ถ้าพูดถึงประเทศสหรัฐอเมริกา เรามักได้ยินการนิยามว่าเป็น “ประเทศแห่งเสรี” ทำให้ครั้งหนึ่งคำว่า “American Dream” หรือการฝันอย่างอเมริกันจึงกลายเรื่องระดับโลก เป็นความฝันที่ใครก็ล้วนใฝ่หาและต้องการเดินทางไปตั้งรกราก เพราะมีทั้งความเจริญ ความเท่าเทียม และอิสระ เรียกได้ว่าเป็นดินแดนในฝันที่ใครก็สามารถเปลี่ยนตัวเองให้เป็นเศรษฐีได้ จึงไม่แปลกที่ล่าสุดเมื่อผลสำรวจประชากรชาว Freelancer ในสหรัฐฯ ประจำปีนี้เผยตัวเลขว่ามีคนเลือกเป็นฟรีแลนซ์จำนวนถึง 56.7 ล้านคน เราจะรู้สึกไม่ประหลาดใจ แต่ไม่ใช่แค่ตัวเลขเท่านั้นที่น่าสนใจ UNLOCKMEN ยังมีเรื่องราวเบื้องหลังที่น่าสนใจเกี่ยวกับข้อมูลเหล่านี้มาแบ่งปันกันด้วย American Dream: Past & Present ใครที่ดูหนังต่างประเทศบ่อย ๆ จะได้ยินคำว่า “American Dream” กันมาบ้าง ซึ่งส่วนมากเรื่องราวจะออกแนวการเดินทางจากต่างดินแดนเข้าไปในอเมริกาเพื่อตามหาความฝัน ซึ่งความฝันเหล่านั้นมักจะผลิตซ้ำเรื่องการเป็น “Somebody” ด้านอาชีพ เช่น อยากจะเป็นนักมวยอาชีพ นักดนตรีอาชีพ ก็จะฝึกมันครั้งแล้วครั้งเล่าจนกว่าจะได้เป็น หรือ Underdog เองก็มีสิทธิผันตัวเองเป็นเศรษฐีใหม่ได้เสมอ หากขยันและร่ำรวย อาชีพ Freelance หรือการรับจ้างเป็นมือปืน จึงอาจเป็นเรื่องของการหารายได้เสริมเพียงอย่างเดียว แต่เมื่อเวลาผ่านไป ค่านิยมความฝันของคนเราก็เริ่มเปลี่ยน ความรู้สึกอยากเป็น “Somebody” มันเริ่มจางลง
นับตั้งแต่แคนาดาเป็นประเทศแรกในกลุ่ม G20 ที่มีการประกาศให้กัญชากลายเป็นสิ่งถูกกฎหมายในการใช้เพื่อนันทนาการ ตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา และถึงจะมีการเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีในการควบคุมและจัดระเบียบให้การซื้อ-ขายให้เป็นไปตามกฎหมาย กำหนดทุกอย่างเพื่อป้องกันปัญหาที่จะตามมาภายหลัง แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะลืมคิดถึงสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งซึ่งกำลังต้องเผชิญอยู่ตอนนี้ นั่นคือ ปริมาณกัญชามีไม่เพียงพอต่อความต้องการของมนุษย์สาย High ในประเทศนั่นเอง เกิดปัญหาที่หลายคนไม่เคยคาดคิดมาก่อนเมื่อร้านกัญชาถูกกฎหมายทั่วประเทศแคนาดาต้องเผชิญกับปัญหาเดียวกัน คือปัญหาของขาด กัญชาภายในร้านมีไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนสายชีวจิต ซึ่งเกิดจากความนิยมที่เพิ่มสูงขึ้นสังเกตุได้จากยอดสั่งซื้อจำนวนมหาศาลหลังจากที่รัฐบาลเปิดให้สูบกันได้อย่างเสรี รวมไปถึงปัญหาการกระจายสินค้าในระบบโลจิสติกส์และไปรษณีย์ซึ่งยังไม่คุ้นเคยกับธุรกิจดี