คุณมองคนที่มีรอยสักเป็นอย่างไร ? มองว่าเป็นคนไม่ดี มองว่าเป็นเรื่องความชอบส่วนตัวของเขา หรือมองว่าเป็นศิลปะประเภทหนึ่ง บางคนอาจรู้สึกโอเคกับรอยสักขนาดเล็กสไตล์มินิมัล แล้วถ้ารอยสักขนาดใหญ่พาดเต็มแขนทั้งสองข้าง คุณจะมองว่ามันคือสัญลักษณ์ของอาชญากรหรือมองเป็นศิลปะญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์มากกว่ากัน ? UNLOCKMEN จะพาไปดูมุมมองเรื่องรอยสักของชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติ ว่าพวกเขามีความคิดเห็นที่เหมือนหรือแตกต่างเรื่องการวาดลวดลายบนเรือนร่าง ว่ามันสวยงามหรือว่ามันคือสัญลักษณ์ของพวกอาชญากรกันแน่ ? รอยสักญี่ปุ่นว่าด้วยคนญี่ปุ่น ประวัติศาสตร์รอยสักแห่งเกาะญี่ปุ่น เกิดขึ้นเมื่อค้นพบตุ๊กตาอายุราว 2,300 ปี ในหลุมศพของโชกุน การค้นพบครั้งนี้ทำให้นักประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นต่างตั้งสมมุติฐานว่ารอยบนใบหน้าของตุ๊กตามีความหมายว่าอย่างไร บ้างก็ว่าเป็นเครื่องหมายแสดงความกล้าหาญ บ้างก็ว่าเป็นการบอกยศ และมีคนเชื่อว่ารอยสักคือเครื่องหมายไว้ประจานพวกนักโทษ สังคมญี่ปุ่นสมัยโชกุนจะแยกคนที่มีรอยสักกับไม่มีรอยสักออกจากกัน คนไม่มีรอยสักก็คือประชาชนธรรมดา บ้างก็เป็นพ่อค้าแม่ค้า มนุษย์เงินเดือน เจ้าหน้าที่ข้าราชการ ส่วนคนที่มีรอยสักมักเป็นโรนิน โสเภณีธรรมดาที่ไม่ใช่สาวงามแบบโอยรัน นักโทษ เด็กเกเร และคนที่ไม่ยอมอยู่ในครรลองคลองธรรมอันดีงามที่สังคมกำหนดไว้ หลังจากระบบการปกครองของญี่ปุ่นถูกรื้อใหม่หมด ช่วงปี ค.ศ. 1750 ญี่ปุ่นยกเลิกการปิดประเทศอย่างถาวร ปฏิรูปสังคมและชนชั้น ซามูไรถูกลดอำนาจ มีบันทึกระบุว่าชายหนุ่มจำนวนมากนิยมสักกันมากขึ้น ร้านสักกลายเป็นสถานที่ที่ใคร ๆ ก็สามารถเดินเข้าไปได้ แถมยังขยันออกลวดลายเท่ ๆ มาแข่งกันเพื่อเรียกลูกค้าอีกต่างหาก ผู้คนเริ่มมีมุมมองเกี่ยวกับคนมีรอยสักเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น แต่ทุกอย่างก็ต้องจบลงอีกครั้งเมื่อรัฐบาลญี่ปุ่นประกาศว่า ‘หากประชาชนคนใดนิยมรอยสักจะต้องรับโทษ’ หรือกฎปี 2001 ระบุว่า
