ยิ่งบ้านน่าอยู่มากเท่าไหร่ เรายิ่งอยากใช้เวลาอยู่บ้านนานขึ้นเท่านั้น และมากกว่าการเป็นที่อยู่อาศัย บ้านยังสะท้อนถึงตัวตนและไลฟ์สไตล์ของเจ้าของบ้านอีกด้วย เพื่อเติมเต็มรายละเอียดในชีวิตให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น Unlockmen เลยอยากแนะนำ 6 บริษัทอินทีเรียชื่อดัง เพื่อเป็นตัวเลือกให้ทุกคนที่อยากเปลี่ยนโฉมบ้านใหม่ให้พื้นที่ในฝันกลายเป็นจริง PIA Interior อยู่บ้านยาว ๆ ทั้งทีขอมุมพักผ่อนที่อลังการสักหน่อย ใครอยากมีโซนในฝันและอยากใช้เวลาอยู่กับตัวเองหรือชวนเพื่อน ๆ มาสังสรรค์ ดูหนัง หรือปาร์ตี้ใช้ทุกซอกทุกมุมแบบนี้ เราขอแนะนำบริการของ PIA Interior เพราะผลงานของที่นี่ทรงพลัง หรูหรา และกล้าหาญ เก๋าด้วยประสบการณ์กว่า 25 ปี ให้บริการออกแบบมาครบทั้งที่อยู่อาศัยส่วนตัว โรงแรมและรีสอร์ทระดับไฮเอนด์ สำนักงาน ฯลฯ PIA Interior เน้นการตกแต่งที่สร้างสรรค์ ดึงเอกลักษณ์ความแตกต่างสร้างดีไซน์ไม่จำเจจากคอนเซ็ปต์ที่ผู้อยู่อาศัยต้องการถ่ายทอดลงรายละเอียดออกมาได้ครบทุกอณู หนุ่ม ๆ คนไหนที่ต้องการความเท่แบบยูนีคต้องปักหมุดไว้ Facebook: @PIAinterior Website: www.piainterior.com Hyper-Haus ถอดตัวตนของเจ้าของบ้านออกมาในทุกมุม ทำให้บ้านเต็มไปด้วยเรื่องราวที่มีเสน่ห์ตลอดกาล นี่คือคอนเซ็ปต์การทำงานของ Hyper-Haus ที่พร้อมดีไซน์บ้านให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคุณ Hyper-Haus ให้บริการระดับ Ultra-Luxury แบบ One
ชวนทุกคนมานับถอยหลังสู่ปี 2022 ทบทวนการใช้ชีวิตในปีนี้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับเหล่าศิลปินดังทั้ง 4 คนที่เราคุ้นเคยผลงานอย่าง P7, Benzilla, Rukkit และ Lolay พร้อมพูดคุยถึงมุมมองก้าวต่อไปของศิลปะที่กำลังสร้างความท้าทายใหม่อย่างวงการ NFT และโลก Metaverse ในสายตาของพวกเขาที่อยู่ในวงการศิลปะมายาวนาน อะไรบ้างที่ต้องรู้ ต้องปรับตัว และต้องยืนหยัด…เพราะศิลปะไม่ได้มีแค่เทคนิคแต่เชื่อมโยงไปถึงจิตใจ P7 P7 ศิลปินสตรีทอาร์ตที่มีผลงานมากมายได้รับการยอมรับทั้งในไทยและต่างประเทศ เขาเคยฝากผลงานน่าสนใจเข้าร่วมเทศกาลศิลปะดังอย่าง BAB 2020 และได้ร่วมโปรเจกต์กับหลายแบรนด์ดังนับไม่ถ้วน