การสำรวจอวกาศไม่เคยเป็นเรื่องที่ง่ายดาย และความผิดพลาดก็พร้อมจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะในยุคการออกเดินทางไปดวงจันทร์ของโครงการอพอลโล ที่แม้ว่าภารกิจการลงดวงจันทร์ครั้งแรกจะผ่านไปได้ด้วยดี แต่ในครั้งที่ตามมาอย่างอพอลโล 12 และ 13 ล้วนประสบปัญหาที่เสี่ยงต่อการยกเลิกภารกิจ และร้ายแรงที่สุดถึงขั้นที่อาจทำให้เสียชีวิตได้เลย ทว่าด้วยความสามารถในการแก้ไขปัญหาอย่างชาญฉลาดของทีมภาคพื้นดิน ก็ทำให้ภารกิจสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างปลอดภัย และหนึ่งในนั้นก็คือ John Aaron ชายผู้เป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยรักษาภารกิจและชีวิตของลูกเรือไว้ได้ John Aaron เข้าทำงานที่ NASA เมื่อปีค.ศ. 1964 จากคำแนะนำของเพื่อน และได้รับการฝึกให้ทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ EECOM ซึ่งก็คือเจ้าหน้าที่ควบคุมและดูแลระบบไฟฟ้า สภาพแวดล้อม และการสื่อสารกับโลกบนยานอวกาศ โดยภารกิจแรกที่เขาได้มานั่งในศูนย์ควบคุมนั้นก็คือภารกิจเจมิไน 2 ในปีค.ศ. 1965 ซึ่งในภารกิจนี้ยังไม่มีมนุษย์ออกเดินทางไปด้วย เรื่องราวมาเกิดขึ้นในวันที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 1969 วันปล่อยยานอพอลโล 12 เพื่อออกเดินทางไปลงจอดบนดวงจันทร์เป็นภารกิจที่สอง ซึ่งก็ตรงกับกะของ Aaron ที่ต้องประจำอยู่ในศูนย์ควบคุมพอดี (มี EECOM ทำงานหลายคน และจะสลับกะกันเข้ามาทำงาน) การปล่อยยานนั้นเป็นไปตามปกติ จนกระทั่งวินาทีที่ 36 เมื่อยานถูกฟ้าผ่าเข้าอย่างจัง จนส่งผลกระทบต่อระบบไฟฟ้าบนยาน อุปกรณ์ต่างๆ เริ่มรวน
เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมาถือเป็นอีกวันสำคัญของมนุษยชาติ เพราะมันคือวันครบรอบ 50 ปีที่ยานอวกาศ Apollo 11 ขึ้นไปเหยียบบนดวงจันทร์ และเป็นวันที่มนุษย์ได้ประทับรอยเท้าบนดาวเคราะห์ขรุขระดวงนี้เป็นครั้งแรก นอกจาก Neil Armstrong, Michael Collins, Buzz Aldrin และทีมนักอวกาศที่สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับโลก หนุ่ม ๆ หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าแบรนด์กล้องสุดหรูสัญชาติสวีเดนอย่าง HASSELBLAD ก็มีบทบาทไม่น้อยในภารกิจอันใหญ่หลวงนี้ กล้องที่เคยบันทึกภาพประวัติศาสตร์เมื่อ 50 ปีที่แล้ว หากเปิดบันทึกประวัติศาสตร์ย้อนไปเมื่อประมาณ 50 ปีก่อน จะรู้ว่า HASSELBLAD ได้รับคัดเลือกจาก NASA ให้ผลิตและจัดหากล้องที่จะไปสำรวจดวงจันทร์พร้อมกับยาน Apollo 11 โดยมีเงื่อนไขว่าต้องเป็นกล้องที่แข็งแรงทนทาน สามารถยืนหยัดต่อสู้กับอุณหภูมิ -270 องศาเซลเซียสและภาวะขาดแรงโน้มถ่วงของอวกาศได้เป็นอย่างดี แบรนด์กล้องสวีเดนเจ้านี้จึงส่ง HASSELBLAD DATA CAMERA (HDC) สีเงิน พร้อมเลนส์ Zeiss Biogon 60 มม. ƒ/5.6 ให้ Neil Armstrong
