ตั้งแต่เรื่องจำนวนพลาสติกล้นโลกก้าวเข้ามาเป็นวาระแห่งชาติที่คนทั่วโลกให้ความสนใจ เราก็เริ่มเห็นคนที่เดินตามท้องถนนถือถุงผ้าติดไม้ติดมือเพื่อบรรจุของที่ซื้อจากร้านค้าแทนการใช้ถุงพลาสติก หรือช่วงพักกลางวันการถือปิ่นโตลงไปเพื่อใช้ซื้อข้าวก็เริ่มไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ทว่าไม่เพียงเรื่อง “ถุงพลาสติก” หรือ “โฟม” ที่เราสามารถเห็นได้ตำตาและทยอยลดการใช้แล้ว เรื่องใกล้ตัวอื่นที่นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกำลังเตรียมรณรงค์เป็นเป้าหมายถัดไปคือพฤติกรรมการทิ้ง “คอนแทคเลนส์” ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเรื่องการมองเห็นของหนุ่มสายตาสั้นอย่างเรานั่นเอง เชื่อหรือไม่! ผลสำรวจของ Arizona State University เผยว่าจำนวนคอนแทคเลนส์ที่ถูกทิ้งผ่านชักโครกหรืออ่างล้างหน้าเฉพาะในสหรัฐอเมริกามีมากถึง 2.9 ข้างต่อปี ทันทีที่เลนส์ไหลผ่านท่อในบ้านของเราไป ปลายทางของมันจะกองกระจุกกันในแหล่งน้ำ จนสร้างปัญหามลพิษแหล่งน้ำจากไมโครพลาสติก “เราพบว่าคนกว่า 15 – 20% ที่สวมคอนแทคเลนส์เลือกใช้วิธีทิ้งมันลงในอ่างล้างหน้าหรือชักโครก ตัวเลขนี้เป็นจำนวนมหาศาลเมื่อเราพิจารณาจากคนเพียง 45 ล้านคนในสหรัฐฯ ที่สวมคอนแทคเลนส์เท่านั้น” – Charlie Rolsky นักศึกษาปริญญาเอกเผยข้อมูลนี้ในงาน National Meeting & Exposition of the American Chemical Society ครั้งที่ 256 ไอเดียเรื่องคอนแทคเลนส์เริ่มขึ้นระหว่างที่ Rolsky กับเพื่อนร่วมงานของเขาที่ ASU ร่วมกันศึกษาเรื่องมลพิษจากพลาสติก หนึ่งในเพื่อนร่วมงานของเขาสวมใส่คอนแทคเลนส์เป็นประจำเริ่มสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นกับคอนแทคเลนส์ข้างที่ใช้งานแล้ว เขาพบว่าคนส่วนใหญ่เมื่อถอดมันออกแล้วทิ้งมันด้วยการโยนใส่ชักโครกแล้วกดชักโครกไปง่าย ๆ หรือโยนลงในซิงค์แล้วเปิดน้ำไล่ลงไปในท่อแทนการทิ้งลงในถังขยะ พฤติกรรมนี้ส่งผลทำให้เลนส์พลาสติกจำนวน
คนรวย คนไม่รวยวัดกันที่ตรงไหน? ถ้าบอกว่าวัดกันที่การแต่งกาย ของใช้ที่มองเห็นภายนอกนี่อาจจะเป็นวิธีวัดที่เก่าไปแล้ว เพราะสำหรับเรื่องล่าสุดที่เพิ่งมีงานวิจัยออกมาเผยแพร่คือเขาสามารถใช้สิ่งที่มองไม่เห็นอย่างเสียงเพลง หรือแนวเพลงที่เราชื่นชอบนำมาใช้จำนวนวัดเงินในกระเป๋าของเราได้ แต่ก่อนจะไปอ่านผลวิจัย…ลองซื่อสัตย์กับตัวเองด้วยการคิดคำตอบในใจกันก่อนว่าคุณชอบฟังเพลงแนวไหน และเมื่ออ่านจบอย่าลืมบอกเราอีกครั้งด้วยว่าตรงหรือเปล่า เริ่มต้นที่เศรษฐีอเมริกันส่วนใหญ่มักจะฟังเพลงคลาสสิก