ด้วยเอกลักษณ์ผลงานที่ผลิตไม่เคยซ้ำและมุมมองการสร้างสรรค์งานสุดคอนทราสต์ “จริง ๆ ช่วงโควิดไม่ได้เจออุปสรรคอะไรเลยนะ มีแค่อย่างเดียวคือการทำโครงการข้างนอกที่เขาจะจ้างเราไปทำอาร์ตดีไซน์หรืออาร์ตตกแต่ง มันอาจจะทำไม่ได้เพราะว่าเป็นช่วงโควิดเราก็เลยขอเลื่อนไปก่อน แต่ระหว่างที่เลื่อนเรามีงานส่วนตัวอยู่แล้วคือเพ้นท์ติ้งเพราะมีนักสะสมจองคิวภาพ พี่ก็วาดเพ้นท์ติ้งที่สตูดิโอตอนช่วงโควิดทุกวัน วาดแบบสไตล์พี่คือวาดไม่ซ้ำเลย แล้วก็ทำคิดแบบการทำประติมากรรมไปด้วยเพราะช่วงโควิดเราไม่ได้เข้าโรงปั้น ก็แทบจะไม่กระทบอะไรเลย” NFT คือความมันและการร่วมโปรเจกต์กับคนรู้ใจ “พี่เป็นคนชอบงานแฮนด์เมด ไม่เก่งคอมฯ และพี่ไม่คิดจะเรียนรู้คอมฯ ด้วยเพราะพี่สนุกกับการทำงานด้วยมือ พอ NFT มา มันก็เป็นอีกมีเดียนึง เรื่อง NFT แม้มันสามารถจะผลิตชิ้นเดียวที่ทำออกมาแล้วไม่ซ้ำในรูปแบบดิจิทัล แต่ว่า สำหรับพี่มันก็คืองานดิจิทัล มันก็เป็นอีกแขนงนึง เด็กก็มีโอกาสที่จะทำงานคอมพิวเตอร์ทางอาร์ตได้ มันก็เปิดกว้างดี แต่ส่วนตัวพี่ยังไม่ได้อินขนาดนั้น
ศิลปินแต่ละคนมีสไตล์ที่ชัดเจนและมักมีภาพผลงานสำเร็จในหัวที่ชัดเจนยิ่งกว่า ตัวตนและงานศิลปะคือหัวใจของศิลปิน แต่ยิ่งพวกเขารู้จักและเข้าใจตัวเองได้ดีก็ยิ่งง่ายกับการปฏิเสธผลงานที่ไม่ใช่สไตล์ตัวเองได้เร็วขึ้นเท่านั้น ทำให้หลายปีที่ผ่านมาแม้จะมีกระแสเรียกร้องผลงานของ ‘RUKKIT – รักกิจ ควรหาเวช’ ศิลปินสตรีทอาร์ตแถวหน้าของวงการในรูปแบบ 3D มากขนาดไหน ก็ยังไม่เคยมีใครได้เห็นชิ้นงานประติมากรรมที่ถอดแบบผลงานบนกำแพงจริง ๆ ของเขามาก่อน กระทั่งล่าสุด รักกิจปล่อย ‘Hunter’ ผลงานประติมากรรมชิ้นแรกที่ร่วมมือกับ PATIMA Design ในโปรเจกต์ BOO_X_ Rukkit ออกมาสู่สายตาทุกคนและผลงานชิ้นนี้เขาพูดกับเราอย่างเต็มปากว่า “ผมว่าอันนี้เป็นงาน 3D ที่ใกล้เคียงกับงาน 2D สมบูรณ์แบบ 100% ชิ้นแรกเลย” จึงเป็นที่มาที่ทำให้ UNLOCKMEN ต้องหาโอกาสบุกมาเยือน PATIMA Design เพื่อนั่งพูดคุยกับเขาในครั้งนี้ ‘HUNTER’ อิสระและสัญชาตญาณนักล่าของ RUKKIT ก่อนจะเริ่มพูดคุยกัน เราเดินวนเวียนอยู่รอบ ‘Hunter’ ประติมากรรมลอยตัวผลิตจากไฟเบอร์กลาสขนาด 75 ซม. รูปสุนัข