ถ้าปี 2017 เป็น ‘ปีชง’ ของ Uber ที่เจอมรสุมข่าวฉาวจน ทราวิส คาลานิก ผู้ร่วมก่อตั้งยอมออกจากตำแหน่งซีอีโอ ผู้รับไม้ต่อในปี 2018 ก็คือ Facebook เครือข่ายสังคมออนไลน์ยักษ์รายนี้ถูกเพ่งเล็งและโจมตีต่อเนื่องว่าเป็นต้นเหตุสำคัญของข่าวปลอม (Fake News) ระบาดในช่วงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และยิ่งตกเป็นเป้าโจมตีหนักหน่วงในกรณีข้อมูลของผู้ใช้รั่วไหลโดยบริษัท Cambridge Analytica มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก ได้ขึ้นให้การเป็นพยานเพื่อชี้แจงข้อพิพาทต่างๆ ของ Facebook ต่อหน้าสภาคองเกรสในสหรัฐอเมริกา และรัฐสภายุโรปไล่เลี่ยกันเดือนเมษายน-พฤษภาคม “เราไม่ได้มีมุมมองที่กว้างพอในเรื่องการแสดงความรับผิดชอบ และนั่นคือความผิดพลาดครั้งใหญ่” “ผมก่อตั้งเฟซบุ๊กขึ้นมา บริหารมัน และผมก็ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น” Mark Zuckerberg F8 2018 Keynote Photo: Anthony Quintano / Creative Common แม้ว่ามาร์กจะพยายามกอบกู้สถานการณ์ด้วยการขอโทษสาธารณชนทั่วโลก ปรับ News Feed หนุนเรื่องคนกับคอมมูนิตี้เต็มที่ แต่คนแวดวงธุรกิจและสื่อต่างวิพากษ์เป็นเสียงเดียวกันว่า Facebook สูญเสียความน่าเชื่อถือไปมาก ผู้ใช้งานบางส่วนรู้สึกถูก ‘ทำลายความไว้วางใจ’ (trust)
ในช่วงวันฝนตกแถมรถยังติดคงเป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดอยู่แล้วสำหรับผู้ชายแบบเรา แต่ถ้าดันซวยเกิดเครื่องยนต์ดับแบตหมดท่ามกลางสายฝนแล้วละก็คงเป็นเรื่องยากขึ้นไปอีกที่ต้องตามช่างมาช่วยจั๊มแบตในสถานการณ์แบบนั้น แต่ปัญหานี้จะกลายเป็นเรื่องเล็กในทันทีถ้าคุณมีอุปกรณ์อย่าง NOCO : Genius Boost ติดรถเอาไว้ NOCO : Genius Boost เป็นแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนแบบพกพามาพร้อมเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยเฉพาะของ NOCO ที่ป้องกันการเกิดประกายไฟระหว่างใช้งานรวมถึงป้องกันกระแสไฟย้อนกลับขั้วและที่สำคัญคือป้องกันน้ำได้ ทำให้หมดกังวลแม้สภาพอากาศจะไม่เป็นใจเพราะถึงคุณเป็นผู้ชายที่ไม่คุ้นเคยกับการจั๊มแบตเตอรี่รถยนต์ก็สามารถใช้งานได้สบาย ๆ เพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย NOCO ยังออกแบบให้ Genius Boost มีถึง 5 รุ่นซึ่งแต่ละรูปแบบจะมีความเหมาะสมกับขนาดของแบตเตอรี่และเครื่องยนต์ของรถรุ่นนั้น ๆ อีกด้วยโดยไล่ตั้งแต่เครื่องยนต์ขนาด 4.0 ลิตรไปจนถึง 10 ลิตรเลยทีเดียว นอกจากนั้นทุกรุ่นยังมีฟังก์ชันการใช้งานเสริมไม่ว่าจะเป็นไฟฉายในกรณีรถเสียเวลากลางคืน หรือการทำหน้าที่เป็น Power Bank สำหรับชาร์จ Smartphones , กล้อง GoPro หรือหูฟัง Wireless ก็ไม่มีปัญหา เรียกได้ว่าเป็นอุปกรณ์ที่สามารถทำงานเล็กก็ได้งานใหญ่ก็ดี ครบเครื่องในหนึ่งเดียว ต้องบอกว่าหมดยุคพกสายจั๊มแบตแล้ว ต่อไปแม้เราจะพบเจอปัญหาแบตเตอรี่หมดไม่ว่าที่ไหนสถานการณ์ใด ก็สามารถเอาตัวรอดผ่านไปง่าย ๆ ด้วย NOCO : Genius Boost หมดปัญหาต้องรอขอความช่วยเหลือที่แสนยากเย็นเหมือนที่เคยผ่านมาเสียที
EQ Silver Arrow เป็นคอนเซ็ปต์รถยนต์พลังงานไฟฟ้าล่าสุดจาก Mercedes-Benz ผลงานชิ้นโบว์แดงของประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายออกแบบอย่าง Gordon Wagener ที่มาพร้อมกับกับนวัตกรรมแห่งอนาคตอัดแน่นไว้เต็มคัน ซึ่งความแตกต่างและล้ำหน้าของมันทำให้เราเชื่อว่าคงไม่มีผู้ชายคนไหนจะกล้าปฏิเสธการได้เป็นเจ้าของอย่างแน่นอน Electric Car จากค่ายรถยักษ์ใหญ่ของเมืองเบียร์คันนี้เปิดตัวเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาใน Monterey Car Week แคลิฟอร์เนีย โดยถูกออกแบบมาเพื่อให้เกียรติกับรถยนต์ที่เร็วที่สุดในโลกของปี 1937 อย่าง Mercedes W125 ซึ่งถ่ายทอดต้นแบบการพัฒนารถยนต์ที่นั่งเดียวมาสู่ปัจจุบัน EQ Silver Arrow คันนี้มาพร้อมกับขุมพลัง 750 แรงม้า ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ที่ทำงานด้วยแบตเตอรี่ไฟฟ้าขนาด 80 กิโลวัตต์ ซึ่งถูกพัฒนาให้เสียงเบาสวนทางกับความแรงของเครื่องยนต์ แต่เสริมฟังก์ชันสำหรับผู้ชายที่ชื่นชอบความดุดัน ด้วยระบบการขับแบบ Sport และ Sport+ สามารถปล่อยเสียงเครื่องยนต์ให้ดุดันสนั่นหูแบบ Mercedes-AMG V8 หรือ Formular 1 ได้โดยสามารถทำระยะการวิ่งได้ประมาณ 250 กิโลเมตรต่อการชาร์จแบตเตอรี่เต็มหนึ่งครั้ง ดีไซน์ภายนอก EQ Silver Arrow มาพร้อมรูปทรงคล่องตัวด้วยความยาวตั้งแต่หัวจรดท้ายเพียง 5.3 เมตร ในเฉดสี Alubeam Silver รูปทรงโค้งมนที่จะสร้าง Aerodynamic ซึ่งจะช่วยเสริมสมรรถนะทั้งในด้านการทำความเร็วและระบบเบรก