เด็กผู้ชายส่วนใหญ่ชอบอ่านมังงะลูกผู้ชาย ดูหนังดวลเดือดของพวกแยงกี้ และเป็นแฟนคลับหนังยากูซ่า จนบางครั้งเผลอคิดว่าตัวเองรู้จักวงการนี้ดีพอจากการเสพสื่อ จนเชื่อว่าหากวันหนึ่งมีโอกาสได้เข้าไปในวงการโลกสีดำ ใครหลายคนจะรีบกระโจนเข้าไปทันที เพราะภาพลักษณ์ของยากูซ่ามันทั้งเท่ โคตรห่าม มีอำนาจ และอยู่เหนือกฎหมาย ซึ่งเป็นความคิดตรงข้ามกับคนที่ใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตอยู่กับคาวเลือดสิ่งผิดกฎหมายที่อยากกลับคืนสู่สามัญเป็นคนธรรมดาเสียอย่างนั้น UNLOCKMEN พร้อมเผยให้เห็นอีกมุมหนึ่งของโลกยากูซ่าญี่ปุ่น ผ่านเรื่องจริงของยากูซ่า 3 คน ที่บังเอิญเจอกันในคุก พวกเขาแบ่งปันเรื่องราวที่เจอมา ทั้งความเหนื่อยจากการทำงาน นิ้วมือที่หายไปจากการถูกลงโทษเมื่อทำงานไม่สำเร็จ รวมถึงความกดดันและความหวาดระแวงต่อยากูซ่าด้วยกัน และเรื่องตำรวจ สิ่งที่ได้จากบทสนทนาคือความรู้สึกอยากกลับไปเป็นผู้ชายธรรมดา มีชีวิตเหมือนคนอื่น พวกเขาเลยตกลงกันว่าหากพ้นโทษออกจากคุกเมื่อไหร่จะเปิดร้านราเมงด้วยกัน สำนักข่าว NHK นำเสนอเรื่องราวชีวิตยิ่งกว่าละครของยากูซ่าญี่ปุ่นสามคน เนื่องจากมีผู้คนแวะเวียนไปทานอาหารที่ร้านอุด้งร้านหนึ่งย่านคิตะคิวชู (KitaKyushu) จังหวัดฟุกุโอกะ และรู้สึกว่าพนักงานในร้านแตกต่างจากคนทั่วไป ถึงแม้ร่างกายที่เต็มไปด้วยรอยสักจะถูกปกปิด แต่บุคลิกบางอย่างของยากูซ่านั้นปิดไม่มิด เช่น ท่าทางการเดิน การกันคิ้ว และนิ้วที่หายไป ปัจจัยทั้งหมดนี้ทำให้ประสบการณ์การเข้าไปกินอาหารในร้านที่มีชายฉกรรจ์หน้าตาไม่รับแขกถูกบอกต่อไปแบบปากต่อปาก เมื่อทีมข่าวลงพื้นที่ไปยังร้านอุด้ง สอบถามเรื่องราวจนพบว่าพวกเขาทั้งสามต่างเป็นยากูซ่าที่เจอกันในคุก และสัญญาว่าจะเปิดร้านอาหารด้วยกัน ชายที่เป็นคนออกไอเดียร้านอาหารมีชื่อว่านากาโมโตะ ทากาชิ (Nagamoto Takashi) วัย 54 ปี เขาเข้าวงการยากูซ่าเมื่อปี 1988 มีปมวัยเด็กเพราะถูกพ่อแม่ทิ้งและอยู่กับแก๊ง Kudo-Dai ที่มีสมาชิกกว่า 600
ต้องยอมรับว่าสื่อทั่วโลกกำลังให้ความสนใจเรื่องโควิด – 19 (Coronavirus 2019) กันจริงจัง หลายประเทศเปิดมาตรการป้องกัน ตรวจสอบ และกักกันคนที่มีอาจเกี่ยวข้องกับเชื้อนี้ แต่เจ้าที่เราเห็นชัดว่าตอนนี้กลายเป็นที่จับตาไปทั่วโลกอีกประเทศคือ “ญี่ปุ่น” หลังพบการระบาดจากเรือสำราญที่เข้าเทียบ จากจำนวนผู้ติดเชื้อที่ลุกลามทำให้หลายประเทศเริ่มแจ้งระวังการเดินทางไปญี่ปุ่น และพิจารณานักเดินทางที่ต้องการเข้าประเทศหากเดินทางมาจากญี่ปุ่น ซึ่งจะเรียกว่าเป็นโชคร้ายหรือคราวซวยก็ว่าได้ เพราะระยะเวลาการระบาดดันไปประจวบเหมาะกับช่วงจัด Tokyo Olympic 2020 ปีนี้พอดิบพอดี