ชีวิตผู้ชายแมน ๆ อย่างเรามันก็ต้องเจออุปสรรคในการขับถ่ายกันบ้าง วันที่ทุกอย่างดูใหลลื่นไปหมดแต่ขี้กลับหดตดกลับหาย แหม่ มันช่างไม่สบายตัว สาเหตุของการ ‘ขี้ไม่ออก’ นั้นมาจากหลายปัจจัย เช่น อั้นอุจจาระบ่อย, ทานอาหารที่มีกากใยต่ำ, ไม่ค่อยได้ออกกำลัง, ดื่มน้ำน้อย หรือมีปัญหาทางจิตใจ แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อมันเบ่งไม่ค่อยออก เรามาหาตัวช่วยที่ทำให้อุจจาระของคุณพรั่งพรูกันดีกว่า โดยนอกจากการปรับพฤติกรรมทางการกินและใช้ชีวิตแล้ว การฟังเพลงขณะเข้าส้วมก็มีส่วนช่วยให้คุณปล่อยอึได้สะดวกยิ่งขึ้น จากการวิจัยของหลายสถาบันต่างยืนยันว่าเสียงเพลงมีผลกับร่างกายและจิตใจมนุษย์ สามารถช่วยผ่อนคลายสมอง บำบัดผู้ใช้ยาเสพติด กระตุ้นระบบใหลเวียนโลหิต ป้องกันอาการลมชัก ฟื้นฟูความจำ เพิ่มพลังทางความคิดวิเคราะห์ และแน่นอนว่ามีผลกับการขับถ่าย ไม่งั้นในห้องน้ำตามสถานที่ดี ๆ เขาคงไม่เปิดเพลงให้เราฟังหรอก ในเมื่อดนตรีช่วยได้ ทีมงาน UNLOCKMEN ขอแนะนำเพลงที่จะช่วยให้คุณปล่อยของเสียลงในสุขภัณฑ์ได้ง่ายดายยิ่งขึ้น แค่ใส่หูฟังแล้วเสพเสียงเพลงเหล่านี้ตอนขี้ ฟีลคุณจะดีสุด ๆ Great Balls of Fire – JERRY LEE LEWIS เพลงสไตล์ Rock and Roll สุดคลาสสิคนี้ของ Jerry Lee Lewis
ชีวิตทำงานของผู้ชายอย่างเราคงไม่ได้ราบรื่นเสมอไป กว่าจะกลายเป็นสุดยอดคนทำงานก็คงต้องฝ่าฟันมหากาพย์อุปสรรคที่ถาโถมเข้ามา อย่างที่เขาว่ากันว่า “ยอดนักรบย่อมมีบาดแผล” และหนึ่งในบาดแผลฉกรรจ์ที่บางท่านเคยเจอมาก็คือการ “โดนไล่ออก” ที่สร้างดาเมจรุนแรงเหลือเกิน เพราะมันกระทบกับหลายแง่มุมในชีวิต ทั้งรายได้ โปรไฟล์ ความมั่นใจ รวมถึงอนาคต ผลสำรวจจาก CareerBuilder และ SHRM บอกกับเราว่า นอกจากสาเหตุสุดคลาสสิคที่ทำให้มนุย์เงินเดือนโดนไล่ออกอย่าง ทำลายทรัพย์สินบริษัท, ใช้ยาเสพติดจนส่งผลกระทบกับงาน, ละเมิดกฎบริษัท, ทุจริต, ทำงานไร้ประสิทธิภาพ และความซวย ยังมีเหตุผลอื่น ๆ ที่ทำให้อาจโดนเด้งได้อีก เช่น โดนจับได้ว่าที่ลาป่วยไปไม่ได้ป่วยจริง, ใช้อินเตอร์เน็ตในออฟฟิศทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่เรื่องงาน, ไม่ตรงต่อเวลาเป็นประจำ, การโพสต์บนโซเชียลเน็ตเวิร์กที่ไม่เหมาะสม ไม่ก็หายใจทิ้งบ่อย ๆ และสร้างความรำคาญขั้นสุดให้กับเพื่อนร่วมงาน SOURCE เอาเป็นว่าไม่ว่าจะเหตุผลอะไรก็ตาม การโดนไล่ออกมันก็คือความเจ็บปวด มันเป็นบาดแผลลึก แต่มันก็ไม่ถึงตาย ฮึดหน่อยพ่อหนุ่ม ทีมงาน UNLOCKMEN มีวิธีการรับมือกับการโดนซองขาวทุกขั้นตอนมาแนะนำ ตั้งแต่ได้ยินคำว่า “คุณโดนไล่ออก!” จนถึงช่วงแห่งการเยียวยา และฟื้นคืนชีพเข้าสู่โลกการทำงานอีกครั้ง เราเชื่อว่าไม่มีใครควรโชคร้ายแบบนี้ แต่ถ้ามันเกิดขึ้นจริง ๆ จะได้มีทางลุยต่อ โดนไล่ออกแล้วโว้ย ! ทำไงดีฟะ ?