ยกกล้องมือถือส่องเทียบระหว่างภาพถ่ายกับผลงานจริงอยู่นาน แต่ภาพในจอเทียบไม่ได้กับของจริงที่เรากำลังยืนมองและสัมผัสอยู่ตอนนี้ทั้งรูปทรง สีสันและความรู้สึกมีชีวิตชีวาอัดแน่นไปด้วยพลัง รักกิจเล่าที่มาของการทำงานชิ้นนี้ว่าช่วงโควิดที่ผ่านมาเขาได้รับการชักชวนจากพี่บุ๋ม Patima Design ผู้ริเริ่ม BOOxProject
ผิวอ่อนนุ่มของมนุษย์เอาเข็มแหลมจุ่มสีจิ้มย้ำลงไปให้เลือดซิบ หมึกซึมเข้าไปในผิวหนัง จะได้รอยสักบ่งบอกตัวตน ผู้ชายกับรอยสักเป็นของคู่กัน แต่ที่อยู่กับรอยสักได้ดีไม่แพ้ผิวหนังมนุษย์ ก็ผิวของ “หินอ่อน” จากงาน Iconic ที่ถูกเพิ่ม “รอยสัก” เข้าไปจนกลายเป็นงานศิลป์ร่วมสมัย และมีศิลปินท่านนึงที่อาจหาญทำมันได้สำเร็จจนได้ Fabio Viale เกิดใน Cuneo ทางตอนเหนือของ Italy ประเทศที่ขึ้นชื่อด้านหินอ่อนคุณภาพดี เริ่มเข้ามาคลุกคลีกับวงการหินอ่อนเมื่อเข้าเรียนที่โรงเรียนศิลปะตอนอายุ 16 ปี นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขารู้สึกหลงใหลในวัสดุชิ้นนี้ ต่อมาเขาผลิตงานประติมากรรมสลักหินอ่อนมากมาย และมีผลงานบางส่วนที่โด่งดังเข้าตาวงการร้านขายของแอนทีค ถือเป็นจุดเริ่มต้นเส้นทางศิลปินเต็มตัวของ Fabio เส้นทางก่อนเป็นศิลปินอิสระ คือการสร้างรูปปั้นเพื่อตกแต่งสุสานในเมืองมิลาน แต่หลังทำไปสักพัก Fabio ก็เลือกเส้นทางศิลปินเดี่ยวออกมาทำงานคนเดียว ย้ายจากอิตาลีไปอยู่ทั้งนิวยอร์กและรัสเซีย มุ่งมั่นสร้างผลงานจนในที่สุดเขาก็มีผลงานสร้างชื่อเข้าจนได้ โดยมีรางวัล Cairo Prize ให้ชื่นใจเป็นชิ้นแรก กระทั่งปี 2015 เขาตัดสินใจทำงานร่วมกับ Poggiali Gallery ใน Florence เพื่อจัดนิทรรศการส่วนตัว และผลงานนั้นได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์เพราะได้รับเกียรติให้นำเข้าไปติดตั้งไว้ในโบสถ์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่างมหาวิหารซานโลเรนโซ แต่ทั้งหมดก็ยังไม่ไวรัลเท่างานล่าสุดที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้ เป็นการสร้างรูปปั้นไอคอนิกตามแบบที่สำคัญในประวัติศาสตร์ แล้วนำมาใส่รอยสักลงไปจากการตีความของ Fabio แต่มันไม่ได้ธรรมดาแค่นั้น เพราะจุดสำคัญคือรอยสักบนหินทั้งหมดนี้ไม่ได้ใช้วิธีทาสีทับธรรมดา แต่ใช้เทคนิคทำให้เหมือนสีซึมอยู่ด้านในจนดูคล้ายกับรอยสักมนุษย์จริง
