หนึ่งในคำถามแรกสุดของการสัมภาษณ์งานแต่ละครั้งคงหนีไม่พ้น “แนะนำตัวเองหน่อยครับ” หรือ “เล่าเรื่องของคุณให้เราฟังหน่อยค่ะ” แม้จะดูเป็นคำถามสุดพื้นฐานและง่ายแสนง่ายเพราะก็แค่บรรยายความเป็นตัวเองให้เขาฟัง แต่หลายต่อหลายคนก็ตกม้าตายเพราะไม่รู้ว่าจะทำให้การแนะนำตัวเองนี้มันน่าสนใจหรือแตกต่างจากคนอื่นได้อย่างไร ? แค่แนะนำชื่อ นามสกุล จบจากที่ไหน ทำงานอะไรมา มีประสบการณ์แค่ไหนอาจจะเพียงพอสำหรับการให้ข้อมูล แต่การเริ่มต้นแบบที่แตกต่างจะสร้างความประทับใจและทำให้คุณได้เปรียบผู้เข้าสมัครคนอื่น ๆ แบบไม่เห็นฝุ่นแน่นอน “ผมสามารถสรุปความเป็นตัวเองได้ใน 3 คำ” : ดึงความสนใจจากคนสัมภาษณ์มาอย่างรวดเร็วด้วยการบอกเขาว่า ไม่ต้องฟังอะไรให้ยืดยาวแต่อย่างใด เริ่มต้นด้วยคำที่บ่งบอกความเป็นตัวคุณได้อยู่หมัดและสร้างสรรค์ เป็นการปล่อยหมัดฮุกเด็ดให้เขาอยากถามเราต่อไปว่าทำไมเราถึงเลือก 3 คำนี้ “โควตที่ผมใช้ในการดำรงชีวิตเสมอมาก็คือ …” : ยกโควตของคนดัง คนประสบความสำเร็จ (จะดีมากถ้าเป็นสายงานเดียวกับคุณ) หรือใครก็ได้ขึ้นมา เพื่อบอกให้เขารู้ว่านี่แหละคือวิถีที่คุณยึดถือมาตลอด วิธีการเลือกโควตที่ใช่ของคุณ หรือคนที่กล่าวโควตนั้นออกมามีผลอย่างมากต่อวิธีที่คนสัมภาษณ์จะมองคุณ ดีกว่าบอกลอย ๆ ว่าคุณเชื่ออะไร หรือดำรงชีวิตแบบไหน แต่ให้คำพูดของคนที่คุณยึดถือมาช่วยบอกด้วยกลาย ๆ “ปรัชญาส่วนตัวของผมคือ…” : การบอกปรัชญาในการใช้ชีวิตของตัวเองเป็นการบอกให้คนสัมภาษณ์รู้ว่าคุณไม่ได้แค่ใช้ชีวิต ทำงาน แล้วปล่อยให้วันเวลาไหลไปเรื่อย ๆ แต่คุณมีปรัชญาหลักที่คุณยึดถือ คุณเป็นนักคิด เป็นนักไตร่ตรอง และคุณจะใช้ชีวิตเพื่อบรรลุถึงปรัชญาที่คุณตั้งไว้ ไม่ใช่ใช้ชีวิตไปวัน ๆ “คนที่รู้จักผมดีมักจะบอกว่าผมเป็นคน…” :
