นับตั้งแต่ When Marnie Was There เข้าฉายในปี 2014 เป็นเวลากว่าเกือบ 5 ปีแล้วที่เราไม่ได้เห็นผลงานใหม่จาก Studio Ghibli อีกเลย ตามนโยบายพักการผลิตที่ทางสตูดิโอเคยประกาศออกมา แม้ตอนนี้จะมีข่าวเกี่ยวกับ How Do You Live? ผลงานเรื่องใหม่ออกมา แต่ทุกอย่างก็ยังดูคลุมเครือ มีเพียงชื่อของ ฮายาโอะ มิยาซากิ นั่งแท่นผู้กำกับ และจะเข้าฉายในปี 2020 เท่านั้น ดังนั้นเพื่อให้หายคิดถึง วันนี้กีค Studio Ghibli อย่างเราจะมาเขียนถึง 5 แอนิเมชันในความทรงจำจากสตูดิโอในตำนานนี้ จะมีเรื่องไหนกันบ้างและจะตรงใจชาว UNLOCKMEN หรือเปล่า My Neighbor Totoro (1988) Directed by ฮายาโอะ มิยาซากิ ต่อให้คุณจะไม่ใช่แฟนหรือไม่แม้จะรู้จัก Studio Ghibli เลยด้วยซ้ำ แต่เชื่อว่าทุกคนน่าจะคุ้นตากับเจ้าสัตว์สีเทาร่างกลมยักษ์ที่ต่อมาได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของทางสตูดิโออย่างแน่นอน เป็นข้อพิสูจน์ชั้นดีว่าแอนิเมชันเรื่องนี้ประสบความสำเร็จขนาดไหน แต่ภายใต้รูปลักษณ์น่ารักแบบนี้ ถ้าใครเคยดู My Neighbor Totoro น่าจะทราบดีว่ามันแฝงไปด้วยความละมุนและลึกซึ้งขนาดไหน ผลงานแอนิเมชันลำดับที่ 3 ของ Studio Ghibli เรื่องนี้ว่าด้วยเรื่องราวของครอบครัว ๆ หนึ่งที่จำเป็นต้องย้ายจากเมืองใหญ่สู่ชนบทอันห่างไกลเนื่องจากปัญหาสุขภาพของผู้เป็นแม่
ไม่รู้เหมือนกันว่าอาหารญี่ปุ่นเริ่มเข้ามาเปิดตลาดในบ้านเราตั้งแต่เมื่อไร เราจำได้ว่าเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วนั้นร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยนั้นมีน้อยจนนับนิ้วได้ แต่รู้ตัวอีกที ตอนนี้ไม่ว่าจะมองไปไหนก็เจอร้านอาหารญี่ปุ่นละลานตาเต็มไปหมดโดยเฉพาะร้าน ‘ซูชิ’ แต่ในสิ่งเก่า ย่อมมีสิ่งใหม่เสมอ เช่นเดียวกับร้านซูชิที่ปกติเราจะคุ้นชินกับการสั่งเป็นคำหรือซูชิจานเวียน แต่เมื่อไม่นานมานี้มีร้านซูชิประเภทหนึ่งเริ่มเข้ามาในไทย และมันก็ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ทุกคนเรียกมันว่า ‘Omakase’ คำว่า Omakase ในภาษาญี่ปุ่นมีความหมายว่า ‘ฉันยกให้คุณจัดการเลย’ เมื่อมารวมกับบริบทเกี่ยวกับอาหาร จึงอาจจะแปลได้ว่าให้เชฟเป็นคนเลือกมาให้ว่าวันนี้ควรกินอะไรและอะไรคือวัตถุดิบที่ดีที่สุดในวันนี้ เนื่องจากมันเป็นวัฒนธรรมการกินที่ใหม่ คนไทยอาจจะยังไม่คุ้นชิน แถมราคาก็ไม่ใช่ถูก ๆ จึงทำให้หลายคนยังลังเลที่จะเดินเข้าร้านประเภทนี้ วันนี้เราจึงมาแนะนำ 5 ร้าน Omakase ที่เราชื่นชอบที่สุด เผื่อไว้เป็นทางเลือกสำหรับผู้อ่านทุกคน Ginza