สาวกความเร็วทั้งหลายที่ชอบให้ผิวกายปะทะกับลมเพราะมันได้ฟีลกว่า และชอบการบิดควบคุมความเร็วผ่านกำมือ คงต้องเคยเจอปัญหาชวนเซ็งอย่างการโทรศัพท์และการฟังเพลง เพราะพอต้องใส่อุปกรณ์เสริมความปลอดภัยอย่างหมวกกันน็อกแล้วมันดูจะมีอุปสรรคไปเสียทุกอย่าง แม้เราจะพยายามหานวัตกรรมใหม่มาเพิ่มความสะดวกมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่มันก็ไม่ค่อยพอดีเท่าไหร่ หูฟังบลูทูธเสียบไว้แต่บางทีเสียดสีกับผิวด้านข้างของหมวกกันน็อกมันก็หลุดหล่นลงพื้นระหว่างขับ จนเราต้องเสี่ยงวนรถกลับไปเก็บด้วย Domio Pro คืออุปกรณ์เสริมติดหมวกกันน็อกเพื่อสร้างความบันเทิงรูปแบบใหม่ที่แค่ดูวิดีโอตัวอย่างเราก็รู้สึกหลงรัก อยากได้จนมือไม้สั่น และเชื่อว่าสิงห์นักบิดทุกคนต้องชื่นชอบอย่างแน่นอน เพราะมันสามารถติดไว้ใช้ได้กับหมวกกันน็อกทุกรุ่นที่เราใช้งาน และแก้ปัญหา pain point ที่เราพูดถึงด้านบนไว้ได้แบบคูล ๆ จบในตัว คุณสมบัติของ Domio Pro ประกอบด้วย มี air mic หรือไมค์โครโฟนที่สามารถตัดเสียงรบกวนเข้าไมโครโฟนระหว่างสื่อสารได้ เชื่อมต่อด้วยระบบบลูทูธ สร้างระบบเสียงทรงพลังจากการสั่นสะเทือน ทำให้เกิดเบสแน่น ๆ ใน track ที่เราชื่นชอบ แบตเตอรี่ใช้ได้ยาวนานต่อเนื่องถึง 24 ชั่วโมง ฐานสำหรับติดตั้งยึดแน่นไม่ต้องกลัวหลุด อุปกรณ์สามารถกันน้ำได้ ไม่หวั่นแม้วันฝนตก แดดออก หรือเจอหิมะก็ยังไหว วิธีการใช้งานเครื่อง Domio Pro ใช้งานได้ง่าย เพราะสามารถเชื่อมต่อและรับคำสั่งการเปิดเพลงโดยเชื่อมต่อผ่านสมาร์ทโฟนและการกดเปิดของปุ่มบนตัวเครื่องเท่านั้น โดยเชื่อมต่อกันผ่าน bluetooth ถามว่าเครื่องเล็กแบบนี้สร้างเสียงเพลงกระหึ่มฟังชัดตลอดการบิดของเราได้อย่างไร บอกเลยว่าเสียงที่เราได้ยินสร้างขึ้นจากการสั่นสะเทือนที่กระทบผิวหมวกกันน็อกตามหลักการกำเนิดเสียง แต่ออกแบบเป็นพิเศษให้เสียงที่ได้ยินขึ้นภายในหมวกกันน็อกแบบเซอร์ราวนด์ โดยไม่ทำให้คุณสมบัติด้านความปลอดภัยลดลงแม้ต่อน้อย ลองคิดว่าถ้าเราเกิดอุบัติเหตุล้มลง
8 ชั่วโมงทำงานในแต่ละวันของพวกเรา เชื่อว่าหลายครั้งคงต้องเจอกับภาวะงานกองพะเนิน ทำอย่างไรก็ไม่เสร็จสักที ย่ิงคิดยิ่งปวดหัวเพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มสางมันตรงไหนก่อน เพื่อให้พวกเราสามารถควบคุมงานในมือให้อยู่หมัดและปัดมันออกไปจาก “To do list” โดยไม่ต้องเก็บไปฝันร้ายที่บ้าน UNLOCKMEN ได้เตรียมวิธีรับมือง่าย ๆ ทั้ง 5 หนทางต่อไปนี้ เริ่มต้นเตรียมพร้อมก่อนไปหาทางออกกันด้วยการ “หายใจ” โดยใช้วิธีหายใจเข้าแบบ “ช้า ๆ” เพราะการหายใจช้า ๆ จะช่วยแก้ไขอาการตื่นเต้นและการโฟกัสให้ยาวขึ้น เหมือนการปลุกสมองให้เตรียมพร้อมสู่การวางแผน ตอนนี้รู้สึกใจนิ่งขึ้นแล้วหรือยัง? ถ้านิ่งแล้วเราลุยต่อขั้นถัดไปกันได้เลย พูดเองเออเองคนเดียวบางทีก็ช่วยได้ พูดคนเดียวอาจจะเป็นวิธีโคตรฝืนสำหรับใครหลายคน เพราะกลัวคนรอบข้างจะคิดว่าเราบ้า แต่ถ้าได้ลองสักครั้งเราจะรู้ว่าความเป็นจริงมันเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยให้เราควบคุมความสงบในมือและวางแผนสิ่งที่จะทำต่อได้เป็นอย่างดี แถมยังช่วยบรรเทาความกังวลที่เกิดจากจากความรับผิดชอบซึ่งกำลังล้นมือเราในตอนนี้ด้วย ใครที่ยังคิดไม่ออกว่าจะพูดอะไร ลองพูดด้วยประโยคเหล่านี้ดู “ถึงงานจะเยอะแค่ไหน แต่ฉันก็โฟกัสมันได้แค่อย่างเดียวที่กำลังอยู่ตรงหน้าเท่านั้น และเราจะรู้สึกดีกว่าแน่นอนถ้าได้ทำแบบนั้น” “ฉันชอบให้งานจบภายในวันนั้น แต่จะยอมรับความเป็นไปได้จริงของสิ่งที่เกิดขึ้นด้วย” “ฉันสนุกกับการทำงานของฉัน ดังนั้น ถึงงานจะยุ่ง ๆ ฉันก็สนุก มันเป็นเรื่องธรรมชาติที่บางครั้งจะรู้สึกว่างานล้นมือ ฉันสามารถจัดการกับอารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้นและปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ” เคล็ดลับของการใช้วิธีพูดคนเดียวเพื่อบำบัดเป็นเทคนิกที่เราแนะนำ เพราะการเปลี่ยนคำชวนเครียดอย่าง “ควร” เป็น “ชอบ” หรือ “ทำได้” มันช่วยให้เรารู้สึกมีพลังเพิ่มขึ้นและคลายความกังวลได้มากกว่า
ใครที่อยู่ในแวดวงสื่อโฆษณา ชื่อของ “VGI” หรือ บริษัท วี จี ไอ โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) คงเป็นชื่อแบรนด์อันดับต้นที่ติดหูในฐานะผู้ครองสื่อนอกบ้านรายใหญ่ที่ร่ำรวยเรื่องพื้นที่โฆษณานอกบ้านโดยมีสัมปทานโฆษณาบริเวณรถไฟฟ้า BTS อยู่เต็มกำมือแถมยังเหลือมืออีกข้างรวบตึงการลงทุนซื้อหุ้นในบริษัท MACO หรือบริษัท มาสเตอร์ แอด จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการด้านเครือข่ายป้ายโฆษณามือเก๋าที่ปีนี้มีอายุครบ 29 ขวบแล้ว และล่าสุดคือการประกาศเสริมใยเหล็ก โดดมาถือหุ้นถึง 23 % ธุรกิจ logistic สุดบูมอย่าง Kerry Express ช่วงต้นปีในเดือนเมษายนที่ผ่านมาอีกด้วย เบื้องหลังอาณาจักรสื่อใหญ่เนื้อหอมของประเทศที่คนวงการโฆษณาทุกคนอยากมีโอกาสเข้าไปร่วมงานด้วย แน่นอนว่าความแข็งแกร่งต้องมาจากผู้บริหาร ครั้งนี้ UNLOCKMEN ได้รับโอกาสพิเศษร่วมพูดคุยปลดล็อกวิสัยทัศน์และไลฟ์สไตล์ของ เนลสัน เหลียง CEO คนปัจจุบันของบริษัท VGI ชายหนุ่มที่หลายคนอยากรู้จักเขามากที่สุดคนหนึ่งของประเทศ เพราะเพิ่งขึ้นรับตำแหน่งหมาด ๆ คุณเนลสัน เหลียง คือหนุ่มชาวฮ่องกง ลุคขี้เล่นซึ่งทลายกำแพงภาพลักษณ์ผู้บริหารหลายคนที่เรารู้จัก แถมทำเอาทีมงานเราเข้าใจผิดเรื่องอายุเสียสนิทเพราะใบหน้าที่ยังอ่อนเยาว์กับความเฟิร์มของรูปร่าง ใครจะเชื่อว่าหนุ่มคนนี้อายุ 43 ปีแล้ว