เป็นเรื่องปกติที่เราจะย้ายงานเพื่อแสวงหาความก้าวหน้าให้ชีวิต แต่การเดินเข้าไปทำงานในออฟฟิศใหม่ แม้จะผ่านมากี่ครั้งก็ยังไม่ใช่เรื่องที่ผู้ชายอกสามศอกอย่างเราจะชินได้ง่าย ๆ ไหนจะเพื่อนที่ทำงานที่เรายังไม่รู้ว่าจะมาไม้ไหนรออยู่บ้าง วัฒนธรรมในองค์กรที่แต่ละที่ก็ไม่เหมือนกันและต้องใช้เวลาปรับตัว แต่ที่สำคัญที่สุดก็คงไม่พ้นการดีลกับบอสคนใหม่ว่าจะทำอีท่าไหนให้บอสเขาประทับใจในตัวเราตั้งแต่วันแรก ๆ เพราะจะผ่านโปรฯ หรือไม่ผ่านโปรฯ ก็บอสนี่แหละที่จะเป็นคนประเมินเรา ดังนั้นสร้างความประทับใจไว้ตั้งแต่แรกพบจึงเป็นเรื่องที่ควรทำ แต่ถ้าไม่รู้จะทำยังไงเราก็เอา 6 หนทางต่อไปนี้มาฝาก ถามคำถามถูกใจ คุณจะได้ไปต่อ หลายครั้งในฐานะพนักงานใหม่ขององค์กร เรารู้สึกว่าเราต้องแสดงความเป็นมืออาชีพ ความเป็นผู้เชี่ยวชาญ ด้วยการแสดงออกว่าเรารู้รอบครอบจักรวาลเกี่ยวกับหน้าที่การงานและตำแหน่งของเราดีอยู่แล้ว และเรารู้สึกไปเองว่าการถามคำถามกับบอสหรือคนรอบ ๆ กายจะดูเป็นพ่อไก่อ่อนที่ดูไม่รู้เรื่องรู้ราวเอาซะเลย ซึ่งมันไม่ใช่หนทางที่ถูกเสมอไปเพื่อน! การถามคำถามที่ถูกต้อง (ไม่ใช่คำถามจ้อกแจ้กชวนนินทาคนอื่น) เป็นเรื่องที่สร้างความประทับใจให้บอสมาก ๆ Bryce Welker CEO ขององค์กรหนึ่งเปิดเผยว่าเขาชื่นชมพนักงานที่แสดงความปรารถนาที่จะรู้เรื่องงานและบริษัทของตัวเองมากขึ้น โดยเขาเล่าว่าครั้งหนึ่งที่เขารับพนักงานใหม่เข้ามาพนักงานคนนั้นได้สร้างความประทับใจให้เขาโดยการถามคำถามที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับลักษณะการดำเนินธุรกิจของบริษัท เขาให้ความเห็นเพิ่มเติมว่าการทำงานดีก็เป็นเรื่องที่ดี แต่การที่เพิ่งเข้ามาแล้วถามคำถามที่แสดงให้เห็นว่าเขามีความตั้งใจจะเรียนรู้เพิ่มเติมเรื่องบริษัทของ Bryce Welker นั้นเป็นเรื่องที่น่าประทับใจมาก ๆ ไม่ใช่แค่ตั้งคำถาม แต่มีทางออกให้ด้วย บางทีการตั้งคำถามฉลาด ๆ ก็สร้างความประทับใจได้เพียง 1 ขั้นเท่านั้น แต่ถ้าจะสร้างความประทับใจแบบคูณ 2 ก็ต้องหาหนทางแก้ไขปัญหาหรือคำถามที่เราโยนลงไปได้ด้วย เช่น ถ้าเราถามว่าทำไมที่นี่ถึงใช้วิธีการเจรจาทางธุรกิจแบบนี้ครับ? มันมีข้อเสียอะไรบ้างหรือเปล่า? โอเค เราแสดงความสนใจเรื่องบริษัทอย่างลึกซึ้งไปแล้ว
ฝึกโหดอย่างหน่วย SEAL เขารับแรงกดดันกันอย่างไร?