Sushi Ichi ขอเปิดหัวด้วยร้าน Omakase ชื่อดังจากย่านกินซ่า ประเทศญี่ปุ่น และได้ขยับขยายมาเปิดสาขาในไทยเป็นที่เรียบร้อย การันตีด้วยดาว 1 ดวง จากมิชลิน แน่นอนว่าเมื่อเป็นร้านสาขาจากญี่ปุ่น บรรยากาศภายในร้านจึงเป็นตามขนบดั้งเดิมแท้ ๆ รวมถึงเชฟที่เดินทางมาไกลจากแดนปลาดิบ (สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้) จุดเด่นของ Ginza Sushi Ichi คือคุณภาพและความสดของเนื้อปลา ซึ่งทางร้านอิมพอร์ตมาจากตลาดปลา Tsukiji อันเลื่องชื่อในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง เรียกได้ว่ามาถึงปุ๊บเสิร์ฟปั๊ปกันแบบวันต่อวัน
สำหรับเราอีกชื่อหนึ่งของฤดูหนาวคือ ‘ฤดูแห่งการดื่มและสังสรรค์’ สังเกตได้ง่าย ๆ จากหน้า News Feed Facebook ที่ลมหนาวมาเมื่อไรสเตตัสต้องอยากดื่มเบียร์ของเพื่อน ๆ ก็ตามมาด้วยทุกครั้ง จริงอยู่ที่ว่าเมื่ออากาศหนาวจะจิบเบียร์ที่ไหนก็ชิลทั้งนั้น แต่สำหรับเรา The Best แห่งการสังสรรค์ในฤดูหนาวต้องเป็นร้านสไตล์ Izakaya หรือร้านกินดื่มสไตล์ญี่ปุ่นเท่านั้น เนื่องจากวัฒนธรรมญี่ปุ่นน่าจะเคยชินกับอากาศหนาวเป็นอย่างดี ในร้านสไตล์นี้จึงเต็มไปด้วยอาหารที่เข้ากันดีกับสภาพอากาศ ไม่ว่าจะเป็นของทอดร้อน ๆ กรอบนอกนุ่มใน นาเบะซุปที่แค่วางอยู่บนโต๊ะก็รู้สึกอบอุ่นแล้ว วันนี้เราจึงอยากแนะนำ 5 ร้าน Izakaya ที่เราชอบเป็นการส่วนตัว แต่รับรองว่าถ้าได้ลองทุกคนจะต้องหลงรักร้านเหล่านี้เหมือนเรา Nihon Saiseisakaba ลึกเข้าไปในซอยสุขุมวิท 26 โครงการ Warehouse 26 มีร้าน Izakaya เล็ก ๆ ชื่ออ่านยาก (สำหรับคนไทยอย่างเรา) ตั้งอยู่ มองดูภายนอกก็ไม่ต่างจากร้าน Izakaya ร้านอื่น แต่บอกเลยว่าร้านนี้พิเศษสุด ๆ โดยเฉพาะเมนูอาหาร เราเพิ่งค้นพบร้านนี้เมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อนจากคำแนะนำของเพื่อนสนิท ในตอนแรกเราคิดว่าก็คงเหมือน Izakaya ทั่วไป แต่เมื่อดูเมนูอาหารกลับพบว่ามันต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เพราะที่นี่คือ Izakaya ที่เน้นขายเฉพาะเครื่องในหมูเสียบไม้เท่านั้น
หลายแนวคิดและธรรมเนียมของญี่ปุ่นคือสิ่งที่เราชื่นชอบ เพราะส่วนใหญ่เน้นความเรียบง่ายแต่ให้ลายละเอียดลงลึก จึงไม่แปลกที่คอนเซ็ปต์นี้จะถูกส่งต่อมาเป็นเรื่องราวของโปรดักส์แทบทุกชิ้น เช่นเดียวกับตัวนี้ที่เราเพิ่งไปเจอมาคืออุปกรณ์อัจฉริยะหน้าตาเรียบ ๆ ทำจากแผงไม้สี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ใช้ชื่อว่า “Mui” Mui คืออุปกรณ์อัจฉริยะลูกผสมระหว่าง