มีสุภาษิตหนึ่งกล่าวว่า “ลางเนื้อชอบลางยา” แต่ไม่ว่าจะเนื้อหรือยา ถ้าอยากรู้ว่าชอบหรือไม่ชอบก็ต้องลองใช้ก่อน ดังนั้น เวลามีอะไรอัปเดตใหม่ อาการคัน อาการกระหายจะลองอะไรใหม่ ๆ ของลูกผู้ชายอย่างเรา ๆ เลยกำเริบทุกที ยิ่งถ้าเป็นเรื่อง Tech และไลฟ์สไตล์แล้วล่ะก็ เหล่า urban guys ทุกคนย่อมไม่อยากพลาดแน่ ๆ ดังนั้น หลังจากผ่านการประชุม Google I/O 2018 ที่เพิ่งประกาศไปไม่นาน ทีมงาน UNLOCKMEN จึงเฝ้าเกาะขอบความเคลื่อนไหวที่จะเกิดขึ้นใน Google ประเทศไทย มาฝากกัน จากการเข้าฟังงานเปิดตัว Google Assistant เวอร์ชันภาษาไทยอย่างเป็นทางการในวันนี้ที่คุณนิ้ง – ศารณีย์ บุญฤทธิ์ธงไชย หัวหน้าฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภคได้ออกมาให้คำแนะนำพร้อมแสดงตัวอย่างการใช้งาน ทีมงานได้สรุปออกมาเป็น 11 เรื่องลับ จากคำถามที่คนส่วนใหญ่อยากรู้เกี่ยวกับฟีเจอร์นี้มาฝาก พวกเราจะได้ลองดูก่อนว่าอยากจะมีไว้ในเครื่องเพื่อใช้งานจริงในปลายสัปดาห์หน้ากันหรือเปล่า 1. ใครคือคนโชคดีที่ได้ใช้คนแรก เป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะอยากรู้ว่าก่อนจะ Launch ให้คนทั้งประเทศใช้งาน Demo ทั้งหลายจากฟีเจอร์ของ Google Assistant เวอร์ชันไทยวันนี้
“ถ้ากูบินได้เนี่ย กูบินไปหาแล้ว!” เชื่อว่าประโยคนี้พวกเราชาว UNLOCKMEN คงเคยตอบใครสักคนระหว่างการเดินทางที่เราต้องติดแหง็กบนท้องถนน หรือใช้เป็นข้ออ้างถ่วงเวลาให้คนฟังเห็นใจเพื่อจะได้ไปถึงเลทขึ้นอีกนิด แต่ถ้าเราอยู่ในปี 2566 แถวนิวยอร์ก ก่อนจะพูดประโยคนี้ให้ปลายสายฟังเราอาจจะต้องคิดใหม่ให้รอบคอบ เพราะเรื่องบินไปหาเนี่ย มันอาจจะทำได้จริง! แต่ไม่ใช่เพราะเรามีพลังพิเศษอะไรนะ ทว่าเป็นพลังจากปลายนิ้วที่ไว้กดเรียก UBERAIR ต่างหาก ! ดูคลิปด้านบนแล้วเห็นได้ชัดเลยว่าเจ้า Flying Taxi การใช้งานมันง่าย น่าใช้ แถมตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของหนุ่ม urban ทุกคนที่มีสัญญาณไฟแดงเป็นไม้เบื่อไม้เมาทุกช่วง prime time โดย UBER เข้าใจปัญหานี้เป็นอย่างดีจึงได้ร่วมมือกันคิดค้นวิธีการกับ NASA เพื่อสร้างนวัตกรรมการจราจรไร้คนขับไว้แก้ปัญหาผังเมืองไม่ดี โครงข่ายจราจรที่ติดขัดยุ่งเหยิง และปัญหาจากความเครียดบนท้องถนนได้ Flying Taxi เป็นโมเดลใหม่ของ UBER ที่เรียกว่า UBERAIR โดยออกแบบตัวเครื่องบินให้ทำงานด้วยการใช้ระบบไฟฟ้าทั้งหมด ด้านในประกอบด้วยที่นั่งจำนวน 4 ที่นั่งต่อเครื่องรวมคนขับ มีหน้าต่างบานใหญ่รอบลำให้เห็นบรรยากาศด้านนอกชัดเจนน่านั่ง แม้ตัวลำอาจจะดูจิ๋วนั่งได้ 4 คน แต่ใช้เทคโนโลยีไฮบริดในการควบคุมให้บินแบบแหล่ม ๆ ด้วยความเร็วระหว่าง 150 – 200 ไมล์ต่อชั่วโมงบนระดับความสูงเหนือพื้นดินที่ 1,000