ที่สำคัญคือปริมาณการปลูกยังมีไม่เพียงพอต่อความต้องการถึงขนาดทำให้ร้านขายกัญชาในรัฐควิเบกต้องแก้ไขด้วยการเปิดเพียง 3 วัน/สัปดาห์ เพื่อคงปริมาณสต๊อกของในร้านให้เพียงพอ ก่อนสินค้าล็อตต่อไปจะส่งมาถึง เรียกว่าดูดกันจนแถบจะสูญพันธุ์ไปจากประเทศเลยทีเดียว นอกจากนี้ในรัฐออนตาริโอซึ่งไม่มี Physical Retailers ในพื้นที่เลยสักร้านเดียว โดยประชาชนในรัฐต้องสั่งซื้อกัญชาทางไปรษณีย์ซึ่งยุ่งยากและล่าช้ากว่าการซื้อที่ร้าน ว่ากันว่าภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังจากมีการประกาศในกัญชาถูกกฎหมาย มียอดสั่งซื้อทะลักมากกว่า 100,000 รายการ แต่ทางรัฐไม่สามารถจัดส่งได้อย่างทั่วถึง แถมทั้งยังสุ่มยกเลิกคำสั่งซื้อในกรณีที่มีคนซื้อเยอะเกินไปอีกด้วย และโชคร้ายก็ไปตกกับหนุ่มนักศึกษาคนหนึ่งที่สั่งซื้อไปแถมยังถูกหักเงินในบัตรเครดิต แต่กลับไม่มีของส่งมาให้ล่องลอยที่บ้านซะงั้น ใครจะไปคิดว่า เวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนหลังจากกัญชาถูกทำให้เสรีแคนาดาจะต้องเจอกับวิกฤตการณ์ “ของขาด” ถึงแม้รัฐบาลจะบอกว่ามีการเตรียมตัวมาอย่างดี แต่กระแสความต้องการของมันกลับพุ่งทะยานสูงขึ้นกว่าก่อนหน้า และว่ากันว่านี่เป็นการท้าทายครั้งสำคัญของรัฐบาลแคนาดาที่จะต่อสู้แย่งชิงส่วนแบ่งจากสิ่งที่เคยมีมูลค่าอยู่ในตลาดมืดสูงถึง 5.3 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ ด้วยการเพิ่มจำนวนกัญชาในร้านถูกกฎหมายให้เพียงพอกับความต้องการของสายเขียวในประเทศ ก่อนที่คนเหล่านั้นจะเบือนหน้าหนีหันไปพึ่งคนขายตามหัวมุมถนนอีกครั้งเหมือนในอดีตที่ผ่านมา เพราะซื้อกับรัฐบาล ได้ของคุณภาพดี มีการตรวจสอบ แถมภาษียังถูกนำไปพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรือง เรียกว่าเมาช่วยชาติก็ไม่ผิดนัก ในไตรมาสต์ที่ 4 ของปี
หลังจากวุ่นวายอยู่กับการออกแบบรองเท้าประจำตัวร่วมกับ Adidas มาสักพักใหญ่ ๆ ล่าสุดศิลปินมากความสามารถ Pharrell Williams ก็เตรียมพักงานสตรีตเพื่อเตรียมตัวออกแบบคอลเลกชันใหม่ร่วมกันห้องเสื้อโอ กูตูร์สุดหรูหราอย่าง Chanel แถมยังแอบได้ยินมาว่าการร่วมงานระหว่างครั้งนี้มีแผนจะใช้ประเทศไทยเป็นสถานที่เปิดตัวคอลเลกชันอีกด้วย หลายคนทราบกันดีว่าศิลปินและโปรดิวเซอร์ชื่อดังจากสหรัฐอเมริกามีความสัมพันธ์ที่ดีกับ Karl Lagerfeld ซึ่งเป็น Creative Director ของ Chanel มาเป็นเวลานานแล้ว แต่ทั้งคู่ก็ไม่เคยทำงานร่วมกันแบบจริงจังมาก่อนนอกจากรองเท้า Chanel x Pharrel Williams x Hu NMD เมื่อปี 2017 เท่านั้น