อยากได้ใครที่รู้ใจ อยากได้คนที่คอยสนับสนุนความคิด ความต้องการพวกนี้มันอาจจะไม่ใช่ฝันเฟื่องสำหรับผู้ชายอย่างพวกเราอีกต่อไป เพราะทุกวันนี้เขามีอุปกรณ์ช่วยอ่านใจแม่น ๆ ชนิดไม่ต้องออกเสียงพูด แค่คิดไว้ในหัว มันก็มอบคำตอบที่ต้องการได้ทันที สิ่งประดิษฐ์อัจฉริยะชิ้นนี้ทางผู้ผลิตและวิจัยออกโรงมาเคลมความแม่นจากตัวเลขผลการทดลองของตัว prototype ของคน 15 คน พบว่าแม่นเกือบ 100 % (ตัวเลขจริงปาเข้าไป 92 %) โดยใช้หลักการล้วงความคิดในสมองแบบที่เราคาดไม่ถึงด้วยการสวม Headset ที่เขาตั้งชื่อมันว่า “AlterEgo” หลายคนอยากรู้ว่าอุปกรณ์นี้ใช้วิธีไหนอ่านใจคนสวม แล็บวิจัย MIT Media ผู้พัฒนา AlterEgo ให้คำอธิบายไว้ว่าเครื่องนี้แกะรอยความคิดของเราจากการประโยคที่เกิดขึ้นภายในหัวเรา ณ เวลานั้น เพราะเมื่อเราคิด สมองจะส่งสัญญาณต่อไปยังปากและกรามทันที เจ้า Headset อัจฉริยะจะจับสัญญาณการขยับที่เกิดขึ้นกระทบแล้วเชื่อมต่อการใช้งานให้กับเรา ตัวอย่างเช่น หากเราอยากรู้ว่าตอนนี้เราอยู่บนถนนเส้นไหน เราแค่คิดคำถามนี้ไว้ในหัว AlterEgo จะแปลงมันเป็นคำถามแล้วหาข้อมูลเพื่อตอบคำถามที่เราต้องการ นอกจากการถามตอบมันยังสามารถเชื่อมโยงการใช้งานเข้าร่วมกับระบบคำสั่งการ smart device อื่น อย่างทีวี มือถือ ฯลฯ ได้อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นระบบ AI ที่ทำงานได้เฉียบกว่า Google Assistant
ปัจจุบันกระแสการลงทุนการบริหารความมั่งคั่ง เป็นเรื่องที่คนรุ่นใหม่ต่างให้ความสนใจ ทว่าด้วยผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่าง ๆ ที่มีความซับซ้อน ความรู้ความเข้าใจในการลงทุนที่เรายังมีไม่เพียงพอ และคำว่า “ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนโปรดศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน” จึงมาแตะเบรก ทำให้แม้เราจะอยากลงทุน แต่ก็ไม่กล้าที่จะเสี่ยง เพื่อตอบโจทย์กระแสการลงทุนนี้ จึงเกิดเป็นเทรนช่องทางการบริการทางการเงินแบบใหม่ที่เรียกว่า Wealth Management หรือการบริหารความมั่งคั่งขึ้น โดยมี “Wealth Personal Banker” หรือผู้แนะนำการลงทุนที่ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาด้านการบริหารเงิน รับหน้าที่ดูแล ปกป้อง และเพิ่มพูนของมั่งคั่งให้กับเรา เพื่อเจาะลึกเบื้องหลังของอาชีพสุดท้าทายนี้ ทีมงาน UNLOCKMEN จึงมุ่งหน้าไปเสาะหาข้อมูลจากคนที่ทำอาชีพนี้และอยู่ในวงการนี้จริงโดยแวะเวียนมาที่ SCB Investment Center โดยได้รับความอนุเคราะห์ข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ ทั้ง 3 ท่าน ได้แก่ คุณก้อย – กาญจนา คล่องอนันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส SCB FIRST: SA, Executive and Professional Segment และผู้บริหารศูนย์ SCB Investment Center กรุงเทพฯ คุณปอย