กลายเป็นจุดตั้งสังเกตว่า สรุปแล้วงานครั้งนี้จะล่มหรือรอด ระหว่างที่ยังไม่ถึงเดือน 7 ตามกำหนดการจัดการของโตเกียว จู่ ๆ Shaun Bailey ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งนายกเทศมนตรีของลอนดอน (ตอนนี้ก็ยังไม่ได้รับเลือก) ก็ดันจับเรื่องนี้ไปเป็นหนึ่งในนโยบายการหาเสียงของตัวเองในทวิตเตอร์ส่วนตัวโดยกล่าวว่า ใจความง่าย ๆ ก็คือสามารถรับเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกปีน้ีแทนได้ เพราะเราเคยมีประสบการณ์มาแล้ว และถ้าผมได้เป็นนายกเทศมนตรีแล้วล่ะก็ ผมจะทำให้มั่นใจเลยว่าลอนดอนรับเป็นเจ้าภาพอีกครั้ง (หลังเคยเป็นมาแล้วในปี 2012) ได้อย่างแน่นอน แถมยังบอกว่าอยากให้คณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) พิจารณาเรื่องนี้ด้วย ฝั่งผู้ว่าการกรุงโตเกียว ยูริโกะ โคอิเกะ ก็ตอกกลับเบา ๆ ว่า “ไม่เป็นไร” แต่ให้เหตุผลเจ็บหนักที่ฟังแล้วไม่รู้ว่าทางลอนดอนจะเจื่อนแค่ไหนว่า “เหตุผลที่ทำให้ปัญหานี้กลายเป็นที่สนใจของคนทั่วโลกก็เพราะเรือสำราญลำนั้น แต่นั่นเป็นเรือสัญชาติสหราชอาณาจักร ฉันเข้าใจได้ดี
หากพูดถึงสื่อความบันเทิงของญี่ปุ่นในมุมมองคนไทยคนส่วนใหญ่ ผู้คนมักนึกถึงแอนิเมชัน มังงะ บ้างก็กระโดดไปยังวงการเพลงทั้ง J-ROCK และไอดอลญี่ปุ่นกันเสียมากกว่า เพราะหลายคนมักมองว่าภาพยนตร์ญี่ปุ่นอาจมีสไตล์บางอย่างที่ไม่คลิกกับคนไทยส่วนใหญ่เท่าไรนัก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลด้านภาษา กิริยาท่าทาง แอกชัน หรืออะไรก็ตามที่ทำให้วงการภาพยนตร์ญี่ปุ่นไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในวงนักดูหนังไทยกว้างเท่าซีรีส์เกาหลีหรือภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศอื่น ๆ แต่ก็ใช่ว่าเราจะนำมาตัดสินว่าไม่ดังแล้วจะไม่ดีหรือไร้คุณภาพได้ วงการภาพยนตร์ญี่ปุ่นเคยสร้างตำนานต่อโลกมาหลายต่อหลายครั้ง ทั้งผลงานหลายเรื่องของผู้กำกับระดับตำนาน Kurosawa Akira (คุโรซาวะ อากิระ) กับเรื่อง Rashomon (1950) และ 7 Samurai (1954) ล้วนส่งให้เขาคว้ารางวัลอันทรงเกียรติอย่างรางวัลความสำเร็จตลอดช่วงชีวิตจากเวทีออสการ์ได้สำเร็จ หรือผลงานดราม่าโคตรสะเทือนใจของ Koreeda Hirokazu (โคเรเอดะ ฮิโรคาสุ) ที่ทำหนังออกมาทีไรก็คว้ารางวัลใหญ่จากเทศกาลหนังเมืองคานส์อยู่เป็นประจำ จึงทำให้ UNLOCKMEN