NASA องค์การอวกาศของสหรัฐ ที่เป็นเจ้าของโครงการ Apollo ซึ่งพามนุษย์ไปลงจอดและเดินบนดวงจันทร์เป็นครั้งแรกเมื่อ 50 ปีที่แล้ว และหลังจากภารกิจล่าสุดผ่านไป 47 ปีที่ไม่มีมนุษย์คนไหนได้เดินทางกลับไปเลย ในที่สุดรัฐบาลสหรัฐก็มีแผนที่จะส่งมนุษย์ออกเดินทางกลับไปอีกครั้งให้ได้ โดยครั้งนี้พวกเขามาในชื่อโครงการว่า Project Artemis ที่ตั้งตามชื่อเทพเจ้าแห่งดวงจันทร์ การออกล่า ป่า และเนินเขา ในเทพนิยายกรีกโบราณ ซึ่งเป็นธิดาของเทพ Zeus กับ Leto และเป็นพี่น้องกับเทพ Apollo ชื่อของโครงการแรกที่พามนุษย์ไปลงเดินบนดวงจันทร์ รัฐบาลของประธานาธิบดี Donald Trump ต้องการจะส่งมนุษย์กลับไปดวงจันทร์อีกครั้งอย่างเร็วที่สุด และในเดือนเมษายน ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา Mike Pence รองประธานาธิบดีของสหรัฐเองก็ได้ตั้งเป้าหมาย ให้ NASA พามนุษย์กลับไปลงเดินบนนั้นให้ได้ภายในปีค.ศ. 2024 หรือครบรอบ 55 ปีการลงดวงจันทร์ครั้งแรกนั่นเอง ซึ่งคล้ายคลึงกับตอนที่ John F. Kennedy อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ได้ประกาศท้าทายและตั้งเป้าหมายการลงดวงจันทร์เอาไว้ในปีค.ศ. 1961 การกลับไปลงเดินบนดวงจันทร์ในรอบนี้นั้นแตกต่างไปจากเมื่อ 50 ปีที่แล้ว นั่นก็เพราะ เป้าหมายของโครงการ
ยกให้เป็นงานสุด weird ประเดิมครึ่งปีหลังที่ไม่รู้จะหาดูได้จากที่ไหนได้อีก คิดไม่ออกด้วยว่าเอามารวมกันได้ยังไง แต่บอกตรง ๆ ว่ามันช่างมันส์เกินบรรยายจริง ๆ! เข็มถักนิตติ้ง เส้นไหมจากขนสัตว์พลิ้วย้วย กับการโยก ๆ ขยับมือยิก ๆ สอดประสานตามจังหวะเสียงกลอง เสียงกีตาร์ และเสียงว้ากบนเวทีแบบนี้ เป็นภาพสุดแรร์หาดูไม่ได้จากที่ไหนเพราะมาจากเวทีประกวดถักนิตติ้งในประเทศฟินแลนด์ งานที่เพิ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกของโลกวันที่ 11 กรกฎาคมที่ผ่านมา ภายใต้ชื่อ Heavy Metal Knitting World Championship! จนเกิดเป็นกระแสทั่วโลกออนไลน์และกลายเป็นหนึ่งในอีเวนต์ที่คนปักหมุดไว้ให้เป็น A MUST อีเวนต์สำหรับปีหน้า จุดเริ่มต้นเวทีคราฟต์ของชาวร็อก อย่างที่บอกว่างานนี้จัดขึ้นที่ฟินแลนด์ ประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของชาว Heavy Metal เพราะจิตวิญญาณเสรีของดนตรีแนว Heavy Metal มันกระจายอยู่ทุกที่ ถึงขนาดได้รับการขนานนามกันว่าถ้ามีคนฟินแลนด์สักแสนคน ก็ต้องมีวงดนตรีเฮวี่เมทัลสัก 50 วง แต่ขณะเดียวกันพลเมืองในฟินแลนด์ก็นิยมความนิ่งเรียบง่ายจากการเย็บปักถักร้อยด้วย ความสุขจากเสียงเพลงและความสุขจากงานฝีมือแม้จะดูต่างกันสิ้นดีแต่จุดหมายมันก็ไม่ต่างกัน เพราะทั้งสองสิ่งนี้ล้วนละเอียดและประณีตในตัวของมันเอง ดังนั้น เพื่อล้างทัศนคติลวงตาที่หลายคนเชื่อว่าคนทำงานคราฟต์ถักนิตติ้งต้องนั่งโยกตัวบนเก้าอี้โยกโง่ ๆ แก่ ๆ เฉิ่ม ๆ เขาจึงจัดงานประกวด