เมื่ออุปสรรควิ่งเข้าใส่ คนส่วนใหญ่หมดเวลากับการวิ่งหนีมัน ซึ่งถ้าหลบหลีกสำเร็จสิ่งที่เราได้กลับมาก็มีแค่ความโล่งใจที่รอดเรื่องนี้ไปได้แบบจวนตัวครั้งต่อครั้ง พอเจอกำแพงแห่งใหม่เราก็ต้องวิ่งหลบมันไปเรื่อย ๆ แม้ไม่เจ็บตัวแต่ก็ไม่ได้อะไรกลับมา แต่ UNLOCKMEN อยากให้คุณลองเผชิญหน้ากับกำแพงสักครั้ง เดินเข้าไปจ้องตากับปัญหาตรง ๆ แล้วเราจะรู้ว่าเส้นทางที่ดูเหมือน “ตัน” มันมีรางวัลที่ไม่สามารถซื้อขายได้จากที่ไหน ซึ่งจะเป็นสเตปสร้างคนตัวเล็กอย่างเราให้กลายเป็นคนยิ่งใหญ่เหนือคนอื่น! UNLOCKMEN ขอแนะนำ 5 อุปสรรคที่คุณต้องยิ้มรับและวิ่งเข้าชาร์ตเมื่อเจอมันไม่ว่ามันจะน่ากลัวขนาดไหน เพราะเมื่อคุณเอาชนะมันได้มันจะตอบแทนคุณด้วยผลลัพธ์เกินคาด อุปสรรคแห่ง “ความห่วย” ปัญหาแรกที่เราทุกคนต้องเจอคือ “ความห่วย” ยอมรับกันตรง ๆ ว่าเราทุกคนไม่ได้เก่งไปทุกอย่าง อย่างที่มีคนบอกไว้ว่าคนเก่งวิทย์อาจจะไม่เก่งภาษา แต่ถามว่าคนที่เก่งทั้ง 2 อย่างมีไหม มันก็มี ซึ่งเขาอาจจะไม่ได้เก่งมาตั้งแต่เกิด แต่เมื่อเจอปัญหาเรื่องทักษะไม่ถึง ก็แค่ปรับมุมมองมาตั้งหลักความคิดเชิงรุก วันนี้กูไม่เก่ง คำตอบมันง่ายมาก “มึงก็แค่ต้องทำให้ตัวเองเก่ง” ดังนั้น การเข้าคอร์สหรือแบ่งเวลาไปพัฒนาตัวเองตั้งแต่วันนี้จะดีกว่า เพราะสิ่งที่ได้กลับมามันไม่ใช่แค่ทักษะแต่เป็นโอกาสในการใช้ชีวิต งานที่ดี และการมีคุณภาพชีวิตที่ดี อุปสรรคแห่ง “ความยาก” ความยากมันเหมือนยาขม หลายคนรู้ว่างานหรือสิ่งที่กำลังทำอยู่ ทำให้มันพ้น ๆ ไป มันได้ผลดีเหมือนกัน แต่ถ้าเติมความยุ่งยากอีกหน่อย ผลลัพธ์มันจะดีกว่าเดิมเยอะ
“งานโคตรยุ่งเลยว่ะ ไม่มีเวลาทำอย่างอื่นเลย” นี่เป็นข้ออ้างอันดับต้น ๆ ของผู้ชายที่ Work Hard Play Hard ซึ่งข้ออ้างง่าย ๆ นี้ทำให้เราพลาดอะไรหลายต่อหลายอย่างในชีวิตแบบไม่รู้ตัว เราพลาดเวลาออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดี เราพลาดเวลาไปเฮฮากับเพื่อนฝูงเพื่อความสัมพันธ์ที่ดี เราพลาดเวลาทำสิ่งที่เราชอบเพื่อเติมเต็มความฝัน เราพลาดแทบทุกอย่างในชีวิตเพียงเพราะคำว่า “ไม่มีเวลา” เคยถามตัวเองบ้างไหมว่าที่ “ไม่มีเวลา” จริง ๆ หรือเราแค่ตัดโอกาสตัวเองออกจากสิ่งต่าง ๆ อย่างคนขี้แพ้กันแน่? UNLOCKMEN บอกได้เลยว่าหลังจากที่อ่านเรื่องราวการจัดสรรเวลา“กฎ 168 ชั่วโมงต่ออาทิตย์” นี้จบ เราจะมอง “เวลาในชีวิต” ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ประหยัดเวลาเพื่อมีเวลา? Laura Vanderkam คือนักเขียนผู้เชี่ยวชาญเรื่องการบริหารเวลา เรื่องราวของเธอโคตรน่าสนใจ ตอนแรกเธอก็ดั้นด้นพยายามหาเวลาเพิ่มเหมือนเรา ๆ ทุกคนนี่แหละ โดยทริคที่เธอสนใจก็คือการประหยัดเวลาเพื่อเพิ่มเวลา สมมติว่าเราซื้ออาหารสำเร็จรูปมาอุ่นแล้วมันเขียนว่าอุ่น 3-4 นาที เราก็อุ่นมันแค่ 3 นาที เพื่อประหยัดเวลา 1 นาทีไว้ไปทำอย่างอื่น หรือถ้าเราติดละครสักเรื่องแทนที่จะดูมันฉายทางโทรทัศน์สด ๆ เราก็ดูย้อนหลังแทน เพราะจะประหยัดเวลาที่ต้องเสียไปกับการดูโฆษณาได้รวม ๆ