เป็นเวลาเกือบ 20 ปีมาแล้ว หลังจาก Air-Cooled 911 คันสุดท้ายจากสายพานการผลิตของ Porsche ในรหัส 993 วันนี้ Porsche บังเอิญมีโครงสร้างเหลืออยู่ในโรงงานอีก 1 คัน จึงเป็นโอกาสดีที่จะหยิบมันมาสร้างใหม่ในรุ่น 2018 Porsche 993 Turbo S หนึ่งใน ‘Classic Series’ ที่เป็นการส่งข้อความถึง Singer และ Gunther Werks ว่าการสร้าง Porsche Classic ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงให้มันดูทันสมัยเหลือล้ำหน้าเกินไป แต่เป็นการสร้างรถที่เก็บรายละเอียดทุกอย่างเอาไว้เหมือนเดิม ที่จริงแล้ว Porsche มีการนำรถเก่ามาฟื้นสภาพใหม่หลายครั้งแล้ว แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการทำไว้ใช้งานภายในหรือใช้โชว์ตาม Exhibition มากกว่า ต่างจาก 2018 Porsche 993 Turbo S Project Gold Classic Series คันนี้ที่ทำออกมาให้ลูกค้าได้เป็นเจ้าของ ใช้เวลาถึง 1 ปีครึ่งตั้งแต่การนำโครงรถที่ยังไม่เคยผ่านการใช้งาน จึงยังไม่เคยผ่านการจดทะเบียนใด ๆ ในทางปฏิบัติแล้วมันจึงเป็นรถใหม่เอี่ยมปี 2018 แต่ไม่สามารถจดทะเบียนสำหรับใช้งานได้ มันจึงเป็นรถสำหรับประมูลไปสะสมหรือใช้ในสนามแข่งโดยเฉพาะ ซึ่งเหตุผลที่ Porsche
ผู้ชายหลายคนอยากเลี้ยงหมา แต่ชีวิตประจำวันไม่เอื้ออำนวย เช่นอยู่คอนโดคนเดียว ไม่มีคนคอยเลี้ยงดูตอนทำงาน หรือกลัวจะเสียใจตอนมันตาย ทำให้เราต้องตัดใจจากความน่ารักของเพื่อนสี่ขาสำหรับคลายเหงาอย่างที่คนอื่นเค้ามีกัน สิ่งที่เราทำได้คือเฝ้ารอให้ถึงวันที่ Robot Dog จะได้รับการพัฒนาให้เหมือนหมาจริงที่สุด ปัญหาทุกอย่างก็จะหมดไป และพวกเราก็จะได้เล่นกับหมาที่ไม่มีวันป่วยหรือตายจากเราไป Sony Aibo คือ Robot Dog ตัวใหม่จากค่าย Sony ที่เป็นคำตอบสำหรับผู้ชายอยากเลี้ยงหมาแบบพวกเรา ออกแบบมาเพื่อเป็นหุ่นยนต์แก้เหงาที่ผ่านการอัพเกรดมาจาก Aibo เวอร์ชั่นเก่าในปี 1999 – 2006 ซึ่งต้องบอกว่าเทคโนโลยีในยุคนั้นอาจจะไม่สามารถสร้าง Aibo ที่เฉลียวฉลาดได้มากนัก เมื่อเทคโนโลยีหุ่นยนต์ได้รับการพัฒนามาไกลถึงวันนี้ Sony จึงได้ปรับเปลี่ยนโฉมหน้าให้น่ารักน่าซื้อมากขึ้น และเพิ่มความสามารถเข้าไปใหม่ราวกับเป็นสุนัขคนละตัว 2018 Sony Aibo Robot Dog โฉมใหม่จะสามารถเล่นกับเจ้าของได้มากขึ้น การเคลื่อนไหวและเสียงร้องที่เป็นธรรมชาติ มีการเพิ่ม T-ouch Sensor สำหรับสื่อสารยามที่เราสัมผัสลูบไล้ตัวมัน พร้อม Facial Recognition สำหรับจดจำโฉมหน้าเจ้าของ ซึ่งจะช่วยให้มันทักทาย แสดงท่าทางที่แตกต่างจากคนอื่น และ Camera Mapping สำหรับจดจำมุมต่าง ๆ
