คงปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานการณ์การระบาดของไวรัส COVID-19 นั้นเป็นสิ่งที่สร้างผลกระทบต่อผู้คนทั่วโลกเป็นวงกว้าง ครอบคลุมในทุกมิติทั้งทางด้านการสาธารณสุข เศรษฐกิจ และที่เห็นได้ชัดและใกล้ตัวที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงไปของวิถีชีวิตสู่รูปแบบ New Normal หรือปกติวิถีแบบใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เพื่อลดผลกระทบของโรคติดต่อ ซึ่งก่อให้เกิดมาตรการ Lockdown กับความจำเป็นที่ต้องปิดสถานที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นห้างค้าปลีก ร้านอาหาร สถานบันเทิง ฯลฯ ทำให้หลากหลายอาชีพต้อง “ว่างงาน” แม้ในปัจจุบันจะเริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการไปแล้วเป็นส่วนใหญ่ แต่ตราบใดที่ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน COVID-19 ทุกคนน่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าการใช้ชีวิต การทำมาหากิน คงจะยังไม่คล่องตัวเหมือนยุคก่อน COVID ไปอีกสักพัก และที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ หากจะให้พูดถึงอีกหนึ่งกลุ่มอาชีพที่ได้รับผลกระทบไปแบบเต็ม ๆ คงหนีไม่พ้นอาชีพ “นักร้อง นักดนตรี ดีเจ” ในร้านอาหาร ผับ บาร์ ที่ในช่วงต้นของมาตรการ Lockdown จำต้องอยู่ในภาวะไร้เวทีในการส่งมอบเสียงเพลง ความมันส์ รวมถึงความสุขให้ผู้ฟัง ซึ่งอีกแง่หนึ่งมันหมายถึงการขาดรายได้ในการหล่อเลี้ยงชีวิตเช่นกัน แต่สุดท้ายในวิกฤติที่ดูมืดมน ก็ได้มีโปรเจ็กต์ “เราไม่ทิ้งกัน มันส์กว่า” จาก LEO ผุดขึ้นมาเพื่อเปิดโอกาสการสร้างรายได้ให้กับนักดนตรี นักร้อง ดีเจ
สำหรับผู้ชายอย่างเรา ๆ ไม่ว่าจะชอบแต่งตัวสไตล์ไหน หรือแม้กระทั่งเป็นหนุ่มเซอร์ไม่สนใจกระแสแฟชั่นใด ๆ เน้นแต่งตามสบายเข้าว่า แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าในชีวิตของลูกผู้ชาย ยังไงก็ไม่วายที่จะต้องเจอกับช่วงเวลาสำคัญ ไม่ว่าจะต้องนัดประชุมลูกค้า เข้าหาผู้ใหญ่ในโอกาสต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งต้องเข้าร่วมงานพิธีทั้งหลาย ที่จำเป็นต้องแต่งตัวดูดี ภูมิฐาน เพื่อเป็นการให้เกียรติคู่สนทนา เคารพสถานที่ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือในการพบปะเจรจางานต่าง ๆ แต่จะว่าไปการแต่งตัวในโอกาสสำคัญมันคงไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไรสำหรับหนุ่ม ๆ ที่ใส่ใจเรื่องเสื้อผ้าเป็นทุนเดิม เพราะคงมีไอเทมมากมายรออยู่ในตู้เสื้อผ้าพร้อมให้เลือกสวมใส่ในทุกโอกาส แต่สำหรับผู้ชายที่ไม่ค่อยได้ใส่ใจกับการแต่งตัวที่เป็นทางการนัก หากต้องออกงานกับเขาสักทีอาจต้องมีปาดเหงื่อกันบ้าง