การพลิกมุมใหม่ หรือ Fresh Perspective คืออีกหนึ่งแนวคิดและความเชื่อที่แบรนด์ Heineken ® อยากถ่ายทอดออกมา เพื่อกลุ่มคน Gen M ในปัจจุบัน เพราะ “ความซ้ำซากจำเจ” คงเป็นสิ่งท้าย ๆ ที่ผู้ชายอย่างเราอยากเจอในชีวิต ถามตัวเองว่ากี่เช้าแล้วที่เราลืมตาขึ้นมาเพื่อพบกับโลกใบเก่าและเผชิญการเดินทางบนถนนแสนทรมาน ไหนจะการทำงานสุดหนักหน่วงจนดูดเอาพลังงานทั้งหมดที่มีอยู่ในร่างกายไป และปิดท้ายวันอันเมื่อยล้าเกินทนด้วยการดื่มเพื่อลืมความทุกข์ตรมของชีวิต การพลิกมุมใหม่ในเรื่องเดิม ๆ จึงจะช่วยให้เรามีความสุขกับชีวิตได้มากขึ้น เพราะ Urban Men อย่างเราล้วนแต่ใช้ชีวิตอยู่ในวงจรเก่าซ้ำเดิมไม่จบสิ้น เราใช้เวลาจำนวนมากของแต่ละวันหมดไปความซ้ำซากเพราะเราจมอยู่กับ “มุมมองเดิม ๆ” ในหัวของตัวเราเองเหมือนเดินหลงทางอยู่ในเขาวงกตที่ไร้ทางออก จะดีกว่าไหมถ้าเราพลิกมุมมองด้านลบอันซ้ำซากจำเจที่เราเกลียดแสนเกลียด เพื่อพาตัวเองก้าวเข้าสู่ “มุมมองด้านบวกที่ทำให้ชีวิตสนุกกว่าเดิม” ด้วยการพลิกวิธีคิดใหม่เพื่อเดินทางได้เป็นสุขขึ้น ทำงานได้สุดขีดขึ้นและสนุกกับชีวิตแบบไม่มีข้อจำกัดได้มากขึ้น เพราะชีวิตเราย่อม เลือกได้ แค่พลิกวิธีคิดใหม่ๆ เพื่อใช้ชีวิตให้มีความสุขพุ่งทะยานสู่สิ่งที่แสนสดใส! ไม่ต้องเปลี่ยนโลกแค่พลิกมุมใหม่: THOUGHT DISTORTION ตัวการร้ายแห่งความหน่ายเหนื่อย! “ความเข้าใจ” คือกุญแจแรกสู่โลกแห่งความสดใหม่ที่เราฝันถึง เราคงไม่อาจสลัดต้นตอแห่งความคิดลบ ๆ ออกไปได้ ถ้าเราไม่รู้ที่มาของมันแล้วรีบถอนรากถอนโคนให้ถูกจุด และจุดสำคัญที่เราต้องข้องใจให้ไวเพราะมันคือตัวการร้ายที่ทำให้เราไม่สามารถเป็นตัวเองได้เต็มที่ก็คือ “THOUGHT DISTORTION” เพราะจิตใจของเรานั้นฉลาดเกินกว่าที่เราคิด บ่อยครั้งมันจึงชี้นำ บิดเบือน และชักจูงให้เราหลงคิด หลงเชื่อกับสิ่งที่ไม่เป็นความจริงซึ่งเป็นที่มาของวิธีคิดลบ ๆ ซึ่งวนเวียนอยู่ในหัวเรานั่นเอง แต่ถ้าเรารู้เท่าทันมัน
ไม่มีใครเป็นคนขี้แพ้ตั้งแต่เกิด แต่บ่อยครั้งที่เราทำอะไรเท่าไหร่ก็ไม่ดีขึ้นสักที คนรอบข้างก็เคารพสิ่งที่เราทำน้อยลงเรื่อย ๆ ยิ่งก้าวไปข้างหน้าก็ยิ่งหาหนทางไม่เจอ จะย้อนกลับไปก็มืดดำจนกลับไม่ถูกแล้ว แต่จะให้ความแพ้มันเอาชนะเราได้เหรอ? จะยอมเป็นไอ้ขี้แพ้แล้วนอนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้นเหรอ? UNLOCKMEN ไม่ยอมให้คุณหยุดอยู่ตรงนั้น เราขอนำเสนอ 5 หนทางเอาชนะความขี้แพ้ในตัวคุณ แล้วลุกขึ้นมาชนะได้อีกครั้ง! ล้มได้ แต่ลุกให้ไว