เห็นป้ายโลโก้ Bugatti เปิดตัวรถรุ่นใหม่ทีไร สิ่งแรกที่หลายคนอยากรู้คือราคาเท่าไหร่ และวิ่งได้เร็วแค่ไหน ซึ่ง Bugatti Divo คันนี้มีราคา $6 ล้านเหรียญ แพงเป็น 2 เท่าของ Chiron ที่ $3 ล้านเหรียญ แต่มันไม่ได้วิ่งได้เร็วกว่าโมเดลเก่าเลย แต่ถึงกระนั้น Divo ก็สามารถทำความเร็วได้ถึง 380 km/h ซึ่งเจ้าของรถส่วนใหญ่น่าจะกดไม่ถึง Top Speed อยู่แล้ว สิ่งที่พิเศษกว่าใน Divo คือความเป็นรถที่สมบูรณ์แบบในทุกด้าน และสามารถพิชิตได้ทุกโค้งในทุกย่านความเร็ว เพราะมันถูก set up ให้มีบาลานซ์ในการขับขี่ที่สุดยอดกว่าที่ผ่านมา แน่นอนว่า Bugatti Divo แชร์โครงสร้างพื้นฐานมาจากรุ่นพี่ Chiron รวมถึงเครื่องยนต์ 8.0-liter W16 1,500 แรงม้า เช่นเดียวกัน แต่ Divo ได้ผ่านกระบวนการลดน้ำหนักลงด้วยการใช้ตัวถัง Carbon Fiber ไปกว่า 50 กิโลกรัม และมีการออกแบบ
ทุกวันนี้การถ่ายภาพกลายเป็นหนึ่งในกิจวัตรพื้นฐานที่ผู้ชายอย่างเราต้องทำทุกวัน ถ้าไม่ถ่ายเพื่อใช้งานเองส่วนตัว ก็ต้องถือถ่ายให้คนอื่น ดังนั้นสมาร์ตโฟนจึงเป็นอุปกรณ์สำคัญที่เราต้องใช้ถ่ายภาพอยู่เสมอ แต่บางครั้งสมาร์ตโฟนที่เราเลือกมาก็ไม่ได้ออกแบบมาให้มีคุณสมบัติถ่ายรูปได้เฉียบเท่ากับรุ่นใหม่ ๆ ที่สร้างฟังก์ชันมาเพื่อการถ่ายรูปโดยเฉพาะ ล่าสุดจึงมีคนรู้ใจออกแบบเคสโทรศัพท์มาเพื่อแก้ปัญหานี้โดยเฉพาะ เราจะได้ไม่ต้องเปลี่ยนมือถือเครื่องใหม่ทั้งที่เครื่องเก่าก็ยังใช้งานได้ดีเพราะติดปัญหาเรื่องกล้อง Pictar คือเคสอุปกรณ์เสริมที่สามารถเปลี่ยนโทรศัพท์เครื่องเดิมที่ถ่ายรูปแสนห่วย noise กระจายของเราให้กลายเป็น DSLR ตัวย่อมได้ทันทีที่ใช้ เพื่อให้เราสามารถถ่ายภาพทั่วไปหรือเซลฟี่ได้ดียิ่งขึ้นเพียงแค่สวมทับ ไม่เพียงแค่คุณภาพและฟังก์ชันที่ติดมากับอุปกรณ์ แต่สัมผัสการใช้งานเองก็ยังเลียนแบบออกมาเสียเหมือน เพราะมีกริ๊ฟสำหรับจับกันลื่น ช่วยกันกระแทกเวลาเครื่องหล่นได้ แถมปุ่มด้านบนให้หมุนปรับเลือกฟังก์ชันการถ่ายภาพได้แบบเดียวกับการใช้ DSLR ตั้งค่าได้หมดเนื่องจากมีโหมดไว้ปรับทั้งแสง การซูม หรือค่า ISO ตามต้องการ นอกจากนี้ วิธีเชื่อมอุปกรณ์เพื่อใช้งานยังเป็นการทำงานผ่านคลื่นเสียงความถี่สูงที่เกิดจากการกดปุ่ม โดยแต่ละปุ่มจะให้เสียงต่างกันและซิงค์กับโหมดการใช้งาน จึงทำให้ไม่ดึงพลังงานแบตเตอรี่จากสมาร์ตโฟนของเราระหว่างการใช้งานด้วย เลยเป็นข้อดีที่พวกเราสามารถใช้งานได้แบบไม่ต้องกลัวว่าจะถ่ายภาพสะดุดเพราะแบตฯ หมด สำหรับสายเดินทางที่อยากตั้งกล้องถ่ายแลนสเคปสวย