เพราะไม่รู้จะไปหาอะไรมาใส่ให้เหมาะสมดูดีเสริมความมั่นใจ และเหมาะกับสภาพอากาศร้อน ๆ ของไทย เพราะการเพิ่ม layer มักจะมาพร้อมความร้อนอบอ้าวจนหลายคนหลีกเลี่ยง ซึ่งคอลัมน์ Style Guide ในวันนี้ UNLOCKMEN ขอแนะนำสิ่งที่จะเข้ามาคลายความกังวลเรื่องการแต่งตัวของหนุ่ม ๆ ทั้งหลาย ด้วย PASAYA ZERO SWEAT SUIT ไอเทมเด็ดที่เข้ากันได้กับผู้ชายทุกสไตล์ ครั้งแรกในการทำ Jacket Suit จากแบรนด์ Pasaya ที่ขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพผ้ามายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นหนุ่มมาดเนี้ยบสวมเสื้อเชิ้ตกางเกงสแล็ค หรือหนุ่มเซอร์เน้นเสื้อยืดกางเกงยีนส์ ก็สามารถอัพลุคให้ดูเท่ ภูมิฐาน
จากไลฟ์สไตล์คนเมืองในปัจจุบัน ปัจจัยในการเฟ้นหารถยนต์คู่ใจสักคัน อาจไม่ได้จบแค่หัวใจหลักอย่างเรื่องสมรรถนะ หรือความปลอดภัยเพียงเท่านั้น เพราะมันจำเป็นต้องลงลึกไปถึงรูปลักษณ์เส้นสายงานดีไซน์ที่ใช่ ไม่เว้นแม้แต่ฟังก์ชันการใช้งานอันหลากหลายซึ่งพร้อมตอบสนองรูปแบบการใช้ชีวิตที่แตกต่าง และต้องบอกว่า New Mitsubishi Xpander Cross รุ่นใหม่ที่มาพร้อมดีไซน์อารมณ์สปอร์ต SUV รวมถึงฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลายภายใต้นิยามของความเป็น The Urban SUV คืออีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับใครซึ่งกำลังมองหารถยนต์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองได้ครบครัน ครบเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของประสิทธิภาพความปลอดภัย รวมไปถึงคุณสมบัติการใช้งานที่อเนกประสงค์ และดีไซน์ที่สวยงามโดดเด่นซึ่งพร้อมสะท้อนตัวตนของผู้ขับขี่ออกมาได้อย่างชัดเจน เกริ่นมาแค่นี้อาจยังไม่เห็นภาพ ในวันนี้เราจึงอาสาพาผู้อ่าน UNLOCKMEN ทุกท่าน ไปสัมผัสกับจุดเด่นด้านต่าง ๆ ที่ถูกเพิ่มเติมเข้ามาใน New Mitsubishi Xpander Cross รุ่นใหม่ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ และช่วยตอบคำถามที่ว่าทำไมมันถึงเป็นรถยนต์ที่น่าสนใจ และเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์คนเมืองอย่างเรา ๆ EXTERIOR เริ่มต้นกันที่การออกแบบภายนอกของ New Mitsubishi Xpander Cross ที่ยังคงเอกลักษณ์ของแนวคิดการออกแบบด้านหน้ารถที่เรียกว่า Advanced Dynamic Shield ซึ่งเป็นการออกแบบโดยคำนึงถึงความปลอดภัย และสมรรถนะการขับขี่จนได้ผลลัพธ์เป็นเส้นสายงานดีไซน์ที่พบเห็นได้ในรถยนต์ Mitsubishi ยุคใหม่ทุกรุ่น และ New Mitsubishi
