เราทุกคนล้วนมีซีรีส์ที่จัดอยู่ในหมวดค่อย ๆ ดูเพราะไม่อยากให้จบเร็วเกินไปของตัวเองกันทั้งนั้น และเชื่อว่านี่คือซีรีส์ประเภทหนึ่งซึ่งหายาก มาไม่บ่อย ใช้จำนวนนิ้วบนมือนับได้เลย สำหรับเรา One Night Morning (2022) เป็นประเภทของซีรีส์ทำให้เราต้องเสียโควต้านิ้วของตัวเองอีกครั้งหนึ่งล่ะ ซีรีส์ญี่ปุ่นจำนวน 8 ตอน ที่เราใช้เวลา 8 วันกว่าจะดูจบเรื่องนี้ เล่าความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยรูโหว่ข้างในจิตใจ ของหนุ่มสาววัยมัธยมไปจนถึงพนักงานออฟฟิศวัยเกือบ 30 ทั้งคู่จะเติมเต็มส่วนที่หายไปให้กันและกันในช่วงเวลา 1 คืน ก่อนที่จะตื่นขึ้นมาในตอนเช้าพร้อมกับ ‘อาหาร’ หนึ่งอย่าง ซึ่งบันทึกความทรงจำระหว่างทั้งคู่เอาไว้ ประหนึ่งเป็นตัวแทนว่าเรื่องทั้งหมดไม่ใช่แค่เพียงฝันไป และพวกเขาได้ก้าวผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายของชีวิตไปได้เรียบร้อยแล้ว ทั้ง 8 ตอนประกอบไปด้วย – เรื่องราวของหนุ่มออฟฟิศที่แอบชอบเพื่อนคนหนึ่งตั้งแต่ตอนมัธยม แต่ไม่เคยบอกออกไปจนกระทั่งได้พบกันอีกครั้งในงานเลี้ยงรุ่น / ความรักของหนุ่มมหาลัยสุดเนิร์ดกับสาวไร้บ้านที่ตอนแรกแค่ต้องการจะบอกลาเวอร์จิ้นของตัวเอง ก่อนจะพบว่ารู้สึกดีกับอีกฝ่ายไปแล้ว / หญิงสาวออฟฟิศที่มองว่าฐานะทางสังคมเป็นส่วนสำคัญที่สุดในการใช้ชีวิตหรือรักใครสักคน เพราะปมบางอย่างในอดีตของตัวเอง ความฝังใจของเด็กสาวผู้ขี้กลัวที่เชื่อว่าตัวเองได้ทำร้ายเด็กหนุ่มผู้เขร่งขรึม จนเป็นต้นเหตุให้เขาถูกไล่ออกจากโรงเรียน / เรื่องราวของเพื่อน 2 คน เด็กสาวซอฟต์บอลกับเด็กหนุ่มสุดเด๋อที่แข่งกันแย่งซื้อแซนวิชไข่ทุกพักเที่ยงในโรงเรียน / การไล่ตามความฝันที่สัญญากันเอาไว้ในวัยเยาว์ของเด็กสาวผู้อยากเป็นไอดอลกับเด็กหนุ่มผู้อยากเป็นนักวาดมังงะ / เซ็กเฟรนด์ของหนุ่มสาวออฟฟิศที่ต้องอดทนไม่บอกความรักในใจของกันและกันเพื่อไม่อยากให้อีกฝ่ายและตัวเองเสียใจ / เด็กหนุ่มพนักงานพาร์ทไทมซูเปอร์มาร์คเก็ตผู้ไม่กล้าคุยกับใครเพราะถูกมองว่าไร้ตัวตน
ถ้าให้อธิบายชีวิตของตัวเองในปี 2020 อีกสักครั้งหนึ่ง คิดว่าพอจะทำกันแบบที่ไม่เจ็บปวดเกินไปได้มั้ยครับ .. ผมสามารถตอบแทนได้เลยว่า “ไม่ได้” การมาถึงของโรคระบาด Covid-19 (Coronavirus Disease Starting In 2019) ที่ไม่คาดคิด สร้างรูโหว่ให้ชีวิตของพวกเราแบบที่เรียกคืนมาไม่ได้อีกแล้ว ในแบบที่ต่างกันออกไป จนปีนั้นทุกคนบนโลกไม่อยากรีแคปภาพรวมชีวิตของตัวเองกันเลย แต่เราจะขอพูดถึงปีแห่งความเลวร้ายนั้นกันอีกครั้ง โดยวางพินของ Google Map ปักไปที่ประเทศญี่ปุ่น และ Street View ที่ย่านคึกคักของนักท่องเที่ยวรู้จักกันดีอย่าง ‘คาบุกิโจ (Kabukicho)’ ย่านโคมแดงที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ประกอบไปด้วยโฮสต์คลับ / คาบาเร่ย์ / คาสิโนใต้ดิน และอื่น ๆ อีกมากมาย ในช่วงเวลาของเมื่องที่ไม่เคยหลับใหลนั้นเอง มีเหล่าเด็ก ๆ ที่หลงทางจากสภาพสังคมอันแสนโหดร้ายรวมตัวกันอยู่ พวกเธอถูกเรียกว่า Toyoko Kids เด็กสาวอายุเพียง 14-15 ปี ที่เป็นอีกภาพสะท้อนความดำมืดของสังคมญี่ปุ่นในช่วงเวลาแห่งความสับสัน ย้อนกลับไปในปี 2019 ก่อนช่วงเวลาที่ Covid-19 จะระบาดไม่นาน ณ
ความเป็นเกาะของประเทศญี่ปุ่นมีภูมิประเทศที่เป็นภูเขาครอบคลุมพื้นที่มากถึง 73% และป่าปกคลุม 69% ของประเทศ (อ้างอิงจากข้อมูลจากปี 2017) และเป็นที่รู้กันดีว่าแดนอาทิศอุทัยอุดมด้วยเหล่าผู้คนที่หลงใหลในความเร็วแทบจะทุกพื้นที่ เมื่อสมการของสถานที่อันแสนท้าทาย ผสมกับการเกิดของนักแข่งรถที่รักในความเร็ว เราจึงได้ Tōge สนามแข่งรถที่โอบล้อมด้วยความสวยงามแฝงอันตรายของธรรมชาติขึ้นมา UNLOCKMEN ขอพาทุกคนไปรู้จักกับสถานที่แข่งรถในตำนานของญี่ปุ่น ที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับมังงะชื่อ Initial D และเป็นจุดกำเนิดของการ ‘ดริฟต์’ ของโลก พร้อมกับการสร้าง Drift King ขึ้นมา ที่มาของ Tōge หรือ Touge ในภาษาญี่ปุ่นมีความหมายว่า ‘ผ่าน’ ซึ่งใช้เรียกถนนที่สร้างเป็นทางโค้งรูปตัว S ที่ตัดอยู่บนรอบภูเขาที่มีอยู่ทั่วประเทศญี่ปุ่น สร้างขึ้นเพื่อลดการขึ้นของทางอันลาดชัน จนสามารถทำให้รถวิ่งเต็มที่ 2 เลนได้อย่างสะดวก ในอดีตแรกเริ่มเดิมทีมีเพื่อใช้สำรวจภูเขา ต่อมาจึงตัดถนนเพิ่มจนสามารถใช้สัญจรทั้งในการเดินทาง และเชิงพาณิชย์ได้ และเมื่อเข้าสู่ช่วงปี 80s – 90s เหล่านักแข่งรถก็เริ่มมองเห็นเส้นทางใหม่ ที่ท้าทายยิ่งกว่าสนามแข่งไหน ๆ ที่เคยมีมา การใช้เส้นทาง Tōge เป็นสนามแข่งรถนั้น ผิดกฎหมายมาก ๆ ในญี่ปุ่น
ถ้าพูดถึงประเทศแห่งความฝัน นอกจาก American Dream ก็มีญี่ปุ่นนี่ล่ะที่หัวข้อ ‘สู้เพื่อฝัน’ ถูกยกขึ้นมาพูดอย่างไม่เคยขาดในทุกสื่อ ไม่ว่าจะใน Soft Power หลักอย่างมังงะ อนิเมะ จนถึงวรรณกรรมหลาย ๆ เล่มเองก็ตั้งคำถามถึงสิ่งนี้เสมอ ถ้ายังจำกันได้ ตอนโอลิมปิกส์ปี 2020 ที่ผ่านมา ทีมวอลเลย์บอลของทีมชาติญี่ปุ่น ก็มีท่าตบลูกอย่างกับหลุดออกมาจากเรื่อง Haikyu!! จนเป็นที่ฮือฮาไปทั่วโลก และอีกหนึ่งสื่อสุนทรีย์ที่ขับเคลื่อนชีวิตมนุษย์กว่าศตวรรษอย่าง ‘ภาพยนตร์’ ของญี่ปุ่น เมื่อพูดถึงความฝันเราจึงได้เห็นภาพยนตร์ที่อิงจากชีวิตจริงมนุษย์ ซึ่งพูดถึงการตามความฝันแต่ไม่สำเร็จอยู่บ่อย ๆ UNLOCKMEN จะมาชวนทุกคนถอดบทเรียนจากหนัง 4 เรื่อง ว่าด้วยเรื่องราวของเหล่าผู้คนในวันที่สู้เพื่อฝัน แต่ความจริงก็ซัดหมักหนักใส่ชีวิตเหลือเกิน เพื่อเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังทำตามฝัน หรือเคยมีฝันทุกคนใช้ชีวิตแบบที่ต้องการกันต่อไปครับ Solanin (2010) : จงทำตามความฝันให้เหมือนกับว่าพรุ่งนี้จะไม่ได้ฝันอีกแล้ว ไอเดียสำคัญจากหนังซึ่งดัดแปลงจากมังงะของ Inio Asano เรื่องนี้ คือการพูดกับคนดูด้วยน้ำเสียงปกติ ในวันที่แดดแรงพอจะทำให้ผ้าแห้งว่า “ทำความฝันวันนี้ให้เต็มที่นะ ถ้าพรุ่งนี้ตายไปจะได้ไม่ต้องเสียใจทีหลัง” ‘ความตาย’ เป็นสิ่งใกล้ตัวเราทุกคนเสมอ ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร ความตายฟรีสไตล์จริง
การได้เห็นนักเตะจากเอเชีย โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ข้ามน้ำข้ามทะเลไปค้าแข้งในยุโรปดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องปกติไปซะแล้ว โดยเฉพาะในเวทีพรีเมียร์ลีกที่มีนักเตะเชื้อชาติเหล่านี้เฉิดฉายและสร้างชื่อเสียงมาตลอดระยะเวลาเกือบ ๆ 20 ปี ไม่ว่าจะเป็น Hidetoshi Nakata, Junichi Inamoto, Park Ji-Sung, Shinji Kagawa, Shinji Okazaki, Son Heung Min เป็นต้น และล่าสุดกับกองหลังวัย 23 ปี นามว่า “Takehiro Tomiyasa” ที่ย้ายข้ามฝากมาจากทีม Bologna ในอิตาลี มาสู่เมืองลอนดอนกับทีมไอปืนใหญ่ Arsenal Tomiyasu เป็นคนที่หลงใหลกีฬาฟุตบอลมาตั้งแต่เด็ก ๆ เขามีทักษะที่โดดเด่นเกินวัยและดูเหนือกว่าผู้เล่นคนอื่น ๆ ในวัยเดียวกัน โดยเฉพาะความเร็วอันจัดจ้านจนไปเตะตาแมวมองนามว่า Kanji Tsuji ถึงขนาดยอมลงทุนไปพูดคุยกับผู้ปกครองของ Tomiyasu เพื่อให้เขาได้มีเวลาฝึกฝนฝีมือให้มากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งโชคดีที่ทางบ้านเข้าใจและมองเห็นอนาคตในอาชีพนักฟุตบอล จนทำให้ Tomiyasu ได้มีโอกาสเข้าศึกษาต่อระดับประถมที่โรงเรียน Sanchiku จนกระทั่งวัย 11 ปี เขาก็เกือบได้ย้ายไปเล่นฟุตบอลที่ประเทศสเปนแล้ว แต่สุดท้ายมันกลับล้มเหลว ล้มเหลวกับการย้ายไป
ต้องยอมรับว่าวงการฟุตบอลญี่ปุ่นพัฒนาแบบก้าวกระโดดมาก การเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลกกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับชาวนิปปอนไปแล้ว มีการส่งออกนักเตะไปอยู่กับลีกชั้นนำของยุโรปมากมายตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น คาซูโยชิ มิอูระ (คิงคาซู), ฮิเดโตชิ นากาตะ, ชินอิจิ โอโนะ, ชุนซูเกะ นากามูระ, ชินจิ คากาวะ และล่าสุดกับเคียวโกะ ฟุรุฮาชิ ที่ตัดสินใจก้าวเดินออกจากเจลีกมาลุยดินแดนวิสกี้ สกอตติช พรีเมียร์ลีก ฟุรุฮาชิ เล่นในตำแหน่งกองหน้ากึ่งปีก เฉิดฉายฝีเท้ากับทีมวิสเซล โกเบ อยู่ถึง 4 ปีเต็ม ๆ นับตั้งแต่ปี 2018 จนถึงปี 2021 สั่งสมประสบการณ์ทั้งการเล่นในสนาม รวมไปถึงเพื่อนร่วมทีมระดับเวิร์ลคลาส อย่าง อันเดรียส อิเนียสต้า อดีตกองกลางระดับเทพจากบาร์เซโลน่า, ลูคัส โพโดลสกี้ อดีตกองหน้าทีมชาติเยอรมนี, โธมัส แฟร์มาเลน อดีตกลองหลังทีมอาร์เซนอลและบาร์เซโลน่า รวมไปถึง ธีราธร บุญาทัน แบ็คซ้ายตัวเก่งทีมชาติไทย สไตล์ของฟุรุฮาชิ น่าตื่นตาตื่นใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเร็ว การสปรินต์ของเขาสามารถฉีกแนวรับคู่แข่งได้เป็นประจำ, การจับบอลที่ดูเนียนตา, การหาพื้นที่จบสกอร์ที่เฉียบคมและเยือกเย็น สามารถทำได้ดีทั้งในและนอกกรอบเขตโทษ
“หัวใจถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแตกสลาย” Oscar Wilde นักเขียนมากฝีมือชาว Irish กล่าวไว้แบบนั้น บางคนอาจเห็นด้วย บางคนอาจไม่เห็นด้วย แต่ไม่ว่าหัวใจหรือชีวิตจะแตกสลายเพียงใด เราก็ยังต้องดิ้นรนที่จะมีชีวิตรอดในโลกใบนี้ต่อไป คำถามก็คือถ้ามันแตกสลายถึงเพียงนั้น อะไรจะทำให้เรายังก้าวต่อไปได้? บางคนอาจมีคำตอบอยู่แล้ว บางคนอาจไม่แน่ใจกับคำตอบที่มี หรือบางคนเคว้งคว้างอยู่บนความเจ็บปวดแหลกสลายและไม่รู้จะต้องเดินไปทางไหนต่อ UNLOCKMEN ไม่มีคำตอบถูกต้องตายตัวให้ แต่เราอยากแบ่งปันหนังสือ 5 เล่มที่ว่าด้วยปรัชญา แก่น จิตวิญญาณจากญี่ปุ่น ที่อาจไม่ได้บอกเราว่า “ห้ามแตกสลาย” แต่ 5 เล่มนี้จะบอกเราว่าชีวิตก็เป็นเช่นนี้ มีบาดแผล มีเจ็บปวด มีแหลกสลาย แต่หัวใจของเราต้องไปต่อให้ได้ และได้ในแบบที่ยังรัก เคารพและมีความสุขกับเส้นทางที่เรามีเหลืออยู่ อิคิไก: ความหมายของการมีชีวิตอยู่ Ken Mogi บางครั้งชีวิตที่แหลกสลายคือการไม่อาจหาความหมายของการตื่นมาแต่ละวันได้ เราไม่รู้ว่าเช้านี้เราตื่นมาทำไม แค่ลืมตา หายใจ ไปทำงาน ก้มหน้าก้มตา กินข้าว กลับบ้าน รถติด หมดเวลาเข้านอน วนไปไม่รู้จบ เพื่อเงินเดือนหรือ? หรือเพื่อเอาเงินเดือนมาใช้ชีวิตและหาความสุขอีกทีกันแน่? แล้วถ้ามันเป็นแบบนั้นทำไมเราจึงตื่นมาแล้วพบว่าแต่ละเช้าช่างไร้ความหมายเช่นนี้ “อิคิไก” จึงเป็นแก่นแท้ที่ชวนให้เราค้นหาความหมายและความสมดุลแห่งชีวิต
ภาพจำเมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่นอย่างกรุงโตเกียวของคุณคืออะไร ? ภาพทางม้าลายหลายสายที่ผู้คนหลายร้อยสัญจรไปมาพร้อมกัน ภาพโบกี้รถไฟฟ้าที่อัดแน่นไปด้วยเหล่ามนุษย์เงินเดือน ภาพเหล่าวัยรุ่นแข่งกันแต่งตัวหลุดโลกย่านฮาราจุกุ หรือภาพเมืองตอนกลางคืนเหมือนกับหนัง Sci-Fi บรรยากาศหว่องจนจำไม่ได้ว่านี่คือเมืองที่เต็มไปด้วยแสงสีและผู้คน Greg Girard ก็มีภาพจำของโตเกียวในมุมของตัวเอง เขาชื่นชอบการสำรวจบ้านเรือนในประเทศเอเชียพร้อมบันทึกความทรงจำที่พบเจอผ่านกล้องถ่ายรูป ตระเวนไปทั่วทั้งฮ่องกง เซี่ยงไฮ้ และมีภาพถ่ายเซตหนึ่งที่ UNLOCKMEN ให้ความสนใจเป็นอย่างมากนั้นคือภาพถ่ายนครโตเกียวช่วงปลายทศวรรษ 1970 (1976-1983) ทำให้เราเห็นเมืองหลวงญี่ปุ่นในมุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน การจะมองเห็นภาพแท้จริงของแต่ละเมืองเราต้องไม่เลือกดูแค่สถานที่ที่ประเทศเตรียมไว้พรีเซนต์ชาวต่างชาติ แต่การเดินไปยังย่านทำงาน ห้างสรรพสินค้าที่คนท้องถิ่นนิยมไปเดิน โรงภาพยนตร์ไปจนถึงย่านพักอาศัยราคามหาโหดยันแฟลชรูหนูคือการได้เห็นวิถีชีวิตจริง ๆ ของพวกเขา Greg Girard ช่างภาพหนุ่ม (ในสมัยนั้น) ออกจากห้องพักมุ่งหน้าไปยังคาบูกิโจ (Kabukicho) ย่านที่รวบรวมสถานบันเทิงน้อยใหญ่ทุกรูปแบบที่เปิดรอต้อนรับเหล่ามนุษย์เงินเดือนผู้เคร่งเครียดจากการทำงานทั้งวัน ในคืนฝนตกแหล่งบันเทิงที่ควรจะคึกคักกลับดูเงียบผิดหูผิดตา และเมื่อนำบรรยากาศของคาบูกิโจปี 1977 มาเทียบกับปัจจุบัน จะเห็นเลยว่าสถานบันเทิงในญี่ปุ่นเติบโตขึ้นต่อเนื่องจริง ๆ โปสเตอร์ภาพยนตร์สุดฉาวที่มีคนดูแล้วอ้วกจริง ๆ กับเรื่อง Solo: 120 Days of Sodom (1975) หรือชื่อภาษาไทย ‘สุขนาฏกรรมอเวจี’ ผลงานการรวมทุนสร้างของค่ายหนังอิตาลีและฝรั่งเศส ก็ได้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ของโตเกียวปี 1977 ซึ่งตัวของช่างภาพที่ถ่ายรูปโปรเตอร์สุดวินเทจนี้เก็บไว้ก็ไม่รู้ว่าคนญี่ปุ่นมีมุมมองอย่างไรบ้างเกี่ยวกับหนังวิตถารเรื่องนี้ โตเกียวปี
แม้ Social Distance จะมีข้อดีมากกว่าข้อเสียและช่วยทุเลาปัญหาเรื้อรังที่เกิดขึ้นได้ แต่วิธีนี้อาจทำให้สถานการณ์ที่ตึงเครียดอยู่แล้วย่ำแย่ลงไปอีก เพราะคนส่วนใหญ่ต้องกักเก็บตัวอยู่ที่บ้านและไม่ได้ออกไปสังสรรค์คลายเครียดที่ไหนเลย ช่วงเวลาเก็บตัวอยู่บ้านอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ไม่ใช่แค่คุณที่รู้สึกเหงาหงอย เปล่าเปลี่ยว และโดดเดี่ยว แต่สาว ๆ ชาวญี่ปุ่นก็รู้สึกเช่นกัน และพวกเธอเริ่มเบื่อหน่ายกับการอยู่ในบ้านมาตลอดสามอาทิตย์ติด พวกเธอจึงนัดรวมตัวกันผ่านแอปพลิเคชัน Zoom และเปิดห้องเป็นสาธารณะให้คนอื่น ๆ ได้เข้ามาสนุกร่วมกัน ทั้งพูดคุยปรับทุกข์เพื่อคลายความเบื่อหน่าย หรือนั่งจิบเบียร์และไวน์คลายเครียดระหว่างสนทนา