ต้องบอกเลยว่า การ Work From Home ช่วงนี้ไม่ธรรมดา ใครจะคิดว่าการทำงานที่บ้าน จะทำให้รู้สึกว่าทำงานหนัก ทำงานเยอะกว่าปกติ หลายสิ่งมาพร้อมกัน ทำให้การทำงานไม่เสร็จสักที จะทำงานนี้ก่อน หรืองานนู้นก่อน คิดไปคิดมายังไม่ได้เริ่ม เรื่องนี้เราเข้าใจดี UNLOCKMEN จึงขอเปิดสูตรการทำงานให้เสร็จเร็วขึ้น Overclock ตัวเองโดยไม่ลดคุณภาพงานภายในบทความสั้น ๆ ไม่เกิน 5 นาที ใครพร้อมแล้วตั้งสติอ่านทุกบรรทัดแล้วเอาไปทำตาม ปีนี้แม้เราจะไม่มีน้ำให้เล่นแต่จะหันมาตะลุยงานให้หมดกองจนโต๊ะโล่งรวดเดียวจนจบ ทำเสร็จเวลาที่เหลือจะได้เอาไปใช้สร้างความบันเทิงเป็นของขวัญให้ตัวเอง POMODORO Technique นี่คือเทคนิคการสร้างประสิทธิภาพการเคลียร์งานระดับนาทีขั้นเทพที่ได้แรงบันดาลใจจากเครื่องจับเวลาตอนทำกับข้าวรูปมะเขือเทศ (คำว่า Pomodoro เป็นภาษาอิตาเลียนแปลว่ามะเขือเทศ) ที่นักศึกษาคนหนึ่งคิดขึ้น แต่หลายคนในโลกทำแล้วได้ผล เขาใช้เวลาแค่ 25 นาทีจับเวลาเพื่อสะสางงานนั้นตาม 6 ขั้นตอนต่อไปนี้ เลือกงานที่ตั้งใจทำให้เสร็จ ตั้งนาฬิกาให้เตือนใน 25 นาที ทำงานจนกว่านาฬิกาจะดัง จบ 1 รอบให้จดและนับไว้ เบรกไปพักสักสมองสัก 5-10 นาที ครบ 4 รอบ เพิ่มเวลาพักเป็น 20-30
ย้อนเวลากลับไปก่อนหน้านี้ไม่กี่ปี ใครจะเชื่อว่า “รอยสัก” ที่เคยเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัว ถูกตีตราว่าจะเป็นหนทางดับความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ติดอยู่กับวงจรภาพลักษณ์สีเทา-ดำ วันนี้จะพลิกผันกลายเป็นสิ่งที่สังคมเปิดรับในฐานะศิลปะ เป็นจุดเริ่มต้นบทสนทนาระหว่างคนแปลกหน้า และถึงขนาดส่งเสริมคาแรกเตอร์ให้กับคนบางสาขาอาชีพเสียด้วยซ้ำ เวลาเปลี่ยนขั้วลบเป็นขั้วบวก เปลี่ยนมุมมองผู้คน แต่ทุกอย่างยังต้องอาศัยความกล้าจากการบุกเบิกทั้งนั้น “ปอ หรือดีเจปอ – วรฐก์ ปิฏกานนท์” เท่าที่คนทั่วไปและเรารู้จักคือชายในวงการบันเทิงคนแรก ๆ ที่เปิดเผยรอยสัก และวันนี้เขาเองก็ยังคงเป็นคนไทยคนแรก ๆ ที่สร้างแชนแนลพูดถึงศิลปะบนเรือนร่างแขนงนี้อย่างเปิดเผยในรายการ “Tattoo Brothers