หากจะให้พูดถึงอย่างค่ายเพลงทางเลือก ที่แม้ไม่ได้มีสเกลขององค์กรที่ขนาดใหญ่โตอะไรมากมาย แต่ได้ผลิตผลงาน ผลิตศิลปินที่มีทั้งเอกลักษณ์ และคุณภาพป้อนสู่วงการเพลงมาอย่างยาวนาน เราเชื่อว่าชื่อแรก ๆ ที่โผล่เข้ามาในหัวของใครหลายคน คงหนีไม่พ้น Smallroom ค่ายเพลงเล็ก ๆ ที่โดดเด่นจนกลายเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของยุคเด็กแนวที่วัยรุ่นส่วนใหญ่ในช่วงเวลานั้นเป็นต้องอ่าน a day, ไปงาน Fat และฟังเพลง Smallroom ค่ายเพลงทางเลือกซึ่งเราพูดถึงในตอนแรกเริ่ม ที่เดินทางผ่านกาลเวลามาไม่ใช่น้อย แต่ก็ยังคงความร่วมสมัยภายใต้ตัวตนที่แทบไม่ต่างไปจากเดิม ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงปัจจุบัน จากความน่าสนใจนี้ คอลัมน์ ZERO to HERO จึงขอพาชาว UNLOCKMEN ทุกท่าน ร่วมย้อนเหตุการณ์ผ่านความทรงจำ และ ประสบการณ์อันเข้มข้นของ ‘รุ่ง-รุ่งโรจน์ อุปถัมภ์โพธิวัฒน์’ หรือที่ศิลปิน และใคร ๆ ต่างเรียกเขาว่า ‘พี่รุ่ง’ หัวเรือใหญ่แห่งค่าย Smallroom ผู้เป็นที่เคารพรัก และมักจะได้ยินศิลปินในค่ายกล่าวถึงเขาบ่อย ๆ ด้วยสไตล์การทำงานแบบคลุกวงในคอยให้คำแนะนำปรึกษา แต่งเพลง ช่วยโปรดิวซ์ แม้กระทั่งถ่ายทำ MV ให้ เรียกได้ว่ามีส่วนร่วมแทบทุกขั้นตอน กับชุดคำถามที่ว่าทำไมค่ายเพลงอิสระที่เริ่มต้นจากห้องเล็ก ๆ
ตลอดช่วง 4 – 5 ปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าชื่อของ ‘กันต์ กันตถาวร’ นั้นได้ถูกกล่าวขวัญถึงในฐานะพิธีกรดาวรุ่ง ที่ก้าวขึ้นสู่ระดับแถวหน้าของวงการ กับความโดดเด่นเรื่องปฏิภาณไหวพริบในการดำเนินรายการที่มีจังหวะจะโคน ลูกล่อลูกชนไม่แพ้ใคร รวมถึงสไตล์เฉพาะตัวซึ่งเป็นส่วนผสมสำคัญให้รายการต่าง ๆ ที่เขารับหน้าที่เป็นพิธีกรนั้นสนุกสนานน่าติดตามจนได้รับความนิยมไปทั่วบ้านทั่วเมือง แต่ถ้าย้อนกลับไปไกลกว่านั้น เชื่อว่าอีกหลายต่อหลายคนต่างรู้จัก ‘กันต์ กันตถาวร’ ในฐานะพระเอกหนุ่ม คิวแน่น งานชุก ก่อนที่จะหายหน้าลาจอเลิกรับงานละครไปแบบดื้อ ๆ แล้วอะไรที่ทำให้คนหนึ่งคนที่กำลังอยู่ในจุดพีคของอาชีพนักแสดง เลือกหยุดทุกอย่าง ข้ามสายอาชีพมาเริ่มต้นใหม่ เรียนรู้ใหม่ เพื่อไล่ล่าความสำเร็จใหม่อีกครั้งในฐานะพิธีกร วันนี้เราจะพาทุกท่านไปถาม ‘กันต์’ ให้รู้เรื่องกันสักที “ตอนนี้แต่งงานมีภรรยาแล้วครับ ส่วนเรื่องงานตอนนี้ผมทำอาชีพพิธีกรเป็นหลักประมาณ 99.99% เลยล่ะ” กันต์เริ่มต้นด้วยการอัพเดทชีวิต ณ ขวบปีนี้ของเขาให้เราฟัง ก่อนจะเล่าถึงสาเหตุคร่าว ๆ ที่หลายคนสงสัย ว่าทำไมจึงเลือกจะหยุดงานด้านการแสดงแล้วหันมาเอาดีบนเส้นทางพิธีกรอย่างเต็มตัว “สาเหตุที่ยังไม่ได้รับงานแสดงเนื่องจากว่า ผมว่ามันใช้เวลาเยอะในการทำงาน ซึ่งจริง ๆ มันเป็นอาชีพที่ผมรักมากนะการแสดง แต่ผมว่าผมรักมันเกินไปจนไม่สามารถแยกได้ ผมเคยทุ่มเทเวลาให้กับการแสดงมากจนกราฟชีวิตฝั่งการทำงานนี้มันแหลมอยู่ด้านเดียว และชีวิตด้านอื่นมันจะถูกหดลงไป เลยเริ่มรู้สึกว่าต้องบาลานซ์ แต่ผมยังไม่สามารถบาลานซ์ได้ขนาดนั้น และการทำอาชีพพิธีกรมันก็ตอบโจทย์กับสิ่งที่ผมต้องการตรงที่ว่ามันใช้เวลาสั้นกว่า