ซึ่งพฤติกรรมของสาว ๆ กลุ่มนี้เป็นจุดเริ่มต้นของคำศัพท์ใหม่ ‘On-nomi’ ข่าวในหนังสือพิมพ์อาซาฮี ชิมบุน (Asahi Shimbun) รายงานว่า กลุ่มสาว ๆ ชาวญี่ปุ่นที่นัดรวมตัวกันบนโลกออนไลน์เริ่มใช้คำศัพท์ オン飲み หรือ On-nomi (อน-โนมิ) นิยามถึงพฤติกรรมของพวกเธอที่นัดเจอกันผ่านแอปพลิเคชัน Zoom ตั้งแต่สิบคนขึ้นไป คำนี้จึงกลายเป็นศัพท์ใหม่ที่หมายถึงการดื่มสังสรรค์ทางออนไลน์ หรือ Online Drinking ในภาษาอังกฤษ จะนัดเจอเพื่อนผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือจอสมาร์ตโฟนก็ได้ พูดคุยคลายเครียดแก้เบื่อ หรือหาเบียร์และไวน์สักแก้วมานั่งดื่มหน้ากล้องก็ยังได้ แทบไม่ต่างอะไรจากการประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ที่มนุษย์เงินเดือนอย่างเราทำกันอยู่เลย การรวมกลุ่มกันในวิดีโอแชตของคนญี่ปุ่นไม่ได้จำกัดว่าจะต้องคุยผ่านแอปพลิเคชันไหนเป็นพิเศษ อาจเป็น Facetime, Zoom, Google Hangout,
ถ้าใครเป็นแฟนคลับแอนิเมชันจากเกาะญี่ปุ่นเราเชื่อว่าจะต้องรู้จักสตูดิโอจิบลิ (Studio Ghibli) ค่ายหนังแอนิเมชันของญี่ปุ่นที่ผลิตผลงานอันเป็นเอกลักษณ์และได้รับความนิยมในไทยมาตั้งแต่ยุค 90 แถมสมัยก่อนถ้าใครอยากจะดูผลงานของค่ายนี้ก็จะต้องมุดหาดูใต้ดินแบบผิดกฎหมาย ดูวิดีโอเถื่อน แผ่นซีดีเถื่อน เพราะไม่มีใครซื้อมาฉายแบบถูกลิขสิทธิ์สักที แอนิเมชันของสตูดิโอจิบลิมักมีเนื้อหาสะท้อนสังคม ชวนให้ตั้งคำถามถึงศีลธรรมกับจิตใจอันยากจะเดาได้ของมนุษย์ บอกเล่าเรื่องราวผ่านลายเส้นน่ารัก ๆ ที่ซ่อนเนื้อหาหนักเอาไว้ได้อย่างแนบเนียน ด้วยเนื้อหา การเล่าเรื่อง ลายเส้น และดนตรีประกอบกลมกล่อมจนสามารถคว้ารางวัลใหญ่ของวงการภาพยนตร์อย่างออสการ์ สาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยมมาครองได้ หลังจากมุดใต้ดินกันมานาน ในที่สุดแอนิเมชันของสตูดิโอจิบลิก็ก้าวขึ้นสู่วัฒนธรรมกระแสหลักอย่างเต็มตัว ปัจจุบันเราสามารถดูผลงานของสตูดิโอจิบลิในโรงภาพยนตร์ ดูผ่านระบบสตรีมมิงชื่อดังอย่าง Netflix ที่ในตอนนี้ขนแอนิเมชันกว่า 21 เรื่อง แบ่งปล่อย 3 เดือนติดกัน เริ่มจากวันแรกของเดือนกุมภาพันธ์ – เมษายน 2020 ให้แฟนหนังได้เลือกดูเรื่องที่ชอบกันจนตาแฉะ UNLOCKMEN ได้รวบรวมรายชื่อแอนิเมชันทั้งหมด 21 เรื่อง พร้อมกับเรื่องย่อของแต่ละเรื่องมาให้คนอยู่บ้านเหงา ๆ เลือกดูกัน บางคนอยากนั่งดูแบบอมยิ้ม ดูแล้วคิดถึงรักครั้งแรก บางคนอยากร้องไห้จนตาบวม หรือบางคนอยากสัมผัสความเหงาหว่อง ก็เลือกกันตามสไตล์ที่อยากดูได้เลยครับ 1 FEBRUARY 2020 PORCO ROSSO (1992)