มั่นใจว่าช่วงนี้จะต้องมีหนังญี่ปุ่นน้ำดีออกมาให้เราได้ดูกันอย่างแน่นอน การเล่าเรื่องอันเป็นเอกลักษณ์ของภาพยนตร์ญี่ปุ่นทำให้คนที่ไม่รู้จักวงการหนังญี่ปุ่นมาก่อนเริ่มให้ความสนใจและ สำหรับประเทศไทยในปีนี้พวกเรามีโอกาสรับชมผลงานที่ยอดเยี่ยมทั้งหมด 14 เรื่อง จากงาน Japanese Film Festival 2020 กันอีกครั้ง UNLOCKMEN จึงคัดเลือกภาพยนตร์ 5 เรื่องในงานนี้มาเล่าสู่กันฟัง แนะนำให้ชาวเราได้พิจารณาดูว่าหนังเรื่องไหนน่าสนใจและอยากจะไปชมให้เต็มตาในโรงภาพยนตร์ THE FABLE The Fable
Wabi-sabi (วะบิ-ซะบิ) เป็นอีกแนวทางการออกแบบของญี่ปุ่นที่โด่งดังไม่แพ้มินิมัลสไตล์อันเลื่องชื่อ บ้างว่า Wabi-sabi คือปรัชญาการใช้ชีวิตเช่นเดียวกับ Ikigai (อิคิไก) แต่ไม่ได้มุ่งเน้นเรื่องการค้นหาความหมายในชีวิต หากว่าด้วยเรื่องการยอมรับความไม่สมบูรณ์ของทุกสรรพสิ่งรอบตัว นอกจากแนวคิดนี้จะหยั่งรากลึกลงในวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่นแล้ว Wabi-sabi ยังเข้ามามีอิทธิพลต่อแวดวงการออกแบบด้วยเช่นกัน เหล่านักออกแบบและสถาปนิกบางคนเริ่มนำวัสดุที่ผุกร่อนและมีรอยตำหนิมาใช้ในงาน เลิกยึดติดกับความงามตามอุดมคติและเปิดใจยอมรับว่าบางครั้งความไม่สมบูรณ์แบบก็งดงามและมีคุณค่า NC Design & Architecture สตูดิโอออกแบบของฮ่องกงได้รับโจทย์ให้ออกแบบห้องที่มีพื้นที่ใช้สอย ดูสวยงาม และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สตูดิโอรายนี้จึงนำวัสดุที่มีร่องรอยขีดข่วนและรอยตำหนิ ตั้งแต่เฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ไปจนถึงของตกแต่งชิ้นเล็ก มาสร้างสรรค์ผลงานสถาปัตยกรรมภายใน ที่สะท้อนความงดงามของความไม่สมบูรณ์แบบตามหลักปรัชญา Wabi-sabi พื้นที่ใช้สอยขนาด 157 ตารางเมตรถูกแบ่งให้เป็นสามส่วนหลักคือห้องนั่งเล่น ห้องนอน และห้องน้ำที่มีทางเดินไม้ยกระดับเป็นตัวกั้น ซึ่งทางเดินไม้ที่ออกแบบให้สูงกว่าพื้นห้องนั้นได้แรงบันดาลใจมาจาก Genkan (เก็นคัง) โถงทางเข้าบ้านที่ไล่ระดับพื้นตามแบบบ้านญี่ปุ่นดั้งเดิม ส่วนห้องครัวและห้องอ่านหนังสือจะตั้งอยู่ทางด้านหลังของห้องหลัก ภายในอพาร์ตเมนต์นี้ดีไซน์ด้วยวัสดุธรรมชาติเป็นหลัก ใช้พื้นไม้และผนังไม้บางส่วนสร้างความอบอุ่นแบบบ้านญี่ปุ่น ผนัง เพดาน ผ้าม่าน และเฟอร์นิเจอร์บางชิ้นก็เลือกใช้เป็นสีเอิร์ธโทนที่ดูอบอุ่นเช่นกัน แม้จะตกแต่งให้ดูเรียบง่าย