เรามักได้ยินปัญหาอยู่เป็นระยะเกี่ยวกับการแคมป์เพื่อรอต่อแถวซื้อรองเท้าบางรุ่นที่คาดว่าผู้คนจะนิยม แต่ใครจะคิดว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นต้นเหตุความวุ่นวายถึงขั้นที่ตำรวจต้องมาปิด POP-UP STORE ก่อนไล่คนกลับบ้านแบบยกขบวน! เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นใจกลางนครนิวยอร์ก เมื่อ AdidasNYC เตรียมเปิด POP-UP ขายรองเท้าคอลเลกชัน Adidas Original x Arizona Iced Tea ซึ่งเป็นการร่วมงานกับเครื่องดื่มยอดนิยมที่มีฐานการผลิตอยู่ในนิวยอร์ก ประกอบด้วยรองเท้าสองรุ่นคือ Yung-1 และ Continental โดยแต่ละรุ่นทำออกมาเป็นสองสี ซึ่งเป็นสีของบริษัทเครื่องดื่มชื่อดัง โดยผู้ผลิตประกาศออกมาก่อนหน้านี้ว่าจะมีการวางขายรอบพิเศษระหว่างวันที่ 18 และ 19 เพียงสองวันเท่านั้น ความพิเศษของมันทำให้ผู้คนทั่วนิวยอร์กหลั่งไหลมาเพื่อรอซื้อรองเท้ารุ่นดังกล่าวถึงขั้นล้นออกมาบนถนน บางคนถึงขั้นมายืนรอตั้งแต่ช่วงตีสี่ แต่ดูเหมือนทีมงานจะไม่คาดคิดว่าจะมีคนมารอคิวซื้อมากขนาดนี้ทำให้การจัดระเบียบต่าง ๆ ไม่ได้เป็นไปอย่างเหมาะสมจนหลายคนเริ่มกังวลถึงความอันตรายหากมีความวุ่นวายเกิดขึ้นจากฝูงชน อีกเหตุผลที่ทำให้ผู้คนแห่กันมารอซื้อเป็นจำนวนมาก เพราะราคาวางขายของ Adidas Original x Arizona Iced Tea รอบนี้ถือว่าถูกมาก แค่ซื้อเครื่องดื่ม AriZona Iced Tea แบบกระป๋องในราคา 99 เซ็นต์ก็จะได้บัตรซึ่งสามารถเลือกรองเท้า 1 ใน 4 คู่จากคอลเลกชันได้ ทันทีที่การขายเริ่มต้น ความวุ่นวายที่หลายคนกังวลก็เกิดขึ้นจริง
“แม้พวกเขาจะไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว แต่ผมเป็นหนี้บุญคุณพวกเขาเสมอ ขอบคุณพ่อและจูลส์สำหรับทุกอย่าง ผมจะไม่มีวันลืมพวกคุณที่สนับสนุนและเชื่อในตัวผม” ประโยคข้างต้นคือคำกล่าวขอบคุณของชาร์ล เลอแคลร์ (Charles Leclerc) ถึงผู้เป็นพ่อและพี่ชายผู้ล่วงลับ ผู้ต่างเคยสนับสนุนและเป็นแรงบันดาลใจให้ตัวเขาฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ จนก้าวขึ้นมาเป็นนักแข่งรถสูตร 1 ของทีมเฟอร์รารี่ (Ferrari) ด้วยวัยเพียง 21 ปี ซึ่งทำให้เขาคนนี้กลายนักขับตัวจริงของทีมที่มีอายุน้อยที่สุดนับตั้งแต่ปี 1961 ถ้าพูดภาพจำของกีฬามอเตอร์สปอร์ตอย่าง Formula 1 เชื่อว่าหนึ่งในภาพแรกที่สอดแทรกเข้ามาในหัวของทุกคน