หนึ่งอย่างที่จุดไฟให้จิตวิญญาณความขี้แพ้ของเราลุกโชนดับเท่าไหร่ก็ดับไม่ลงสักทีก็คือ “ความพ่ายแพ้” นี่เอง ยิ่งเราแพ้มากเท่าไหร่ใจมันก็ยิ่งป๊อดบอกตัวเองซ้ำ ๆ ว่าไม่โว้ยย กูทำไม่ได้อีกแล้ว กูไม่อยากแพ้ซ้ำ ๆ แล้ว แต่ UNLOCKMEN อยากบอกว่าความพ่ายแพ้เป็นเรื่องธรรมดา เราล้มได้เราก็ลุกได้ หลักการสำคัญคือต้องลุกให้ไว เจอว่าอะไรแย่ต้องรีบปรับ แต่อย่าจมอยู่กับมัน เราแพ้มา 100 ครั้งก็ไม่ได้แปลว่าครั้งที่ 101 เราจะแพ้อีก มองให้ไกลไปให้ถึง นอกจากการลุกจากที่ล้มให้ไวแล้ว ความพ่ายแพ้ยังตัดกำลังใจเราอีกด้วย มันทำให้เราไม่กล้ามองไปข้างหน้าไกล ๆ มองได้แค่ใกล้ ๆ เพราะกลัวจะล้ม แถมสายตาคนรอบข้างที่คอยบอกเราคนขี้แพ้อย่างเราว่าอย่าสู้เลย พังเปล่า ๆ ทำให้ความเคารพในตัวเองของเราหมดไป UNLOCKMEN อยากบอกว่าให้สู้ต่อ เป้าหมายเรามีเท่าไหร่ก็มองไปให้ไกลเท่านั้น ให้มันเป็นแรงใจขับไล่ความขี้แพ้ไปให้ไกลไม่หวนคืน อย่ากลัวเด็ดขาด
ชาว UNLOCKMEN เคยเป็นบ้างไหม สภาพร่างกายก็ปกติดี แต่มันมักจะมีอาการ Black out ของความทรงจำไปดื้อ ๆ เหมือนมีใครมาตัดไฟยังไงอย่างงั้น กุญแจวางตรงไหน จะออกจากบ้านแล้วดันหาไม่เจอ! เพิ่งจับมือถือไปแปปเดียว เผลออีกทีเอาไปวางไว้ตรงไหนวะ ? คิดว่าจะถามอะไรคนตรงหน้า แต่พอเจอคนทักหน่อย คำถามหายลอยไปไหนไม่รู้ ? ถ้าเป็นแบบนี้เราอย่าเพิ่งกังวลคิดว่าตัวเองอัลไซเมอร์ แต่ลองสำรวจดูว่าพฤติกรรมที่ทำเป็นประจำเป็นอย่างที่เราเอามาฝากด้านล่างหรือเปล่า ? ถ้าใช่คงต้องเพลาหน่อยแล้ว เพราะไลฟ์สไตล์ตอนน้ีมันเข้าข่ายการตั้งระเบิดเวลาทำลายความทรงจำของพวกเรา โสดได้ (ความจำ) เสื่อมด้วย อ่านแค่หัวข้อก็แทบร้องไห้เลยทีเดียว เพราะถือเป็นความซวยของมนุษยชาติสายโสดเข้าให้แล้ว เมื่อนักวิทยาศาสตร์จาก Orebro University ในประเทศสวีเดนดันมาทดลองแล้วพบว่าคนที่อยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวหัวใจวัยกลางคนทั้งหลายมีโอกาสเกิดโรคสมองเสื่อมถ้าเทียบกับคนที่มีคู่ชีวิต นอกจากนี้งานวิจัยยังระบุว่าความจำของพวกเราชาวโสดจะลดลง เรื่องเดิม ๆ ในอดีตก็จะจำไม่ได้ แถมไม่มีข้อยกเว้นให้กับใครที่หย่าร้าง เป็นม่าย แยกทาง เลยด้วย เคยมีมาตอนนี้ไม่มีเข้าข่ายความจำเสื่อมง่ายได้หมด ที่สำคัญมันยังกระแทกใจด้วยอีกเหตุผลด้วยว่า “เหล่าคนมีคู่ถึงเขาจะลืมเขาก็ยังมีอีกคนไว้เตือนกัน” ว้อย!! หงุดหงิด จะไปซื้อโพสอิทมาติดให้เต็มบ้านเลย โสดแล้วเสื่อมมาลองกันสักตั้งว่าจะยังลืมอีกไหม SOURCE1 SOURCE2 ปาร์ตี้ดึกสุดเหวี่ยง หรือกินมันส์ยามวิกาล เรากำลังพูดถึงเรื่องกินผิดเวลา ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ปาร์ตี้เดือดข้ามคืน