ซึ่งแน่นอนว่ายังคงมีศิลปินไม้ตายอย่าง บีโทเฟน โมสาร์ต และบาช อยู่ใน track ที่เปิดเสมอ งานนี้แม้พวกเราอ่านไปแล้วจะเริ่มส่ายหน้าเพราะฟังดูเหมือนเรื่องอุปโลกน์ที่เดาขึ้นมาแบบส่ง ๆ แต่มันก็เป็นจริงแล้ว และรับรองได้ มาจากผลการสำรวจของกลุ่มคน millennials จำนวน 1,500 คนที่จัดทำขึ้นโดย TDAmeritrage งานนี้แม้จะเป็นการสำรวจจากกลุ่มคนจำนวนไม่มากเพียงช่วงวัยเดียว แต่เหล่านักวิจัยก็ยังยืนยันว่าผลลัพธ์สามารถนำไปใช้เปรียบเทียบกับช่วงวัยอื่นได้ รักเพลงแนวไหน รายได้เท่าไหร่ หลายคนคงเริ่มอยากรู้แล้ว ลองดูกันว่าแนวเพลงที่เราชอบกันหน่อย ว่าตรงกับสิ่งนี้ไหม แนวเพลงคลาสสิก – $114,000 หรือ 3,730,071.29 บาท แนวเพลงอิเล็กทรอนิกส์ – $92,000 หรือ 3,010,232.97 บาท แนวเพลงแร็ป / ฮิปฮอป – $69,000 หรือ 2,257,674.73 บาท แนวเพลงยุค 80 และ 90 – $67,000 หรือ 2,192,234.88
ห้องน้ำปลดทุกข์ บางทีก็กลายเป็นสถานที่ที่ทำให้เราทุกข์ยิ่งกว่าเดิม เพราะดันลืนของมีค่าไว้! ร้อยทั้งร้อยในชีวิตของผู้ชายเราคงต้องมีสักครั้งที่เดินออกมานอกห้องน้ำสาธารณะไปสักพักแล้ว ต้องใส่เกียร์เท้าวิ่ง 4×100 กลับไปห้องเดิมเพราะดันลืมของสำคัญอย่างสมาร์ตโฟนหรือกระเป๋าสตางค์ ซึ่งถ้าวันนั้นโชคดี ห้องน้ำห้องที่เราเข้าอาจจะยังไม่มีใครเข้าต่อ หรืออาจจะเจอคนใจดีเก็บไว้ให้ แต่ถ้าโชคร้าย ดวงซวย วันนั้นเราอาจจะต้องออกจากห้องน้ำมือเปล่า โดยไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือออกมาเลย โทษใครก็ไม่ได้ สาเหตุที่เราทำหาย ส่วนใหญ่เพราะระหว่างที่เรากำลังใช้งานของเหล่านั้นเพราะมันไม่อยู่ในระดับสายตา ถ้าไม่ใช่ตะขอแขวนตรงประตูที่อยู่เหนือหัวเรา ก็เป็นหลังพนักชักโครก ดังนั้น พอเราใส่ใจกับการชำระอวัยวะตรงหน้าหลังปลดทุกข์ เราก็เลิกแคร์ รีบเดินออกจากห้องน้ำโดยไม่เหลียวหลังเพราะจะได้ไม่มีใครรู้ว่าเราเป็นคนปล่อยระเบิดไว้ ปัญหาเรื่องลืมของนี้จัดเป็นปัญหาระดับโลกก็ว่าได้ ซึ่งแน่นอนว่าหลายที่ก็พยายามใช้วิธีในการเตือนสติกัน อย่างบ้านเราก็มีสติกเกอร์บนบานประตูที่บอกให้เช็กของก่อนออกจากห้องน้ำ แต่มันไม่ค่อยได้ผลอย่างที่เห็น ประเทศละเอียดอ่อนอย่างญี่ปุ่นเองก็ลืมบ่อยเช่นกัน เขาจึงคิดค้นวิธีแก้ปัญหานี้อย่างเฉียบ ไม่เปลืองต้นทุนด้วยการเปลี่ยนอุปกรณ์เพียงชิ้นเดียวอย่างลูกบิด! NEXCO บริษัทธุรกิจรับเหมาก่อสร้างธุรกิจให้บริการพื้นที่และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับทางหลวงสาขาฮอกไกโดในประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้ดีไซน์รูปแบบลูกบิดห้องน้ำแบบใหม่นี้และติดตั้งมันไว้กับห้องน้ำสาธารณะตั้งแต่เมื่อปลายปีที่แล้ว เนื่องจากพบปัญหาต้องพยายามส่งของหายเหล่านั้นคืนเจ้าของ ซึ่งต้องเปลือง man hour ของพนักงานโดยใช่เหตุเฉลี่ยประมาณ 30 ชั่วโมงต่อเดือน โดยจากผลสำรวจของกว่า 60% ที่ลืมไว้ในห้องน้ำก็คล้ายในบ้านเรา คือ สมาร์ทโฟน กระเป๋าสตางค์ หรือของเล็ก ๆ เช่นเดียวกับบ้านเรานั่นเอง ลูกบิดเตือนสติออกแบบให้มีขนาดแบนขนาดใหญ่แนวระนาบ 180 องศาเพื่อพลิกในการปิดเปิด สามารถใช้เป็นถาดวางของได้โดยรับน้ำหนักได้สูงสุดถึง 1 กิโลกรัม วางทั้งมือถือและกระเป๋าสตางค์ได้สบาย
เคยซักถุงเท้าแล้วถุงเท้าหายไปเหลือข้างเดียวไหม? นอกจากมนุษย์ต่างดาว การสร้างพีระมิด หรือการตั้งหินสโตนเฮนจ์ ฯลฯ ที่เราตามหาความจริงกันไม่เจอแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ยังคงเป็นปริศนาหลุมดำกันจนถึงทุกวันนี้คือการซักถุงเท้า! ที่พวกผู้ชายอย่างเรายังคงทำหน้าเหวอทุกครั้งที่เครื่องเตือนให้ตาก เพราะจากที่เราโยนถุงเท้าเข้าเครื่องไปทั้งสองข้าง สุดท้ายเมื่อเครื่องทำงานเรียบร้อยหยิบผ้าออกมากลับเหลือถุงเท้าเพียงข้างเดียว! ถึงแม้จะนี่จะเป็นเรื่องที่ดูเล็ก ๆ แต่พอเก็บเล็กผสมน้อยไปเรื่อย ๆ เงินที่เสียไปรวม ๆ แล้วก็กลายเป็นเงินก้อนใหญ่เข้าเหมือนกัน ประเด็นนี้โดนแชร์ต่อกันในโลกออนไลน์แล้วไปเข้าหูของแบรนด์ถุงเท้าอย่าง “Bombas” เข้า บริษัทจึงออกแคมเปญใหม่ไว้แก้ปัญหาเรื่องนี้ให้ลูกค้าโดยตั้งชื่อแคมเปญว่า “Laundry Back Guarantee” หรือการรับประกันว่าไม่ว่าจะซักที่ไหนก็ตามมันจะกลับมาให้ครบสองข้างแน่นอน และนี่คือตัวอย่างโฆษณาของแคมเปญนี้ ครบสองข้างได้ยังไงถ้ามันหาย ? คำตอบคือเขาอนุญาตให้ลูกค้าแจ้งกลับมาได้ถ้าทำหายระหว่างซัก โดยลูกค้าจะได้รับสิทธิเปลี่ยนเจ้าถุงเท้าโสดไร้คู่เป็นคู่ใหม่ได้ฟรีทันที แต่มันก็มีเงื่อนไขเล็ก ๆ ให้ทำตาม ได้แก่ ส่งเปลี่ยนได้เพียงคู่เดียว ถุงเท้าที่หายต้องแจ้งภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ซื้อ และที่สำคัญคือมีเวลาจำกัดการซื้อในแคมเปญนี้ถึงวันที่ 15 พฤศจิกายนนี้เท่านั้น งานนี้ถ้าให้วิเคราะห์เรามองว่ามันเป็นความฉลาดของแบรนด์ถุงเท้าแบรนด์นี้ เพราะเขาสามารถเรียกยอดการสั่งซื้อเพิ่มขึ้นได้แน่นอนทั้งจากสตอรี่ปริศนาการหายไปของถุงเท้า กระตุ้นความรู้สึกท้าทายให้ลูกค้าอยากจะซื้อมาใช้ในช่วงนี้เพื่อให้มันรีบ ๆ หายไป แต่ที่เด็ดกว่านั้นคือการสร้าง awareness หรือการจดจำให้แบรนด์อยู่ในฐานะแบรนด์ที่ใส่ใจลูกค้า เรียกว่าเป็นการสร้าง CRM (Customer Relationship Management) แบบเนียน ๆ ก็ว่าได้
