หลังจากเมื่อปีที่แล้วแบรนด์เครื่องกีฬาชื่อดัง Nike ได้ออกแบบรองเท้าผ้าใบรุ่น Air Force 1 ให้กับแรปเปอร์ชื่อดัง G-Dragon และเป็นสนีกเกอร์ที่มีคู่เดียวในโลกสำหรับ GD เท่านั้น จากการพบกันครั้งนั้นทำให้ Nike กับแบรนด์แฟชั่นของ G-Dragon ร่วมกันสร้างสรรค์ไอเดียร่วมกันจนออกมาเป็นรองเท้าเท่ ๆ ที่ปล่อยมาเรียกน้ำย่อยพวกเรากันแล้ว รองเท้าที่ทาง Nike ส่งมาให้ G-Dragon ก่อนหน้านี้คือ Air Force 1 ที่เต็มไปด้วยลวดลายของดอกไม้สีแดงสดโดยมีชื่อเรียกเล่น ๆ ว่า Flower Road พร้อมกับลายของ PEACEMINUSONE ตราสัญลักษณ์ของแบรนด์ไว้บนลิ้นรองเท้า แถมปี 2017 แรปเปอร์หนุ่มได้เป็นพรีเซนเตอร์ให้ Nike มาแล้ว กับรุ่น GD x Nike Air Vapormax 2017 ส่วน PEACEMINUSONE คือแบรนด์แฟชั่นที่ก่อตั้งขึ้นโดย G-Dragon แถมเขายังนั่งแท่นเป็น CEO ของแบรนด์เองอีกด้วย จุดเด่นของเสื้อผ้าสัญชาติเกาหลีนี้อยู่ที่สไตล์ที่คล้ายกับถอดแบบแฟชั่นของ G-Dragon
Saint Laurent เปิดตัวสินค้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของหนุ่ม ๆ ที่ชื่นชอบความสนุกสนานและการพบปะผู้คน แต่ยังคงไว้ด้วยความหรูหราที่ช่วยสร้างความประทับใจในงานปาร์ตี้ได้ ด้วยการปล่อยไอเทมที่มักอยู่คู่กับงานสังสรรค์อย่างลูกเต๋า โดมิโน่ วิทยุอันจิ๋วไปจนถึงตู้เกม ไอเทมทั้งหมดที่กล่าวมาของ Saint Laurent สร้างสรรค์โดย Anthony Vaccarello ครีเอทีฟไดเรกเตอร์คนปัจจุบัน เพราะเขาไม่ต้องการให้สไตล์ของ Saint Laurent ถูกจำกัดอยู่แค่คอลเลกชันเสื้อผ้า ก่อนหน้านี้เขาจึงนำเรื่องราวของแบรนด์ไปอยู่บนสิ่งของต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ เฟอร์นิเจอร์ไปจนถึงไฟแช็ก และล่าสุดก็ออกผลงานสนุก ๆ บนของเล่นที่มักเห็นในงานปาร์ตี้ เริ่มจากรูบิกสีดำด้านที่อัดแน่นไปด้วยลูกเล่นแปลกตาไม่เหมือนกันสักด้าน เช่น ด้านหนึ่งจะมีคำว่า SAINT LAURENT PARIS ที่จะต้องบิดรูบิกให้ถูกต้องจึงจะได้ข้อความที่สมบูรณ์ อีกฝั่งจะเป็นลายจุดสีสันสดใส ส่วนอีกด้านเป็นพื้นสีขาวที่มีลายขีดสีดำ ที่เพิ่มความสนุกสนานให้กับปาร์ตี้ได้อย่างแน่นอน ขณะที่ไอเทมอื่น ๆ ก็ไม่ยอมให้น้อยหน้าและคงความหรูหราฉบับ Saint Laurent เช่น โดมิโน่ของเล่นแสนคุ้นตาในวัยเด็กนำมาผลิตใหม่ด้วยการใช้คริสตัลสีต่าง ๆ แทนจุดสีบอกจำนวนบนชิ้นตัวต่อ เปลี่ยนมุมมองกับของเล่นวัยเยาว์ ส่วนลูกเต๋าทองเหลืองโดดเด่นไม่แพ้ใคร เพราะ Saint Laurent ก็นำคริสตัลมาประทับเพื่อบอกจำนวนเลขแทนจุดสีทึบเหมือนกับโดมิโน่ด้วยเช่นกัน ลูกเต๋าสุดกวนที่สลักข้อความไว้ให้ผู้เล่นทำตามคำสั่งที่ทอย เป็นของเล่นขาประจำสำหรับปาร์ตี้ของนักดื่ม โดย Saint
