วันหม่น ๆ ที่โลกใบนี้ไม่เข้าข้างเรา วันที่ต้องยอมรับแล้วว่าเราแพ้ให้กับเกมนี้เข้าอย่างจัง ไม่ว่าจะต้องแพ้ด้วยการกระทำของตัวเองหรือเพราะปัจจัยอื่น ๆ ที่ไม่อาจควบคุมได้ก็ตาม สิ่งสำคัญคือหลังจากต้องลิ้มรสชาติของความพ่ายแพ้แล้ว เราจะลุกขึ้นอีกครั้งเมื่อไหร่และเรียนรู้อะไรจากความผิดพลาดครั้งนี้ เพื่อให้การล้มครั้งต่อไปไม่ใช่เพราะสาเหตุเดิม UNLOCKMEN ชวนหนุ่ม ๆ มาดูหนัง LOSER ผู้พยายามประคับประคองชีวิตตัวเองให้ ALRIGHT เผื่อใครอาจจะได้ข้อคิดดี ๆ จากความผิดพลาดของตัวละครจากสักเรื่องก็ได้ Inside Llewyn Davis (2013) Directors : Ethan Coen, Joel Coen เรื่องราวหน่วง ๆ ชวนเบื่อเรื่องนี้ มาจากชีวิตจริงของนักดนตรีโฟล์คอย่าง Dav Van Ronk ที่ไม่ได้มีเรื่องราวตื่นเต้นหวือหวา เปี่ยมไปด้วย Passion เดินตามความฝันกับวลีเด็ด “ฉันจะทำให้เต็มที่เลยล่ะ” แต่เป็นเรื่องเนือย ๆ อย่างที่เราได้ดูกันนั่นแหละ เป็นช่วงชีวิตที่เขายังไม่ได้โด่งดังมากพอที่จะเป็นที่ต้องการของค่ายเพลงหรือแม้แต่บาร์ที่ไหนสักแห่ง เนื้อเรื่องจริง ๆ มันเหมือนตามติดชีวิตนักดนตรีเหงา ๆ คนนึง ไม่มีอะไรมาก อยากให้ทุกคนได้ลองดูกันเอง แม้จะน่าเบื่อเสียหน่อย แต่ถ้าหากอดทนจนจบแล้ว
6 ลักษณะภายนอกที่จะช่วยส่งเสริมศักยภาพภายในของคุณให้ดูดีทะลุขีดจำกัด
ในยุคที่กระแสสังคมพัดผ่านอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับทุกอย่าง ไม่เว้นแม่แต้วัฒนธรรมการทำงาน ก่อนหน้านี้ถ้าเราพูดถึงการทำงาน ความหมายของมันมีรูปแบบเดียวคือการเดินทางออกจากบ้านไปทำงานในสถานที่ที่องค์กรต้นสังกัดจัดไว้ให้ แต่ทุกวันนี้มีงานหลายประเภทที่สามารถทำได้จากทุกที่ในโลก ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปทำงานถึงที่ จึงเกิดรูปแบบการทำงานใหม่ที่เรียกว่า Work-From-Home ขึ้นมา Work-From-Home ดีจริงหรือ? การทำงานที่บ้านจะดีกว่าที่ทำงานได้ยังไง? พนักงานจะมีความรับผิดชอบพอหรือเปล่า? งานจะไม่เละเทะเหรอ? และสารพัดคำถาม แต่ตอนนี้มีผลการสำรวจออกมาช่วยยืนยันแล้วว่า Work-From-Home คือรูปแบบการทำงานที่ดีที่สุดในการจัดการกลยุทธ์ต่าง ๆ สำหรับบริษัท ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? การทำงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จากการศึกษาของ Harvard Business Review ได้ทำการทดลองเรื่อง Work-From-Home