GARAGE สัปดาห์นี้ขอพาชาว UNLOCKMEN ทุกท่านไปพบกับ Lomosonic กลุ่มคนดนตรีตัวจริง ที่ผ่านการเดินทางมายาวนานกว่า 15 ปีตั้งแต่ก่อตั้งวง หรือ 10 ปีนับตั้งแต่วันที่ได้ออกอัลบั้มชุดแรก กับเรื่องราวที่มีทั้งเสียงหัวเราะ รอยยิ้ม หยาดเหงื่อ และความผิดหวัง ซึ่งบทสนทนาในวันนี้คือการพูดคุยย้อนไปตั้งแต่วันแรกของทุกคนก่อนจะได้มารวมกลุ่ม ฟอร์มทีม ร่วมฝ่าฟันความฝันบนเส้นทางดนตรีไปด้วยกัน ถือเป็นการคุ้ยกล่องความทรงจำตลอดหลายปีในนาม Lomosonic ของ ‘บอย-อริย์ธัช พลตาล’, ‘ป้อม-ฉัตรชัย งามสิริมงคลชัย’, ‘ ปิติ-ปิติ เอสตราลาโด สหพงศ์ เดน โดมินิค’ และ ‘ออตโต้-ชาญเดช จันทร์จำเริญ’ ที่เรื่องราวทั้งหลายของพวกเขาได้ตกผลึกจนกลายมาเป็นประสบการณ์และผลงานดนตรีที่บ่งบอกตัวตนของพวกเขา ณ ปัจจุบัน จุดเริ่มต้น บอย: สิ่งที่ทำให้เริ่มมาเล่นดนตรีได้ รู้สึกว่าร้องเพลงมาตั้งแต่จำความได้ เราถูกปลูกฝังมาว่าการร้องเพลงมันเป็นการสร้างความบันเทิงให้คนอื่น แต่ว่ามันก็จะมีความขี้อาย หรือว่าเวลาผู้ใหญ่เขาถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร ตอนนั้นเราก็รู้สึกว่าคำตอบที่มันทำให้ผู้ใหญ่พึงพอใจ คือ การเป็นหมอ การเป็นทหาร การเป็นอะไรที่เขาให้คำนิยามเกี่ยวข้องกับความมั่นคง แต่จริง ๆ แล้ว ผมอยากเป็นนักร้องมาตลอด เพราะดู ไมเคิล
“คุณค่าของกล้อง Toy มันอยู่ที่เอกลักษณ์ในแต่ละตัว คือต้องบอกก่อนว่ามูลค่าของมันไม่ได้เยอะ แต่มันมีระยะเวลาการเดินทางของมัน เหมือนกับคนเราที่คุณค่าอยู่ภายใต้จิตใจ ตัวตน หรือบุคลิกส่วนตัว” เมื่อเอ่ยถึงของสะสมหลายคนอาจนึกไปถึงของที่มีมูลค่าทั้งทางจิตใจ และตัวเงิน แต่กล้อง Toy ที่ ‘มินโซ-จุฬารัตน์’ ช่างภาพสาวผู้รับตำแหน่ง The Collector ประจำเดือนนี้ของเราสะสม แม้จะไม่ได้มีมูลค่ามากมายนักในแง่ของราคา แต่เรื่องราว และเอกลักษณ์ รวมถึงความสามารถในการถ่ายภาพที่แตกต่างของกล้องแต่ละตัวคือเสน่ห์ที่ทำเธอหลงรักกล้อง Toy จนหมดหัวใจ และในวันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับของสะสมสุดรัก รวมถึงเรื่องราวชีวิตเธอที่ไม่ได้ง่ายดาย สดใส น่ารักเหมือนกล้อง Toy ที่เธอสะสม แต่บอกเลยว่าทั้งสองประเด็นนี้ของเธอมันต่างก็น่าสนใจไม่แพ้กันเลย ถ่ายรูปก็ได้ แต่งหน้าก็ดี หัวข้อนี้น่าจะเป็นคำจำกัดความถึงสิ่งที่ ‘มินโซ-จุฬารัตน์’ ทำอยู่ ณ ปัจจุบัน กับอาชีพช่างภาพแฟชั่นอิสระ ที่ในวงการต่างขนานนามว่าเป็นช่างภาพสายละมุนซึ่งเน้นงานผิว ที่สวยและเด่นชัด บวกกับ Composition ที่แปลก ๆ ผสานกับ Beauty ไปในตัว “คือถึงแม้เราจะถ่ายแบรนด์เสื้อผ้าหรือถ่ายอะไรก็ตามแต่ สิ่งที่หลายคนเห็นแล้วดูว่าเป็นงานเราก็คืองานผิว เห็นผิวที่สวยแบบชัด ละก็ดูสวย และละมุน มันก็เลยเป็นคำนิยามเราว่าเป็นช่างภาพสายละมุน มันเหมือนดูรูปแล้วดูละมุนนี” มินโซเล่าถึงความแตกต่างในงานของเธอให้เราฟังอย่างอารมณ์ดี