“เบียร์มันขม พวกมึงกินกันไปได้ยังไงวะ” คือประโยคหนึ่งในวงเหล้าที่เป็นที่มาของการควานหาเรื่องเล่าเกี่ยวกับเบียร์มาเล่าสู่กันฟังในครั้งนี้ อันที่จริงผู้เขียนไม่เคยตั้งข้อสงสัยกับรสชาติขมที่มีในเบียร์ เพราะชื่นชอบรสขมกับระดับความเมาที่น้อยกว่าการกินเหล้าเป็นทุนอยู่แล้ว ยิ่งริน ยิ่งคุย ยิ่งเฮ แต่พอมาคิดตามคำที่เพื่อนหรือสาว ๆ พูดก็น่าสนใจ เมื่อเบียร์มันเกิดขึ้นมานานกว่าหลายพันปี รสชาติ “ขมเข้ม” คนโบราณเขาควรจะคิดว่ามันเป็นยาพิษมากกว่าเป็นของที่นำมาดื่มกินได้หรือเปล่า สุดท้ายคำถามนี้มันนำมาสู่คำตอบที่บอกได้เลยว่า น่าทึ่ง เพราะเราเองก็ยังไม่เคยรู้มาก่อนหลายเรื่อง และหวังว่าเรื่องนี้จะสามารถไขข้อกระจ่างให้เอาไปเล่าต่อหรือตอบคำถามในวงเบียร์ได้ว่า “ทำไมพวกเราถึงกินเบียร์” “เบียร์แก้วแรกของโลกมันไม่ขม” เชิญพูดใส่หน้าเพื่อนรักของเราที่หันมาถามว่าคนเขากินไปได้ยังไงได้ทันที เพราะที่มาของความขมในเบียร์มันมาจาก “ดอกฮอปส์” ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากการคิดค้นเบียร์มาแล้วราว 2,000 ปี ดังนั้น เบียร์แก้วแรกที่อุบัติขึ้นในโลกใบนี้มันเลยไม่ขม คนเขาก็เลยกินกัน แล้วเรายังสามารถต่อยอดด้วยการหันไปบอกเพื่อนได้ว่าเบียร์ไม่ขมมันก็มีให้เลือกดื่ม ลองดูก่อนแล้วจะติดใจ เบียร์จัดเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเภทแรกของโลกที่คิดค้นขึ้นโดยชาวบาบิโลเนียน อายุขัยของการคิดค้นเบียร์เล่าแบบหลวม ๆ เรื่องตัวเลขว่าเกิดขึ้นมาเป็นหลักพันปีแล้วจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ซึ่งตามข้อมูลที่สืบค้นมาหลายแหล่งระบุตัวเลขไว้แตกต่างกันตั้งแต่ 3,000 ปีไปจนถึง 8,000 ปีเลยทีเดียว เบื้องหลังของเบียร์ขวดแรกว่ากันว่าเกิดขึ้นจากชาวนาคนหนึ่งที่บังเอิญไปชิมน้ำที่ทำขนมปังตกใส่สักระยะ (เหมือนบ่มโดยบังเอิญ) แล้ว…บูม! เกิดเป็นเบียร์โบราณขึ้นตอนนั้น เบียร์ไม่ใช่เรื่องของผู้ชาย ไม่ใช่แค่เรื่องการเกิดที่เกิดจากการกินอะไรแผลง ๆ ของคนโบราณอย่างเดียวที่น่าสนใจ แต่ประวัติศาสตร์ยังบันทึกไว้ด้วยว่าที่มาของรสชาติขมเฉพาะตัวของเบียร์มันเกิดจากผู้หญิง แถมสาวคนที่ใส่ดอกฮอปส์ลงในเบียร์ครั้งแรกยังเป็นแม่ชีอีกต่างหาก โดยแม่ชีท่านนี้บันทึกการสนับสนุนให้ไส่ดอกฮอปส์ลงในเบียร์ไว้ในหนังสือด้านสุขภาพของเธอตั้งแต่ราว ค.ศ.