กับพนักงานบริษัท Call Center แห่งหนึ่ง โดยได้แบ่งพนักงานเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกให้ทำงานที่บ้าน ส่วนอีกกลุ่มให้เดินทางมาทำงานที่ออฟฟิศตามเดิม เวลาผ่านไป 9 เดือน เมื่อนำผลลัพธ์การทำงานของพนักงานทั้ง 2 กลุ่มมาเปรียบเทียบกันพบว่ากลุ่มพนักงานที่ทำงานที่บ้านสามารถทำยอดขายรวมได้มากกว่ากลุ่มทำงานที่ออฟฟิศถึง 13.5% เลยทีเดียว ลดความตึงเครียด จากการสำรวจของ Ctrip เกี่ยวกับความพึงพอใจในงานพบว่าพนักงานที่สามารถทำงานจากบ้านได้นั้นมีความพึงพอใจและมีความสุขกับงานมากกว่าพนักงานที่ต้องไปทำงานที่ออฟฟิศเป็นประจำถึงเท่าตัว ซึ่งนับว่าเป็นอัตราที่สูงมาก นอกจากเรื่องความสุขในการทำงานแล้ว บริษัทที่มีนโยบาย Work-From-Home สามารถหาพนักงานเข้ามาทำงานได้ง่ายกว่าบริษัททั่วไปถึง 41% ลดภาระค่าใช้จ่ายของบริษัท นโยบาย Work-From-Home นอกจากจะมีข้อดีกับบรรดาพนักงานแล้ว
เรามักมีความเชื่อว่าสิ่งที่คนฉลาดเลือกที่จะดูคือบรรดาสารคดีให้ความรู้ต่าง ๆ หรือไม่ก็ภาพยนตร์ดราม่าเนื้อหาหนักหน่วงแฝงไปด้วยปรัชญาและสัญญะ ในทางตรงกันข้ามคนที่ชอบดูภาพยนตร์หรือซีรีส์คอมเมดี้เน้นตลกโปกฮาไม่เน้นสาระมักจะโดนมองเป็นคนไม่จริงจังกับชีวิต ลอยชายไปวัน ๆ แต่จากผลสำรวจล่าสุดของ DIRECTV อาจทำให้ชุดความคิดนี้ต้องเปลี่ยนไป DIRECTV เปิดเผยว่าคนที่ดูซีรีส์ ‘Friends’ เป็นประจำสามารถทำคะแนนในการสอบได้มากกว่าคนทั่วไป สำหรับคนที่ไม่รู้จักซีรีส์เรื่องนี้ Friends คือซีรีส์โรแมนติก-คอมเมดี้สัญชาติอเมริกันที่โด่งดังที่สุดนับตั้งแต่ยุค 90 มาก็ว่าได้ เริ่มออกอากาศตอนแรกในปี 1994 ก่อนจะสิ้นสุดการเดินทางอันยาวนานในปี 2004 1 ทศวรรษเต็ม ๆ กับ 10 ซีซั่น 236 ตอน เรียกว่าไม่มีซีรีส์คอมเมดี้เรื่องไหนจะขึ้นหิ้งเป็นตำนานเทียบเท่าเรื่องนี้อีกแล้ว โดย Friends บอกเล่าเรื่องราววุ่น ๆ ทั้งด้านความรัก ชีวิต การทำงาน ของหนุ่มสาว 6 คนโดยมีฉากหลังเป็นย่านแมนฮัตตันในมหานครนิวยอร์ก การสำรวจดังกล่าวของ DIRECTV มุ่งเน้นไปที่ประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างรายการทีวีที่ชอบกับความฉลาด โดยสอบถามความเห็นจากนักศึกษามหาวิทยาลัยหลายแห่งในสหรัฐอเมริกาถึงสิ่งที่พวกเขาชอบดูเปรียบเทียบกับคะแนน SAT ที่พวกเขาสอบได้ ผลลัพธ์ที่ได้ปรากฎว่ากลุ่มนักศึกษาที่ทำคะแนน SAT ได้สูงสุดนั้นส่วนใหญ่จะมี Friends เป็นรายการทีวีที่พวกเขาชื่นชอบที่สุด นอกจากนั้นยังมีแนวโน้มที่ค่อนข้างชัดเจนว่ากลุ่มนักศึกษาที่ชื่นชอบรายการประเภทคอมเมดี้จะมีผลคะแนนสอบดีกว่ากลุ่มนักศึกษาที่ชื่นชอบรายการทีวีประเภทดราม่า เช่นเดียวกับ The Simpsons, South Park, Seinfeld ซีรีส์คอมเมดี้ที่แฝงไปด้วยการจิกกัดสังคม