แต่ข่าวลือเรื่องการคอลแลปส์ของทั้งสองก็เริ่มหนาหูขึ้นอีกครั้งหลังจากที่มีรูปถ่ายของ Pharrell Williams ในงานเปิดตัวคอลเลกชัน ChanelCruise ที่กรุงเทพมหานครในวันพุธที่ 30 ตุลาคมที่ผ่าน เขาปรากฏตัวในเสื้อฮู้ดสีเหลืองสดซึ่งคาดว่าเป็นหนึ่งในงานออกแบบของเขาเอง มีการใส่รายละเอียดของความเป็น Chanel ลงไปตัวเสื้อเช่น CC logo ตรงหน้าอกซ้ายหรือ Coco N.5 ที่ถูกวางไว้ตรงกลางเสื้อ นอกจากนี้ยังปรากฏวิดีโอใน Instagram ที่ของผู้ใช้ที่ชื่อว่า dutchesscathy ซึ่งถ่ายระหว่างที่ศิลปินหนุ่มกำลังขึ้นแสดงอยู่ โดยจะเสียงตะโกนจากลุ่มคนดูในเชิงว่าต้องการเสื้อตัวที่เขาใส่ ซึ่ง
เป็นที่ฮือฮาสั่นสะเทือนวงการ Gamer ทั่วโลกในงาน Blizzcon 2018 ที่ผ่านมาหมาด ๆ เมื่อ Blizzard ประกาศเปิดตัวความเคลื่อนไหวครั้งใหม่ของเกม Action RPG ระดับ Iconic ชื่อดัง ‘Diablo’ ที่ได้ย้ายการผจญภัยสุดมันส์มาสู่ iOS และ Android Smartphone เรียบร้อยแล้วในชื่อ Diablo Immortal ตามกระแส Smartphone Gaming ที่กำลังมาแรงแซงทุกทางโค้ง Diablo ถือเป็นอภิมหาเกมที่อยู่คู่วัยรุ่นมาทุกยุคสมัย เรียกว่าติดมาตั้งแต่ยุค PC ยังไม่แพร่หลาย ตัวเกมเกี่ยวกับการเลือกตัวละครเข้าไปต่อสู้กับปีศาจสมุนของ Lord of Terror ในดินแดน Kingdom of Khanduras ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากนับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในวันที่ 31 ธันวาคม 1996 และมีภาค Extension pack อย่าง Hellfire ไปจนถึงการขยับจาก PC ไปสู่ Console อย่าง PlayStation รวมถึงภาคต่ออย่าง
ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องพูดกันอีกยาวสำหรับการใช้กัญญา ซึ่งปัจจุบันนอกจากทางการแพทย์ และใช้เพื่อผ่อนคลาย ยังมีการใช้ในระหว่างแข่งขันกีฬา โดยเฉพาะในกีฬาประเภทศิลปะป้องกันตัวอย่าง Brazilian Jiu Jitsu ซึ่งถูกปรับกติกาให้ทันยุคสมัยสายเขียวครองโลก ด้วยการจัด HIGH ROLLERZ ทัวร์นาเมนต์การแข่งขัน Brazilian Jiu Jitsu แบบพิเศษที่มีข้อกำหนดว่าผู้เข้าแข่งขันจะต้องจุดกัญชาดูดให้เต็มปอด high กันให้เรียบร้อย ก่อนลงทำการต่อสู้ และของรางวัลที่ได้สำหรับผู้ชนะก็คือ กัญชาคุณภาพดีห่อใหญ่ แหม่ อะไรจะชิวขนาดนั้น HIGH ROLLERZ ถูกจัดขึ้นโดย Lonn “Big Lonn” Howard และ Matt “Mighty Matt” สองคู่หูที่มีแนวคิดจะขับเคลื่อนให้การใช้กัญชาในกีฬาประเภทศิลปะป้องกันตัวเป็นที่ยอมรับ โดยร่วมมือกันกับกลุ่มคนที่ชื่นชอบในกีฬา UFC รวมถึงนักกีฬาที่สนใจในการต่อสู้จำนวนหนึ่ง ซึ่ง HIGH ROLLERZ จะรับสมัครผู้เข้าแข่งขันจำนวน 60 