เคยสงสัยไหมว่าเวลาโจรกระโดดขึ้นรถขับหลบหนีทีไร ทำไมตำรวจต้องไล่ตามด้วยรูปแบบเดิมซ้ำ ๆ แถมไม่ได้ผล ไม่ว่าจะเป็นการขับแล้วชะโงกหัวออกมานอกหน้าต่างหยิบปืนพกไล่ยิงล้อผู้ร้ายเพื่อสกัดการหลบหนีทุกที ทั้งที่เปอร์เซ็นต์ที่จะยิงโดนมันก็น้อย แถมสุดท้ายพอขับผ่านแยกโจรก็ขับปาดหลบหนีไปได้ตลอดทุกที (ผู้ชายอย่างเราเห็นฉากแบบนี้ทีไรก็หัวร้อนทุกที) เหตุผลที่เจ้าหน้าที่ต้องใช้วิธีนี้คงเพราะยังไม่มีวิธีใหม่ที่ดีกว่า แต่ความเสี่ยงที่ไม่ตอบโจทย์ก็ทำให้หลายคนพยายามช่วยแก้ปัญหานี้ เช่นเดียวกับบริษัท Grappler Police Bumper บริษัทหัวใสที่คิดค้นนวัตกรรมจากแนวคิดที่ง่ายเหลือเชื่อแต่ได้ผลเกิดคาดอย่างการยิงตาข่ายดักล้อรถผู้ร้ายมันเสียเลย เอาสิ! อยากขับหนีไปไหน เชิญลากตำรวจตามไปด้วยเลย อุปกรณ์ตัวนี้เป็นตาข่ายติดตั้งใต้รถ จังหวะขับไล่ล่าตามท้องถนนแค่ตำรวจกดใช้งาน เจ้าตาข่ายพิเศษที่มีคุณสมบัติเดียวกับหนังสติ๊กก็จะยืดออกมา จากนั้นแค่เล็งให้ได้ระยะใกล้พอจะครอบล้อรถโจรไว้แล้วเหยียบคันเร่งให้ได้ระยะ แป๊ปเดียวยางตาข่ายจะครอบล้อปั่นดึงไว้อย่างอยู่หมัด พอดึงจังหวะแตะเบรกไว้ รถของตำรวจจะดึงรถของผู้ร้ายให้หยุดได้ นอกจากนี้มันยังสามารถคุมระยะได้ด้วย ถ้าคิดว่ามันใกล้ไปแล้วเป็นอันตราย อุปกรณ์นี้ยังสามารถยืดหรือหดได้ตามต้องการ ทำให้ตำรวจสามารถควบคุมได้ตามใจอยาก หรือถ้าอยากตัดเขาก็ซัพพอร์ตระบบไว้พร้อม แม้ว่าผู้ช่วยตัวนี้ยังไม่เหมาะจะใช้ในบ้านเรา เพราะเป็นเมืองที่การจราจรติดขัดอยู่ตลอด และไม่ได้วางระบบให้เอื้อกับการติดตามคนร้ายแบบคนใช้รถใช้ถนน แค่รถพยาบาลกับรถดับเพลิงวิ่งไปปฏิบัติหน้าที่เอกก็ยังหืดขึ้นคอ คงไม่ต้องรวมเรื่องนี้เข้าไปอีกเรื่อง แต่เราก็เห็นว่าเป็นหนึ่งการออกแบบที่มีแนวคิดการแก้ปัญหาดี และไม่มีใครต้องเสียเลือดเนื้อหรือโดนลูกหลงที่น่าสนใจมาเล่าสู่กันฟัง อุปกรณ์ชิ้นนี้เปิดวางจำหน่ายไปแล้วตั้งแต่ต้นปีในสหรัฐฯ น่าลุ้นว่าพอเอามาใช้งานจริง มันจะไปปรากฏในภาพยนตร์ด้วยหรือเปล่า และจะเปลี่ยนมิติการตามล่าในหนังบู๊ทั้งหลายที่ผู้ชายเราติดตามเป็นประจำไหม ส่วนใครที่อยากพิสูจน์สมรรถภาพของมันว่าเฉียบแค่ไหนในรูปแบบภาพเคลื่อนไหว ลองมาดูวิดีโอด้านล่างได้เลย SOURCE