ความเชื่อและความไฮเทคมารวมกันอย่างลงตัว ซึ่งความเชื่อมาในรูปแบบของวัสดุที่ใช้แผ่นไม้ เชื่อมโยงกับวลีในภาษาญี่ปุ่นที่ว่า “Kuwabara kuwabara” (桑原桑原) หรือเคาะไม้แล้วจะกันโชคร้ายได้ นำมารวมกับความทันสมัยด้วยการออกแบบให้ไม้นั้นแสดงไฟ Led ขึ้นเป็นอักษรหรือภาพในระบบ interactive ที่สามารถตอบสนองความต้องการได้ MUI ทำอะไรได้บ้าง? เปลี่ยนบ้านให้เป็นสมาร์ตโฮมที่จะทำให้คุณใกล้ชิดกับคนในครอบครัวมากขึ้น ควบคุมได้ทั้งแสงไฟและอุณหภูมิของฮีทเตอร์ในห้อง เป็นอุปกรณ์สื่อสารสำหรับคนในครอบครัว เพื่อใช้ติดต่อกัน ให้ข้อมูลสภาพอากาศ ปฏิทิน หรือนาฬิกา โดยไม่ต้องจับมือถือบ่อย ๆ ทำหน้าที่เป็นสมาร์ตโฟนสำหรับ Google Home และ Alexa ตอนแรกเราเองก็สงสัยว่าแค่เป็นไม้แล้วอย่างไร มันต่างจากการใช้กระจกหรือจอ Led ปกติ Google home หรือ Alexa ตรงไหน คำตอบมันอยู่ที่คอนเซ็ปต์การผลิตที่ผู้ผลิตเขาต้องการให้มันเป็นอุปกรณ์แห่งอนาคตไว้ลดความว้าวุ่นใจเวลาใช้งานโลกออนไลน์หันมาใช้เวลาร่วมกัน ด้วยรูปลักษณ์เรียบ ๆ เป็นเพียงแผ่นไม้ของมัน ที่พอเราไม่ไปสัมผัสมันก็กลับเป็นแผงไม้ปกติเหมือนเก่าจึงทำให้เราหันกลับไปโฟกัสกับคนด้วยกันมากกว่า ชนิดที่ว่าเราจะไม่ไปนั่งพะวงกับการใช้งานมันบ่อย ๆ เหมือนตอนใช้อุปกรณ์ตัวอื่นเพราะส่วนใหญ่พอเรากดมือถือไปเพื่อใช้งานฟังก์ชันเหล่านี้
ถ้าพูดถึงซามูไร และฮาราคีรี หลายคนคงรู้ความหมายอยู่แล้ว แต่ถ้าพูดถึงชื่อของ มิชิมะ ยูกิโอะ อาจจะยังไม่รู้ว่าเค้าคือใคร UNLOCKMEN จะพาไปทำความรู้จักกับวิถีนักรบญี่ปุ่น และลูกผู้ชายที่เรียกตัวเองว่า The Last Samurai ได้เต็มปาก แรกเริ่มเดิมทีซามูไรเป็นเพียงกลุ่มนักรบรับจ้างแก่จักรพรรดิและชนชั้นสูง แต่ต่อมาเหล่าซามูไรเกิดความคิดอยากรวมบรรดานักรบบ้าระห่ำให้อยู่เป็นกลุ่มก้อนเพื่อความเป็นปึกแผ่น จึงเกิดการจัดการกลุ่มนักสู้ที่เป็นระบบมากขึ้น ด้วยความเก่งกาจเรื่องการต่อสู้ที่ไม่กลัวตาย กฎระเบียบที่เคร่งครัด และความใจถึงพึ่งได้ ซามูไรจึงขึ้นมาเป็นกลุ่มชนชั้นที่มีบทบาททางการเมืองในฐานะนักรบชั้นนำที่ใครเห็นเป็นต้องก้มหน้า เด็กร้องไห้เดินเจอยังต้องหยุดร้อง ซามูไรมีบทบาทในสังคมญี่ปุ่นยาวนานกว่าร้อยปี ก่อนจะสิ้นสุดลงในยุคเมจิช่วงปลายศตวรรษที่ 19 จากการปฏิรูปประเทศให้ทันสมัย สร้างรูปแบบกองทัพตามแบบประเทศตะวันตก ลดอำนาจของระบบศักดินารวมถึงเลิกสถานะซามูไร ยกเลิกสิทธิในการพกดาบ Katana ในที่สาธารณะ และสิทธิในการฆ่าใครก็ได้ที่ไม่ให้ความเคารพต่อซามูไร ด้วยเหตุผลต่าง ๆ จึงทำให้ซามูไรส่วนมากหันไปเป็นนักเขียนและทำงานในรัฐบาลแทน