สักแต่พูด” รายการมันส์ ๆ เสพง่ายที่ไม่ได้เริ่มต้นมาง่าย ๆ แต่มีเบื้องหลังมากมายที่ทำให้ UNLOCKMEN ต้องหาโอกาสคุยกับเขาวันนี้ “สักตามใจ” ที่ไม่ได้แปลว่า “สักตามใคร” วัย 17-18 ปี ปอมีรอยสักรอยแรกจากความผิดพลาด วัย 47 ปีในวันนี้ ปอมีรอยสักหลายตำแหน่งบนร่างกาย เขาอยู่ในวงการบันเทิง และผันตัวกลายเป็น YouTuber รายการ “Tattoo Brothers – สักแต่พูด” ที่ใครหลายคนติดตาม บางคนก็ได้เขาเป็นไอดอลจนอยากไปเริ่มสัก
น้อยคนที่จะไม่รู้จักอาคารเก่าแก่ 3 ชั้นใกล้หัวลำโพงอายุนับ 100 ปี ที่เคยเป็นทั้งธุรกิจโรงพยาบาล ธนาคาร และอาบอบนวดอย่าง “Mustang Blu” หรืออีกชื่อยอดฮิตที่พูดแล้วต้องร้องอ๋อชี้พิกัดถูกว่ามันคือ “คลีโอพัตรา” ซึ่งปิดกิจการไปเมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา MANCAVE ครั้งนี้ UNLOCKMEN จึงขอชวนคุณเดินทางไปที่นี่อีกครั้งในวันที่ไม่มีคลีโอพัตราอาบอบนวด แต่แทนที่ด้วยห้องพักสวย ๆ พร้อมให้ Booking ค้างคืน สัมผัสเสน่ห์วินเทจแท้ของสถาปัตยกรรมสไตล์โคโลเนียลอายุนับศตวรรษที่ทั้งขลังทั้งมีเสน่ห์ หรือถ้ามีเวลาไม่มาก การแวะมาเยี่ยมเยือนชั่วคราวชื่นชมความสวยงามของโครงสร้างข้างในระหว่างจิบเครื่องดื่มและละเลียดเมนูอร่อย ๆ ชั่วคราวในคาเฟ่ก็ถือว่าคุ้มค่า เรียกง่าย ๆ ว่า ไม่ว่าจะชั่วคราวหรือค้างคืน ถ้าไปเยือนแล้วที่นี่จะเป็นที่ ๆ คุณติดใจอยากจะมาพักใหม่ บอกตามตรงว่าก่อนจะเปลี่ยนมือจากอาบอบนวดมาเป็นโรงแรมและคาเฟ่สไตล์โคโลเนียลเหมือนปัจจุบันที่คนแห่แหนกันต่อคิวเข้าไป พวกเราเองยังไม่เคยมีโอกาสย่างกรายเข้าไปใช้บริการมาก่อน แต่ทันทีที่ก้าวพ้นประตูเข้ามาในอาคาร แม้จะไม่รู้ว่าสภาพดั้งเดิมเคยเป็นอย่างไรมาก่อน แต่ก็รู้สึกเหมือนก้าวเข้าสู่อีกพื้นที่หนึ่งทันที บรรยากาศคอนทราสต์กับด้านนอกชัดเจน เพราะการตกแต่ง บรรยากาศ และเสียงเพลงสไตล์บทกวีอาหรับที่กล่อมเกลาไปทั่วทั้งอาคาร ทุกองค์ประกอบที่เราเห็นเหล่านี้คือผลงานการสร้างสรรค์ของ คุณจอย อนันดา สไตลิสต์และโชว์ไดเรกเตอร์ชื่อดังในวงการแฟชั่น โปรเจกต์ The Mustang Blu