อย่าหาว่าทะลึ่งเลยนะ แต่ผู้ชายอย่างเราทุกคนล้วนมีถุงอัณฑะเป็นของตัวเองอยู่แล้ว ถ้าเรียกง่าย ๆ ภาษาปากก็คือเจ้าถุงหุ้มไข่หรือหนังไข่นั่นเอง เรื่องราวก็ไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้นตกใจเลย (เอาเป็นว่าอนุญาตให้ก้มลงมองถุงไข่ตัวเองได้หนึ่งรอบถ้วน เป็นไงกันบ้าง?) หนังไข่ก็คือหนังไข่ใช่ไหมล่ะ มันก็มีรอยยับย่นยู่ยี่ตามธรมชาติของมันไป แต่ปัญหามันเกิดขึ้นที่มนุษย์ดันไม่พอใจความยับยู่ยี่ของหนังไข่ตัวเองจนเกิดนวัตกรรม “Scrotox” หรือการทำหนังอวัยวะส่วนนั้นให้เรียบตึงขึ้น! “Scrotox” เป็นคำศัพท์ที่เกิดจากการประกอบกันของคำสองคำนั่นก็คือ Scrotum ที่แปลว่าถุงอัณฑะ กับ Botox หรือโบทอกซ์ที่สาว ๆ เขาฉีดให้ใบหน้าเรียบตึงนั่นแหละ ดังนั้น “Scrotox” จึงเป็นการฉีดโบทอกซ์ไปที่ถุงอัณฑะหรือหนังไข่น้อย ๆ ของพวกเรานั่นเอง (แค่คิดก็สยองมากกว่าจะคิดถึงเหตุผลเรื่องความสวยงามแล้ว) คำถามก็คือ เฮ้ย!? แล้วกูจะฉีดโบทอกซ์ให้หนังไข่ตัวเองไปทำไม? คำตอบก็ไม่ต่างจากสาว ๆ ที่เธอฉีดให้หน้าเรียบตึงแบบไหน เราก็ต้องการฉีดโบทอกซ์ให้หนังไข่เราเรียบตึงดูอ่อนกว่าวัยแบบนั้นเลยทีเดียว (โลกมันชักจะบ้าบอขึ้นไปทุกวัน) กระบวนการก็คือโบทอกซ์ที่ฉีดเข้าไปในหนังไข่จะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวไม่เคลื่อนไหว จนปราศจากรอบยับยู่ยี่ไม่พึงปรารถนา ดังนั้นหลังจากฉีดเข้าไปหนังไข่เราก็จะดูสดใสเรียบตึงสมใจอยาก อ้อ แต่อย่าคิดว่ายอมเจ็บตัวครั้งเดียวแล้วจะหายเหี่ยวไปได้ตลอดชีวิตกันล่ะ โบทอกซ์จะช่วยให้เราเรียบตึงอยู่ได้แค่ 4-8 เดือนเท่านั้น Dr. John Mesa ศัลยแพทย์จากนิวยอร์กเปิดเผยว่าเมื่อปี 2016 ที่ผ่านมาเขาทำ “Scrotox” ให้ผู้ชายไปแล้ว 15 ราย (UNLOCKMEN
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา มีเรื่องราวของคนที่ประสบความสำเร็จให้ได้รับรู้แทบทุกวัน จนบางครั้งหลายคนคงสงสัยว่าอะไรทำให้คนหนึ่งไปได้ไกลขนาดนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เรามักจะคิดถึงเรื่องเกี่ยวกับโชคชะตา หรือบุญวาสนาที่ส่งผลให้พวกเขาเหล่านี้ประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงมีการยอมรับ แต่ยังมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่หลายคนมองข้ามไป นั่นก็คือ อุปนิสัย ประจำวัน