลี่ยน เป็นธรรมดาของพัฒนาการมนุษย์ ถึงจะมีการเปลี่ยนแปลงแต่ก็ยังเหลือแก่นความเป็นตัวตนอยู่” 19 ปีถือว่านานมาก อะไรที่ทำให้คุณฮิวโก้ยังยืนหยัดอยู่ตรงนี้ได้? “อธิบายยาก มันเป็นความรู้สึกตอนที่เราฟัง ความรู้สึกตอนที่เราร้อง หรือตอนที่เราแสดงกับวง มันเป็นอะไรที่ผมยังหาสิ่งอื่นมาแทนไม่ได้ในความสะใจ ความสบายใจนี้ ความจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นบนเวทีต่อหน้าคนดู มันไม่มีอะไรจริงกว่านี้แล้ว โอกาสที่จะพลาด แรงกดดัน ความคาดหวังของคนดู ตัวเราเอง และเพื่อน ๆ
John Wick : Chapter 3 ภาพยนตร์โคตรระห่ำที่ผู้ชมทั้งโลกตั้งหน้าตั้งตารอคอยการกลับมาของ คีอานู รีฟส์ พระเอกสุดเก๋าในบทนักฆ่าสวมสูทมาดเท่ ครั้งนี้ John Wick มาพร้อมกับชื่อภาค Parabellum ซึ่งอ้างอิงถึงภาษาลาตินที่ว่า “Si vis pacem , Para bellum” ในความหมายคือ “ถ้าต้องการสันติ จงเตรียมรับมือกับสงคราม” เรียกได้ว่าเป็นชื่อที่เหมาะกับสถานการณ์ของจอห์นที่นั่งไม่ติดในภาคนี้จริง ๆ เรื่องราวในหนังภาคสามก็อย่างที่แฟนคลับ John Wick รู้กันดีว่าเป็นการดำเนินเรื่องต่อจากตอนจบของภาคที่แล้ว เมื่อจอห์นถูกตัดหางปล่อยวัด (Excommunicado) เพราะแหกกฎศักดิ์สิทธิ์ขององค์กรที่บอกว่า “ห้ามฆ่าคนในพื้นที่ของโรงแรม The Continental” ทำให้เขากลายเป็นเป้าหมายของมือสังหารในเครือข่ายจากทั่วโลกที่ต้องการค่าหัวจำนวน 14 ล้านเหรียญ จอห์น วิค เหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมง ก่อนที่หมายสั่งตายจากเบื้องบนหรือที่เรียกกันว่าสภาสูงจะมีผลบังคับใช้ ฉากตัวอย่างที่ถูกปล่อยออกมาจอห์นต้องวิ่งฝ่ามหานครนิวยอร์กในสภาพที่ดูไม่ได้ ซึ่งผิดนิสัยของจอห์นที่พร้อมจะบวกกับทุกคน แต่เมื่อเหตุการณ์มันบังคับ การเอาตัวรอดเป็นสิ่งที่เขาทำได้ในตอนนั้น สถานที่ที่คาดว่าเป็นเป้าหมายแรกของจอห์นน่าจะเป็นหอสมุดประชาชนนิวยอร์ก ซึ่งถ้าดูจากในแผนที่แล้วหอสมุดนั้นอยู่ไม่ห่างจากจุดที่เขาวิ่งมาคือ Central Park เราจะพาทุกคนไปไขความลับการล้างมลทินของจอห์น วิค กับของสำคัญหลายชิ้นที่จอห์นแอบซ่อนไว้ในหนังสือ ณ
ความรักอาจเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิต แต่ความสัมพันธ์ในรูปแบบคนรักเป็นอีกเรื่องหนึ่ง จริงอยู่ว่าการมีคนรักที่ดีและสุขสมหวังในความรัก รวมถึงการมีความสัมพันธ์ที่ราบรื่นนั้นเป็นเรื่องที่ทุกคนใฝ่ฝัน แต่ในความเป็นจริงสำหรับบางคนก็ถึงเวลาที่ต้องยอมรับว่า “วัความสัมพันธ์หอมหวานไม่ได้มีไว้สำหรับทุกคน” ประโยคนี้เป็นเรื่องจริงที่สุด วันนี้ UNLOCKMEN มีหนัง 5 เรื่องมาให้คุณได้รู้ซึ้งถึงความรักที่ไม่ได้หอมหวานหรือน่ารัก แต่ไม่ว่าจะมีความรักความสัมพันธ์แบบไหน เราก็ต้องมีชีวิตต่อไป The Lobster หนังตลกร้ายที่บอกเล่าผ่านความสัมพันธ์ผ่านพล็อตเรื่องโดดเด่น แปลกใหม่ แสบสันและจิกกัด มีฉากเป็นโลกกึ่งดิสโทเปียที่การไม่มีคู่ถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย คนโสดไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรจะโดนส่งตัวไปที่โรงแรม The Hotel ผู้ที่ถูกส่งไปมีเวลา 45 วันในการหาคู่ให้สำเร็จ ประเด็นมันอยู่ตรงที่ถ้าใครยังหาคู่ไม่ได้ในเวลาที่กำหนดจะถูกทำให้กลายเป็นสัตว์ หนังเรื่องนี้ถูกตีความเป็นหนังนอกกระแส แต่ก็ดูได้เพลิน ๆ ถ้าพูดถึงความสนุกมันก็เป็นเรื่องของรสนิยมส่วนบุคคลของพวกคุณแล้วแหละ 500 Days of Summer เมื่อความรักเป็นเรื่องของพรหมลิขิต Tom (Joseph Gordon-Levitt) ชายหนุ่มที่เชื่อในเรื่องพรหมลิขิตและ Summer (Zooey Deschanel) หญิงสาวที่เชื่อว่าความรักเป็นเรื่องเพ้อฝัน 500 วันแห่งเรื่องความรักของเขาและเธอจะหวานขมปนเฝื่อนขนาดไหน? เรื่องราวในหนังอาจจะเตือนใจใครบางคนได้ว่าคนที่คิดแบบเดียวกับเรา หรือทำอะไรเหมือนเรา ไม่ได้แปลว่าเขาคนนั้นจะเป็นเนื้อคู่ของเรา เพราะความหวานชื่นตลอดไปอาจไม่มีอยู่จริง Equals equals หนังโรแมนติกไซไฟในโลกยูโทเปียในอนาคตที่ไร้อาชญากรรม พลเมืองทุกคนถูกตัดต่อพันธุกรรมสะกดต่อมอารมณ์เอาไว้ ทุกคนตัดขาดความสัมพันธ์ส่วนตัว