แต่ก็มีเฟอร์นิเจอร์หินอ่อนที่มีรอยตำหนิหลายชิ้นช่วยสร้างความโดดเด่นและเป็นจุดนำสายตา ทั้งยังได้หินอ่อนทรงเรขาคณิตและโลหะออกซิไดซ์เก่า ๆ ประดับประดาตามผนัง เป็นเหมือนงานประติมากรรมขนาดย่อม เฟอร์นิเจอร์ที่ติดตั้งในห้องนั่งเล่นยังถูกเลือกสรรอย่างพิถีพิถัน เพื่อสร้างบรรยากาศที่สงบ เรียบง่าย และดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด โทรทัศน์และประตูที่เชื่อมไปยังห้องต่าง ๆ
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ประเทศญี่ปุ่นกลายเป็น ‘เจ้าแห่งความมินิมัล’ แต่พบอีกครั้งเราก็มักจะเห็นความเท่แบบเรียบง่ายของชาวญี่ปุ่นโด่งดังมาถึงประเทศไทยอยู่เสมอ เริ่มจากแบรนด์เครื่องใช้มินิมัลเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่าง Muji ที่ผลิตทุกอย่างให้มินิมัลตั้งแต่ของใช้ เฟอร์นิเจอร์ยันบ้านสำเร็จรูป หรือจะเป็นเสื้อผ้าเรียบ ๆ สไตล์วินเทจที่ยังหนีไม่พ้นความมินิมัลของ Uniqio หรือ Earth Music & Ecology ไปจนถึงสตูดิโอออกแบบชื่อดังระดับโลกที่ตั้งอยู่ในกรุงโตเกียวอย่าง FujiwaraMuro Architects สตูดิโอ FujiwaraMuro Architects โด่งดังขึ้นมาจากผลงานออกแบบที่เน้นความเรียบง่าย น้อยแต่มาก (บางครั้งก็น้อยแต่แปลกมาก) สถาปนิกญี่ปุ่นส่วนใหญ่มักชอบออกแบบบ้านแปลกตามาให้ชาวโลกได้เห็น พวกเขาเปิดกว้างทางความคิดและพร้อมท้าทายสิ่งใหม่ ๆ เพื่อสร้างสีสันให้กับวงการสถาปนิกของญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่มักไม่ค่อยใช้จ่ายไปกับการออกแบบหรือตกแต่งบ้านเท่าไรนัก พวกเขามักอยู่กับบ้านสไตล์ญี่ปุ่นแท้ ๆ แถมยังไม่ควักเงินจ่ายเพื่อปรับปรุงที่อยู่อาศัยเท่าไรนัก เพราะบ้านส่วนใหญ่มันทั้งแคบ เก่า พื้นที่ในบ้านก็อัดแน่นไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ของสมาชิกในครอบครัว หลาย ๆ คนจึงเช่าอยู่มากกว่าลงแรงซื้อบ้านและที่ดินเป็นของตัวเอง การออกแบบบ้านให้แปลกตา หรือออกแบบให้มีสไตล์มินิมัลน้อยแต่มาก เน้นประโยชน์ใช้สอยสุดคุ้มค่าในพื้นที่จำกัด พร้อมกับการตกแต่งโปร่ง โล่ง สบายตา FujiwaraMuro Architects ไม่เคยเกี่ยงการออกแบบบ้าน แม้บางครั้งเจอโจทย์ออกแบบบ้านมินิมัลที่ต้องมีทุกอย่างครบถ้วนในพื้นที่โคตรแคบ เหล่าสถาปนิกก็พร้อมเฟ้นไอเดีย คิดสร้างสิ่งใหม่อยู่เสมอ จึงมีส่วนทำให้ชาวญี่ปุ่นยุคปัจจุบันเริ่มมองเห็นความจำเป็นกับการลงทุนเรื่องที่พักอาศัยมากขึ้น UNLOCKMEN เจอเคสออกแบบบ้านที่น่าสนใจของ FujiwaraMuro