ถือว่า Nike Daybreak x UNDERCOVER ได้ไปต่อและได้รับความนิยมไม่น้อยเลยทีเดียวโดย Nike Daybreak x UNDERCOVER ถือเป็นงานคอลแลปส์คู่ล่าสุดระหว่างค่ายกีฬาอย่าง Nike และแบรนด์เสื้อผ้าผู้ชาย UNDERCOVER ของดีไซน์เนอร์ Jun Takahashi และความแรงฉุดไม่อยู่นี้ทำให้ Nike Daybreak x UNDERCOVER เตรียมเปิดตัวรองเท้า 3 สีใหม่ ออกมาล้วงเงินในกระเป๋าหนุ่ม ๆ อย่างเราแล้ว นี่คืองาน Collaboration อีกรุ่นที่น่าสนใจของปี หลังจากสองแบรนด์อย่าง Nike และ UNDERCOVER ตัดสินใจหยิบรองเท้าโมเดล Daybreak ซึ่งเป็นรองเท้าวิ่งที่เริ่มผลิตขึ้นในปี 1984 มาปัดฝุ่นสร้างผลงานคอลแลปส์ชิ้นใหม่ จนออกมาเป็น Nike Daybreak x UNDERCOVER ที่โดดเด่นด้วยดีไซน์ของโครงสร้างอัปเปอร์ขนาดใหญ่ด้านหลังที่ใช้หนังกลับเป็นวัสดุ แต่ยังคงไว้ซึ่งเสน่ห์แบบดั้งเดิมด้วยพื้นวาฟเฟิล ก่อนจะส่งไปเปิดตัวในงาน Paris Fashion Week 19 ซึ่งนับได้ 4 โทนสีด้วยกัน และตอนนี้กำลังจะเปิดตัว 3 สีล่าสุดตามออกมาแล้ว 3
สำหรับผู้ชายที่หลงใหลการเล่นกีฬาและดูการแข่งขันกีฬา รวมไปถึงคนที่ชื่นชอบเสื้อผ้ากีฬาและรองเท้ารูปแบบต่าง ๆ เชื่อเหลือเกินว่าโลโก้ “Swoosh” ของแบรนด์กีฬา Nike ต้องเป็นหนึ่งในเครื่องหมายการค้าที่เราคุ้นเคยกันดี แม้จะเปลี่ยนแปลงหลายตลบกว่าจะมาเป็นโลโก้ที่เห็นในปัจจุบัน ระยะเวลาผ่านมา 48 ปี นับตั้งแต่ชายที่ชื่อ Phil Knight และ Bill Bowerman ตัดสินใจก่อตั้งบริษัทรองเท้าของพวกเขาด้วยการเปลี่ยนชื่อจาก Blue Ribbon Sport มาเป็น Nike.inc ณ เวลานั้นพวกเขาต้องการสัญลักษณ์ที่เป็นตัวแทนสินค้า นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของโลโก้ที่ใครหลายคนรู้จัก วันนี้เราจะชวนย้อนดูความเป็นมาและวิวัฒนาการของโลโก้ “Swoosh” ผ่านคอลเลกชัน “The Evolution of the Swoosh” กับ 3 แพ็ครองเท้าที่นำโลโก้รุ่นเก๋าจากยุค 70’s มาดีไซน์ลงบนรองเท้ารุ่นยอดฮิตของค่ายในปัจจุบัน กลับสู่จุดกำเนิด “Script Swoosh” Pack เริ่มต้นกันที่ “Script Swoosh” หนึ่งในแพ็คที่โดดเด่นด้วยโทนสีขาว-ดำและแดง รองเท้าทั้ง 4 ในแพ็คประกอบไปด้วยโมเดลอย่าง Air Force 1, Air
ในปีนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งปีที่โลกของแฟชั่นคึกคักกว่าที่เคย หลายแบรนด์ลุกมาสร้างความเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ตั้งแต่สไตล์ ลายโมโนแกรม ไปจนถึงการก้าวออกมาทำอะไรแปลกใหม่เพื่อสร้างความแตกต่าง รวมทั้ง Coach แบรนด์เสื้อผ้าและเครื่องหนังสัญชาติอเมริกันที่ปล่อยคอลเลกชัน Fall 2019 ออกมาเป็นที่เรียบร้อย พร้อมกับสไตล์ใหม่ ๆ เข้าถึงวัยรุ่น ทันสมัยพร้อมตอบโจทย์เหล่าหนุ่มสาวผู้ชื่นชอบทั้งความเท่ที่คงสไตล์ความเป็นตัวของตัวเอง การบอกเล่าเรื่องราวของเหล่าชายหนุ่มผ่านเสื้อผ้าของ Coach คอลเลกชัน Fall 2019 เกิดขึ้นโดย Stuart Vevers ครีเอทีฟไดเรกเตอร์ของแบรนด์ นำแฟชั่นของกลุ่ม Dreamers หนุ่มสาวผู้มีความฝันใจกลางกรุงนิวยอร์กแห่งศตวรรษ 21 มาตีความในแบบของตัวเองในรูปแบบแฟชั่นที่สามารถเล่าเรื่องมหานครที่ไม่เคยหลับไปพร้อมกัน ถ้าจะให้นิยามแฟชั่นในศตวรรษที่ 21 อาจจะต้องพูดกันยาวเลยทีเดียว เพราะแฟชั่นในปัจจุบันมีหลายประเภท เนื่องจากผู้คนพร้อมเปิดกว้างทางความคิดและตระหนักถึงอัตลักษณ์ตัวตนของแต่ละคน แต่หากจะนึกถึงประเภทเสื้อผ้าให้พอเข้าใจตรงกัน เช่น สไตล์ของวินเทจ สตรีต และมินิมัล ก็อาจจะเข้าใจได้มากขึ้น เพราะสไตล์เหล่านี้ถือว่ามีอิทธิพลต่อการแต่งตัวของผู้คนเป็นอย่างมากจากทั้งเหล่าคนดัง นิตยสาร และศิลปินที่เราชื่นชอบผ่านโซเชียลมีเดีย หนังโฆษณาแฟชั่นจาก Coach เลือกเล่นสนุกกับคำว่า “Fall” จากฤดูกาลแฟชั่นที่จะ launch มาใช้ต่อยอดการตั้งคำถามกับผู้คนทุกวันนี้ว่าคุณจะดิ่ง (Fall) หรือเกิด (Rise) เพื่อสร้างความท้าทายใหม่ ปลุกจิตวิญญาณให้เหล่าวัยรุ่นในเมืองใหญ่อย่างนิวยอร์กที่ต้องการเปล่งประกายตัวตนหันมาสร้างเรื่องราวเป็นของตัวเองผ่านแฟชั่น
ถ้าพูดถึงระบบรองรับแรงกระแทกของแบรนด์อย่าง Nike ผู้ชายหลายคนคงคุ้นเคยกันดีกับ “AIR” รวมถึงระบบ React ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน แต่ดูเหมือนค่าย Swoosh ยังยอมหยุดพัฒนาเรื่องความนุ่มสบายให้รองเท้าของพวกเขา ล่าสุดจึงเปิดตัวนวัตกรรมรองรับแรงกระแทกตัวใหม่ของค่ายที่เรียกว่า JoyRide ออกมา ถ้าพูดถึงระบบรองรับแรงกระแทก AIR ที่พัฒนาจนต่อยอดออกมาเป็นนวัตกรรมหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Air Max, Air Zoom, Air Huarache ที่หนุ่ม ๆ หลายคนโดยเฉพาะนักวิ่งหรือนักออกกำลังคงเคยสัมผัสความนุ่มสบายของระบบต่าง ๆ กันมาบ้าง Nike