แม้คำว่า “ดิจิทัล” จะเกิดขึ้นในสังคมไทยมานานหลายปี แต่การเห็นหญิงสาวออกมาพูดเรื่องไอทีในระดับแนวหน้าผ่านสื่อกลับมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น พวกเธอสร้างความประทับใจจากความสามารถ ความสดใส มุกตลก เปลี่ยนเรื่องไอทีให้กลายเป็นเรื่องเข้าถึงง่ายและน่าชื่นใจ ทว่าน้อยคนนักที่จะรู้ว่าเบื้องหลังพลังงานอันเหลือล้นเหล่านี้มีที่มาอย่างไร วันนี้เป็นโอกาสดีที่เราชาว UNLOCKMEN จะได้พูดคุยกับเธอผู้ได้สมญา “นางฟ้าไอที” คนนี้ “เฟื่องลดา-สราณี สงวนเรือง” ตอนนี้เธอกำลังเติบโตขึ้นอีกขั้นจากการเปิดบริษัทและบริหารออนไลน์พับลิเชอร์ของตัวเอง “Flourish digital” ใครที่เป็นสาวกผู้คอยติดตามรอยยิ้มชวนให้ใจบางของเธออยู่ บอกได้เลยว่าไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง คุยกับเฟื่องเรื่องที่เราไม่เคยรู้ “เฟื่องลดา” คือชื่อของหญิงสาวสุดสดใสตรงหน้าของพวกเรา แต่จากบทสนทนาในวันนี้กลับทำให้เราได้รู้เรื่องราวหลายอย่างที่คาดไม่ถึง อย่างหนึ่งก็คือกว่าจะเป็นสาวน้อยพูดจาฉะฉาน เธอเป็นเด็กหญิงพูดน้อยรักการอยู่คนเดียว แต่ไม่ชอบอยู่หน้าแสงไฟ ไม่ชอบการด้นสด ติดจะเนิร์ดเสียด้วยซ้ำ แต่ทุกย่างก้าวในวันนี้ของเธอเกิดขึ้นได้เพราะแรงผลักดันจากใจที่สู้ไม่ถอยล้วน ๆ ฝัน “เฟื่อง” เธอสารภาพว่าเท่าที่จำความได้ ฝันของเธอไม่ใช่การเป็นพิธีกรอย่างที่ทำให้เธอโด่งดังอยู่ในตอนนี้ แต่ฝันของเธอคือการเป็นนักร้องบรอดเวย์ ซึ่งก็ขัดกันกับความเป็นคนขี้อายของตัวเธอเองอยู่ดี ทำให้เธอต้องใช้ความพยายามก้าวข้ามขีดจำกัดเพื่อตามความฝัน ก้าวแรกของเธอเริ่มต้นที่การเป็นนักร้องชมรม CU BAND สมัยเรียนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากนั้นจึงออกล่าฝันด้วยการร้องเพลงผ่านการประกวด AF อีกถึง 2 ครั้ง แม้ไม่ได้รับตำแหน่งกลับมา แต่ทั้งสองครั้งพลังเสียงที่มีก็ทำให้เธอผ่านเข้าสู่รอบ 50 คนทุกครั้งและเป็นการเพาะเมล็ดพันธุ์พิธีกรในตัวของเธออย่างเต็มเปี่ยม เนื่องจากผู้ใหญ่เห็นแววและให้โอกาสเรียกเธอเข้าไปแคสต์เพื่อรับบทบาทพิธีกรถึงสองครั้ง “ถ้าเราทำอะไรไม่ได้ แล้วเรารู้สึกว่าเรายังพยายามได้ไม่ดีพอ