สิ่งที่ถูกกล่าวถึงบ่อยครั้งเมื่อพูดถึงซามูไรคือ บูชิโด และ ฮาราคีรี ซึ่งฮาราคีรีนั้นมีความหมายเดียวกับเซ็มปุกุ เป็นการสำเร็จโทษด้วยเกียรติของเหล่าลูกผู้ชายซามูไร อาทิ การไม่สามารถรักษาชีวิตของผู้เป็นนายได้ หรือเมื่อมีการเปลี่ยนฐานอำนาจ ซามูไรที่จงรักภักดีไม่ยอมสวามิภักดิ์กับกลุ่มอำนาจใหม่ก็จะทำการคว้านท้องตัวเอง ซึ่งฮาราคีรีไม่ใช่แค่ความกล้าในการคว้านท้องปลิดชีวิตตัวเองเท่านั้น แต่มันคือสัญลักษณ์ของอุดมการณ์ที่แน่วแน่ จึงทำให้ฮาราคีรีเป็นสิ่งที่มีค่าน่านับถือในสังคมญี่ปุ่นสมัยโบราณ แม้จะหมดสิ้นยุคสมัยซามูไรไปแล้ว ก็ยังมีชายญี่ปุ่นรักชาติเลือดซามูไรที่ยึดถือเกียรติยศนี้อยู่ นั่นคือชายที่มีชื่อว่า Mishima Yukio (มิชิมะ ยูกิโอะ)
ถ้าจะพูดถึงวงการภาพยนตร์แอนิเมชั่นญี่ปุ่นที่เข้ามาในบ้านเรา 2 ขั้วอำนาจหลักที่สามารถสร้างแรงกระเพื่อมให้ภาพยนตร์แนวนี้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมาก จากที่เคยอยู่ในกลุ่มเล็ก ๆ สู่ระดับ Talk of the Town จากปากต่อปากสู่รายได้มหาศาลที่เชื่อว่าผู้นำลิขสิทธิ์เข้ามาฉายนั้นก็คงจะแปลกใจอยู่ไม่น้อยว่าเกิดอะไรขึ้น Studio Ghibli คือขั้วอำนาจแรก ถ้าใครพอจะติดตาม Pop Culture แดนปลาดิบอยู่บ้างคงคุ้นกับสัญลักษณ์เจ้า Totoro ตัวกลมน่ากอดอย่างแน่นอน นี่คือสตูดิโอผู้สร้างที่อยู่คู่วงการแอนิเมชั่นญี่ปุ่นมากว่า 30 ปี และผลงานแต่ละเรื่องที่ผลิตออกมาก็อยู่ในระดับขึ้นหิ้งไม่ว่าจะเป็น Spirited Away, My Neighbor Totoro , Grave of the Fireflies ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ยังตราตรึงใจผู้คนทั่วโลก ขั้วอำนาจที่ 2 คือ มาโคโตะ ชินไค ที่ผลงานของเขาอย่าง Your Name เคยสร้างปรากฏการณ์โรงแตกในบ้านเรามาแล้ว และไม่ใช่แค่เรื่องนี้เท่านั้น เพราะผลงานของชินไคยังมีอีกมากมายหลายเรื่องที่ถ้าทุกคนได้ดูต้องหลงรักมัน ด้วยงานภาพอันละเมียดละไม ความเอ่อล้นของอารมณ์ที่อัดแน่นไว้ทุกรายละเอียดของเรื่อง วันนี้เราจึงอยากมาแนะนำผลงานของผู้กำกับวัย 45 ปีคนนี้ให้ทุกคนได้รู้จักกัน Voices of a Distant Star (2002) แอนิเมชั่นขนาดสั้น ผลงานในช่วงที่ชินไคเพิ่งเริ่มเป็นผู้กำกับเต็มตัวได้ไม่นาน โดยเขาหยิบผลงานไลท์โนเวลของ Waku Oba มาเรียบเรียงใหม่ในแบบฉบับของตัวเอง