เองก็ทราบดีว่ากลุ่มลูกค้าของพวกเขาต่างมองหารองเท้าวิ่งที่มาพร้อมระบบรองรับแรงกระแทกที่นุ่มนวล นวัตกรรมรองรับแรงกระแทกที่ชื่อ Joyride จึงเป็นสิ่งที่พวกเขาคิดค้นมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการนี้โดยเฉพาะ หลังจากเปิดตัวนวัตกรรม React มาได้ปีกว่า ๆ และได้เสียงตอบรับที่ดี จนถูกพัฒนาออกมารวมกับรองเท้ารุ่นต่าง ๆ มากมาย ล่าสุด Nike เปิดตัว Joyride นวัตกรรมรองรับแรงกระแทกกรรมสิทธิ์ล่าสุดที่ออกแบบมาสำหรับรองเท้ากีฬา โดยเฉพาะรองเท้าวิ่งระยะใกล้รวมถึงระยะกลาง หลักการทำงานของ Joyride คือการลดและกระจายแรงกระแทก ด้วยเม็ด Thermoplastic Elastomers (TPE) จำนวนมากที่ถูกห่อเอาไว้โดยเม็ดโพลิเมอร์เหล่านั้นจะมีลักษณะยืดหยุ่นคล้ายสปริงและมีความทนทานสูง เมื่อถูกน้ำหนักกดทับจะหดและขยายตัวได้แบบทุกทิศทาง อีกทั้งยังจัดการความเหมาะสมในการรองรับแรงกระแทกด้วยการแบ่งเม็ด TPE
เมื่อไม่นานมานี้เราเพิ่งจะได้เห็นคอลเลกชันพิเศษร่วมกันของแบรนด์เสื้อผ้าดาวรุ่งสัญชาติญี่ปุ่น FACETASM ที่ก่อตั้งโดย Hiromichi Ochiai กับแบรนด์น้ำอัดลมชื่อดังอย่าง Coca-Cola และตอนนี้เราก็เห็นทั้งสองจับมือปล่อยไอเทมเด็ดอีกครั้งทั้งหมด 5 ชิ้นด้วยกัน ไม่ใช่แค่ FACETASM กับ Coca-Cola เท่านั้น แต่การร่วมมือกันในครั้งนี้ยังมี THE CONVENI ที่เรามักจะเห็นแบรนด์ดังกล่าวเกี่ยวข้องกับเจ้าพ่อสตรีตแวร์อย่าง Hiroshi Fujiwara อยู่บ่อยครั้ง ทำให้คาดเดาได้ง่ายขึ้นว่าไอเทมในคอลเลกชันนี้จะมีสไตล์สตรีตปนอยู่ด้วยแน่นอน ไอเทมชิ้นแรกกับเสื้อยืดสีดำที่มาพร้อมกับลายสกรีนสีแดงที่คุ้นเคยของแบรนด์น้ำอัดลม โลโก้ของโค้กอยู่ทางฝั่งซ้ายมือของเสื้อ ด้านบนประทับชื่อแบรนด์ FACETASM ส่วนด้านล่างเป็นของ THE CONVENI ชื่อแบรนด์ที่ประกบทั้ง 2 ด้านคล้ายการล้อมกรอบของ Coca-Cola ประกอบกับการเลือกสีสีแดงและขาวบนพื้นสีดำก็ยิ่งส่งให้ลายสกรีนโดดเด่น น่าสนใจมากขึ้น ชิ้นต่อไปคือรองเท้าแตะยางสีแดงสดแบบเดียวกับกระป๋องน้ำอัดลม ที่ไม่ลืมประทับอักษรสีขาวอันเป็นเอกลักษณ์อันใหญ่ว่า Coca-Cala ไว้บนแถบคาดหน้ารองเท้าทั้งสองข้าง ส่วนบริเวณพื้นรองเท้าข้างซ้ายและขวาก็น่าสนใจและสะดุดตา เพราะปกติเราเคยชินกับการเห็นอักษรและคำเหมือน ๆ กันทั้งสองข้าง แต่รองเท้าแตะคอลเลกชันนี้ต่างออกไปเนื่องจากดีไซน์ชื่อของแบรนด์เสื้อผ้าทั้งสองที่ต่างรูปแบบกันมาวางไว้บนรองเท้าสุดเท่คู่นี้ ถัดจากรองเท้าก็คงจะหนีไม่พ้นถุงเท้า เพราะทั้งสองคือไอเทมที่ไม่ว่าจะสถานการณ์ไหน ๆ ก็จะต้องมาคู่กันเสมอ สิ่งที่ทำให้ถุงเท้าคู่นี้แตกต่างจากไอเทมชิ้นอื่น ๆ ในคอลเลกชันพิเศษนี้คือสี เพราะไอเทมชิ้นอื่นมักจะมีสีแดงแซมอยู่แต่สำหรับถุงเท้าจะไม่ใช้สีแดง และมีสีเพียงแค่ขาวกับดำเท่านั้น เพื่อคงสไตล์เรียบง่าย