วันหยุดพักผ่อนมักลวงตาให้เราต้องกระเสือกกระสนเดินทางไปต่างจังหวัด ทั้งที่กลางกรุงเองก็มีสถานที่พักผ่อนอัดแน่นวัฒนธรรม มีอาหารดี ๆ มีที่ให้นอน แม้ในมุมที่เป็นย่านการค้าพลุกพล่านอย่างเยาวราชตอนนี้ก็เริ่มผุดทั้งคาเฟ่และโฮมสเตย์ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจขึ้นมา 350 STATION CAFE & HOMESTAY คือคลาสสิกคาเฟ่และโฮมสเตย์แห่งใหม่ย่านเยาวราชที่เกิดขึ้นจาก คุณต๊ะและคุณแลม คู่หูนักเดินทางที่รักการเดินทางด้วยรถไฟ ฝันอยากสร้างที่พักเล็ก ๆ เป็นของตัวเอง จนกระทั่งได้ตึกแถวสไตล์ลูกครึ่ง จีนผสมชิโน-โปรตุกิส (Sino-Portuguese) ซึ่งเคยเป็นอดีตร้านขายอะไหล่มอเตอร์ไซค์ใกล้วงเวียน 22 มารีโนเวต จึงปรับพื้นที่ด้านล่างเป็นคาเฟ่และด้านบนเป็นที่พักสไตล์โฮมสเตย์ ด้านหน้าร้านตกแต่งสไตล์วินเทจด้วยประตูบานเฟี้ยมโบราณ มีต้นไม้สีเขียวสบายตา ใครเดินผ่านไปมาจะรู้สึกคล้ายเป็นโอเอซิสบนถนนมังกร ชวนให้อยากเดินเข้าไปพักดื่มเครื่องดื่ม แต่อาคารพาณิชย์ 2 ชั้นแห่งนี้มีเสน่ห์ยิ่งกว่าเมื่อก้าวเข้าไป เพราะทำให้เรารู้สึกเหมือนเดินเข้าพิพิธภัณฑ์จากการเก็บโครงสร้างดั้งเดิมของผนังที่กร่อนตามกาลเนื่องจากเจ้าของร้านสั่งให้ช่างเคลือบร่องรอยทั้งหมดไว้เพื่อให้คงความสวยงาม 350 station สถานีคลายความเหนื่อยล้า ชื่อร้าน 350 Station & Homestay มาจากคอนเซ็ปต์ “ยุครถไฟรุ่งเรือง” เพราะเจ้าของตั้งใจให้ที่นี่เป็น “สถานีหมายเลข 350” สำหรับพักกายใจของนักเดินทาง จากเหตุผลที่ลงตัวระหว่างความชอบเดินทางด้วยรถไฟ เอกลักษณ์ของการเดินทางด้วยรถไฟที่ค่อนข้างช้าไม่เร่งรีบเหมาะให้สโลว์ไลฟ์ ประกอบกับโลเคชั่นของร้านตั้งอยู่ในย่านสถานีรถไฟหัวลำโพงซึ่งจะปิดทำการและเปิดให้เป็นเพียงสถานที่ท่องเที่ยวเท่านั้น ส่วนตัวเลข 350 นั้นมาจากเลขบ้านเลขที่ของคาเฟ่และโฮมสเตย์แห่งนี้ แต่ความประณีตที่ทำให้
ของมือสองเป็นอีกจักรวาลที่ถ้าเข้าวงการไปแล้วออกยาก เพราะถ้าเรารู้วิธีสังเกตและเลือกซื้อกล้อง มีสิทธิ์ได้ของเจ๋ง ๆ มาใช้งานในราคาถูกเหมือนถูกลอตเตอรี่ หรือถ้าเอาไป CLA (Clean – Lubrucate – Adjust) แล้วปล่อยต่อ ทั้งหมดนี้ก็เป็นเงินทั้งนั้น วันนี้ UNLOCKMEN จึงถือโอกาสพาชาวกระเป๋าบาง (รวมเราด้วย) มาหาสมบัติกันที่ “Lucky Home” โกดังของมือสองญี่ปุ่นชื่อดังย่านสำโรง ใครที่จะเดินทางตามรอยเรามา