คนมาจับคู่กัน เพื่อหาผู้ชนะคนสุดท้ายที่จะครองรางวัลใหญ่ประจำทัวร์นาเมนต์เป็นกัญชาชั้นดีจำนวน 1 ปอนด์ (ครึ่งกิโลกรัม) เอากลับบ้านไปล่องลอยกันต่อฟรี ๆ ที่บ้านท่าน อีกเหตุผลหนึ่งที่พวกเขาจัดการแข่งขันครั้งนี้ขึ้นมา เพื่อสร้างความเข้าใจและแสดงให้เห็นว่าศิลปะป้องกันตัวแขนงนี้สามารถไปกันได้ดีกับกัญชา เพราะการเล่น Brazilian Jiu Jitsu ที่เป็นศิลปะป้องกันตัวสมัยใหม่
บางครั้งความบังเอิญก็นำเราไปพบกับสิ่งที่ดีเกินความคาดหมาย เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นจากยามดึกคืนหนึ่ง เรานอนไถโทรศัพท์ก่อนนอนอยู่บนเตียงเรื่อยเปื่อย ไม่มีจุดมุ่งหมายใด ๆ แต่ก่อนเราจะตัดสินใจล็อกหน้าจอและข่มตานอน สายตาแว่บหนึ่งของเราดันไปสะดุดกับคลิป ๆ หนึ่งที่เพื่อนของเราแชร์ลงใน Feed Facebook เป็นคลิปเกี่ยวกับคอนเทนต์ลึกลับที่มีคำโปรยและหน้าปกค่อนข้างน่าสนใจเลยทีเดียว ด้วยความที่เราชอบคอนเทนต์แนวนี้เป็นทุนอยู่แล้ว จึงลองกดเข้าไปดูแบบไม่คาดหวังใด ๆ ทั้งสิ้น เนื่องจากคอนเทนต์แนวนี้ของไทยส่วนใหญ่ที่เราดูมักจะเป็นการมานั่งอ่านข้อมูลใน Wikipedia ให้ฟัง ดังนั้นสำหรับช่อง ‘The Common Thread’ นี้ที่ดูไม่คุ้นตาเอาเสียเลย ยอด Subscribe ยอด View ก็น้อย จึงไม่แปลกที่เราจะไม่คาดหวัง แต่หลังจากที่ดูคลิปแรกจบ เราถึงกับอุทานในใจว่า ‘เหี้ย แม่งทำโคตรดีเลยว่ะ’ The Common Thread มีความแตกต่างจากช่องอื่น ๆ อย่างชัดเจน ด้วยการหาแหล่งข้อมูลนับสิบ ๆ แหล่ง ก่อนจะมานั่งเรียบเรียง ตัดอะไรที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ออกไปทีละอย่างเพื่อมุ่งหาความจริงหรือสิ่งที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด เราสถาปนาตัวเองเป็นแฟนคลับช่องนี้ในทันที และด้วยเหตุนี้เราจึงไม่ลังเลที่จะชวน ‘ฟาโรห์-เตชภณ คำสีแก้ว’ แห่ง The Common Thread มาพูดคุยเจาะลึกกันทันที ถึงเวลานัดสัมภาษณ์ ฟาโรห์มารอเราอยู่ก่อนแล้ว และด้วยความบังเอิญอีกอย่างคือการที่เรากับเขาเคยเรียนในคณะเดียวกัน การสร้างความคุ้นเคยก่อนการสัมภาษณ์จึงเป็นไปอย่างลื่นไหล
“พบกันน้อยนิด..จากกันเนิ่นนาน” วลีอมตะจากนวนิยายเรื่อง 8 เทพอสูรมังกรฟ้า หนึ่งในผลงานขึ้นหิ้งของ ‘กิมย้ง’ คงจะเข้ากับเหตุการณ์ตอนนี้ที่สุด เพราะเขาในวัย 94 ปี ก็ได้เริ่มต้นการจากกันเนิ่นนานกับยุทธภพแห่งนี้ไปแล้วเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม (พ.