ในที่สุดสถิติของราคารองเท้าที่มีราคาซื้อขายผ่านการประมูลของ Converse คู่ที่ตำนานยัดห่วงอย่าง Michael Jordan เคยใส่แข่งขันในรอบชิงในการแข่งขันกีฬา Olympics ในปี 1984 ก็ถูกทำลายลงแล้ว โดยแชมป์ใหม่กลายเป็นของรองเท้าต้นแบบจาก Nike ที่มีฉายาว่า “Moon Shoe” ใครที่เคยคิดว่ารองเท้ารุ่นหายากหรือโมเดลแรร์ในอดีตคงจะไม่มีราคาควรค่าแก่การครอบครอง อาจต้องคิดใหม่ เพราะราคาประมูลรองเท้าที่แพงที่สุดในโลกคู่ก่อนหน้าอย่าง Converse ‘Jordan Olympics 1984 มีราคาถึง 190,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 5.8 ล้านบาท ในขณะที่สถิติคู่ใหม่ที่เป็น Prototype ของรองเท้าวิ่งทั้งมวลในโลกอย่าง Nike ‘Moon Shoe ที่ถูกประมูลไปในราคา 437,000 ดอลลาร์หรือประมาณ 13.5 ล้านบาทเลยทีเดียว เจ้า Moon Shoe ถือเป็นบรรพบุรุษของรองเท้าวิ่งที่ผลิตโดย Nike ในช่วงปี 1970 ที่ Phil Knight และ Bill Bowerman ผู้อยู่เบื้องหลังความยิ่งใหญ่ของค่าย Swoosh ร่วมมือกันพัฒนาและสร้างขึ้นเพื่อให้กลายเป็นรองเท้าวิ่งที่มีประสิทธิภาพที่สุดในยุคนั้น ก่อนที่ Moon Shoe
ประโยคนี้คือประโยคจาก “ขวัญ-ชวิน นันทเทิม” ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการจัดแต่งทรงผมและผู้ก่อตั้ง BLACK AMBER ซึ่งเป็น Gentlemen’s Club และบาร์เบอร์สำหรับสุภาพบุรุษที่ทุกคนต่างรู้ดีว่าพิถีพิถันกับการจัดแต่งทรงผมผู้ชายแบบหาตัวจับยาก ใช่ ผู้ชายอย่างเราต่างรู้ว่าทรงผมสำคัญและอยากจัดแต่งทรงผมของตัวเองออกมาให้ได้ดั่งใจ ราวกับเดินออกมาจากบาร์เบอร์มืออาชีพ แต่หลายครั้งการเซ็ตผมตัวเองที่บ้านกลับไม่ราบรื่นอย่างที่หวัง UNLOCKMEN จึงพามาหาคำตอบกับ “ขวัญ-ชวิน นันทเทิม” เรื่องทรงผมที่เหมาะกับผู้ชายแต่ละคน และตัวช่วยไหนที่จะทำให้ผู้ชายจัดแต่งทรงผมง่าย ได้ดั่งใจ แถมสะดวกจนทำเองได้ทุกวัน การมีทรงผมอย่างใจต้องการ ไม่เกี่ยวกับว่าเราเป็นผู้ชายที่ชอบแต่งตัวจัดหรือไม่ แต่การมีทรงผมอย่างใจต้องการหมายถึงความมั่นใจจากภายในและบุคลิกภาพที่ดีที่ผู้ชายทุกคนควรพิถีพิถันในทุกวันของชีวิต “ถ้าพูดถึงเรื่องสไตล์เนี่ย