หลังจากต้นปีที่ชาวพืชได้ต้อนรับปีหมากันสมชื่อจากสถานการณ์ข่าวเคาะกะลาให้หมาดีใจว่าไทยแลนด์เราจะกลายเป็นแดนกัญชาเสรีแต่สุดท้ายก็โดนเบรกหัวทิ่มจาก อย. ว่า NO NO นายกำลังเข้าใจผิด เราให้สิทธิปลูกกัญชงต่างหากจนเหล่าสายเขียวหลายคนเลยต้องปาดน้ำตาไปด้วยความเสียดาย แต่เรื่องน้ีก็ไม่ได้ทำให้ทีมงาน UNLOCKMEN ท้อแท้หยุดอัปเดตข่าวคราววงการสายเขียวสุดครึกครื้นนอกบ้าน โดยเฉพาะกับเรื่องธุรกิจกัญชาที่กำลังหอมหวลได้ที่จนใครก็อยากขอมีเอี่ยวแบ่งเค้กสีเขียวชิ้นนี้กันถ้วนหน้า เพื่อให้กระจ่างว่าทำไมกัญชาถึงกลายเป็นวาระแห่งชาติของยอดชายสายธุรกิจในสหรัฐอเมริกา เราลองมาดู 7 เหตุผลที่ Marijuana Business Factbook เขาสรุปไว้พร้อมกัน 1. ปี 2561 นี้กัญชาเสรีในสหรัฐฯ เติบโตขึ้นอีก 50% ท่ามกลางสีแดงเถือกของพอร์ตหลายตัวบนกระดาน มนต์แห่งกัญชายังคงขลังวิ่งพอร์ตได้เขียวอยู่ ทั้งนี้เพราะใน Marijuana Business Factbook ได้ระบุตัวเลขคาดการณ์สถิติการเติบโตไว้ว่ามูลค่าการเติบโตทางธุรกิจสูงขึ้นอีกที่ราว 42 % ต่อปี ใครที่สงสัยว่าทำไมกล้าจิ้มบอกเลขการเติบโตไว้สูงขนาดนี้ เขาได้อ้างอิงเหตุผลจากปรากฏการณ์ขายกัญชาเพื่อสันทนาการใน 3 รัฐ ได้แก่ รัฐ California ที่เปิดประตูด้านกฎหมายอย่างร้อนแรงและน่าจะขายได้อย่างน้อยที่สุด 500 ล้านดอลลาร์ปีนี้ ประกอบกับรัฐ Massachusetts ที่เพิ่งเสรีเปิดขายเพื่อสันทนาการในปีนี้ และรัฐ Nevada ที่เปิดการขายกัญชาเพื่อสันทนาการในกรกฎาคม ปี 2560 ที่ผ่านมา เทียบได้กับคลื่นลูกใหม่ที่จะพาให้วงการการลงทุนคึกคักแบบฉุดไม่อยู่
หากพูดถึงเรื่องเที่ยว ไม่ว่าจะออกทริปครั้งไหนผู้ชายอย่างเรามักสู้ไม่ถอย ขึ้นเขาลงห้วยลัดเลาะไปยังไงก็ไม่ทำให้ได้แผล แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าไอ้วิธีการเดินทางที่ดูนิ่มสบายถึงปลายทางรวดเร็วอย่างเครื่องบินดันสร้างปัญหาตอนปลายทางเสียได้ เนื่องจากเกิดอาการแฮงค์เรื่องไทม์โซน เมื่อต้องเดินทางข้ามประเทศ หรือที่เรารู้จักกันดีในนาม “JET LAG” โอเค จะแก้การแฮงค์มันต้องแก้ที่ต้นตอ หากอาการแฮงก์ที่เราเจอมันไม่ได้เกิดจากดื่มหนักไปหน่อยระหว่างบิน ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะเกิดจากความเชื่อผิด ๆ เรื่องวิธีการแก้ JET LAG ที่ฝังหัวกันมา UNLOCKMEN จึงเอาวิธีแก้ Lag ด้วยการ “โละ” 9 ความเชื่อผิด ๆ พร้อมวิธีแก้ที่ถูกมากฝากกัน รู้ไว้นะเพื่อนฝูง อย่าเอาไปทำซ้ำเพราะมันใช้ไม่ได้ผล สั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แรง ๆ ใครเข้าใจว่าวิถีที่ UNLOCKMEN แนะมันต้องเป็นการสั่งแอลกอฮอล์แน่ ๆ มอมตัวเองไว้ก่อน