คงต้องเป็นรถแข่งคันสีแดงของทีมเฟอร์รารี่ หนึ่งในทีมรถสูตรหนึ่งที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่เคยคว้าแชมป์โลกร่วมกับยอดนักขับมากมาย ไม่ว่าจะเป็นนิกิ เลาดา (Nikki Lauda), คิมิ ไรโคเนน (Kimi Räikkönen) และตำนานอย่างมิชาเอล ชูมัคเกอร์ (Michael Schumacher) ที่ผ่านมาแฟน ๆ ของยอดทีมจากอิตาลี ล้วนเคยชินกับการที่ทีมรักของพวกเขาพร้อมไปด้วยนักขับที่เต็มเปี่ยมทั้งด้านฝีมือและประสบการณ์ แต่ทว่าก่อนฤดูกาล 2018 จะจบ เฟอร์รารี่ก็ตัดสินใจทำสิ่งที่หลายคนไม่คาดคิด ด้วยการเซ็นสัญญากับนักขับหน้าใหม่ที่มีประสบการณ์ในการแข่งขัน Formula 1 เพียงแค่ปีเดียว นั่นคือวันที่หลายคนต่างตั้งคำถามว่า ไอ้หนูที่ชื่อชาร์ล เลอแคลร์ นี่มันใครกันวะ ?
เมื่อพูดถึงเรื่องราวของ Kanjozoku นักซิ่งแห่งย่าน Osaka กลุ่มสมาชิกผู้คลั่งไคล้รถยนต์ Honda แต่งซิ่งสไตล์ Group A ราวกับหลุดออกมาจากยุค 80s หรือ 90s ผู้ออกมารวมตัวกันขับรถประชันความเร็วบน Hanshin Expressway ที่ตัดผ่านกลางเมือง Osaka ซึ่งคนที่นั่นเรียกขานกันว่า “Kanjo Loop” ในเวลาปกติ มันคือเส้นทางที่ผู้คนใช้สัญจรไปมา แต่ในยามค่ำคืน ชาว Kanjozoku จะเปลี่ยน Loop ให้กลายเป็นสนามแข่งที่มีเสียงท่อแต่งดังกระหึ่มไปทั่ว เหรียญมี 2 ด้านเสมอ ในมุมของนักแข่งรถและกลุ่มคน Underground ผู้รู้สึกเบื่อหน่ายและต้องการฉีกตัวออกจากความน่าอึดอัดของสังคมญี่ปุ่น Kanjozoku หรือ Kanjo Racers ดูจะเป็นวัฒนธรรมที่มีเสน่ห์ เป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจของคน Osaka / Kansai ผู้เปลี่ยน Kanjo Loop ยามค่ำคืนให้มีสีสัน ซึ่งหลายคนก็ยังคงความเป็น Kanjozoku แม้เวลาจะผ่านไปมากกว่า 20 ปีแล้วก็ตาม มันจึงเป็นอะไรที่มากกว่าแค่รถแต่งหรือการแข่งรถกวนเมือง สำหรับพวกเค้า Kanjozoku
ภารกิจอพอลโล 11 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มนุษย์ได้ไปลงจอดบนดวงจันทร์นั้น ประสบกับปัญหาหลายๆ อย่าง และหนึ่งในนั้นก็คือสถานที่ลงจอดของยาน ซึ่งไม่ได้ราบเรียบเหมือนกับที่ทีมงานบนโลกได้คาดคิดเอาไว้ ทำให้นีล อาร์มสตรอง ผู้บัญชาการของภารกิจจึงต้องบังคับยานด้วยตัวเอง เพื่อให้ไปลงจอดในสถานที่ๆ ปลอดภัยและราบเรียบ ซึ่งในปัจจุบันจุดๆ นั้นเป็นที่รู้จักกันว่า ‘Tranquility Base’ สถานที่แห่งแรกที่มนุษย์ได้ลงเดินบนดาวต่างดวง แม้จริงอยู่ว่าการลงจอดบนดาวอังคารนั้นก็เคยมีการใช้กล้องที่ใต้ยานเพื่อเลือกตำแหน่งลงจอดที่เหมาะสมที่สุด ทว่าสำหรับภารกิจ Mars 2020 ที่มีกำหนดไปลงจอดบนดาวอังคารในปีค.