หลังจากที่มนุษยชาติได้พบพานกับสถานการณ์ที่ทำให้เราต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตไปอย่างสิ้นเชิง สิ่งเหล่านั้นเริ่มกลายมาเป็นวิถีชีวิตรูปแบบใหม่หรือที่เราคุ้นหูกันในชื่อ New Normal Living ซึ่งแน่นอนว่ามันส่งผลต่อเนื่องมาถึงมุมมองของการใช้ชีวิต ที่หลายคนค้นพบสกิลใหม่ๆ หรืออาชีพใหม่ และผู้คนเริ่มหันมาใส่ใจกับสุขภาพมากขึ้น รวมถึงการให้ความสำคัญกับที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แบบ New Normal ได้อย่างรอบด้านอันเนื่องมาจากการที่ผู้คนส่วนใหญ่จำเป็นต้องใช้ชีวิตใช้เวลาอยู่กับบ้านมากขึ้น จาก Insight ที่น่าสนใจดังกล่าวนี้ จึงได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นไอเดียต่อยอดสู่รายการ ‘SANSIRI HOME STORIES’ ที่ต้องถือว่าเป็นอีกหนึ่ง Real-Time Marketing จากแสนสิริ ที่เป็นอีกแบรนด์ที่มักสร้างสรรค์คอนเทนต์ได้อย่างชาญฉลาดและทันต่อสถานการณ์อยู่เสมอ เรียกได้ว่ารายการนี้เป็นประโยชน์แบบวิน-วินทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นผู้ชมทั้งหลาย หรือแม้กระทั่งตัวแบรนด์เองก็ตาม ในแง่ของผู้ชมอย่างเรา ๆ ก็รับไปเต็ม ๆ กับไอเดียการอยู่อาศัยในยุคนี้ และการปรับใช้พื้นที่ภายในบ้านให้ตอบโจทย์ทุกความต้องการและใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ ลงตัวทุกด้านของการใช้ชีวิต ทั้งครอบครัว สุขภาพ และการทำงาน ส่วนในแง่ของแบรนด์ก็ได้สื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมาย แถมยังเป็นการสะท้อนตัวตนของแบรนด์ที่มุ่งมั่นส่งมอบไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่มากกว่าเพียงแค่ที่อยู่อาศัยอีกด้วย นอกจากนี้ยังเป็นการดึงเอาความน่าสนใจของจุดขายในโครงการบ้านและทาวน์โฮมจากแสนสิริ ที่มีความโดดเด่นในเรื่องของพื้นที่อยู่อาศัยซึ่งถูกออกแบบขึ้นมาภายใต้แนวคิด Flexible Living Area พื้นที่ในตัวบ้าน ที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานได้ทั้งการเป็น Connecting Space เพื่อทุกคนในครอบครัว และ Working Space เพื่อรองรับการทำงานในรูปแบบ Work From Home