หนึ่งในแนวมังงะที่หยิบมาอ่านเมื่อไรก็อะดรีนาลีนพลุ่งพล่านเมื่อนั้นคงหนีไม่พ้นมังงะ ‘นักเลง’ เพราะเรื่องราวในมังงะเหล่านี้มันช่างโดนใจหนุ่ม ๆ แบบเราเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นการต่อยตี จีบสาว และมิตรภาพ ยิ่งถ้าในวัยเรียนใครเคยมีวีรกรรมห่าม ๆ ด้วยแล้ว คงเหมือนได้อ่านไดอารี่ย้อนความหลังไปในตัว และด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้วงการมังงะญี่ปุ่นอุดมไปด้วยมังงะนักเลง ๆ สนุก ๆ มากมาย ซึ่งวันนี้เราขอคัดเรื่องที่เราชอบและคิดว่ามันเจ๋งมาบอกต่อ เผื่อว่าใครกำลังหาอะไรที่ปลุกความเป็นลูกผู้ชายในตัวมาอ่าน Rokudenashi Blues จอมเกบลูส์ Written by: มาซาโมริ โมริตะ เด็กผู้ชายที่เติบโตมาในยุค 80-90 คงไม่มีใครไม่รู้จัก ‘มาเอดะ ไทซัน’ นักเลงหัวไม้มัธยมปลายที่มักจะมาพร้อมท่าปากจู๋อันเป็นเอกลักษณ์ เพราะจอมเกบูลส์คือมังงะที่โด่งดังมากจริง ๆ ในยุคนั้น ถึงแม้บางคนอาจจะเบือนหน้าหนีเนื่องจากลายเส้นที่เน้นใช้การลงสีเข้ม ๆ ของตัวอาจารย์ผู้เขียน แต่สำหรับบางคนนั่นคือเสน่ห์ นอกจากนั้นเนื้อเรื่องตลอด 42 เล่มนั้นเข้มข้นสุด ๆ เป็นมังงะที่สะท้อนการใช้ชีวิตของลูกผู้ชายอย่างแท้จริง จอมเกบูลส์ว่าด้วยเรื่องราวของมาเอดะ ไทซัน นักเรียนมัธยมปลายโรงเรียนไทเค็น เขามีพรสวรรค์ด้านกีฬา ชื่นชอบในการต่อยมวยไม่แพ้การทะเลาะวิวาท ความฝันเขาคือการเป็นแชมป์โลกมวยสากล ตัวมังงะบอกเล่าถึงการเดินตามถนนแห่งความฝันที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ระหว่างทางมาเอดะต้องพบเจอเรื่องราวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการทะเลาะวิวาท มิตรภาพ และความรัก ด้วยความมีครบทุกรสชาตินี้เอง จอมเกบูลส์จึงเป็นมังงะตำนานขึ้นหิ้งและอยู่ในใจใครหลายคนมาอย่างยาวนาน HARELUYA
คุณเคยสงสัยไหมว่าทุกอาชีพบนโลกใบนี้เกิดขึ้นจากไหน ทำไมเรามีครู มีนักเขียน มีกราฟิก มีนักร้อง ฯลฯ ถ้าคุณคิดว่ามันเกิดขึ้นมาเพื่อทดแทนสิ่งที่หายไป มันคงแปลได้ว่า เมื่อมีบางสิ่งเข้ามาทดแทนในอนาคต เราอาจกลายเป็น loser ที่ต้องโดนแย่งไปในที่สุด แต่ถ้าเราสร้างอาชีพนั้นขึ้นมาเองล่ะ คงเป็นไปได้ยากที่จะมีใครทำได้เหมือนเราและเป็นอาชีพสุดมั่นคงทางใจเราอย่างแน่นอนเพราะมันเกิดขึ้นจากแรงขับเคลื่อนที่เรามี “PLANT HUNTER” คือหนึ่งอาชีพ ที่เชื่อว่าหลายคนยังไม่รู้จักมันดีเช่นเดียวกับเรา อาชีพนักล่าสิ่งมีชีวิตสีเขียวอย่างพืช ทำไมถึงต้องมีอาชีพนี้ เขาทำอะไรกัน และมันมีความสำคัญอย่างไร เราจะอธิบายมันไปพร้อมกับหนุ่มแดนอาทิตย์อุทัยที่ทำอาชีพนี้มานับ 10 ปี “Seijun Nishihata” ชายผู้พบความฝันที่ระดับความสูง 4,095 เมตร SEIJUN NISHIHATA คือชายชาวญี่ปุ่นที่เติบโตและเป็นทายาทรุ่นที่ 5 ของบริษัท Hanau