ทรงผมสำคัญมากเท่ากับเสื้อผ้าและรองเท้าเลย มันคือรากฐานหนึ่งที่คนภายนอกจะมองเราว่ามี Personality แบบไหน เพราะฉะนั้นทรงผมถึงสำคัญมาก ๆ สำหรับผม” “ท้าท้ายที่สุดน่ะหรอ ผมว่าน่าจะเป็นการหาทรงผมที่เข้ากับคน ๆ นั้นครับ เพราะว่าประกอบด้วยปัจจัยหลายอย่างมาก เขาทำอาชีพอะไร ไลฟ์สไตล์เป็นอย่างไร ลักษณะนิสัยเป็นคนอย่างไร ลักษณะเส้นผมเป็นลักษณะไหน บางทีเขาอยากได้ทรงผมนี้ แต่ว่าเส้นผมมันไปไม่ได้แน่ ๆ มันก็อาจจะยังไม่ใช่ทรงผมที่เหมาะสมมากนัก การหาจุดลงตัวสำหรับทรงผมของคนคนนั้น ผมว่าสำคัญมาก ๆ” ทรงผมสำหรับผู้ชายจึงเป็นทั้งรากฐานที่บ่งบอกตัวตน และเป็นความลงตัวที่ต้องการผู้ช่วยที่เข้าใจไลฟ์สไตล์และสภาพเส้นผมมาดูแลอย่างมืออาชีพ แม้ผู้ชายอย่างเราจะเก่งกาจจนสามารถเสกอะไรหลายอย่างให้ชีวิตตัวเองได้ แต่เรื่องทรงผมถ้าเรามีที่ปรึกษาหรือผู้ช่วยที่เชี่ยวชาญและมีความมืออาชีพเต็มเปี่ยม จะทำให้เรื่องทรงผมกลายเป็นเรื่องง่ายราวกับมีเวทมนตร์ “ตัวช่วยสำคัญมากครับ เพราะคนเราบางครั้งอาจจะยังไม่เข้าใจลักษณะเส้นผมของตัวเองเท่าไหร่
กระแสเทรนด์แฟชั่นเป็นอะไรที่เปลี่ยนไปมาเร็วมาก ทุก ๆ 6 เดือนก็จะมีการไหลเวียนเปลี่ยนผ่านในเรื่องของเทรนด์ ซึ่งหากจะให้จำกัดความในปัจจุบันคงไม่สามารถบอกตายตัวได้ว่า มันเป็นเทรนด์ของอะไร ทุกอย่างโดนมิกซ์รวมกันไปหมดจนไร้ขอบเขตของการแต่งตัวสำหรับผู้ชายไปแล้ว เพราะไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าครั้งหนึ่งเราเคยคิดเล่น ๆ ว่าจะมีโอกาสไหมที่ผู้ชายจะเลิกใส่กางเกงทรงสลิมฟิตกลับไปใส่กางเกงขาใหญ่เหมือนสมัยก่อน แต่แล้ววันนั้นก็มาถึง เพราะในปัจจุบันเราได้เห็นสไตล์การแต่งตัวแบบยุค 90s กลับมาฮิตอีกครั้ง ดังนั้นเพื่อเป็นย้อนวันวาน เนื่องจากเราก็เป็นหนึ่งในเด็กยุค 90s เหมือนกัน ทีมงาน UNLOCKMEN จึงเอา Tip สำหรับการมิกซ์แอนด์แมทช์เครื่องแต่งกายยุค 90s มาฝากกัน Baggy Back ในยุคที่จุดศูนย์กลางวัยรุ่นอยู่ที่ สยาม เซ็นเตอร์พ้อยท์ การใส่เสื้อผ้าสไตล์ Baggy ไม่ว่าจะเป็น Levi’s 501 หรือ Dickies 874 เรียกได้ว่าเป็นไอเทมของยุค ที่หากใครไม่ใส่จะถือว่าเชยมาก ซึ่งหากชาว UNLOCKMEN ลองนำกลับมาใส่จะรู้ถึงข้อดีของกางเกงทรงนี้ว่าสบายแบบสุดโต่ง ชนิดที่คุณไม่สามารถได้รับจากกางเกงทรงสกินนี่ ดังนั้นลองไปหากางเกงของ พ่อ พี่ชาย หรือของเก่าเก็บที่ยังพอมีอยู่ทรงหลวม ๆ หน่อย มาบวกับเสื้อกราฟิกโลโก้เบิ้ม ๆ แค่นั้นก็ได้อารมณ์