ในการสัมภาษณ์งาน ไม่ว่าคุณจะเตรียมตัวทำการบ้านไปดีขนาดไหน และเมื่อถึงเวลาสัมภาษณ์จริง ๆ ทุกอย่างก็เหมือนจะไปได้สวย การพูดคุยเป็นไปอย่างราบรื่น บรรยากาศผ่อนคลาย แต่สุดท้ายก็ต้องเจอสถานการณ์น่ากระอักกระอ่วนใจทุกครั้งเมื่อเจอคำถามเรื่องเงินเดือน “ต้องการเงินเดือนเท่าไรครับ?” คำถามสั้น ๆ ที่ยากจะตอบ เพราะถึงแม้เราจะมีตัวเลขในใจอยู่แล้ว แต่บางครั้งปัจจัยหลายอย่างทำให้เราไม่กล้าพูดออกไป เช่นเราอยากทำงานที่นี่มาก กลัวว่าถ้าเรียกมากไปแล้วเค้าจะไม่รับ หรือบางครั้งก็รู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง อยากได้เงินเดือนจำนวนเท่านี้ แต่ไม่มั่นใจว่าความสามารถเหมาะสมหรือเปล่า งั้นควรจะเรียกเงินเดือนเท่าไรดี? วันนี้ UNLOCKMEN มีวิธีมาแนะนำ Social Network คือทางออก ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวไกลเช่นทุกวันนี้ หนึ่งในตัวช่วยที่ดีที่สุดในการหาคำตอบคือ Social Network เช่นเดียวกับคำถามเรื่องเงินเดือน เพียงแค่คุณใช้ Keyword ที่ต้องการแล้วกดค้นหา คำตอบนับร้อยรับพันก็ปรากฏ แน่นอนว่ามันใช้ไม่ได้ทั้งหมด คุณต้องคัดกรองอีกที อายุ ประสบการณ์การทำงาน วุฒิการศึกษา ตำแหน่งงาน หาคำตอบจากคนที่ปัจจัยเหล่านี้ใกล้เคียงกับคุณ แล้วนำมาวิเคราะห์เปรียบเทียบว่าตัวเองว่าควรเรียกเงินเดือนเท่าไร ถามเพื่อนในสายงานเดียวกัน เพื่อความชัวร์! เพื่อเพิ่มความมั่นใจ การถามคนที่ทำงานในสายงานเดียวกับเรา อายุใกล้เคียงกับเรา ก็เป็นอีกทางเลือกที่สามารถทำได้ แต่ด้วยเรื่องมารยาท การถามเงินเดือนตรง ๆ ด้วยคำถาม “มึงได้เงินเดือนเท่าไรวะ?” ดูจะไม่เหมาะนัก
ความตระหนักรู้ทำให้เรารู้ว่าตัวเองเป็นใคร ทำอะไรอยู่ แต่สิ่งที่ทำอยู่นั้นเป็นตัวเรามากแค่ไหน พอใจมากน้อยแค่นั้น อันนี้เป็นสิ่งที่เราต้องมาเคาะคำถามนี้กับตัวเองให้ได้ ไม่ว่าเราจะกำลังทำอะไรอยู่ก็ตาม อย่าได้ละเลยเสียงลึก ๆ ข้างในใจเรา ที่คอยย้ำเตือนถึง Passion ข้างในที่พร้อมจะโจนทะยานออกมาเสมอ บางคนอาจจะตอบตัวเองได้แล้วว่าข้างในนั้น