ที่คนประสบความสำเร็จนั้นมีต่างจากคนที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง วันนี้ทาง UNLOCKMEN จึงได้เอาลักษณะนิสัยที่คล้ายกันของนักธุรกิจผู้ที่ประสบความสำเร็จระดับโลก 8 ข้อ มาให้คุณลองไปดูว่ามีคุณสมบัติเหล่านี้มากน้อยแค่ไหน เพื่อเป็นอีกหนทางปลดล็อคศักยภาพตัวเอง ด้วยการปรับเปลี่ยนอุปนิสัย พฤติกรรมต่าง ๆ ให้เป็นไปในแนวทางเดียวกับที่ผู้ประสบความสำเร็จเขาทำกัน จง “ฟัง” ให้มากกว่าพูด ทุกวันนี้มีคนพร้อมจะแสดงความคิดเห็นของตัวเองมากกว่ายอมรับฟังคนอื่น เพราะต้องการแสดงให้โลกรู้ถึงความสามารถ ทั้งที่จริงแล้วการฟังส่งผลให้คุณแตกฉานและต่อยอดไอเดียใหม่ ๆ ได้อย่างเหลือเชื่อ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าภาพลักษณ์ของหัวหน้าในองค์กรที่สุดท้ายก็ไปไม่ถึงไหน ด้วยการยึดมั่นตามความคิดของตัวเองโดยไม่สนใจเสียงของคนรอบข้างที่คอยบอกเรื่องต่าง ๆ สุดท้ายก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า ซึ่ง Richard Branson คงเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องการเป็นผู้ฟังที่ดี เพราะเชื่อว่าการฟังเป็น 1 ใน 3 เสาหลักของการเป็นผู้นำที่สำคัญสุด “เขาพูดว่าการฟังโดยเฉพาะกับผู้บริโภคทำให้รับรู้ความต้องการของตลาดจริง ๆ เพื่อให้ทราบต้นเหตุความผิดพลาดที่แท้จริงเพื่อการแก้ไขและพัฒนาต่อไป ” เปิดรับความล้มเหลว กลัวแค่ไหนก็หลีกเลี่ยงความล้มเหลวไม่ได้มันเหมือนเป็นส่วนประกอบสำคัญถ้าหากคุณต้องการประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง จุดนี้เองคือสิ่งที่ทำให้หลายคนไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรเพราะมัวแต่ Play safe ดังนั้นคุณจำเป็นต้องเสี่ยงไปพร้อมกับการยอมรับความล้มเหลวที่พร้อมตามมา นักธุรกิจระดับโลกที่ประสบความสำเร็จล้วนล้มเหลวในชีวิตมาก่อนหน้านี้ทั้งนั้น ความต่างของคนแบบนี้กับคนทั่วไปคือเรียนรู้และเอามันมาเป็นแรงผลักดัน ในการก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง กระตุ้นให้ตัวเองอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น
“เราจะไม่พยายามบอกใครว่ารักผมเถอะครับหรือแบบชอบงานผมหน่อยนะ” คือคำพูดที่ “เต๋อ-นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์” ผู้กำกับหนุ่มบอกกับเรา จึงไม่น่าแปลกใจที่งานกำกับทุกชิ้นของเขาออกมามีอัตลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เรียกร้องให้ใครมารัก แต่ใครหลาย ๆ คนก็ตกหลุมรักกันไปแบบไม่ทันตั้งตัวแล้ว