ตั้งแต่มีโลกออนไลน์ ข้อมูลของเราก็เริ่มไม่ปลอดภัย เพราะอาจใช้เป็นเส้นทางก่ออาชญากรรมของมิจฉาชีพหรือโดนนำไปหาใช้หาผลประโยชน์แบบที่เราไม่รู้ตัว เราคงเห็นได้จากข่าวใหญ่เรื่องข้อมูลหลุดจากเฟซบุ๊กแล้ว แต่สำหรับ Google ซึ่งเป็น Search engine เจ้าดังที่รวบข้อมูลคนทั่วโลกเพราะมีฟังก์ชันใช้งานหลากหลาย เรายังไม่พบข่าวเรื่องข้อมูลหลุดให้เห็น จนกระทั่งทาง AP’s investigation ออกมาประกาศให้โลกรับรู้ “ถึงเราจะปิด Location History แล้วมันก็แค่ไม่สามารถสร้างไทม์ไลน์ตำแหน่งของเราได้ แต่ข้อมูลของเราก็โดนเก็บเรียบอยู่ดี” ผลการรายงานครั้งนี้ได้รับการยืนยันจากนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Princeton ซึ่งทาง AP ได้ทดสอบติดตามข้อมูลของนักวิจัยภายใน Princeeton ผ่านเพียงใช้ Google Web & App activity ที่เขาเคยแชร์ไว้กับสำนักข่าว ก็สามารถดูได้หมดไม่ว่าจะกิจวัตรประจำวันที่เขาทำไปจนถึงที่อยู่ที่บ้าน! จำนวนตัวเลขของคนโดน Google ตามเก็บข้อมูลปัจจุบันพบว่ามีจำนวนมากกว่าสองพันล้านคน! เรียกได้ว่าค่อนโลกเลยทีเดียว แต่เราก็ไม่ค่อยแปลกใจกับจำนวนตัวเลขนี้ เพราะสมาร์ตโฟนประเภทแอนดรอยด์มักติดตั้งแอปฯ ของ Google ไว้เป็นแอปฯ พื้นฐาน และคนส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยได้ลบทิ้งจากเครื่อง เพราะก็ต้องยอมรับว่ามันใช้งานได้ดี นอกจากการค้นพบของ AP แล้ว ประสบการณ์โดนตามของคนอื่นก็ยังมีให้เห็น อย่าง K. Shankari
เคยสังเกตไหมว่า เวลาเรานั่ง ๆ อยู่ สักพักหลังที่เคยผึ่งผายจะค่อย ๆ ห่อเข้า เหมือนลูกโป่งลมรั่ว จากที่เคยตึงก็ฟืบลง ตามติดมาด้วยอาการคอตกมันเริ่มเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ยิ่งกับพวกเราที่มีส่วนสูงมาก ไอ้อาการเดินคอตกหลังค่อมยิ่งเป็นพฤติกรรมติดตัวเพราะเวลาคุยกับคนรอบข้างทีไรเราก็ต้องก้มลงมองทุกที กว่าจะรู้ตัวอีกที การทำแบบนี้ซ้ำ ๆ ก็ทำให้เราติดเป็นนิสัย เดินหลังค่อมโดยไม่รู้ตัว และแม้กระทั่งเวลานั่งก็อาจจะติดนั่งหลังค่อมให้ปวดหลังไปด้วย ยิ่งถ้าทำติดต่อกันเป็นระยะยาวอาจจะมีผลให้กระดูกคดได้ ผู้เขียนเองเจอปัญหานี้บ่อย ๆ เพราะต้องนั่งทำงานติดโต๊ะ ถึงจะหาพนักเสริมพิงช่วยแก้ให้นั่งได้ถูกสรีระขึ้น แต่ก็ยังแก้ได้แค่ชั่วคราว พอลุกเดินก็ติดอาการหลังค่อมมาทำให้เสียบุคลิกภาพ Upright เป็นอุปกรณ์ใหม่ ขนาดเล็กกว่าฝ่ามือที่ใช้แก้ปัญหานี้ได้ นักประดิษฐ์เขาคิดค้นขึ้นเพื่อแก้ปัญหาจากอาการเจ็บ โดยใช้งานง่าย แค่ติดเครื่องนี้ไว้ตรงกลางแผ่นหลัง ทุกครั้งที่เราเริ่มหลังค่อมลง เครื่องจะเริ่มสั่นเตือนให้เรารีบปรับท่านั่งทันที ที่สำคัญเครื่องนี้ยังสามารถเชื่อมเข้ากับแอปพลิเคชัน UPRIGHT GO ที่สามารถใช้ได้ทั้งระบบ andriod และ iOS เพื่อแสดงผล แถมจังต่อยอดได้ด้วยการเทรนนิ่งที่จัดตารางไว้ให้เราได้ฝึกตามในแอปฯ อีกด้วย ประโยชน์ของ Upright Posture ช่วยให้ไหล่เบา ไม่รู้สึกเหมือนใครมาขี่คอ – เครื่องนี้ช่วยลดอาการตึงของไหล่จากท่ายืนท่านั่งที่ผิดปกติ ลดความเครียดและนำความสงบมาให้ชีวิต – การขยับท่าทางให้ถูกต้องจะช่วยลดความเหนื่อยล้าที่สร้างความเครียดได้ รู้สึกเยี่ยมในท่าสุดเพอร์เฟ็กต์ – แค่การนั่งและยืนในท่าที่ถูกต้องจะทำให้เราดูดีขึ้นทันตา
