ชายหนุ่มร่างใหญ่ที่มาพร้อมถังออกซิเจนและทรงผมพะรุงพะรัง เพียงแว็บแรกคุณอาจจะรู้สึกขำมากกว่าหวาดกลัว แต่ใครเลยจะรู้ว่า ในมือที่ถือถังออกซิเจนดูไร้พิษภัยคู่นั้น กลับเป็นอาวุธที่สุดแสนอำมหิต และเขาคือวายร้ายสุดคลั่งแห่งโลกภาพยนตร์ทศวรรษที่ 2000s กระทั่งคนรับบทบาทยังรู้เกลียดกลัวคาแรคเตอร์นี้จนเกือบจะไม่รับเล่นมัน มาทำความรู้จักกับ Anton Chigurh วายร้ายอำมหิตแห่งหนังฟิล์มนัวร์ยุคใหม่ จากภาพยนตร์ No Country for Old Men ที่ร้ายจนทำให้เขาคว้ารางวัลนักแสดงสมทบฝ่ายชายยอดเยี่ยมไปครองได้สำเร็จ หนัง No Country for Old Men ออกฉายในปี 2007 สามารถสะกดคนดูด้วยการเล่าเรื่องผ่านตัวละคร 3 ตัว โดยจุดเริ่มต้นมาจากการปะทะกันของ 2 แก๊งค้ายาที่นำพาให้เกิดการยิงกันและตายเกลื่อน Llewelyn Moss (นำแสดงโดย Josh Brolin) นักล่าสัตว์พบเจอศพคนโฉดนอนเรี่ยราดบนพื้น เขาสำรวจตรวจตราก็พบว่ามีกระเป๋าเงินจำนวน 2 ล้านเหรียญซุกซ่อนอยู่ท่ามกลางกองเลือดที่นองพื้นนั้น ไม่รอช้า เขาหยิบมันและจัดการนัดแนะแฟนสาวให้ออกจากบ้านไป เพราะมั่นใจว่าเจ้าของเงินน่าจะตามมาหาเขาในไม่ช้า ขณะเดียวกันหนังก็เล่าถึง Ed Tom Bell (นำแสดงโดย Tommy Lee Jones) นายอำเภอสุดเก๋าล้นประสบการณ์ แม้อายุอานามของเขาจะมากจนอยากเกษียณ
ก่อนที่โลกจะเข้าสู่ยุคแห่งการล็อคดาวน์ มีหนังเกี่ยวกับการอยู่ในที่แคบหรือพื้นที่จำกัดมากมายที่แสดงให้เห็นสภาวะอันอึดอัด และการต้องหาทางรอดของตัวละครในหนัง ซึ่งการทำหนังที่เกี่ยวกับพื้นที่แคบนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรคการทำงานมากมาย ไม่ว่าจะในเรื่องของเนื้อหา การสื่อสารกับคนดู ทุนสร้าง หรือจำนวนบุคลากรที่ต้องลดจำนวนลง ดังนั้นเวลาเราดูหนังยิ่งมีพื้นที่แคบอยู่ในไม่กี่สถานที่ กลับเป็นการท้าทายไอเดียที่ยากยิ่งกว่าสำหรับผู้สร้างเพื่อจะก้าวข้ามขีดจำกัดต่าง ๆให้ได้ ไม่ใช่หนังที่ถ่ายง่าย ๆ อย่างที่หลายคนคิด มาดูกันว่ามีหนังในที่แคบเรื่องอะไรกันบ้าง แล้วเขามีเทคนิคในการถ่ายทำอย่างไร Rear Window (1954) Directed by Alfred Hitchcock ถือเป็นหนังต้นตำรับบิดาแห่งการกักตัวของตำนานภาพยนตร์อย่างแท้จริง เรื่องราวของพระเอก James Stewart ตากล้องผู้โชคร้ายที่ต้องใช้ชีวิตวนเวียนอยู่บนรถเข็นเนื่องจากประสบอุบัติเหตุเดินไม่ได้ เขาจึงต้องหาอะไรทำแก้เซ็งด้วยการส่องดูชีวิตคนที่อพาร์ทเมนท์ฝั่งตรงข้าม