หากเอ่ยถึงชื่อ ‘จเด็จ คาลายานนท์’ หลายคนอาจจะงง ๆ ว่าเรากำลังพูดถึงใคร เพราะเชื่อว่าผู้คนส่วนใหญ่ต่างรู้จักผู้ชายคนนี้ในนาม ‘เจเด็ด FEDFE’ หนึ่งในชาวแก๊ง YouTuber ยุคบุกเบิก ที่โดดเด่นด้วยเอกลักษณ์ของ Content ห่าม กล้า บ้าดีเดือด จนสามารถแหวกทางให้พวกเขายืนหนึ่งเป็น YouTuber ยุคบุกเบิก ที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้น ๆ ชีวิตเต็มไปด้วยโอกาส และรายได้มากมาย แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งหลังจากปีนสู่ยอดเขาแห่งการทำ Online Content สำเร็จ ในวันที่ทุกอย่างอิ่มตัว เพื่อนฝูงต่างแยกย้ายไปทำตามฝันของแต่ละคน ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงเลือกทางเดินเส้นใหม่ เลือกเริ่มต้นใหม่ด้วยการไต่ยอดเขาอีกลูกบนสายอาชีพช่างตัดผม? แน่นอนว่าคำถามนี้คงไม่มีใครให้ความกระจ่างได้ดีกว่าเจ้าตัว และ เขาก็พร้อมแล้วที่จะเล่าเรื่องราวชีวิตให้เราฟังย้อนไปตั้งแต่สมัยวัยเด็กกันเลยทีเดียว จากเด็กเรียบร้อยระดับหัวหน้าชั้น สู่ตัวกลั่นแห่งแก๊ง FEDFE “สมัยเด็กผมเป็นหัวหน้าห้องตั้งแต่ประถมเลย เป็นเด็กเรียบร้อย ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมาถึงจุดนี้ได้ จะมีรอยสักเยอะแยะแบบไม่เคยคิดมาก่อน แต่ด้วยความที่แบบว่า ชอบมานานเรารู้สึกว่าเราเสพแฟชั่น เสพสื่อแล้วเรารู้สึกชอบรอยสักจนที่สุดแล้วก็เป็นตัวตนเราที่ทุกคนรู้จักในตอนนี้” เจเด็ดเริ่มต้นบทสนทนา ด้วยคำตอบสุดเซอร์ไพรส์ กับคำถามจากความสงสัยเรื่องรอยสักเต็มตัวดูดุดัน และความห่าม บ้า ซ่า ที่เคยได้เห็นจาก YouTube จนทำให้อยากรู้ว่าวัยเด็กของเขานั้นจะแสบขนาดไหน ก่อนที่จะเข้าประเด็นหลักที่เราอยากรู้ที่มาที่ไปของการเริ่มทำ
หากเอ่ยชื่อ ‘โอ๊ค Big Ass’ และ ‘สมเมย์ Labanoon’ เชื่อว่าแทบจะไม่มีใครที่ไม่รู้จัก เพราะพวกเขาทั้งคู่คือมือเบส และมือกลองที่เป็นหนึ่งในสมาชิกวงร็อกเบอร์ต้น ๆ ของเมืองไทย ที่เก็บเกี่ยวประสบการณ์ และสั่งสมชื่อเสียงผ่านเพลงฮิตมาแล้วมากมาย แต่ GARAGE สัปดาห์นี้ เราไม่ได้พาชาว UNLOCKMEN ไปเจาะลึกถึงเส้นทางความสำเร็จที่ผ่านมาของพวกเขา แต่เราจะพาทุกคนไปพบกับเรื่องราวการเดินทางครั้งใหม่ของทั้งคู่ กับ VOM Records ค่ายเพลงเล็ก ๆ ที่พวกเขาทุ่มเททั้งแรงกาย และใช้หัวจิตหัวใจปลุกปั้นขึ้นมา เพื่อเป้าหมายในเปิดโอกาสทางดนตรีให้ใครก็ตามที่มีดี และมีไฟฝันอันแรงกล้าอยู่ในตัว ได้ใช้พื้นที่นี้ปล่อยของออกไปสู่คนฟังให้ได้มากที่สุดโดยพี่โอ๊ค และ พี่สมเมย์ได้เริ่มต้นบทสนทนาด้วยการเล่าย้อนไปยังชีวิตวัยเด็กซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นทั้งหมดทั้งมวลที่พาให้ทั้งคู่ก้าวสู่วิถีคนดนตรี พี่โอ๊ค: ตอนเด็ก ๆ เริ่มจากที่บ้านชอบฟังเพลง ที่บ้านจะมีเครื่องเล่นแผ่นเสียงอะไรแบบนี้ คุณพ่อคุณแม่ก็จะเปิดพวกเพลงสากลด้วย เพลงไทยด้วย ยุคนั้นก็จะได้ยินเพลงเอลวิส เพลงโฟล์ค อะไรพวกนี้ พอโตขึ้นมาหน่อย พี่ชายเค้าก็จะฟังเพลง ก็จะเปิดพวกฮาร์ดร็อคยุค 70 ยุค 80 เราก็ได้ฟัง ซึมซับมาเรื่อย ๆ ก็เลยชอบฟังเพลง บวกกับพี่ชายเป็นนักดนตรีด้วย พอเขาเริ่มเล่นดนตรีเราก็ดูเขาก็