ถ้าเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน ผู้ชายอย่างเราอาจชอบคำตอบที่ชัดเจน แต่สำหรับศิลปะถือเป็นเรื่องยกเว้น เรารักมันได้เสมอไม่ว่ามันจะชัดเจนหรือไม่ วันนี้ UNLOCKMEN ขอพาทุกคนไปชื่นชนความงามกับสุนทรีย์อีกรูปแบบผ่านความไม่ชัดเจนที่เราชื่นชอบจากผลงานของทั้ง 2 ศิลปินต่อไปนี้ Philip Barlow : เบลอสไตล์โบเก้ งานสีน้ำมันเหล่านี้ ตั้งใจเบลอด้วยปลายพู่กันเพื่อถ่ายทอดความงามของแสงสีที่ผสมผสานกันลงตัว บ้างก็ซ้อนกันเป็นวง บ้างก็เส้นขอบของรูปร่างที่เห็นไม่ชัดเจน แต่เรายังคงพอมองออกว่าภาพเหล่านั้นคืออะไร ความไม่ชัดเจนบนผืนผ้าใบไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่ากำลังโดนรบกวนทัศนวิสัยขนาดต้องหาแว่นมาใส่ แต่สร้างความหลงใหลทำให้รู้สึกอยากจ้องมองให้นานขึ้นกว่าเดิม เทคนิกความสวยแบบเบลอ ๆ นี้ ได้ Philip Barlow ศิลปินแอฟริกันเป็นผู้ถ่ายทอด โดยได้แรงบันดาลมาจากแสงสีที่เกิดขึ้นจากการถ่ายภาพ ที่ช่างภาพนิยมเรียกเทคนิกการถ่ายนี้ว่า โบเก้ เขาจึงเก็บภาพถ่ายแนวนี้นำมาวาดมันลงผืนผ้าใบกลายเป็นภาพที่สวยงาม โดยเพียรทำมันมาต่อเนื่องถึง 17 ปีแล้ว Pedrita studio : เบลอสไตล์โมเสก ด้านบนเป็นความเบลอแบบโบเก้ แต่สำหรับชิ้นนี้เป็นความไม่ชัดแบบการต่อโมเสก คือเป็นลายต่อกระเบื้องที่ Lisbon จัดแสดง นิทรรศการว่า “Lost and Found” ภายใน Pedrita Studio ทว่าความครีเอทีฟของมันไม่ได้ง่ายแบบการต่อโมเสกสีทั่วไป แต่เป็นการต่อกระเบื้องที่มีลวดลายแตกต่างกัน เอามาเชื่อมต่อกันเป็นรูปที่เราสามารถมองเห็นรูปร่างได้ชัดเจน เมื่อเราถอยไปดู
24 ชั่วโมงจากนี้ ทำให้ดี ทำให้ไว ถ้าทำได้ Tasks ทั้งหมดจะได้รับการเคลียร์ไปเลย มีคนเคยบอกว่า ไม่ว่าเราจะมีแผนการบริหารจัดการที่ดีแค่ไหน แต่ถ้าไม่ระบุเวลาของแผนงานลงไปใน Action Plan สิ่งที่ตั้งความหวังไว้อาจเป็นแค่ลมปาก แต่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง จนเราแอบคิดในใจว่าด้วยเหตุผลนี้เอง เวลากับประสิทธิภาพงานเลยถูกพูดถึงคู่กันมาแบบปาท่องโก๋ และอาจกลายเป็นที่มาของการทำ “To do list” ไว้ใช้งาน แต่ถ้าไม่อยากให้งานพลาด การวางแผนซอยย่อย ระบุเวลาสำหรับทำกิจกรรมนั้นไว้อย่างชัดเจน แปะไว้ในมุมที่สามารถมองเห็นได้ตลอดเวลา