แต่ด้วยความสอดรู้สอดเห็น มันนำพาให้เขาได้พบเห็นความน่าสงสัยของใครบางคน จากนั้นเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือของหญิงสาวในค่ำคืนหนึ่ง ก็ทำให้ชายหนุ่มบนรถเข็นเชื่อมโยงปะติดปะต่อเรื่องราวว่าสิ่งที่เขาได้พบเห็นนั้นมีความไม่ชอบมาพากลอย่างแน่นอน อย่างที่รู้กันว่า Alfred Hitchcock คือราชาหนังที่เล่นแร่แปรธาตุในการสร้างความแปลกและแตกต่างให้กับภาษาหนังมือต้น ๆ ของโลก และในเรื่องนี้ Hitchcock ได้ทำการทดลองสถานการณ์ในพื้นที่จำกัด ด้วยการให้พระเอกของเรานั่งอยู่บนรถเข็นตลอดเวลา เน้นแสดงออกทางสายตาเพื่อให้สื่อสารอากัปกิริยาที่แตกต่างไป หนังวนเวียนอยู่แค่ในบ้านและวิวนอกหน้าต่าง แต่ถึงกระนั้น Hitchcock ก็ได้ให้ทีมงานออกแบบห้องพัก และด้านนอกของตึกแถวจำนวน 7 ชั้นสร้างใน Paramount Studio โดยออกแบบเสมือนจริงที่สุด และใช้ความระทึกขวัญสั่นประสาท
ในโลกของอาชญากรรมบนแผ่นฟิล์ม มีหนังมากมายที่สร้างแรงบันดาลใจ และกลายเป็นเสมือนหมุดไมล์สำคัญ และท่ามกลางคาวเลือดและควันปืน หนังเรื่อง Scarface คือ 1 ในหนังขวัญใจคอหนังอาชญากรรมตลอดกาล แน่นอนว่านอกจากความดิบเถื่อนของหนังที่สาดซัดคนดูไม่มียั้งแล้ว คาแรคเตอร์สำคัญที่ผลักดันให้หนังเรื่องนี้อมตะและเป็น Pop Culture แห่งยุคสมัยคือชายหน้าบากที่เต็มไปด้วยความใจถึง ชั่วช้า บ้าคลั่ง กลายเป็นวายร้ายสุดเท่ที่โลกจดจำได้ติดตา เรามาทำความรู้จักผู้ชายสู้ชีวิตที่โชคชะตาลิขิตให้เขาเป็นวายร้ายแห่งโลกภาพยนตร์คนนี้ไปพร้อม ๆ กัน Tony Montana มหาวายร้ายแห่งหนัง Scarface Scarface คือการผสมผสานคาแรคเตอร์จากหนังผสมเหตุการณ์จริง ในปี 1980 ที่ประธานาธิบดี Fidel Castro ได้เปิดเมืองท่ามาริเอลในคิวบา เพื่อปลดปล่อยประชาชนจำนวนกว่า 125,000 คน ข้ามน้ำข้ามทะเลสู่ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งนอกจากผู้อพยพมากมายที่ต้องการไปตายเอาดาบหน้าในดินแดนแห่งเสรีภาพแห่งนี้แล้ว ยังมีกลุ่มเดนคนกลุ่มหนึ่งที่ปะปนอยู่ในนั้น นั่นคือเหล่านักโทษและเหล่าอันธพาลที่แฝงตัวมาขึ้นเรือร่วมกับผู้อพยพทั่วไปอีกด้วย และ 1 ในนั้นก็มีชายหนุ่มหน้าบากที่ชื่อ Tony Montana หนุ่มเลือดร้อนที่พร้อมชนทุกสถานการณ์อย่างไม่เกรงกลัวใดๆ เพียงแค่ก้าวเท้าสู่อเมริกา เขาก็เริ่มหนทางที่จะพาเขาสู่ความยิ่งใหญ่ มันจะมีอะไรที่จะรวยเร็วไปกว่าการค้ายา ด้วยคาแรคเตอร์ของชายผู้มั่นใจในตัวเอง มีความโหดเหี้ยม เด็ดเดี่ยว เลือดร้อนถึงลูกถึงคน ก็ทำให้เขาค่อย ๆ ไต่เต้าจากเด็กล้างจานแห่งเมืองไมอามี่