ศ. 2021 ที่จะถึงนั้น มีอุปสรรคที่ทำให้ภารกิจนี้ยากกว่าทุกภารกิจที่ NASA และหน่วยงานอื่นๆ ได้เคยส่งยานไปมา นั่นก็คือสถานที่ลงจอดของยานนั่นเอง Mars 2020 ถูกเลือกให้ลงจอดที่บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเก่า ในหลุมอุกกาบาต Jezero ที่มีความกว้างกว่า 45 กิโลเมตร ซึ่งเต็มไปด้วยหุบเขาสูงชัน สันทราย และรายล้อมไปด้วยหลุมอุกกาบาตขนาดย่อมๆ อยู่ภายใน ซึ่งถ้านั่นยังยากไม่พอ พวกเขาจะบรรทุกอุปกรณ์ไปมากกว่ายานพี่สาวอย่าง Curiosity ที่ไปลงจอดในหลุมอุกกาบาต Gale เมื่อ 7 ปีที่แล้ว และสภาพของพื้นที่ก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นหากภารกิจนี้จะต้องสำเร็จ พวกเขาจะต้องใช้สกิลของนีล อาร์มสตรอง แต่เป็นการลงจอดที่ดาวอังคารแทน ระบบ
อีก 100 ปีต่อจากนี้ โลกอนาคตจะเป็นอย่างไร ย่อมไม่มีใครรู้ได้แน่ชัด แต่ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 100 ปีที่แล้ว ผู้คนในสมัยนั้นคิดว่าโลกที่เราอาศัยกันอยู่ ณ ปัจจุบันจะเป็นอย่างไรกัน และสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันตรงกับที่พวกเขาได้วาดฝันกันไว้หรือไม่ ผลงานสิ่งที่ผู้คนในปีค.ศ. 1900 ทำนายอนาคตในอีก 100 ปีข้างหน้านี้ เกิดขึ้นโดยบริษัทช็อกโกแลตสัญชาติเยอรมัน Hildebrands ได้ไอเดียทำโปสต์การ์ดทำนายอนาคต จากผู้คนในสมัยวิคตอเรียน ว่าวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีได้หมุนโลกเราไปถึงไหนแล้วบ้าง มีทั้งที่สมจริง และบางไอเดียที่หลุดโลกไปในปัจจุบัน ซึ่งเราเดาว่าแม้แต่บริษัทเองก็คงไม่คาดฝันว่า Postcard วันนั้ย จะกลายเป็น Reference ในยุคก่อนได้แบบนี้ ดังนั้นไปดูกันเลยว่าพวกเขาทำนายอะไรกันไว้บ้าง และมันจะเป็นไปอย่างที่คนในยุค 1900 จินตนาการไว้หรือไม่ ทางเท้าเลื่อนได้ ทางเท้าที่สามารถเคลื่อนที่ได้ เพื่อร่นระยะทางและเวลาที่ผู้คนจะใช้ในการเดิน ซึ่งในปัจจุบันแม้เราจะยังไม่ถึงขั้นมีทางเท้าบนท้องถนนที่เคลื่อนที่ได้แบบนี้ แต่เราสามารถเห็นเทคโนโลยีที่ใกล้เคียงสิ่งนี้ได้ในอาคารทั่วไป หรือที่เราเรียกมันว่า บันไดเลื่อน นั่นเอง ตึกเคลื่อนที่ด้วยระบบราง 100 ปีก่อนมีคนจินตนาการว่าพวกเราน่าจะสามารถยกตึกทั้งตึกเดินทางไปกับเราได้ จากไอเดียของการใช้หัวรถจักรมาเคลื่อนอาคารไปตามราง ทว่าในปัจจุบันไอเดียนี้ก็ยังค่อนข้างห่างไกลจากความเป็นจริงไปนิด แต่ก็เคยมีการย้ายบ้านด้วยวิธีที่คล้ายคลึงกันมาแล้ว ตามในวีดีโอด้านล่างนี้ การถ่ายทอดภาพและเสียงจากโรงละคนสู่บ้านเรือน ไอเดียที่แม่นยำว่ามนุษย์ยุคเราจะทำได้ การแสดงในโรงละครที่สามารถถ่ายทอดออกไปได้ทั้งภาพและเสียง นี่คือสิ่งที่เราได้เห็นในชีวิตประจำวันของสมัยนี้ แต่สิ่งที่เหนือความความคิดของคนยุคก่อน คงไม่รู้ว่าปัจจุบันการ