เผาหัวมันตั้งแต่ตอนนี้ กระดกถี่ ๆ เข้าไว้ จากนั้นเรื่องนอนไว้ใจผมเพราะความเมากับเราเป็นของคู่กัน บอกได้เลยว่าคราวนี้ไม่เป็นแบบนั้น พวกเราจะเป็นคนใส ๆ เพราะวิธีคิดยกหมดแก้วมันโคตรจะปลายเหตุ แถมไม่ได้ผลด้วย FIX IT: เหตุผลที่เราบอกว่ามันปลายเหตุสิ้นดี แถมไม่ได้ผลเป็นเพราะพอซดแอลกอฮอล์ไปเยอะไม่ต่างจากน้ำจะพาลให้เสียท่า เพราะคุณสมบัติของแอลกอฮอล์มันเน้นการคายน้ำ (dehydrate) เทเข้าคอเยอะเดี๋ยวร่างกายขาดน้ำมันยิ่งเป็นแนวโน้มสร้างความหงุดหงิด หัวร้อน ให้เราเกิดเพลียมากกว่าเดิม
ปฏิเสธไม่ได้ว่าฟังก์ชัน Water Proof ของ Gadget ทั้งหลายมันมีผลกับการตัดสินใจซื้อของผู้ชายอย่างเรา ๆ ด้วยไลฟ์สไตล์ที่ผาดโผน ถ้าของที่เราใช้มันโดนน้ำหรือโดนเหงื่อแล้วพังง่ายก็คงลำบากใจไม่ใช่เล่น แต่พอมานึกย้อนดูอีกที แทนที่เราจะไปหา Gadget ต้านน้ำ ทำไมเราไม่ไปหากางเกงที่มีกระเป๋ากันน้ำแล้วแบกมันไปกับเราแทน? นี่เป็นอีกเรื่องที่บอกได้เลยว่าผู้ชายอย่างเราคงไม่ทันคิดจนมาเห็นของชิ้นนี้นี่แหละ แน่นอนว่าถ้าแค่กันน้ำได้ผิว ๆ UNLOCKMEN ไม่เลือกมาแนะนำกันให้เสียเวลา แต่กางเกงตัวนี้มันตอบโจทย์ได้ชนิดที่ใส่ของสำคัญอย่างสมาร์ตโฟน กระเป๋าสตางค์ หรือพาสปอร์ตเข้ากระเป๋าแล้วสามารถโดดลงน้ำตูม ๆ ได้แบบไม่ต้องกังวล จะสระว่ายน้ำฟิตเนส น้ำตก หรือทะเล แค่ไหนก็ไม่หวั่น ไม่ต้องไปฝากใคร เนื่องจากเขาออกแบบมาให้กันน้ำได้ลึกสุดถึง 30 เมตร หรือ 100 ฟุตใต้น้ำ เหตุผลที่เก็บได้แห้งชนิดไม่แปดเปื้อนน้ำสักหยดเพราะมีทีเด็ดเป็นตัวช่วยนวัตกรรมกันน้ำจากแถบแม่เหล็กอัจฉริยะ ของ Gooper Hermetic Patented Technology ที่ปิดเองอัตโนมัติ แนบสนิทโดยไม่ต้องเอามือไปรูดให้เสียลุค ที่สำคัญตัวแม่เหล็กของกระเป๋านี้ไม่มีผลกระทบกับแถบแม่เหล็กบนบัตรเครดิตหรือสมาร์ตโฟน ซึ่งส่วนนี้รับประกันการใช้งานได้นานถึง 5 ปี ! เรียกได้ว่าใส่กันไปยาว ๆ จนเปื่อยกันไปข้าง นอกจากนี้ ดีเทลที่ผู้ชายไทยสายชิลล์อยากเราชอบคือคัตติ้งที่พอดีตัว ถ้าหลวมก็มีจุดปรับช่วงเอวได้ครึ่งไซส์ เพื่อให้ใส่แล้วไม่เทอะทะ สวมสูทยังหล่อได้ลุค ไปทะเลแล้วเปลือยท่อนบน
Geek ที่กระหายเรื่อง Tech ทั้งหลายคงกำลังรอคอยอย่างใจจดใจจ่อทุกครั้งที่มีประชุมงานช้างจาก Search Engine เจ้ายักษ์อย่าง Google ว่าปีนี้จะมีอะไรน่าสนใจมาพลิกโลก ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้ชายอย่างเราบ้าง UNLOCKMEN ไม่รอช้าขอส่งตรง 8 ประกาศร้อนจากการประชุมเมื่อวานนี้ที่จัดขึ้นที่ Shoreline Amphitheater ประเทศแคลิฟอร์เนียมาเสิร์ฟให้อ่านกันอย่างจุใจ พร้อมแล้วขอเปิดงานด้วยรอยยิ้มฟันขาวแสบตาจากเฮีย Sundar Pichai – CEO