แม้ว่าตอนนี้ กระแสของหนังซูเปอร์ฮีโร่จะยังคงอยู่ขาขึ้นเนื่องจาก 2 ค่ายยักษ์ใหญ่ยังมีฮีโร่อยู่ในสต๊อกเตรียมผลิตเป็นหนังและซีรีส์อยู่มากมาย แต่ก็มีคนดูหลายคนที่เริ่มแอบเบื่อความซ้ำซากที่เห็นแต่ฮีโร่ผู้ผดุงความยุติธรรมเพียงอย่างเดียว เพราะโลกใบนี้ไม่ได้มีแค่ด้านขาว แต่ยังมีด้านดำ แน่นอนว่าจักรวาลอันกว้างใหญ่ย่อมมีฮีโร่สายดาร์คและสายแหวกรวมอยู่ด้วยฉันนั้น และนี่ คือ 5 ซีรีส์ที่เสนออีกด้านของวีรบุรุษชุดหนัง เต็มไปด้วยความเกรียน ความแปลก และความโหดแบบสุดขั้ว ให้คนดูผู้ชอบความท้าทายได้ลืมทุกฮีโร่ผู้ผดุงคุณธรรมให้หมด แล้วมารับความโหดสุดแหก แหวกแนวสุดขั้วของพวกเขาได้เลย ในโลกที่ซูเปอร์ฮีโร่มีอิทธิพลต่อโลกใบนี้ จนทำให้พวกเขาเป็นยิ่งกว่า Super Star แต่หารู้ไม่ว่าภายใต้ความฮ๊อตของทีมซูเปอร์ฮีโร่กลุ่มนี้ กลับมีเงื่อนงำและความน่ากลัวซ่อนอยู่ จนถึงขั้นมีกลุ่มไล่ล่าซูเปอร์ฮีโร่ เพื่อจัดการกระชากหน้ากากความอำมหิตของพวกมันให้โลกได้รับรู้ เพราะเหล่าฮีโร่ได้ฆ่าคนรักของพวกเขาไป ทำให้กลุ่มแอนตี้ฮีโร่ ต้องต่อสู้กับความศรัทธาที่คนทั้งโลกยังมองกลุ่มผู้พิทักษ์ความยุติธรรมนี้เป็นคนดี ไหนจะกลุ่มผู้รักษากฏหมายที่ยังถือหางเหล่าซูเปอร์ฮีโร่กลุ่มนี้อยู่ และทำไมชื่อซีรีส์นี้ถึงชื่อแสนจะธรรมดาว่า The Boys แน่นอนว่ามันมีคำตอบที่แสนช็อคความรู้สึกคนดูอยู่ในนั้น นี่คือซีรีส์สายดาร์คที่จัดเต็มทั้งความรุนแรงแบบสุดขั้ว แบบไม่ต้องเกรงใจว่าเลือดทะเล็ด เครื่องในจะทะลักขนาดไหน ซีรีส์ที่สร้างจากคอมมิคสายดาร์คจากการสร้างสรรค์โดย Garth Ennis และ Darick Robertson ที่เสนอด้านมืดของผู้ผดุงความยุติธรรม และการวิพากษ์โลกที่นับถือตัวบุคคลโดยไม่สนใจว่าพวกเขาเหล่านั้นมีความชั่วร้ายขนาดไหน จึงเป็นหนึ่งในซีรีส์ที่เสนอด้านตรงข้ามของเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ได้อย่างแสบสันต์และชวนติดตามอยู่ในขณะนี้ ที่ตอนนี้ออกมาแล้ว 2 ซีซั่นและเนื้อหากำลังเข้มข้นสุดขีด รับชมได้ทาง Amazon Prime อย่าคิดว่าอนิเมชั่นสีสันลูกกวาดนี้จะเป็นการ์ตูนเด็กน้อยเหมือนเรื่องทั่ว ๆ ไป