ที่ค้าส่งพันธุ์พืชและดอกไม้มานานกว่า 150 ปี เขาหลงใหลและทำอาชีพนักล่าต้นไม้มาตั้งแต่ยังอายุ 21 ต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้วันที่เขากลายเป็นหนุ่มวัย 38 อันที่จริงเขาเหมือนใครอีกหลายคนที่ไม่ได้หาตัวเองเจอตั้งแต่แรก แต่อาจจะแปลกกว่าคนอื่นสักหน่อยตรงที่เจอว่าตัวเองชอบอะไรที่ระดับความสูง 4,095 เมตร หลังจากปีนเขาที่เกาะบอร์เนียว ประเทศมาเลเซียแล้วพบกับ Nepenthes rajah หรือหม้อข้าวหม้อแกงลิงที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งครั้งหนึ่งพ่อของเขาเคยเล่าเรื่องราวของมันไว้อย่างตื่นเต้น แต่มันเทียบไม่ได้กับความรู้สึกมหัศจรรย์ตรงหน้าที่เกิดขึ้นเลย นับจากนาทีนั้นเขาเลิกคิดว่ามีต้นไม้อีกมากให้ปลูก
คุณมองภาพประเทศญี่ปุ่นเป็นยังไง? สำหรับเรา ถึงแม้ทุกครั้งที่ไปเยือนในฐานะ ‘นักท่องเที่ยว’ สิ่งที่เราได้กลับมาทุกครั้งคือความสุข ความสนุก ไม่ว่าจะมาจากอาหารที่ทั้งสดใหม่และอร่อย อากาศที่ถ้าเทียบกับบ้านเราแล้วแตกต่างราวฟ้ากับเหว ความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง หรือวิวทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงาม แต่เราก็สัมผัสได้ถึงความเหงาและความเศร้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้สิ่งเหล่านี้ได้เสมอ ดังนั้นต่อให้เราจะชอบประเทศนี้ขนาดไหน แต่ถ้าให้ไปอยู่อาศัยในระยะยาวเราคงรีบส่ายหัวปฏิเสธทันที เช่นเดียวกับ Misha Yurchenko นักเขียนชาวตะวันตกที่อาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่นมาเป็นเวลานาน เธอแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเทศที่เปรียบเสมือนบ้านหลังที่ 2 ของเธอไว้ว่าเป็นประเทศแห่งการซึมเศร้า ก่อนอื่นให้ลองจินตนาการก่อนว่าคุณคือชาวญี่ปุ่นวัย 25 เพิ่งเข้าสู่ช่วง First Jobber ได้ไม่นาน แต่คุณต้องทุ่มเทเวลาให้กับงาน 9-10 ชั่วโมงแทบทุกวัน ซึ่งแน่นอนว่านี่ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยในประเทศนี้ เอาเป็นว่าแค่คุณไม่ต้องโต้รุ่งอยู่ที่ออฟฟิศก็ถือว่าเป็นโชคดีของคุณแล้ว นอกจากนั้นถ้าคุณไม่ได้อาศัยอยู่กับครอบครัวคุณต้องทานอาหารเย็นคนเดียว อาจจะเป็นราเมงร้านริมถนนหรืออาหารจานด่วนสักจาน ลืมเรื่องสังคมเพื่อนไปได้เลย เพราะทันทีที่คุณย่างก้าวเข้าสู่ชีวิตทำงานสังคมที่คุณเคยมีก็แทบหายวับไปกับตา กลับมาที่เรื่องงาน การทำงานของคุณเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด นอกจากนั้นในญี่ปุ่นระบบอาวุโสยังใช้กันอย่างแพร่หลาย