เคยไหมเวลาจะพาสาว ๆ ไปกินข้าวหรือพาไปเที่ยวที่ไหนสักที่ ขณะเรากำลังขับรถก็ปล่อยให้เธอดูแผนที่ตามปกติ แต่แล้วเธอดันพาเราไปหลงได้บ่อยครั้ง แม้จะมีระบบนำทางอัจฉริยะอย่าง GPS ก็ดูจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ที่แย่ไปกว่านั้นคือประเด็นนี้กลายเป็นเรื่องทะเลาะว่าใครถูกใครผิดและทำให้เราทั้งคู่เถียงกันไม่รู้จบ ต้องบอกว่าการดูแผนที่นอกจากจะต้องเข้าใจข้อมูลมิติเชิงพื้นที่แล้ว ยังต้องใช้จินตนาการคาดเดาเส้นทางว่าเลี้ยวซ้ายแยกนี้หรือเลี้ยวขวาแยกหน้า เพื่อให้ไปถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างถูกต้อง ผู้ชายส่วนใหญ่มักจะคิดว่าตนมีศักยภาพด้านแผนที่และชำนาญเส้นทางมากกว่าผู้หญิง แต่แท้ที่จริงแล้วหญิงหรือชายที่เก่งเรื่องนี้มากกว่ากัน? เพศสภาพและฮอร์โมน เพศสภาพที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดทำให้ผู้ชายและผู้หญิงต่างกันอย่างสิ้นเชิง มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งเผยว่าแม้เพศชายจะแข็งแรงทางกายภาพมากกว่า แต่ผู้หญิงนั้นมีวิธีจัดการกับอารมณ์ได้ดีกว่าผู้ชายเรา เนื่องจากผู้หญิงจะใช้สมองสองส่วนในการแก้ปัญหา คือส่วนที่เกี่ยวข้องกับเหตุผลและส่วนที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ ขณะที่ผู้ชายใช้สมองเพียงส่วนเดียว ซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าฮอร์โมนเพศที่ต่างกันทำให้ความสามารถทางปัญญาของสองเพศไม่เหมือนกัน โครงสร้างสมองและการเชื่อมต่อของเส้นประสาท งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร National Academy of Sciences เผยว่าเหตุที่ผู้ชายชำนาญเรื่องแผนที่มากกว่าผู้หญิงเป็นเพราะโครงสร้างสมองและวิธีการเชื่อมต่อของเส้นประสาทในสมอง (hardwired) ต่างกัน สมองของผู้ชายเส้นประสาทจะเชื่อมต่อกันจำนวนมากบริเวณด้านหน้าและด้านหลังของสมองซีกเดียวกัน ใขณะที่ผู้หญิงนั้นการเชื่อมต่อส่วนใหญ่จะอยู่ระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา การเชื่อมต่อของเส้นประสาทที่ต่างกันทำให้ระบบการประมวลผลในสมองของชายและหญิงไม่เหมือนกัน ผู้หญิงจึงชำนาญเรื่องความคิดเชิงตรรกะ การจดจำ การรับรู้ ตลอดจนสัญชาตญาณ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือพวกเธอนั้นเชี่ยวชาญทางด้านวาจาและมีความฉลาดทางอารมณ์มากกว่าผู้ชายเรา แต่ถ้าเป็นงานเกี่ยวกับอวกาศ ทักษะยานยนต์ หรือการอ่านแผนที่ผู้ชายจะทำได้ดีกว่า เพราะผู้ชายมีจุดเด่นในการควบคุมกล้ามเนื้อและการอ่านข้อมูลมิติเชิงพื้นที่ ผู้ชายเก่งแผนที่มากกว่าผู้หญิง? นักประสาทวิทยาที่ The Norwegian University of Science and Technology ให้อาสาสมัครชาย