นาฬิกาหมุนไปอย่างรวดเร็วแค่ไหน ขนาดหนังที่เรารู้สึกว่าเพิ่งจะดูในโรงได้ไม่นาน ตอนนี้หนังเหล่านี้มีอายุครบ 10 ปีแล้วเรียบร้อย UNLOCKMEN จึงพาคุณย้อนไปทบทวนความทรงจำของหนังเหล่านี้ ที่กาลเวลาได้พิสูจน์แล้วว่า “หนังเหล่านี้เจ๋งจริง” และมาสำรวจกันว่า 10 ปีผ่านไป นักแสดงและผู้กำกับตอนนี้ทำหนังอะไรกันอยู่ จะได้ตามต่อกันได้ในอนาคต เริ่มต้นด้วยหนังคัลท์กระหึ่มโลก ที่ผสานทั้งความเหงาและความเถื่อนเอาไว้หลังพวงมาลัย ผลงานการกำกับแจ้งเกิดของ Nicolas Winding Refn เรื่องราวของสตันท์แมนหนุ่มที่กลางวันรับงานผาดโผนในกองถ่าย ส่วนค่ำคืนรับหน้าที่เป็นสารถีรับส่งเหล่าอาชญากร ชีวิตที่เต็มไปด้วยความผาดโผน กลับไม่อาจจัดการความเหงาของหัวใจตัวเองได้ หนังแสดงให้เห็นภาพชายเหงาในเมืองใหญ่ที่รายล้อมไปด้วยสไตล์และสีสันอันเฉียบคม ผสมผสานด้วยดนตรี New Wave / Post-Punk ส่งผลให้พระเอกหนุ่ม Ryan Gosling กลายเป็นนักแสดงสายอาร์ตที่เต็มเปี่ยมด้วยความเท่และความคูล แถมด้วยแจ็คเก็ตแมงป่องที่เป็นเอกลักษณ์และเพิ่มสไตล์ให้หนังกลายเป็นที่โจษจันแห่งยุคสมัยได้โดดเด่นเป็นอย่างมาก 10 ปี ผ่านไป – หลังจากหนังเรื่องนี้โด่งดังในสายอาร์ต ทั้งผู้กำกับและ Ryan Gosling ก็โคจรมาพบกันอีกครั้งในหนัง Only God Forgives (2013) ที่มีถ่ายทำในไทย ล่าสุดผู้กำกับหันเหไปกำกับซีรีส์ดราม่าอาชญากรรม Too Old to Die Young
เมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว หากเอ่ยชื่ออนิเมะและมังงะชื่อดังอย่าง คินนิคุแมน คนในวัยที่เติบโตมาในยุค 80s-90s ต่างก็คิดถึงแต่การ์ตูนมวยปล้ำตลก ๆ เบาสมอง ที่ครองความนิยมด้วยมุกตลกและเพลงประจำตัวอย่าง “ข้าวหน้าเนื้อเจ้าเก่า 300 ปี อะโจ๊ะ โจ๊ะ” ร้องโดยน้าต๋อยเซมเบ้ จนติดปากของเด็กในยุคนั้น กาลเวลาผ่านไป จากเด็กกลายเป็นผู้ใหญ่ ใครเลยจะรู้ว่าการ์ตูนที่ดูเหมือนจะไร้สาระเรื่องนั้น จะมีอายุยืนยาวจวบจนปัจจุบัน เพราะอะไรการ์ตูนที่เหมือนจะล้มเหลวในตอนต้น ถึงกลายร่างเป็นการ์ตูนยอดนิยมที่ไม่ใช่เพียงแค่ญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังดังไปทั่วทั้งโลกมาอย่างยาวนานขนาดนี้ รวมถึงความเป็นลูกผู้ชายที่เราสามารถเรียนรู้ได้จากชายคนนี้ เรามาถอดหน้ากากตัวตนที่แท้จริงของมังงะอมตะนิรันดร์กาลเรื่องนี้ไปพร้อมๆกัน Kinnikuman ถือกำเนิดจากคู่หูนักเขียนที่เรียกตัวเองว่า Yudetamago หรือ คู่หูไข่ต้ม นามปากกาของ 2 นักเขียนดาวรุ่ง Yoshinori Nakai และ Takashi Shimada เพื่อนซี้จากโอซาก้า ที่มาตามฝันในเมืองโตเกียวด้วยการเขียนการ์ตูนส่งสำนักพิมพ์ชูเอะฉะ ท่ามกลางการห้ามปรามของพ่อแม่ เพราะอาชีพศิลปินวาดการ์ตูนในช่วงปลายยุค 70s นั้นยังไม่ใช่อาชีพที่สามารถทำเงินทำทองได้มากนักในสายตาของพ่อแม่ยุคนั้น แต่เด็กหนุ่มทั้ง 2 ก็รั้นที่จะเขียนส่งประกวดรางวัล Akatsuka Award แม้จะไม่ได้รางวัล แต่การ์ตูนสั้นเรื่อง Kinnikuman