เหมือนเป็นธรรมเนียมประจำปีไปแล้วที่ Forbes ต้องจัดอันดับมหาเศรษฐีระดับโลก แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าบรรดาคนมีตังค์ล้นฟ้าเหล่านั้นก็คือบรรดาคนมีตังค์ที่อายุยังน้อย จนเรียกได้ว่าอายุน้อยหลายร้อยหลายพันล้านดอลลาร์ที่แท้จริง โฉมหน้าพวกเขาจะเป็นอย่างไร? และเขาทำอะไรกันบ้าง UNLOCKMEN ชวนมาอัปเดตไว้เป็นแรงบันดาลใจให้ฮึดสู้ฟัดเผื่อจะรวยให้ได้เสี้ยวของเขาขึ้นมาบ้าง สำหรับมหาเศรษฐีที่เด็กที่สุด 3 ลำดับแรกล้วนแต่เป็นชาวนอร์เวย์ สำหรับคนที่เด็กที่สุดนั้นมีอายุเพียง 21 ปีเท่านั้น เธอคือ Alexandra Andresen โดยมีทรัพย์สินจำนวน 1.4 พันล้านดอลลาร์ ส่วนที่เหลือจะเป็นใครบ้างนั้นเราจะพามารู้จักพวกเขาไปพร้อม ๆ กัน John Collison, 27 ปี — $1 พันล้าน John Collison เป็นนักลงทุนชาวไอริชผู้ร่วมก่อตั้ง Stripe ซึ่งเป็นบริษัทออนไลน์เพย์เมนต์ที่ตั้งอยู่ที่ซานฟรานซิสโก John Collison เริ่มมีไอเดียที่จะทำบริษัท Stripe กับพี่ชายของเขาตั้งแต่เรียนอยู่ในวิทยาลัยที่บอสตัน จนกระทั่งบริษัทของเขาก่อตั้งขึ้นได้สำเร็จในปี 2011 ซึ่งขณะนั้นบริษัทยังไม่เป็นที่รู้จักเนื่องจากเขาไม่ได้ขายอะไรที่เป็นสินค้าที่บริโภคได้ แต่เป็นระบบซอฟต์แวร์ที่จะขายให้บริษัททั่วโลกติดตั้งแล้วสามารถทำธุรกรรมออนไลน์ได้ แต่ล่าสุดเขาก็มีลูกค้ากว่า 100,000 รายทั่วโลก และได้รับตำแหน่งมหาเศรษฐีพันล้านที่รวยที่สุดคนหนึ่งไปแล้ว Evan Spiegel, 27 ปี — $4.1
ไม่มีใครที่ต้องการให้งานล่ามขาตลอดเวลา เพื่อน ๆ ชาว UNLOCKMEN ส่วนใหญ่เองก็คิดว่าการผูกชีวิตกว่า 8 ชั่วโมงไว้ในออฟฟิศมันไร้อิสรภาพและไร้สาระสิ้นดี เราเองก็เห็นด้วยเพราะมันมีการบริหารเวลาที่ได้ผลและได้งานมากกว่าอย่างที่เราเคยบอกไว้ แต่นั่นมันเป็นปัญหาเฉพาะเรื่องเวลา อย่าเพิ่งเอามันมาเหมารวมกับการปรับเปลี่ยนสถานที่ทำงานขวัญใจมหาชนของคนยุคนี้ตามคำยอดฮิตว่า “ทำงานที่ไหนก็ได้” หรือการไม่เข้าออฟฟิศแล้วทำงานจากที่บ้านนั่นล่ะ เพราะแม้จะมีคนออกมาบอกข้อดีจำนวนมหาศาล อย่างการแอบงีบเพิ่มพลังตอนไหนก็ได้ เลือกเวลาทำงานได้ ไม่ต้องเดินทาง ลดความเครียด ฯลฯ แต่ความจริงมันอาจเป็นเพียงการนำเสนอข้อมูลด้านเดียว เพราะนักวิจัยจากองค์การแรงงานระหว่างประเทศองค์การสหประชาชาติ (UN’s International Labour