ในโลกของผู้กำกับอย่างนวพลที่ไม่ได้เอาจำนวนผู้ชมมหาศาลเป็นตัวชี้วัดว่าหนังตัวเองประสบความสำเร็จหรือเปล่า แต่กลับใช้ความรักในสิ่งที่ทำ ความเป็นตัวของตัวเองและขอแค่คนจำนวนเพียงไม่มากที่เชื่อมโยงถึงกันได้เป็นตัวบ่งบอก UNLOCKMEN ว่าโคตรน่าสนใจ เราถือโอกาสแห่งความน่าสนใจนี้ชวนเขามาพูดคุยกัน พร้อมโปรเจ็กต์ใหม่ที่ทำร่วมกับเบิร์ด ธงไชย แมคอินไตยที่นวพลถึงกับออกปากว่า “เหมือนได้เจอเทพเจ้า” วินาทีแรกที่อยากเป็นผู้กำกับ? มันมีวินาทีนั้นอยู่จริงไหม หรือไม่ได้คิดอะไรอยู่ ๆ ก็เป็นขึ้นมาเอง มันน่าจะมีวินาทีนั้นที่อยากเป็นผู้กำกับอยู่นะ แต่คิดว่ามันน่าจะค่อย ๆ เกิดมากกว่า เพราะตอนแรกหมายถึงสมัยก่อน เด็ก ๆ เลยอยากวาดการ์ตูน แต่ว่าก็ลองแล้วมันก็ไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่ เพราะเราไม่เก่งเท่าเพื่อน แล้วมันก็เริ่มดูหนังมากขึ้น เราก็เลยรู้สึกว่าหนังมันอาจจะตอบสนองสิ่งที่เราอยากเล่าได้มากกว่า แต่ตอนเด็ก ๆ มันก็ไม่ได้รู้ว่ามันเป็นภาพและเสียงอะไรหรอก มันเป็นแค่แบบ รู้สึกว่า หนังมันเหมือนเอาจินตนาการมาทำให้เกิดขึ้นจริงบนจอ แล้วเรารู้สึกว่าเราอยากทำอะไรแบบนั้นมากกว่าวาดการ์ตูน สำหรับเราหนังมันไปได้ตรงความต้องการกว่าการวาดการ์ตูน ไปได้ไกลกว่า ตอบสนองสิ่งที่เราอยากเล่าได้จริง ๆ เราโตมากับยุคพวก CG หนังแบบจูราสิคพาร์คภาคหนึ่งเลยมั้ง มันเลยตื่นตาตื่นใจ ก็เลยรู้สึกว่าค่อย ๆ เริ่มอยาก และก็เริ่มคราวนั้น จากนั้นก็เริ่มดูหนังมาเรื่อย
หากพูดถึงเวทีทอล์กที่เป็นแรงบันดาลใจในการขับเคลื่อนชีวิตของผู้คนยุคนี้ TED ถือเป็นเวทีเสรีที่เปิดโอกาสให้ speaker หยิบจับประเด็นต่าง ๆ ขึ้นมาสร้างแรงบันดาลใจและขับเคลื่อนสังคมในเวลาไม่เกิน 18 นาที โดยเนื้อหาของ TED จะมีอย่างหลากหลายไม่ว่าจะเป็นสิ่งเล็ก ๆ ใกล้ตัว หรือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ระดับประเทศ ระดับจักรวาล หรืออะไรก็แล้วแต่ ล้วนสามารถถูกนำมาสร้างประเด็นที่มอบความรู้สึกเชิงบวกให้กับผู้ฟังได้หมด ซึ่งในบ้านเราก็ได้มีกลุ่มคนที่นำ TEDx เข้ามาเพื่อขยายเจตนารมณ์ Power Talk ที่เกิดขึ้นในหลากหลายพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็น TEDxChiangMai, TEDxBKK, TEDxChulalongkornU, TEDxYouthNIST, TEDxThammasatU และ TEDxBangkok เป็นต้น จากเวทีดังกล่าวทำให้เราได้รู้จักกับคนความคิดบวกที่มาแบ่งปันเรื่องราวของตัวเองพร้อมสร้างแรงบันดาลใจไปพร้อม ๆ กัน