นับเป็นปีแห่งสีสัน, ความหลากหลาย และความเรียบง่าย สำหรับการแจกรางวัล 93rd Academy Awards หรือ Oscars ประจำปี 2021 ท่ามกลางความเงียบเหงาของวงการภาพยนตร์ที่ซบเซาจากวิกฤตไวรัสโคโรนาที่เข้ามาทำให้โปรแกรมใหญ่ ๆ ต้องลี้หนีไป แถมล่าสุดบ้านเราเองที่โดนวิกฤตระลอกใหม่จนทำให้ต้องปิดโรงหนังอีกรอบ แต่ใช่ว่าปีนี้ Oscars ครั้งที่ 93 จะไม่น่าสนใจ ตรงกันข้ามภาพยนตร์สะท้อนสังคมในยุคโควิดกลับเฉิดฉายในงานอย่างสมศักดิ์ศรี และเป็นปีที่นักดูหนังทั้งหลายต่างไม่กังขากับผลรางวัลที่ออกมา เรามาดูกันว่าปีนี้ไฮไลท์สำคัญและสถิติที่สร้างขึ้นประจำปีนี้มีอะไรกันบ้าง เหมือนดังเช่นทุกการแจกรางวัลในทุกเทศกาลที่มีการจำกัดรูปแบบของผู้เข้าชม โดยครั้งนี้รางวัลออสการ์แจกเลทกว่าปกติถึง 2 เดือน เพื่อเปิดโอกาสให้หนังที่ฉายปลายปีได้มีโอกาสเฉิดฉายให้คนดูหนังและคณะกรรมการที่ช่วงเวลาปลายปียังไม่ได้รับวัคซีนทั่วถึงได้รับวัคซีนกัน ซึ่งปีนี้หนังหลายเรื่องก็ตัดสินใจฉายในระบบสตรีมมิ่งที่สามารถรับชมทางบ้านได้พร้อมกับการฉายผ่านโรงหนัง ส่วนพิธีการแจกรางวัลจากปกติที่จะจัดกันอย่างใหญ่โตอลังการ ปีนี้ก็งดยิ่งใหญ่ จำกัดจำนวนคนที่มาร่วมงาน เว้นระยะห่างและจัดกัน 2 ที่ นั่นก็คือ Dolby Theatre และ Union Station ด้วยความที่งานจัดไม่ได้เลิศหรูอลังการเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ปีนี้การแจกรางวัลคือการแจกจริง ๆ ไม่ต้องอิงพิธีรีตรอง การเดินบนพรมแดง หรือแสดงโชว์ให้มากความ หลายคนจึงรู้สึกดีที่การแจกรางวัลแบบ New Normal นี้ได้ให้ความสำคัญกับรางวัลมากกว่าโชว์ที่ไม่จำเป็น เราจึงได้เห็นผู้รับรางวัลที่มาในชุดทะมัดทะแมงมากกว่าจะมาแบบหรูอลังการเหมือนในปีก่อน ๆ อาทิ Chloe