จะยิ่งทำให้เห็นผลได้มากขึ้น Li Ke, Pang Sheng Li และ Chen Yi Lin สามดีไซเนอร์ที่หลงรักความโปรดักทีฟเข้าไส้ เลยออกแบบ gadget สุดมินิมอลที่จะทำให้เราได้ทำงานแข่งกับเวลาของจริง โดยเราสามารถเขียนระบุ Tasks ที่ต้องการทำบนนาฬิกาในช่องว่างทุกชั่วโมงบนเจ้า Delete Clock ได้ เนื่องจากพื้นผิวหน้าปัดทำขึ้นจากไวท์บอร์ด แต่ถ้าแค่เขียนได้มันก็ธรรมดาไป พวกเขาเลยออกแบบให้มันส์กว่าด้วยการทำตัวเข็มยาวของนาฬิกาให้ใช้งานได้ 2 ฟังก์ชั่น คือเป็นได้ทั้งที่เก็บปากกาไวท์บอร์ดสำหรับเขียนได้โดยไม่ต้องกลัวหาย และด้านล่างของเข็มยาวทำเป็นแปรงลบน้ำหมึกไว้ เรียกได้ว่าทุกวินาทีที่ผ่านไปเราจะต้องเร่งทำสิ่งที่ตั้งใจไว้แข่งกับเข็มนี้ที่คอยไล่ลบ Task ของเราทิ้ง
ในยุคก่อน คนไทยมีค่านิยมอยากให้ลูกชายรับราชการ เพราะนอกจากความมีหน้ามีตาทางสังคม สวัสดิการมากมายแบบที่หาไม่ได้ในอาชีพอื่น มันยังได้รับสิ่งที่เรารอคอยเสมือนมรดกบั้นปลายไว้ใช้ยามแก่อย่าง “เงินบำนาญ” ด้วย แต่อย่างที่หลายคนรู้คือพอค่านิยมสังคมเปลี่ยน อาชีพทางราชการก็ไม่ใช่ทางออกสำหรับทุกคนอีกต่อไป ทั้งเรื่องของสายอาชีพ สวัสดิการและเงินเดือน ทว่าเรื่องหนึ่งที่ข้าราชการแทบทุกรุ่นยังคงชื่นชอบกันอยู่คือการใช้ชีวิตแบบไม่หวั่นแม้วันเกษียณ เพราะพวกเขาโดนบังคับเก็บออมมาเรื่อย ๆ ตัดเงินทันทีเงินเดือนออกเพื่อเข้า “กบข.” หรือ “กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ” ซึ่งภาครัฐจะสมทบเงินอีกจำนวนหนึ่งให้เพิ่มเติม สะสมไปเรื่อย ๆ พอถึงวันเกษียณก็อุ่นใจว่ายังมีเงินให้ใช้แม้ไม่ต้องทำงาน ซึ่งจะว่าไปหลักการมันก็คล้ายกันกับ Provident Fund หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ” ของบริษัทเอกชนบางแห่ง ที่ไหนมี Provident Fund ก็ถือเป็นแรร์ไอเทมมาก เพราะเป็นหนทางออมอีกทางที่มีคนมาออกเงินให้เราฟรี ทำไมจะไม่อยากได้ล่ะ จริงไหม กบช. = แก้แก่ไปไม่มีเงินใช้ ก่อนจะไปลงรายละเอียดว่ามันให้อะไรเราบ้าง มีเงื่อนไขอะไร ขอย้อนกลับมาถึงจุดเริ่มต้นร่าง พรบ. ฉบับนี้ก่อนว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร เหตุผลการเกิดของมันเกิดจากสภาพสังคมตอนน้ีที่หลายคนคงเคยได้ยินว่า “ประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ” แต่ปัญหาตอนนี้ที่มียังคงแก้ไม่ตกคือ ผู้สูงอายุหลายคนในไทยยังมีเงินไม่พอใช้สำหรับวัยเกษียณ ซึ่งหมายความว่า แม้เราจะต้องแก่และตายไปพร้อมกัน แต่ก่อนจะเตรียมพร้อมถึงวันหมดลมหายใจ เงินที่มีไม่พอมันจะพาเราไปอยู่สภาพไหนก็ไม่รู้ ดีอย่างไร? จะสมทบแบบไหน?