ศ. 2561) ที่ผ่านมา 94 ปีแห่งชีวิต 63 ปีแห่งการสร้างยุทธภพผ่านตัวอักษร ไม่ว่าจะสรรเสริญเท่าไรก็คงไม่เพียงพอกับความยิ่งใหญ่ของบุรุษผู้นี้ เขาคือหนึ่งในผู้บุกเบิกนิยายจีนกำลังภายใน เป็นอาจารย์ของนักเขียนรุ่นหลัง สร้างแรงบันดาลใจและความบันเทิงมากมายให้กับผู้เสพงานของเขา ดังนั้นถ้าใครติดตามนามปากกากิมย้งมาตลอดจะรู้ความจริงข้อนี้ดีอยู่แล้ว คอนเทนต์นี้เราจึงอยากแนะนำกิมย้งให้นักอ่านรุ่นใหม่รู้จักกันเสียมากกว่า หลายคนมักจะอคติกับนิยายชุดกำลังภายในว่าเน้นการบรรยายพรรณาเยิ่นเย้อ อ่านแล้วรู้สึกเบื่อ ซึ่งเราก็ไม่ปฏิเสธ เมื่อก่อนเราก็เคยคิดเช่นนั้น จนกระทั่งได้ลองอ่านงานของกิมย้งอย่างจริงจัง พบว่าในสำนวนโวหารต่าง ๆ นั้นคือหมู่มวลแห่งความบันเทิงทั้งสิ้น และทุกประโยคสนทนาคือแง่คิดดี ๆ ที่สามารถนำมาปรับใช้ได้ในชีวิตจริง ถ้าไม่รู้ว่าจะเริ่มอ่านจากเล่มไหนดี เราขอแนะนำผลงานอมตะ 5 เรื่องนี้ของกิมย้งที่รับรองว่าคุณจะสนุกไปกับมันได้อย่างแน่นอน มังกรหยก คงไม่ผิดนักถ้าจะพูดว่านี่คือผลงานที่โด่งดังที่สุดของกิมย้ง โด่งดังถึงขนาดที่ว่าต่อให้คุณไม่รู้จักกิมย้งแต่คุณต้องรู้จักมังกรหยกอย่างแน่นอน เพราะผลงานซีรีส์โทรทัศน์ที่ถูกดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้อยู่คู่กับจอแก้วบ้านเรามาตั้งแต่จำความได้ ในส่วนของเนื้อหา มังกรหยกแบ่งเรื่องราวทั้งหมดออกเป็น 3 ภาค โดยในภาคปฐมบทเล่าถึงแผ่นดินจีนที่กำลังเสื่อมโทรม ประชาราษฎร์ยากแค้น ขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง ก่อนการปรากฏตัวของ ‘ก๊วยเจ๋ง’ เด็กหนุ่มที่เติบโตขึ้นมาในดินแดนของมองโกลก่อนจะเดินทางกลับสู่ยุทธจักรจีน ก๊วยเจ๋งหมั่นฝึกฝนวิชามากมาย เป้าหมายคือขับไล่พวกมองโกลจากแผ่นดินจีน
RM Sotheby’s บริษัทจัดประมูลรถชื่อดังเตรียมสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในวงการประมูลรถอีกครั้ง หลังออกมาเปิดเผยว่าพวกเขาเตรียมนำรถแข่งโมเดลสุดคลาสสิกอย่าง FERRARI 290 MM รหัสเครื่อง 0628 1 ใน 4 คัน ออกประมูลในงาน The Petersen Automotive Museum Auction 2018 ในเดือนธันวาคมนี้ โดยคาดว่ามันจะกลายเป็นอีกไฮไลต์หนึ่งของการประมูลรถปีนี้ หลังจากเมื่อปี 2015 พี่น้องในรหัส 0626 เคยถูกนำออกประมูลจนราคากลายเป็นสถิติโลกมาแล้ว ความเป็นตำนานของ FERRARI 290 MM เริ่มต้นในปี 1956 ในโปรเจกต์พัฒนารถแข่งเพื่อเตรียมสำหรับการแข่งขัน World Sports Car Championship รวมถึงรายการ Mille Miglia จนเป็นที่มาของชื่อ MM ต่อท้าย ซึ่งในตอนนั้นพวกเขามี Mercedes-Benz หรือ Maserati เป็นคู่แข่งตัวฉกาจอยู่ในวงการ ในขณะที่ Enzo Ferrari เองก็ต้องการให้ความสำคัญกับการแข่งขันทุกประเภท ไม่ใช่เฉพาะการคว้าแชมป์โลกรถสูตร 1 เท่านั้น Ferrari จึงได้ผลิตรถ