ถ้าจะพูดถึงเกมซามูไรที่มาแรงที่สุดในตอนนี้ คงจะลืม Ghost of Tsushima ไปไม่ได้เลย เพราะนี่เป็นเกมสุดเจ๋งที่เล่าถึงเหตุการณ์ในช่วงศตวรรษที่ 13 ขณะที่เหล่าโชกุนและจักรพรรดิปกครองญี่ปุ่นด้วยระบบศักดินา แต่แล้วความมั่นคงของญี่ปุ่นกลับสั่นคลอน เพราะจักรวรรดิมองโกลรุกรานญี่ปุ่น จนเกิดสงคราม การเปลี่ยนแปลง เหตุนองเลือด และความวุ่นวายอีกนับไม่ถ้วน Ghost of Tsushima เป็นวิดีโอเกมที่ได้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ซามูไรหลายเรื่องของ อากิระ คูโรซาวะ (Akira Kurosawa) บริษัทผู้พัฒนาเกม Sucker Punch จึงออกแบบเกมให้เป็นสไตล์ Action & Openworld ผู้เล่นจะเพลิดเพลินกับระบบเกมเพลย์จากมุมมองบุคคลที่สาม เมามันส์กับฉากเอฟเฟกต์ตระการตา และดำดิ่งลงไปในเนื้อเรื่องของเกมราวกับกำลังชมภาพยนตร์ซามูไรในตำนาน คุณจะได้สวมบทเป็น จิน ซากาอิ (JIn Sakai) ซามูไรแห่งแดนอาทิตย์อุทัยผู้ยึดมั่นคุณธรรม ที่ออกเดินทางเพื่อสำรวจพื้นที่ ต่อสู้กับศัตรู และช่วยเหลือชาวบ้าน ไปพร้อมค้นหาความลับบางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายในจิตใจของเขา แต่ จิน ซากาอิ ผู้นี้กลับเลือกเดินสายต่อสู้แบบภูติผี (Ghost) ที่เน้นการลอบสังหาร วางกลยุทธ์การต่อสู้ และทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องเกาะซึชิมะและญี่ปุ่นจากการรุกรานของพวกมองโกล แม้การกระทำของเขาจะเริ่มห่างไกลจากความเป็นซามูไรดั้งเดิมไปทุกทีก็ตาม นอกจาก Ghost of
เริ่มเข้าใกล้เทศกาลแข่งขันกีฬาโอลิมปิกขึ้นทุกที หลาย ๆ ประเทศก็เตรียมเคี่ยวกรำนักกีฬาประจำชาติของตนให้พร้อมแข่งขันกีฬาระดับโลกครั้งนี้ ซึ่งกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนประจำปี 2020 จะจัดขึ้น ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นระหว่างวันที่ 24 กรกฎาคม ถึง 9 สิงหาคม แต่นอกจากกีฬาโอลิมปิกที่หนุ่ม ๆ หลายคนคุ้นเคย ยังมีกีฬา ‘พาราลิมปิก’ ที่จัดขึ้นทุก ๆ 4 ปีเช่นเดียวกับโอลิมปิก โดยจะเริ่มขึ้นทันทีเมื่อกีฬาโอลิมปิกจบลง ในอดีตพาราลิมปิกถือเป็นการแข่งขันกีฬาเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพทางกายและใจของทหารผ่านศึกชาวอังกฤษ แต่ต่อมามันก็กลายเป็นเทศกาลแข่งขันกีฬาสำหรับคนพิการทั่วโลก และเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกในปีนั้น ๆ ก็จะต้องเป็นเจ้าภาพของกีฬาพาราลิมปิกไปโดยปริยาย Toyota บริษัทผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นจึงดัดแปลงยานพาหนะ ‘e-Palette’ ไว้คอยให้บริการนักกีฬาโอลิมปิกและพาราลิมปิกปี 2020 พร้อมต้อนรับเทศกาลแข่งขันกีฬาสุดยิ่งใหญ่ที่ใกล้เข้ามา e-Palette เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ดีไซน์มาเพื่อนักกีฬาพาราลิมปิกโดยเฉพาะ มีการอัปเกรดรถยนต์อเนกประสงค์ให้มีประตูขนาดใหญ่ พร้อมติดตั้งทางลาดบริเวณประตู เพื่อให้นักกีฬาผู้พิการสามารถใช้รถเข็นขึ้นลงอย่างสะดวกสบายและรวดเร็ว ไฟหน้าและไฟท้ายถอดแบบการดีไซน์มาจากดวงตาของมนุษย์ ช่วยให้รถยนต์ไฟฟ้าคันนี้ดูเป็นมิตรบนท้องถนนมากยิ่งขึ้น ตัวรถยนต์ดีไซน์เป็นทรงลูกบาศก์ สร้างฐานล้อให้ยาว และมีพื้นผิวเรียบ ภายในออกแบบมาให้กว้างขวาง รองรับรถเข็นสูงสุด 4 คัน และเพิ่มพื้นที่ยืนภายในรถสำหรับนักกีฬา 7 คน นอกจากจะมีราวจับและเก้าอี้นั่งที่รองรับทุกระดับความสูง ยังดีไซน์สีพื้นและสีเก้าอี้ในรถให้ตัดกัน
เหงาว่ะ ไม่บ่อยนักที่คำวิเศษณ์อันกลั่นจากความอ่อนแอคำนี้จะหลุดออกมาจากปากผู้ชายเรา แต่ทันทีที่พลั้งเผลอพูดคำว่า “เหงา” ออกมา ความรู้สึกเหงาจริง ๆ ก็รันโรมโจมตีจิตใจเข้าอย่างจัง ราวพลัดตกเหวแห่งความเปล่าเปลี่ยว เดียวดาย และอ้างว้างอย่างไรอย่างนั้น คุณอาจจะคุ้นชินกับความเหงาที่ปราศจากคนรัก ความเหงาที่ไม่รู้จะทำอะไร ความเหงาที่ต้องอยู่โดดเดี่ยว หรือไม่สนิทกับความเหงามากพอจะจำได้ว่าความรู้สึกนี้เกิดขึ้นล่าสุดตอนไหน แต่ไม่ว่าคุณจะเหงามาก เหงาน้อย หรือเหงาจับใจ ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความเหงายังวนเวียนอยู่ในชีวิตของผู้ชายเราเสมอ UNLOCKMEN เลยอยากชวนหนุ่ม ๆ กระโดดลงไปด่ำดิ่งกับห้วงความเหงา ผ่าน 3 แอนิเมชันของมาโกโตะ ชินไค ที่อาจทำให้คุณเข้าใจชีวิตมากขึ้นหรือต้องหลั่งน้ำตาเพราะความรู้สึกเหงาที่เพิ่มมากกว่าเดิม ‘มาโกโตะ ชินไค’ ชายผู้กำกับความเหงาให้งดงาม หากพูดถึงแอนิเมชันดี ๆ สักเรื่อง คงจะลืมชื่อของ มาโกโตะ ชินไค (Makoto Shinkai) ผู้นี้ไปไม่ได้เลย เขาคือชายที่ได้รับสมญานามว่าเป็น “Wong Kar-Wai แห่งญี่ปุ่น” ผู้ซึ่งกำกับอนิเมะด้วยลายเส้น เพลงประกอบ ฉากหลัง และเนื้อเรื่องโรแมนติกดราม่าที่เป็นเอกลักษณ์ ชินไคบอกเล่าความสัมพันธ์กินใจจากเส้นแบ่งของความจริงและจินตนาการ เขาซุกซ่อนความอบอุ่น ความเศร้า ความรัก และความเหงาในรายละเอียดยิบย่อยของเส้นเรื่อง เพื่อให้ผู้ชมทุกคนได้ไต่ตาม ค้นหา