ดังนั้นต่อให้คุณทำงานได้ดีขนาดไหน การจะก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดก็เป็นไปได้ยากอยู่ดี และนอกจากระบบการทำงานที่กดดันแล้ว การเดินทางก็เป็นอีกสิ่งที่ยิ่งบั่นทอนจิตใจเข้าไปอีก เนื่องจากในแต่ละวันคุณต้องใช้เวลาในรถไฟฟ้าที่เบียดเสียดยัดเยียดเป็นปลากระป๋องไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง เมื่อวันศุกร์มาเยือน การ TGIF ของคุณในสังคมที่ขาดแคลนมิตรสหายคงหนีไม่พ้นการร้องคาราโอเกะ ‘คนเดียว’ ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าของธุรกิจเข้าใจประวัฒนธรรมของประเทศตัวเองเป็นอย่างดี คุณจึงสามารถพบเห็นร้านคาราโอเกะคนเดียวได้ทั่วไปตามท้องถนนพร้อมโปรโมชั่นอาหารเครื่องดื่มไม่อั้นตลอดคืนโดยจ่ายราคาเดียว คุณเข้าไปตะโกนร้องเพลงปลดปล่อยความเครียด ดื่มแอลกอฮอล์จนเมามาย ก่อนจะเดินกลับที่พักเพียงลำพัง หลังจากผ่านพ้นค่ำคืนแห่งความเมามายอันโดดเดี่ยว ในวันหยุดสุดสัปดาห์คุณจะใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการนอน
ไม่มีอะไรจะเข้ากันกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากไปกว่าอาหารญี่ปุ่นแล้ว ยิ่งหลังเลิกงานมาเหนื่อย ๆ สองสิ่งนี้ช่วยเยียวยากายและใจได้อย่างดี ต้องเป็นที่บาร์ญี่ปุ่นแท้ ๆ เท่านั้นด้วยจึงจะได้บรรยากาศ และท่ามกลางบาร์สไตล์ญี่ปุ่นมากมายในกรุงเทพ วันนี้ UNLOCKMEN ขอเลือกมาแนะนำทั้งหมด 5 ร้านด้วยกัน ซึ่งบรรยากาศภายในแต่ละร้านถ้าไม่บอกว่าอยู่ในกรุงเทพนี่ดูไม่ออกแน่นอน เพราะกลิ่นอายแดนอาทิตย์อุทัยมาเต็มเหลือเกิน Salon du Japonisant ประตูไม้บานเล็ก ๆ ข้างกำแพงสีดำตระหง่านคือสิ่งที่คั่นกลางระหว่างบรรยากาศเมืองแสนวุ่นวายกับความเงียบสงบสไตล์ญี่ปุ่น เมื่อเราผลักประตูเข้าไปก็จะพบกับบาร์ไม้เล็ก ๆ อวลไปด้วยกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่น และมีความเป็นส่วนตัวเต็มที่เนื่องจาก Salon du Japonisant รองรับลูกค้าได้ไม่เกิน 10 คน หลังจากหย่อนตัวลงนั่งคุณก็สามารถผ่อนคลายกับเครื่องดื่มนานาชนิดไม่ว่าจะเป็น Whiskey, Sake, Cocktail, Umeshu ฯลฯ ผ่านการรังสรรค์จากบาร์เทนเดอร์ยอดฝีมือที่ทำให้เครื่องดื่มแต่ละแก้วนั้นเปรียบได้กับงานศิลปะ ยิ่งได้รับประทานอาหารญี่ปุ่นรสดั้งเดิมยิ่งเข้ากันเป็นอย่างดี ผู้ชายคนไหนที่กำลังหาที่สงบ ๆ เพื่อผ่อนคลาย หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน Salon du Japonisant ตอบโจทย์คุณแน่นอน Location: 36/5 Soi Sukhumvit 39 Sukhumvit Rd., Klongton Nua, Wattana, Bangkok