เราต้องการอะไรกันแน่ แต่บางคนที่ยังไม่เจอ UNLOCKMEN ชวนทุกคนมาตั้งคำถามกับตัวเองแบบง่าย ๆ เพื่อให้ค้นเจอสิ่งที่ใช่ให้ตัวเองได้ทันเวลา อะไรที่เราไม่ชอบ ? เอาวะ อย่างน้อยระหว่างที่ยังไม่รู้ว่าชอบอะไร ลองดูลิสต์ไว้ในใจเลยว่าอะไรที่เราไม่ชอบ ไม่ใช่แค่สิ่งของ แต่ยังหมายถึง ผู้คน สถานการณ์ เงื่อนไขในชีวิต ที่คอยบีบบังคับให้เรารู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่เสมอ นั่นแหละคือสิ่งที่เราหลีกเลี่ยง ค่อย ๆ ตัดทางเลือกออกไปเรื่อย ๆ จากสิ่งที่ไม่ชอบ ทางเลือกมันก็จะแคบลงเรื่อย ๆ แล้วเราอาจจะให้คำตอบตัวเองได้ ในตอนที่เราจิ้มลงไปไม่ได้ว่าจุดไหนคือจุดที่เราต้องการจะไปยืนตรงนั้น อย่างน้อยเราก็วงกลมกว้าง ๆ ไว้ก็ยังดี อะไรที่ให้พลังกับเรา ? ลองถามตัวเองดูว่าอะไรคือสิ่งที่ขับเคลื่อนให้เราตื่นมาในตอนเช้า สิ่งที่ทำให้เรานึกถึงวันพรุ่งนี้ สิ่งที่ทำให้เราอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อทำสิ่งนั้น ๆ อาจจะไม่ต้องเบอร์ใหญ่ขนาดนั้นก็ได้ แค่เป็นสิ่งที่ทำให้เราฮึดขึ้นสู้ในตอนที่นึกถึง เชื่อเถอะว่า สิ่งนั้นคืออีกสิ่งที่สำคัญ และเป็นคำใบ้ให้เราแกะรอยไปสู่สิ่งที่ใช่สำหรับเราก็ได้ ตรงนี้อาจจะไม่ใช่คำตอบว่าสิ่งที่ตามหาคืออะไร
“โตขึ้นอยากเป็นอะไร ?” คำถามที่คุ้นเคยดีเมื่อสมัยที่เรายังตัวเท่าเอวพ่อแม่ ออกไปพบเจอญาติพี่น้องในวันเทศกาล ตอบคำถามคุณครูหน้าชั้นเรียน เรียงความสมัยประถมศึกษา ที่วนเวียนอยู่กับการตามหาตัวเองให้เจอ ทั้งที่ตอนนั้นเราอยู่ในวัยที่ติดกระดุมเสื้อให้มันตรงก็เก่งแล้ว จริง ๆ คำถามนั้นมันไม่ได้หมายถึงเราต้องการจะประกอบอาชีพอะไรในตอนโตเป็นผู้ใหญ่ แต่มันหมายถึง เราอยากจะเลือกทางเดินชีวิตแบบไหนเสียมากกว่า คำถามนั้นยังคงหลอกหลอนเรามาตลอด ถึงแม้จะอยู่ในวัยที่ “โต” แล้วก็ตาม เพราะเมื่อเราโตแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะรู้ว่าตัวเองต้องการอะไรในทันที UNLOCKMEN อยากชวนทุกคนมาขบคิดถึงความฝัน ความต้องการของตัวเอง ตั้งแต่ในวัยเด็กจนถึงตอนนี้ ว่ามันเป็นไปอย่างที่เราคิดแค่ไหน พอใจกับมันหรือเปล่า ? หากยังไม่เจอสิ่งที่ใช่ แล้วระหว่างนี้เราจะทำอะไรกันดี ? โตขึ้นอยากเป็นอะไร ? เราเลือกได้ในทุกวัน ในตอนเด็ก เราอาจจะมีพ่อแม่คอยแนะแนวทางให้เรามาตลอด (ข้ามเรื่องการบังคับ การใช้ชีวิตแทนลูกไป) แต่พอโตขึ้นมาอีกช่วงอายุ เราเริ่มมีอำนาจตัดสินใจอะไรด้วยตัวเองมากขึ้น จนถึงช่วงที่โตมากพอที่จะตัดสินใจเองได้ทุกอย่าง จนเสียงในหัวของเรา คือเสียงที่ดังที่สุด คำพูดของคนรอบข้างเป็นเพียงเสียงที่คอยแนะนำอย่างแผ่วเบาเท่านั้น ตอนเด็กเราเลยมักจะเลือกอะไรสักอย่างให้ตัวเองโดยขึ้นอยู่กับความชอบ ความพอใจ ของเรา โตขึ้นมาเราเริ่มเรียนรู้ว่าชีวิตมันไม่มีอะไรง่ายแบบคิดปุ๊บ ทุกอย่างเนรมิตมาได้ดั่งใจ เราเริ่มมีเงื่อนไขอื่น ๆ เข้ามามีผลต่อการตัดสินใจอะไรสักอย่างให้ตัวเอง ขึ้นม.ปลาย เรียนสายวิทย์ เรียนสายศิลป์ หรือจะสายอาชีพ เลือกคณะที่ใช่
รู้หรือไม่ว่า ทุกวันนี้ขณะที่เรากำลังชื่นชมปรากฏการณ์การใช้พลังงานทดแทนในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นแผงโซลาร์ พลังงานลม หรือรถยนต์ไฟฟ้าสุดเฉียบแบรนด์ Tesla ที่มีเจ้าของผู้โด่งดังอย่าง ‘Elon Musk’ บนขวานทองของเราเองก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่ากัน หลายคนอาจไม่รู้ว่าเรามีโรงไฟฟ้าโซลาร์ที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าได้ถึง 90 เมกะวัตต์จำนวน 3 โรงบนพื้นที่หลายพันไร่ โรงไฟฟ้าพลังงานลมที่เตรียมจ่ายไฟเข้าระบบ มี Charging station นับ 100 แห่งที่ติดตั้งไว้สำหรับรถยนต์ EV ที่สำคัญ เรายังเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติไทยได้ที่ผลิตขึ้นจากฝีมือคนไทยเอง อยู่ระหว่างเตรียมผลิตเพื่อจำหน่ายปีหน้าที่จะถึงนี้ด้วย แล้วมันอยู่ที่ไหนกัน? เพื่อคลายข้อสงสัยเราจึงขอพาทุกคนไปเห็นกับตาผ่านการพูดคุยกับ คุณอมร ทรัพย์ทวีกุล หนึ่งใน co-founder ผู้ปลุกปั้น บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือที่คุ้นหูในชื่อ Energy absolute (EA) บริษัทที่อยู่ใน Top List ด้านพลังงานทางเลือกครบวงจรเบอร์ใหญ่สุดของประเทศไทยขณะนี้ หลักกิโลเมตรที่ศูนย์จากไบโอดีเซล ก่อนจะเป็นผู้สร้างความโดดเด่นด้านพลังงานทางเลือก เวทีที่คุณอมรโลดแล่นคือโลกทางธุรกิจจากสายอาชีพที่ใช้ชื่อไม่คุ้นหูว่า “วาณิชธนากร (Investment Banker)” ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัททั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์ เกี่ยวกับการเงินและการลงทุน รวมไปถึงช่วยกำหนดกลยุทธ์ธุรกิจ จึงมีดีกรีเก็บดีเทลกิจการเก่งไม่แพ้เจ้าของกิจการ ด้วยวิสัยทัศน์ด้านการเงินที่หล่อหลอมมายาวนาน