ดูเหมือน London และ New York จะแคบเกินไปแล้วสำหรับ Palace Skateboards สตรีตแวร์ชื่อดังจากประเทศอังกฤษ เพราะตั้งแต่พวกเขามีหน้าร้านเป็นของตัวเองครั้งแรกในปี 2015 มาวันนี้พวกเขาเตรียมขยับขยายกิจการข้ามทวีปมาเปิดสาขา 3 เอาใจสายสตรีตไกลถึงโตเกียว แต่เวลาเดียวกันก็เป็นเรื่องดีสำหรับหนุ่มไทย เพราะร้านมันย้ายมาอยู่ใกล้กว่าเดิมเยอะมาก จะได้มีเหตุผลในการไปเที่ยวญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งข้อ ใครจะคิดว่าแบรนด์สเก็ตบอร์ดที่สร้างขึ้นมาจากความหลงใหลอย่าง PalaceSkateboards หรือ Palace จะกลายมาเป็นแบรนด์สตรีตแวร์ซึ่งปัจจุบันคงพูดได้ว่าอยู่ในระดับใกล้เคียงกันกับแบรนด์ Supreme และ Stussy แบบไม่อายปาก พวกเขาเริ่มจากการไม่มีหน้าร้านเป็นของตัวเองโดยขายผ่าน Online Store เพียงช่องทางเดียวจากนั้นจึงเริ่มวางขายในร้านสเก็ตบอร์ดในตำนานของอังกฤษที่รู้จักกันอย่าง SLAM CITY SKATES ต่อมาไม่นานงานออกแบบที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นแบบแฟชั่นสเก็ตบอร์ดของอังกฤษยุค 90’s บวกกับการตลาดที่ไม่เหมือนใครก็ดึงดูดให้แบรนด์น้อยใหญ่สนใจพากันมาร่วม Collab ด้วยมากมายไม่ว่าจะเป็น Umbro, Reebox หรือว่า Adidas ทำให้พวกเขาถูกรู้จักเป็นวงกว้างมากขึ้น ขณะเดียวกันเสื้อผ้าของ Palace ก็เป็นที่ต้องการของแฟชั่นนิสต้าทั่วโลก ในปี 2015 ชายผู้ก่อตั้งแบรนด์ Lev Tanju ก็ตัดสินใจเปิดร้านเป็นของตัวเองโดยใช้ชื่อว่า The Palace ‘Pop-Off’ Shops ก่อนจะเปิดร้านสาขา 2 ขึ้นใน New
หลังห่างหายจากการส่งผลงานเข้าประกวดมา1 ปีเต็มๆ ลีโอเบอร์เนทท์ ประเทศไทย กลับมาผงาดอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง คว้ารางวัลเอเจนซี่ยอดเยี่ยมแห่งปี (Agency Of The Year) พร้อมรางวัลดิจิตอลเอเจนซี่ยอดเยี่ยม (Digital Agency of The Year) และอีก 39 รางวัลบนเวทีประกวดแอดแมน อวอร์ด ตอกย้ำภาพความสำเร็จจากโซลูชั่นธุรกิจที่ ‘สงกรานต์ เศรษฐสมภพ’ ประธานกรรมการบริหารเคยประกาศไว้เมื่อปี 2015 ว่าลีโอเบอร์เนทท์ คือ ‘นักแก้ปัญหาทางธุรกิจ’ หรือที่เรียกว่า Creativity for Business Solution นำเสนอพลังความคิดสร้างสรรค์จากคนคุณภาพ ตอบโจทย์ทุกปัญหาธุรกิจลูกค้าอย่างครบวงจร นายสมพัฒน์ ทฤษฎิคุณ ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายสร้างสรรค์ เดอะ ลีโอ เบอร์เนทท์ กรุ๊ป ประเทศไทย (The Leo Burnett Group Thailand) เปิดใจถึงเบื้องหลังความสำเร็จจากงานประกวด แอดแมน อวอร์ด แอนด์ ซิมโปเซี่ยม 2018” (Adman Awards