เชื่อว่าขณะที่คุณกำลังเปิดอ่านบทความนี้ ส่วนใหญ่คงกำลังอยู่ในที่พักอันอบอุ่น มีงานให้ทำ มีเงินเดือนให้ใช้ แต่รู้หรือไม่ว่านอกรั้วบ้านของเราทุกวันนี้มีคนไร้บ้าน – ไร้ที่พึ่งหรือบุคคลที่เราเรียกว่า “โฮมเลส” เฉพาะในประเทศไทยนั้นมีมากถึง 70,539 คน (ผลสำรวจปี 2560) เมื่อโฮมเลสส่วนใหญ่คือคนที่เราเดินผ่านไปผ่านมาโดยไม่ค่อยสนใจพวกเขามากนัก แล้วอะไรคือปัจจัยที่ทำให้ David Casarez ชายโฮมเลสที่ยืนริมถนนพร้อมป้ายกระดาษหนึ่งใบในแคลิฟอร์เนียได้รับความสนใจจากคนในสังคมออนไลน์ จนมีคนลุกมาถ่ายภาพ โพสต์ และรีทวีตข้อความถึงบริษัทในซิลิคอนวัลเลย์ให้ช่วยรับชายคนนี้เข้าทำงาน และผลของพลังโซเชียลครั้งนี้ก็ทำให้เขาดังเป็นพลุแตกชนิดที่บริษัทกว่า 200 แห่งในซิลิคอลวัลเลย์แห่กันเรียกให้เข้าสัมภาษณ์งานเลยทีเดียว อะไรคือสิ่งที่ทำให้เขาเปลี่ยนสถานะจากโฮมเลสหางานเป็นคนที่งานวิ่งเข้าหา ได้รับโอกาสต่างจากโฮมเลสคนอื่น เขาสมควรได้รับโอกาสนี้หรือเปล่า หรือเป็นแค่ความสงสารไร้เหตุผลของคนโซเชียล เราล้วงที่มาและเรื่องราวของเขามาบอกแล้วในนี้ “Homeless, hungry 4 success, take a resume” คุณเคยอ่านป้ายกระดาษที่อยู่ในมือโฮมเลสทั้งหลายบนสะพานลอยบ้านเราไหม เราเชื่อว่าคงต้องมีสักแว้บที่สายตาพลันเหลือบไปอ่าน แต่นี่ผู้ชายร่างใหญ่ ๆ ยืนถือป้ายกลางสี่แยกท่ามกลางแดดร้อน ๆ ด้วยข้อความโต ๆ ว่า “Homeless, hungry 4 success, take a resume” หรือ “ผมคือโฮมเลสที่โหยความสำเร็จ รับ Resume ผมไปทีครับ” ทำไมเราจะไม่หยุดดูล่ะ งานนี้ถือเป็นการขายตรงเรซูเม่ที่ฮุคเข้าตากรรมการได้โคตรทรงพลัง
หมดไปเท่าไหร่กับเวลาและท่า workout ใหม่ ๆ แล้วผลที่ได้กลับมามันคุ้มค่าการเสียเหงื่อจริงหรือเปล่า ? ร่างกายเรายังขาดอะไรอีก ? ต้องควบคุมอะไรต่อเพื่อให้ได้เป้าหมายที่ต้องการ ? เราเชื่อว่าชาว UNLOCKMEN ทุกคนต้องอยากรู้กันทั้งนั้น เพราะผู้ชายอย่างเรามักออกกำลังกายกันด้วยตัวเองไม่ได้จ้างเทรนเนอร์ส่วนตัวมาคอยควบคุมชี้ทางให้ LUMEN เป็น gadget อัจฉริยะชิ้นใหม่ที่ผู้ชายอย่างเราน่าจะหลงรัก แถมดูแล้วคุณสมบัติของมันคงได้ไฟเขียวจากสาว ๆ ที่รักของเราแน่ เพราะพวกเธอเองก็ใช้ประโยชน์จากมันได้ อุปกรณ์ชิ้นนี้มันสามารถวัดค่าความฟิตของเมตาบอลิซึมในร่างกายคนเป่าได้ผ่านลมหายใจ ว่าง่าย ๆ ก็คือเป่าพรวดเข้าไปทีเดียวรู้เรื่อง เครื่องมันตีค่าวิเคราะห์เสร็จสรรพว่าร่างกายของเราเผาผลาญเท่าไหร่ กำลังต้องการอะไรอยู่ จัดตารางการกินการนอนส่วนตัวให้ด้วย ด้วยการใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์คำนวณค่าออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ในลมหายใจ ที่เขานิยมใช้กับพวกนักกีฬาซึ่งเรียกกันว่า RQ หน้าตาของเจ้า LUMEN ถือไปไหนมาไหนก็ค่อนข้างง่าย ดูเท่ ทำจากพลาสติกและสแตนเลส มาพร้อมเคสสำหรับพกพากับเครื่องชาร์จแบตเตอรี่ลิเทียมที่ใช้ได้ยาว ๆ ชาร์จครั้งเดียวก็ใช้ได้นานถึงสองอาทิตย์ บอกได้เลยว่าต่างจากเครื่องเป่าแอลกอฮอล์ที่พวกเราหลบด่านบ่อย ๆ ถ้าเอาไปใช้ก็ไม่ต้องกลัวคนรอบข้างเข้าใจผิดอย่างแน่นอน เรื่องวิธีเป่าก็ใช้ไม่ยาก อยากจะเป่าตอนไหนก็ได้ไม่มีปัญหา ค่าที่โชว์มันออกมาได้แบบเรียลไทม์ ณ เวลานั้น แต่ถ้าเริ่มจากช่วงเช้าตอนที่ยังไม่ออกกำลังกาย ไม่ได้กินอะไรมาก่อนเลยให้ร่างกายมันเดิม ๆ เข้าไว้จะดีกว่าเพราะเราจะได้เช็กว่าตอนนี้ร่างกายเป็นแบบไหน โดยเครื่องจะซิงค์เข้าแอปพลิเคชั่นผ่านบลูทูธแล้วเข้าสมาร์ตโฟนโชว์ค่าพลังงานที่มี ค่าคาร์บฯ และไขมัน
นาทีนี้คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักแบรนด์ Supreme ยิ่งถ้าเป็นสาย Street Fashion แน่นอนว่าต้องมีชื่อ Supreme ติดเป็นหนึ่งในแบรนด์ระดับท็อปของสายนี้ แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเบื้องหลังโลโก้ Supreme ที่ประกอบด้วยอักษรสีขาวบนพื้นแดงนี้มีแรงบันดาลใจมาจากที่ไหน ถ้าพวกคุณคือคนหนึ่งที่ใช้ไอเท็มของแบรนด์ Supreme ที่อยากเพิ่มความเท่มากกว่าการใส่ ลองมาเติมความลึกกันหน่อยกับศิลปินหญิงเบื้องหลังแรงบันดาลใจโลโก้ และชนวนดราม่าของการฟ้องร้องระหว่าง Supreme กับ Supreme Bitch เพราะทั้งหมดเกิดและจบด้วยเธอคนนี้ “บาร์บาร่า ครูเกอร์” (Barbara Kruger) Say Hello to Barbara Barbara Kruger คือศิลปินอเมริกันที่เติบโตจากเมืองนวร์ก รัฐนิวเจอร์ซีย์ เธอเกิดใน ค.ศ. 1945 เข้าเรียนที่สถาบัน Parson’s School of Design และได้เรียนกับช่างภาพระดับตำนานอย่าง Diane Arbus กับกราฟิกดีไซน์เนอร์ดัง Marvin Israel ซึ่งการเรียนเหล่านี้เองที่ทำหน้าที่เป็นโรงบ่มงานไอเดียต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพ เสียง หรือองค์ประกอบอื่น ๆ ในฉบับของตัวเธอ หลังจากเรียนจบ