ๆ เพราะกลัวมือสั่น หรือเก็บภาพกลางคืน ทาง Pictar ก็ยังออกแบบทั้งขาตั้งกล้อง แฟลชแยก และไมโครโฟน (กรณีที่เราอยากถ่ายวิดีโอ) มาขายเป็นอุปกรณ์เสริมเพื่อใช้คู่กัน เรียกได้ว่าเลียนแบบ DSLR จริงมาทุกกระเบียดนิ้ว ใครอยากจะเสริมตัวไหนก็เลือกไปใช้คู่กันได้เลย ส่วนใครที่อยากเปรียบเทียบว่าการใช้งานของมันจะดีสมราคาจริงหรือเปล่า ลองดูวิธีใช้งานได้จากจริงด้วยคลิปด้านล่างนี้จะเห็นภาพชัดกว่า ท้ายนี้ ถ้าใครอยากได้ไว้ในครอบครองแนะนำว่าต้องรีบซื้อในเว็บไซต์ของ The Mashable shop
การถ่ายรูปจะออกมาดีหรือไม่ดี จริงอยู่ว่าขึ้นอยู่กับคนถ่ายเป็นหลัก แต่กล้องที่ดีก็มีส่วนช่วยได้มากไม่แพ้กัน นี่เป็นเหตุผลที่หลายคนยอมจ่ายเงินหลายแสนบาทให้กับกล้อง Leica และโมเดลล่าสุดในตระกูล M Camera อย่าง Leica M10 ก็ได้กระแสตอบรับดีไม่น้อย ซึ่งถ้าเทียบประสิทธิภาพของ Full-frame Sensor ในบอดี้ขนาด Compact คงยากจะหาใครมาเอาชนะได้ อย่างน้อยก็ในด้านความคมและคาแรคเตอร์ที่ชัดเจน เป็นธรรมเนียมที่ Leica จะปล่อยเวอร์ชั่นอัพเกรดตามออกมาภายในระยะเวลา 1 ปี และวันนี้ก็ถึงเวลาของ Leica M10-P ราคา $7,995 แพงขึ้นจากเดิม $700 ที่แม้จะมีการพัฒนาจาก M10 ปัจจุบันไม่มากนัก แต่ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่ยังไม่ได้จ่ายเงินสองแสนกว่าบาทให้กับ M10 ที่เหลือก็อยู่ที่ความแตกต่างว่าสิ่งที่เพิ่มขึ้นมา เป็นสิ่งที่คุณยินดีจะจ่ายเงินเพิ่มหรือไม่ สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาใน M10-P นั้น ยอมรับเลยว่ามีไม่มาก เรียกว่าคนใช้ M10 โล่งอกไปตาม ๆ กัน ภายนอกสังเกตความแตกต่างได้จากการย้าย Leica Red Dot ออกไป มีการสลักโลโก้ Leica ไว้บน
ในโลกที่เทคโนโลยีกำลังแย่งพื้นที่ของการใช้ชีวิตแบบดั้งเดิมไป เรากลับชอบแนวคิดของ Tesla ที่ไม่ได้ต้องการผลิตรถยนต์มหัศจรรย์จนเปลี่ยนวิธีใช้งานในชีวิตประจำวันของพวกเรา สิ่งที่ Elon Musk ทำเป็นเพียงการพัฒนาสิ่งที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น ซึ่ง Clay Alexander CEO ของ Ember บริษัทเจ้าของแก้วกาแฟอัจฉริยะก็ชื่นชอบเช่นกัน และใช้แนวคิดเดียวกันในการพัฒนาแก้วและมักกาแฟที่สามารถคงอุณหภูมิกาแฟได้ตลอด คนรักกาแฟย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่ากาแฟที่เพิ่งชงเสร็จใหม่ ๆ มักจะมีร้อนเกินไป ทำให้รสชาติไม่ดี และระหว่างที่เรานั่งรอให้กาแฟเย็นด้วยธุระจุกจิก