Organisation) เขาออกมาเผยผลวิจัยแล้วว่าด้านเสียของมันก็มีนะนาย “ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน” น่าจะเป็นคำอธิบายได้ดีที่สุด เพราะด้านเสียที่ ILO ออกมาบอกมันคือ “การนอนไม่หลับและการเพิ่มระดับความเครียด” หรือไอ้สิ่งที่พวกเราเพิ่งบอกไปว่าจะทำเพื่อหนีมันทุกวิถีทาง โดยได้จากผลจากศึกษาจากพฤติกรรมของมนุษย์ทำงานที่บ้าน 15 ประเทศ ได้แก่ สหราชอาณาจักร, เบลเยี่ยม, ฝรั่งเศส, ฟินแลนด์, เยอรมนี, ฮังการี, อิตาลี, เนเธอร์แลนด์, สเปน, สวีเดน, อาเจนตินา, บราซิล, อินเดีย, ญี่ปุ่น และอเมริกา แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
การใช้ชีวิตบนโลกสุดท้าทายใบนี้ต้องใช้ ‘พลังงาน’ มากมายเป็นแรงขับเคลื่อน ต้องใช้ ‘passion’ แรงกล้าในการผลักดันตัวเอง ต้องใช้ ‘ความกล้า’ ขั้นสุดในการเผชิญทุกสิ่งที่ขวางหน้า และต้องมี ‘Positive thinking’ ที่จะช่วยเปลี่ยนพลังจากข้างในให้กลายเป็นความจริงขึ้นมาได้ ทีมงาน UNLOCKMEN มีโอกาสได้พูดคุยกับชายที่มีทุกข้อที่กล่าวมาอย่างเหลือล้น และได้สัมผัสตัวตนทางความคิดของเขาในแบบที่เราไม่เคยรู้มาก่อน จนหายสงสัยไปเลยว่าทำไมชายที่ชื่อว่า ‘วู้ดดี้’ วุฒิธร มิลินทจินดา ถึงได้ทรงพลังขนาดนี้ ทรงพลังขนาดที่ว่า ทุกคนที่ได้อยู่รอบตัวของเค้า จะต้องซึมซับเอาพลังงานบวก เอาแรงบันดาลใจ เข้ามาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าถามว่าคุยกับใครแล้วถึงกับขนลุก พูดแบบไม่โอเวอร์เลยว่า การคุยกับคุณวู้ดดี้ ให้ความรู้สึกแบบนั้นได้จริง ๆ เรารู้จักคุณวู้ดดี้ในฐานะผู้ดำเนินรายการ ‘Woody World’ เรียลลิตี้ทอล์กโชว์สุด exclusive ที่ออกอากาศทุกคืนวันอาทิตย์ เวลา 22.15 – 23.30 น. ทางช่อง Workpoint 23 รวมถึงแพลตฟอร์มอื่นอย่าง Facebook และ YouTube นอกจากนี้ยังมีรายการสร้างแรงบันดาลใจในการเปลี่ยนตัวเองไปในทางที่ดีขึ้นอย่าง ‘คนแปลงร่าง’ ส่วนงานนอกจอที่โดดเด่นก็คือการจัดเทศกาลดนตรี ‘S2O’ อีเว้นต์สุดมันส์วันสงกรานต์ที่ใครหลายคนเคยไป นั้นคือสิ่งที่ทุกคนมองเห็น แต่สิ่งที่เขาเป็นคืออะไร ? “ผมคือนักวิทยาศาสตร์” เรามาเยือนคุณวู้ดดี้ถึงโลกของเขา ที่ บริษัท วู้ดดี้เวิลด์ จำกัด อาณาจักรที่เขากับทีมงานสร้างสรรค์ผลงานออกสู่ภายนอก
สมัครเข้าบริษัทไหน ๆ เขาก็ยืนยันชัดเจนว่าเวลาทำงานต้อง 8 ชัวโมงเป๊ะ บวกกับเวลาพักกินข้าว 1 ชั่วโมง เท่ากับ 9 ชั่วโมงทำงานและพักที่ผู้ชายอย่างเราต้องใช้ไป แต่เคยสงสัยไหมว่าไอ้วิธีการทำงานด้วยสัดส่วนแบบนี้มันเวิร์คจริง ๆ หรือ? มันทำให้ประสิทธิภาพการทำงานพุ่งกระฉูดได้สุดจริงหรือเปล่า? UNLOCKMEN ประกาศตรงนี้เลยแล้วกันว่า “ไม่จริง!” แล้วมันต้องทำงานแบบไหนที่ผู้ชายอย่างเราจะได้งานอย่างจริงจัง? วิธีคิดเรื่องการทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวันไม่ใช่แค่เป็นความคิดสุดล้าสมัย (ที่ใคร ๆ ก็ยังใช้อยู่) แต่ยังไม่ได้ผลการทำงานอย่างเต็มที่อีกด้วย แต่ถ้าเราสงสัยว่า “อ้าว ถ้ามันไม่เวิร์คแล้วมันมีที่มาจากไหนล่ะ?” คำตอบที่จะมอบให้ก็ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยปฏิวัติอุตสาหกรรมช่วง ค.ศ. 1750 ถึง ค.ศ. 1850 นู่นเลย กฎการทำงาน 8 ชั่วโมง ถูกกำหนดขึ้นมาเนื่องจาก แรงงานในโรงงานต้องทำงานห่ามรุ่งหามค่ำอย่างไม่เป็นธรรม การทำงาน 8 ชั่วโมงจึงถูกกำหนดขึ้นมาเพื่อกำหนดการทำงานอย่างมีมนุษยธรรมมากขึ้น แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในปัจจุบันแต่อย่างใด พูดง่าย ๆ ว่าวิธีการทำงานที่คิดขึ้นเมื่อ 2-3 ร้อยปีก่อน นอกจากมันจะไม่เวิร์คแล้ว มันยังฉุดรั้งการทำงานของเราอีกด้วย โดยการศึกษาของบริษัท Draugiem Group
บทความนี้สร้างสรรค์ขึ้นให้กับคนที่ท่อความคิดกำลังตันกระจุกเป็นคอขวดเหมือนการจราจรช่วง prime time แต่เจ้านายดัน assign มาให้ช่วยคิดให้หน่อยเพราะหวังพึ่งความครีเอทของพวกเรา หรือบรรดาฟรีแลนซ์ทั้งหลายที่ลูกค้าแสนดีมีบรีฟแน่นแล้วอยากให้คุณช่วยแปลงบรีฟให้ออกมาเป็นเรื่องเฉียบเหมือนไม่เคยปรากฏมาก่อนในจักรวาลแห่งนี้ ไม่ต้องไปบนบานศาลกล่าวที่ไหน เพราะเราเอามาแบ่งแล้วที่นี่ แต่ก่อนอื่นอธิบายหลักการก่อน ว่าทำไมความคิดตันมันสร้างได้ งานนี้เราไม่ได้มโนขึ้นมาแต่มีวิทยาศาสตร์มารองรับ เขาบอกว่าจริง ๆ แล้วเบื้องหลังความคิดสร้างสรรค์ของเรามันมีที่มา สมองของเราจะมีคลื่นสมองสำหรับสร้างไอเดียที่มีชื่อว่า “Theta wave” (ความถี่ระหว่าง 4 – 7.9 Hz) เป็นคลื่นความถี่ต่ำที่ช่วยสร้างความคิดสร้างสรรค์ เพราะฉะนั้น 4 วิธีที่เราเอามาฝากต่อไปนี้มันก็คือวิธีปลุกขุมพลังสร้างคลื่นความถี่ตัวนี้นั่นเอง 1. ใช้สมอง นั่งสมาธิ วิถีของอิคคิวซังในการ์ตูนมันไม่ใช่เรื่องหลอก การนั่งสมาธิมันจะนำเราไปสู่การสร้าง Theta State ซึ่งพาเราเข้าไปเชื่อมถึงจิตใต้สำนึก แล้วการนั่งสมาธิหรือการตั้งจิตให้เกิดสมาธิมันก็เป็นกิจกรรมที่เราทำได้ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือที่ทำงาน ถามว่าเราจะเชื่อมจิตใต้สำนึกไปเพื่ออะไร ก็เพื่อไปค้นไอเดียไง ไอเดียมันซ่อนอยู่ในนั้น แต่แทคติกนี้บอกก่อนว่ามันจะใช้ไม่ได้ถ้าเราเครียด หรือจิตไม่สงบเอาเสียเลย คำเตือนคือข้อนี้ทำงานแบบไก่กับไข่ ว่าง่าย ๆ คือไม่ร้อนรน ปล่อยชิล เดี๋ยวก็ได้ไอเดีย แต่ถ้าใครรู้ตัวว่าฝึกจิตให้ทำงานทันใจไม่ได้ ยิ่งตั้งสมาธิยิ่งชิบหาย แล้วกูก็รีบเหลือเกิน แอบไปฝึกวิธีนี้ที่บ้านตอนว่าง ๆ ให้ชิน