บอกก่อนว่าที่นี่ไม่ได้ตั้งอยู่บนเส้นถนนเส้นหลัก ดังนั้นเดินทางด้วยรถส่วนตัวจะดีที่สุด มีที่จอดรถหน้าโกดังและฝั่งตรงข้าม แต่ถ้าคุณไม่มีรถส่วนตัวหรือขับรถไม่เป็นแนะนำให้ใช้บริการรถแท็กซี่หรือรถยนต์ที่ให้บริการสาธารณะปักหมุดจากในแอปฯ แล้ววิ่งมาสถานเดียว เพราะจะมาหาเอาแถวนี้ทั้งขาไปและขากลับค่อนข้างจะลำบากอยู่เหมือนกัน เป้าหมายของวันนี้คือการเลือกซื้อกล้องฟิล์มมือสองเพราะพวกเรา UNLOCKMEN เช็กข้อมูลมาว่าที่นี่มีกล้องมือสองหลากยี่ห้อทั้งแมส ๆ และไม่เแมสจากญี่ปุ่นจำนวนนับหมื่นตัวให้เลือก แต่นอกจากโกดังกล้องที่นี่ยังมีของเล่นอื่น ๆ อีกเพียบที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ให้นึกภาพตามว่าเป็นโกดังเรียงติดกันหลายหลัง แต่ละหลังแบ่งเป็นประเภทข้าวของเครื่องใช้นั้น ๆ เช่น โซนเครื่องใช้ทั่วไป เครื่องดนตรี เครื่องเสียง กล้อง ฯลฯ รวม ๆ แล้วก็ 3-4 โกดังใหญ่ ๆ เหมือนเราเดินฮอลล์ในอิมแพ็คที่เมืองทองแต่เป็นโกดังเปิดโปร่งไม่มีแอร์ ระบบการจัดวางเขาจัดช่องทางเข้าออกทางเดียว ดังนั้น
ไม่ได้นัดกับเพื่อน ๆ เสียนาน พอหลาย ๆ ร้านเริ่มเปิดให้กลับไปกิน ดื่ม สมาคมกันได้ตามมาตรการรัฐ UNLOCKMEN ก็ได้ฤกษ์ขอกลับมาชวนไกด์ ไปชิลกันอีกครั้ง เปิดตัวด้วยร้านคาเฟ่คลาสสิกย่านพระนครเพื่อสายสกู๊ตเตอร์กับ Lambreta Cafe Thailand ร้านที่ไม่ได้มีดีแค่เมนูอร่อย แต่น้องแลมฯ สกู๊ตเตอร์คันเจ๋ง ๆ จอดรอเรียกเราตั้งแต่หน้าร้านแล้ว ใครที่ยังรู้ไม่จักสกู๊ตเตอร์แบรนด์อิตาลีอย่าง Lambretta สรุปย่อ ๆ ว่าแลมฯ เป็นสกู๊ตเตอร์ตำนานที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี 1947 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นับอายุตอนนี้ก็เข้าขั้นปู่แล้วเพราะ 73 ปีแล้ว ถือเป็น Top 5 แบรนด์ที่เคียงคู่มากับเวสป้า ถึงแม้ในไทยจะยังไม่แมสเท่ากับเวสป้า แต่ก็เป็นแบรนด์ที่ดังในระดับสากลและเริ่มจะดังในไทยบ้างแล้วจากการนำเข้า ใครที่ชอบดีไซน์สองล้อคลาสสิกมักจะติดใจดีไซน์ของแลมฯ จากตัวถัง ทรวดทรงองค์เอวรอบคัน ไฟหน้า ไฟท้ายที่ทรงดีไม่แพ้เวสป้าเลย Lambretta Thailand Shop&Cafe แห่งนี้เป็นร้านมีประวัติเพราะเป็นร้านของคุณตูน – ภิญโญ สิงหเสนีและเพื่อน ๆ ที่ทำ LAMBRETTA