เนื่องจากเป็นต้นสัปดาห์แล้วก็กำลังจะเข้าเดือนใหม่ ทีมงาน UNLOCKMEN ได้นำคลิปวิดีโอเจ๋ง ๆ ของ TEDx ที่เราเล็งเห็นว่าดีและมีประโยชน์มาให้ทุกท่านได้สร้างพลังบวกสู้กับชีวิตไปตาม ๆ กัน Jon Jandai – ทำไมพวกเราใช้ชีวิตกันยากจัง โจน จันได คือคนจนผู้ยิ่งใหญ่เขามีแนวคิดแบบ alternative สุดโต่งที่เลือกแสวงหาความสุขมากกว่าเงินทอง โดยในคลิปนี้เขาได้บอกเล่าการว่ามนุษย์เราใช้ชีวิตกันอย่างยากลำบาก เพราะเลือกจะวิ่งหาในสิ่งที่ระบบทุนนิยมและกระแสสังคมที่สร้างขึ้นจนไม่มีความสุขกับมัน ลองปล่อยวางทุกสิ่งดูแล้วคุณจะพบว่าความสุขนั้นอยู่แค่เอื้อม
ประเทศญี่ปุ่นขึ้นชื่อเรื่องการเป็นเมืองหลวงแห่งวงการรถแต่ง เพราะไม่ว่าจะไปที่ไหนก็สามารถเห็นรถแต่งขับอยู่บนท้องถนนได้ในชีวิตประจำวัน แถมยังมีอู่สำนักแต่งรถให้ปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมอัพเกรดหน้าตาและสมรรถนะจากรถธรรมดาบ้าน ๆ ให้กลายเป็นรถแข่งสุดเท่ได้ตามใจสั่ง แต่ท่ามกลางผู้คนในวงการแต่งรถของญี่ปุ่นนั้นยังมีชายที่แตกต่างและมีตัวตนที่ชัดเจนกว่าคนอื่น นั่นก็คือ Shinichi Morohoshi ผู้ที่เอา Lamborghini Diablo มาแต่งให้เป็นสีชมพูจี๊ดจ้าดชวนบาดใจ จากความฝันตอนวัยรุ่นที่ได้เห็นรถซุปเปอร์คาร์ยี่ห้อนี้ Shinichi Morohoshi หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม Morohoshi-san นั้นมีจุดเริ่มต้นความฝันที่อยากจะครอบครอง Lamborghini ตั้งแต่ตอนอายุ 17 ปี ซึ่งเขายังอยู่ในกลุ่มเด็กแว๊นของญี่ปุ่นที่เรียกกันว่า Bōsōzoku หรือ Bōsō แปลว่า “ชนเผ่าที่ใช้ความรุนแรง” ในกลุ่มนี้จะใช้มอเตอร์ไซค์ที่ประกอบชิ้นส่วนจากมอเตอร์ไซค์อังกฤษ , อเมริกาและถูกตกแต่งในลักษณะแปลก ๆ เช่นติดหลอดไฟนีออน ท่อไอเสียที่ใหญ่กว่าปกติ ธงสัญลักษณ์ประจำกลุ่มที่ถูกติดไว้ตรงแฟริ่งตัวถัง แน่นอนว่ากลุ่ม Bōsō นั้นขับรถซิ่งอย่างอันตรายบนถนนในโตเกียวไม่ต่างกับกลุ่มเด็กแว๊นในบ้านเราเลย Morohoshi ใช้ชีวิตแบบนี้จนกระทั่งเขาถูกจับในคืนวันก่อนปีใหม่ และนั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นรถในฝันอย่าง Lamborghini “ผมได้ยินเสียงมันก่อนที่ผมจะเห็นมันซะอีก เสียงท่อไอเสียมันหนักแน่น ผมถูกสะกดด้วยรถคันนี้ทันทีและไม่รู้ว่ารถคันนี้ทำเสียงดังขนาดนั้นได้ยังไง เราหมดเงินไปเป็นแสนเยนกับท่อมอเตอร์ไซด์ แต่นี่มันดังกว่าซะอีก หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีผมถึงเห็นมัน รถ Lamborghini Countach สีดำขับลงมาจากถนน Nakasendō ผมบอกตัวเองเลยว่า