‘ญี่ปุ่น’ ประเทศเมืองเกาะที่เป็นดินแดนในฝันของผู้ชายหลายคน ห้อมล้อมอยู่ในอ้อมกอดธรรมชาติตั้งแต่ภูเขายันท้องทะเล มีอาหารเลิศรสและจารีตประเพณีงดงามทรงเสน่ห์ ทั้งยังผู้คนที่มีระเบียบ ใส่ใจรายละเอียด และขยันขันแข็งกับแทบทุกเรื่องในชีวิต หากคุณเคยไปเยือนประเทศญี่ปุ่นมาบ้าง คงจะพอคุ้นชินกับเหตุการณ์หยุดรถไฟกะทันหัน เนื่องจากมีคนกระโดดลงรางรถไฟความเร็วสูงเพื่อปลิดชีพ และมันเป็นอีกวิธีฆ่าตัวตายยอดนิยมของคนที่นี่ จริง ๆ แล้วการฆ่าตัวตายในญี่ปุ่นมีมาตั้งแต่สมัยหลังสงคราม เนื่องด้วยชาวญี่ปุ่นต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากและไม่อาจทนทุกข์ทรมานอยู่บนโลกนี้ได้ จึงตัดสินใจยุติลมหายใจเฮือกสุดท้ายด้วยวิธีการฆ่าตัวตายในรูปแบบต่าง ๆ การผูกคอตายครองแชมป์มาเป็นอันดับหนึ่ง ตามมาด้วยการกระโดดลงรางรถไฟ และการปล่อยให้ร่างกายซึมซับแก๊สพิษตามลำดับ สาเหตุการฆ่าตัวตายของคนญี่ปุ่นก็หนีไม่พ้นเรื่องการทำงานที่เคร่งเครียด ปัญหาทางเศรษฐกิจ อาการเจ็บป่วยที่ไม่อยากเป็นภาระให้ลูกหลาน หรือแม้แต่ปัญหาชีวิตวุ่น ๆ ของเหล่าวัยรุ่น Kenji Chiga ช่างภาพหนุ่มชาวญี่ปุ่นจึงถ่ายทอดเรื่องราวการฆ่าตัวตายของคนในประเทศตนด้วยคอลเลกชันภาพถ่ายที่แฝงความโศกเศร้าไร้ทางออก และมีเพียง ‘การฆ่าตัวตาย’ เท่านั้นที่อาจทำให้ใคร (บางคน) พ้นจากความทุกข์ได้จริง ๆ การฆ่าตัวตาย อาจเปรียบดั่งโรคติดต่อของคนในประเทศนี้ แพร่กระจายอย่างรวดเร็วราวไวรัสจากสมองของคนหนึ่งไปสู่สมองอีกคน บางครั้งผู้ตายอาจไม่ได้มองหาความตายเสมอไป หากมองหาการปลดปล่อยตัวเองจากความเจ็บปวดทั้งทางกายและใจที่ถูกพันธนาการ ความตายจึงเป็นวิธีปลดปล่อยอย่างง่ายและชัดเจนที่สุด ยิ่งในช่วงที่สื่อและเทคโนโลยีผลัดกันนำเสนอเรื่องราวของคนตาย ไวรัสที่ชื่อ ‘Werther Effect’ ก็ค่อย ๆ รุนแรงและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ถึงอย่างนั้นก็ยังมียาต้านไวรัสที่จะสร้างขึ้นเมื่อคุณ เขา เธอ หรือใครก็ตามเห็นคุณค่าของชีวิตและคนรอบตัวมากพอ นำความรักและการเห็นคุณค่านั้นหล่อเลี้ยงความคิดเพื่อการใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข แม้การฆ่าตัวตายจะเป็นคำตอบสำหรับบางคน