ศิลปินที่เกิดมาพร้อมกับดวงตาที่มืดมิด แต่ด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง และพรสวรรค์ที่ยากจะหาใครเหมือน ทำให้ชีวิตของเค้าที่แม้ดวงตาจะมืดมิด กลับสว่างสวัยอย่างไม่มีวันดับ
ฟุตบอลอาจจะเป็นกีฬายอดนิยมอันดับ 1 ของโลก แต่ถ้าพูดถึงแค่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่มีอะไรจะยิ่งใหญ่ไปกว่ากีฬาคนชนคนอีกแล้ว NFL หยั่งรากลึกลงในวิถีชีวิตของผู้คน และด้วยความนิยมอันล้นหลามนี้ สิ่งที่ตามมาคือผลประโยชน์และรายได้มหาศาล ผู้คนมากมายใฝ่ฝันจะเข้าไปยืนในจุดนั้น อัตราการแข่งขันจึงสูงลิบ ต่อให้มีร่างกายพร้อมก็ไม่ใช่ว่าจะเข้าไปได้ง่าย ๆ ไม่ต้องพูดถึงคนที่ร่างกายไม่พร้อมเลย เพราะใครต่างก็คิดว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ตอนนี้ได้มีชายคนหนึ่งได้ทำลายคำว่าเป็นไปไม่ได้นั้นลงอย่างสิ้นซาก ชื่อของเขาคือ ‘Shaquem Griffin’ Linebacker แขนเดียวแห่งทีม Seattle Seahawks ชีวิตที่เลือกเกิดไม่ได้ Shaquem ลืมตาดูโลกในฐานะน้องชายฝาแฝดของ Shaquill Griffin ทั้งคู่มีอายุห่างกันเพียง 1 นาทีเท่านั้น แต่กลับมีสิ่งหนึ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงคือแฝดพี่อย่าง Shaquill มีร่างกายพร้อมเหมือนเด็กทั่วไป ส่วน Shaquem เหมือนโดนโชคชะตาเล่นตลก มือซ้ายของเขามีความผิดปกติเนื่องจากภาวะน้ำคร่ำผิดปกติในขณะที่คุณแม่ของเขาตั้งครรภ์ และด้วยความไม่พร้อมนี้ การที่เขามีพี่ชายฝาแฝดเหมือนยิ่งส่งผลร้ายให้ทวีคูณขึ้นไปอีก Shaquem รู้สึกน้อยใจในโชคชะตาตั้งแต่เด็ก ว่าทำไมต้องเป็นเขา ทั้งที่เขาเกิดหลังพี่ชายแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น ความน้อยใจนี้ส่งผลกระทบต่อจิตใจเด็กน้อย Shaquem อย่างรุนแรง รุนแรงถึงขั้นที่ว่าครั้งหนึ่งเขาพยายามจะตัดมือซ้ายของเขาทิ้งด้วยมีดทำครัว โชคยังดีที่ผู้เป็นแม่มาเห็นเหตุการณ์เข้า จึงสามารถคว้ามีดออกมาได้ทันเวลา ซึ่งขณะนั้นเขามีอายุเพียงแค่ 4 ขวบเท่านั้น เหตุการ์ณนี้รุนแรงเกินกว่า Tangie Griffin ผู้เป็นแม่จะรับไหว เธอตัดสินใจเยียวยาลูกชายด้วยการพา Shaquem ไปหาศัลยแพทย์เพื่อตัดมือที่เป็นส่วนเกินทิ้ง การตัดครั้งนี้เหมือนเป็นการปลุก Shaquem ให้ตื่นจากฝันร้าย เพื่อเริ่มต้นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ทดแทนความไม่พร้อมด้วยพรสวรรค์ดานกีฬา แต่พระเจ้าก็ไม่ได้ใจร้ายกับ Shaquem