หากพูดถึงอนิเมะยุคนี้ หลายคนคงจะนึกถึงอนิเมะสุดฮิตอย่าง “ดาบพิฆาตอสูร” หรือ อนิเมะสุดเก๋อย่าง “โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ” ถ้าเน้นการต่อสู้ที่กำลังเข้มข้นก็คงไม่พ้น “ผ่าพิภพไททัน” หรือถ้าสายกีฬาก็ไม่น่าพลาด “โอตาคุน่องเหล็ก” แต่ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ที่อื่นคงจะมีการแนะนำไปจนปรุแล้ว UNLOCKMEN เข้าใจว่าช่วงเวลาที่ต้องอยู่กับวิกฤตโควิดแบบไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดตรงไหน จึงอยากใช้ช่วงเวลานี้ให้ผ่อนคลายด้วยการหาอนิเมะสายฮาให้คุณได้ผ่อนคลายความเครียดดีกว่า ไม่ใช่แค่ฮาอย่างเดียว แต่ยังไอเดียแหล่มจนต้องเผลออุทานว่า “คิดได้ยังไงวะ” อีกด้วย อย่าเสียเวลา เรามาดูกันว่า อนิเมะสายฮาเหล่านี้ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร เตรียมขากรรไกรเอาไว้ขำกันได้เลย The Way of the Househusband พ่อบ้านสุดเก๋า อนิเมะเรื่องแรก ไม่แนะนำก็คงไม่ได้ เพราะตอนนี้ฮิตติดลมบนจนติดอันดับต้น ๆ ของ Netflix ไปเรียบร้อยแล้ว เรื่องของอดีตยากูซ่าในตำนาน ที่วางอาวุธมาจับมีดทำครัว ล้างมือจากวงการมาล้างจานหั่นผัก เลิกแย่งชิงความเป็นหนึ่งในภูมิภาคมาแย่งสินค้าลดราคาในห้างแทน จากมังงะชื่อกระฉ่อนจากปลายปากกาของอาจารย์ Kousuke Oono ที่เล่าเรื่องของ ทัตซึ ยากุซ่าหน้าบากในตำนาน ผู้วางมือจากวงการอาชญากรรมที่ทำให้เขาขึ้นชื่อกระฉ่อนไปทั่วโตเกียว เพื่อเลี้ยวมาใช้ชีวิตในฐานะพ่อบ้านที่ทุกวันจะดูแลบ้าน ทำอาหารกล่อง และใช้ชีวิตพ่อบ้านแบบฟูลไทม์ เพื่อปล่อยให้แฟนสาวไปทำงานอย่างไม่ติดขัด มังงะแก๊กชุดได้รับความนิยมทันทีเมื่อออกตีพิมพ์จนบัดนี้ได้ดำเนินเรื่องมาถึงเล่ม 7
ช่วงนี้อากาศร้อนจนแทบคลั่ง เวลาร้อนทีไรก็ค่อยจะมีใจตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมที แต่วิกฤตธรรมชาตินั้นเกิดขึ้นทุกวัน ดังนั้นเราอย่ารอให้อุณหภูมิสูงแล้วค่อยจะมาตระหนักถึงอันตราย เราจึงขอเสนอสารคดีจาก Netflix ที่จะช่วยให้คุณตระหนักรู้ว่าวิกฤตธรรมชาตินั้นอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คุณคิด มาดูและช่วยคิดว่าเราจะทำอย่างไรให้โลกใบนี้คงสภาพชั่วลูกหลานกัน David Attenborough: A Life on Our Planet ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อผลิตสารคดีรักษ์โลก หากเอ่ยถึง David Attenborough ผู้ชมชาวไทยอาจจะรู้จักกันไม่แพร่หลาย แต่หากถามชาวอังกฤษ ชื่อของ David Attenborough คือบุคลลผู้ทรงอิทธิพลและเป็นที่รักของชาว UK กันมายาวนานกว่า 70 ปี ชายหนุ่มผู้ริเริ่มในการทำสารคดีเกี่ยวกับความน่าทึ่งบนโลกใบนี้ให้กับ BBC มาตั้งแต่อายุ 20 ปี จวบจนตอนนี้เขาอายุ 93 