หนุ่มพระเอกของงานที่เป็นโฆษกให้กับเราในครั้งนี้อีกที ขอเสียงปรบมือให้เขาหน่อย! 1. Welcome Google AI คีย์หลักที่เห็นได้ชัดและประกาศให้ทราบทั่วกัน ก่อนจะบอกฟีเจอร์ใหม่อื่นคือการขอมีส่วนร่วมในสนาม AI อย่างเป็นทางการ เอาจริงเอาจังขนาดเปลี่ยนชื่อแผนกจาก Research Division เป็น Googel AI ผลักดันเรื่องวิจัยปรับมุมมองให้คอมพิวเตอร์และประมวลผลทุกอย่างโดยคำนึงถึงความเป็นธรรมชาติให้มากที่สุด 2. Google Assistant ลื่นปรื้ด คุยต่อเนื่องแบบภาษาคน “เลขาของพี่ต้องดีกว่านี้” เป็นประกาศที่กู๋บอกว่านี่แหละทางของกู๋ปีนี้ เลยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานให้ตอบโจทย์ยิ่งกว่า Google Assistant ฟังก์ชันผู้ช่วยในสมาร์ทโฟนที่ควบคุมโดยใช้เสียงให้เหนือชั้นขึ้น จากเดิมที่เวลาใช้ต้องพูดว่า Hey, Google หรือ OK, Google ทุกครั้งที่สั่งให้ทำงานอะไรจนปากเปียกแฉะ วันนี้เราจะจำกัดมันให้เหลือเพียงแค่พูดปลุกมันครั้งเดียวเท่านั้น! เท่านั้นยังไม่พอ เขายัง
แด่มนุษย์งานชายทุกคนที่กำลังปั่นงานอยู่ตอนนี้ เราเชื่อว่าหลายคนคงเริ่มชินกับการทำงานแบบ Multitasking หรือวิถีการทำงานในศตวรรษ 21 ที่ต้องการให้หนึ่งคนมีสกิลการทำงานเหมือนทศกัณฐ์ สิบหน้ายี่สิบมือรันพร้อมกันหมด ทว่าเริ่มสังเกตกันไหมว่าขณะที่เราทำตัวเป็นจิม แครี่ในหนังเรื่อง Yes Man ตอบเจ้านายว่า “ได้ครับ ๆ” ไปเสียทุกเรื่องเพื่อกันการเสียโอกาส ลงมือบู๊งานจนเฉียบ แววเลื่อนขั้นก็สดใส นานวันเข้าไอ้เรื่องธรรมดาที่เคยทำทุกวันมันกลับเริ่มฝืด ความจำทรงจำ Blank ไปเสียอย่างนั้น มาดูไปพร้อมกันว่าเหตุการณ์พวกนี้เกิดกับเราบ้างไหมและมันเกิดขึ้นจากอะไร ? WHO STEAL THE KEYS ? สำหรับคนส่วนใหญ่ที่ระยะนี้เริ่มควานหากุญแจอยู่บ่อย ๆ แต่ไม่เจอ ทั้งที่เมื่อกี้เพิ่งเตรียมมาแหม็บ ๆ ดันไม่รู้เอาไปวางไว้ไหน หรือกระทั่งสมาร์ตโฟนที่ถืออยู่ในมือก็ยังลืมว่าถือ มันถือเป็นหนึ่งในสัญญาณที่บ่งบอกว่า Multi-tasking เริ่มทำให้ความทรงจำเราบกพร่องที่ตรงกันกับงานวิจัยของ Stanford University ที่ทดสอบเรื่องความจำกับคนทำงานสไตล์ Multi-tasking ทั้งหลายโดยหาคนมาเข้าร่วมทดลอง เปิดคอลเลคชั่นภาพวาดของสิ่งของบนจอ แล้วให้ทุกคนลองเล่น photo hunt ดูว่าจุดไหนในภาพที่ขยับ ผลสรุปออกมาว่าบรรดา Multitasker ไม่ใช่แค่ตอบไม่ถูก ยังสูญเสียความจำระยะยาวไปด้วยหลังบอกให้อธิบายว่าเห็นอะไรมาก่อนหน้านี้ จืดเต็มใบ