เรากลับพบว่ากาแฟมันได้เย็นเกินไปซะแล้ว ซึ่งไม่น่ารื่นรมย์นักถึงขนาดต้องเททิ้ง และการดื่มกาแฟ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์พิศดารอะไรมากมายนัก นอกจากแก้วและมักที่การใช้งานเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือระบบการคุมอุณหภูมิของ Ember ที่ยากจะลอกเลียนแบบ ถามนักกาแฟว่าอุณหภูมิที่ดีที่สุดในการดื่มคือเท่าไหร่ เกือบทุกคนจะต้องตอบว่า 50°C – 62.5°C ซึ่งเป็นอุณหภูมิ Default ที่ Ember Ceremic Mug ตั้งเอาไว้ให้ หรือจะเลือกปรับอุณหภูมิตามที่ต้องการในกรณีที่บางเมล็ดกาแฟต้องการร้อนกว่าหรือเย็นกว่าก็สามารถทำได้ และจะคงอยู่เท่านั้นตลอดไปจนกว่าแบตเตอรี่จะหมด เราจึงมั่นใจได้ว่าเมล็ดกาแฟราคาแพงที่หอบหิ้วมาจากต่างแดนจะไม่ถูกทิ้งอย่างเสียเปล่าอีกต่อไป ดูจากภายนอกแบบไม่สังเกตอาจจะไม่รู้ว่าแก้วกาแฟ Ember มีอะไรพิเศษต่างจากแก้วทั่วไปนอกจากดวงไฟ LED ด้านล่าง ซึ่งกว่าจะคิดค้นเทคโนโลยีและออกแบบให้ดูเหมือนแก้วกาแฟแบบนี้ได้นั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย โดย Ember Ceremic Mug
รถยนต์และผู้ชายแยกออกจากกันไม่ได้เพราะมันคือสัญชาตญาณที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด สังเกตได้จากทุก ๆ ครั้งที่ Supercar คันงามเคลื่อนตัวผ่านไปด้วยความเร็ว เสียงของเครื่องยนต์มันจะกระตุ้นให้หัวใจเต้นรัว เลือดลมสูบฉีด จนเราต้องหันไปมองตามแบบอัตโนมัติเสมอ แต่ถ้าพูดถึง รถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ Electric Car ผู้ชายอย่างเรากลับพากันเบือนหน้าหนี Say No กันเป็นแถบ เพราะภาพลักษณ์ของคอนเซ็ปต์รักโลก ทำให้จินตนาการแทบไม่ออกว่าจะทำความเร็วได้สะใจแค่ไหน เสียงมอเตอร์ไฟฟ้าจะมันส์เท่าเสียงเครื่องยนต์เผาไหม้ได้ยังไง แต่วันนี้กรอบความคิดเก่า ๆ นั้นจะถูกทลายลงด้วยพระเอกจากสองโลก Vanda Dendrobium หลังจาก Vanda Electrics บริษัทด้านนวัตกรรมการขนส่งและไฟฟ้าสัญชาติสิงคโปร์เปิดตัวโมเดลรถต้นแบบของ Vanda Dendrobium ในงาน Geneva International Motor Show 2017 พร้อมกับเสียงตอบรับในด้านบวกมากมาย แต่ของในฝันมักต้องรอคอยเสมอ เมื่อ Vanda Electrics ได้ทิ้งคอนเซ็ปต์คร่าว ๆ เรียกน้ำย่อยไว้ แต่กลับเงียบหายไปเกือบ 1 ปีเต็ม ๆ จนในที่สุด Larissa Tan ซีอีโอของ Vanda Electrics ได้ออกมายืนยันแล้วว่ากำลังจะเริ่มพัฒนาและสร้าง