ปี แต่ก็ยังคงไม่หยุดที่จะสำรวจความน่าทึ่งของโลกใบนี้ ด้วยความเป็นมิตรทั้งกับคนดูที่ติดตามการถ่ายทำสารคดีมาอย่างยาวนาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่นำพาเขาได้เข้าใกล้ชิดธรรมชาติ ผ่านการสำรวจทุกซอกทุกมุมของโลกใบนี้ด้วยการทำสารคดี ทำให้เขาพบว่าโลกกำลังค่อยป่วยไข้จากการทำลายและยึดพื้นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าและธรรมชาติตั้งแต่ยุคที่ยังไม่ตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมกันเลย David จึงใช้ประสบการณ์และมุมมองที่มีต่อโลกใบนี้มาอย่างยาวนานกว่า 7 ทศวรรษ บอกเล่าผ่านสารคดีเพื่อเผยชีวิตอันน่าทึ่งของเขา รวมไปถึงการแนะแนวทางของการแก้ไขและดำรงอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์ สัตว์ป่า และธรรมชาติอย่างยั่งยืน เพื่อช่วยกันพลิกฟื้นและยืดอายุโลกใบนี้ให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น ผ่านฟุตเตจอันทรงพลัง นี่จึงเป็นเสมือนพินัยกรรมเพื่อส่งมอบให้มนุษย์รุ่นหลังได้สานต่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ และส่งต่อความหวังดีที่มีต่อโลกใบนี้ให้คงอยู่ไปอีกนานเท่านาน
ความหวังของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ดูเหมือนจะกลับมาเชิดฉายอีกครั้งทั้งผู้ผลิตและโรงหนัง หลัง Godzilla vs Kong เข้าฉายทุบทำลายสถิติรายได้สูงสุดในตลาดต่างประเทศหลัง Covid-19 ไปถึง $122 ล้านเหรียญ ยังไม่รวมตลาดสำคัญอย่างในอเมริกา ที่เตรียมเข้าฉายสัปดาห์หน้า และญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศต้นกำเนิด Godzilla สถิติของ Godzilla vs Kong นั้นสูงยิ่งกว่า Tenet ของ Christopher Nolan ที่ทำรายได้ในตลาดต่างประเทศแบบไม่แคร์ Covid-19 ไปได้ $53 ล้านเหรียญ เข้าใจว่าน่าจะไม่อยากเลื่อนจนกระแสหายไป และแม้จะรู้ว่ารายได้จากโรงหนังอาจจะน้อย แต่ไปเน้นขายผ่าน online streaming ก็ยังทำเงินได้ ดีกว่ารอไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีจุดหมาย แต่สำหรับ Godzilla vs Kong ดูเหมือนจังหวะจะดีกว่า เข้าฉายในช่วงที่คนอัดอั้นบรรยากาศการดูหนัง และบางประเทศเริ่มคลายมาตรการเกี่ยวกับ Covid-19 ไปแล้ว อย่างเช่นประเทศจีน ที่ก่อนหน้านี้ก็ทำสถิติให้ Avatar เวอร์ชั่นฉายใหม่ไปแล้ว มาถึงศึกสงครามสัตว์ประหลาดเรื่องนี้ แค่จีนประเทศเดียวก็กวาดไป $70.3 ล้านเหรียญ