สำหรับผู้ชาย ถ้าพูดถึงการจัดสรรเวลาแต่ละสัปดาห์ของการใช้ชีวิต เราใช้ 5 วันจากจันทร์ไปถึงศุกร์กับการใช้พลังสมองและสองมือลงมือไล่บี้งานตรงหน้า กว่าจะรู้สึกว่าตัวเองได้พักเต็มที่จริง ๆ ก็คือวันเสาร์ ส่วนวันอาทิตย์เราจะสงวนมันไว้สำหรับการนอนสิ้นสติเพื่อเตรียมใจรับชะตากรรมวงจรวันจันทร์ใหม่อีกครั้ง แต่เคยสงสัยไหมว่าบรรดา SUCCESS GUY แนวหน้าทั้งหลายเขาทำอะไรกันอยู่วันนี้ ? นอนเหมือนเราบ้างหรือเปล่า หรือเป็นยอดมนุษย์ที่เอาเวลาไปทำอะไรแปลก ๆ เพื่อบูสต์พลังก่อนวันจันทร์โดยที่เราไม่รู้ ถึงเวลาไขความจริงให้กระจ่างได้ Get cultured คนเก่งสายครีเอทีฟเขาเลิกนอน แต่ลุกขึ้นแต่งตัวออกไปหากิจกรรมสไตล์ Local เพื่อรีเฟรชความคิดสร้างสรรค์ให้ไหลลื่น การสะสมแต้มด้วยการเดินเข้าออกแหล่งวัฒนธรรมทั้งหลายไม่ว่าจะตามมิวเซียม หรือนิทรรศการ บางครั้งมันก็ให้แง่มุมใหม่ที่เราไม่คาดคิดเข้าไปเสริมในงานที่ทำได้ เช่นเดียวกับที่ Tim Gunn mentor ชายด้านแฟชั่นจากรายการเกี่ยวกับดีไซเนอร์ชื่อดังอย่าง “Project Runway” เขาเลือกทำมันเป็นประจำ End Sunday on a high note ทบทวนแล้วแชร์ประสบการณ์ด้านบวก ๆ ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นทางออกของการเริ่มต้นวันจันทร์ที่สดใส เจ้าของความคิดนี้คือ Micheal Woodward ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาและผู้แต่งหนังสือเรื่อง The YOU Plan ที่คิดขึ้น
“แพสชัน” “ความฝัน” สำหรับผู้ชายอย่างเรา ๆ คำสองคำนี้แม่งโคตรมีความหมาย และพวกเราใช้ทั้งชีวิตเพื่อตามหามัน แต่ก็ใช่ว่าคนทุกคนจะสามารถค้นเจอมันได้ง่าย ๆ บางคนตั้งแต่เรียนจบ จนมาทำงานทุกวันนี้อาจจะยังบอกไม่ได้ด้วยซ้ำว่าความฝันที่แท้จริงของตัวเองคืออะไร สำหรับชาว UNLOCKMEN คนไหนคิดว่ากูอาจจะไม่เจอความฝันและแพสชันอีกแล้วในชีวิตนี้ ลองมารู้จักกับเขาคนนี้ก่อน เพราะเขาจะเปลี่ยนความคิดของคุณด้วยความกล้า มุมมองและความคิดที่เขามีจากทุกสิ่งที่เขาเลือกทุ่มให้กับมัน นั่นคือการเป็น “Videographer” หากคุณเป็นคนที่อยู่ในสาย Travel Video ชื่อของ “ขุน” – โชติพงษ์ เอกเสน น่าจะเป็นหนึ่งใน Videographer ที่คุณเคยได้ยินหรือผ่านตาจากผลงานสุดเฉียบมากมายของเขา แต่สิ่งที่เจ๋งและเราอยากให้คุณได้ทำความรู้จักมากกว่ามันอยู่ที่ความกล้าเลือกตัดสินใจสวนทางกับคนอื่น เดินออกจาก Comfort Zone โดย drop เรียนมหาวิทยาลัยมาทุ่มเทตามฝันอย่างสุดตัวจนเกิดโปรเจกต์สนุก ๆ มากมายที่วันนี้ความชอบมันสร้างมูลค่าได้ อะไรคือเบื้องหลังของการตัดสินใจครั้งนั้น ความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหนที่เขาต้องพบเจอ ถ้าคุณพร้อมแล้ว จากนี้ลองมารู้จักเขาไปพร้อมกัน UNLOCKMEN : แนะนำตัวหน่อยครับ ว่าเป็นใคร ทำอะไรอยู่ตอนนี้ ขุน : ชื่อขุนครับ ปีนี้อายุ 22 เมื่อก่อนเป็นนักศึกษา ตอนนี้เป็น Drop-Out Boy ก็คือดรอปเรียนออกมาทำตามความฝันของตัวเองครับ เพราะว่าเชื่อในความฝันนะ
สำหรับผู้ชาย หนึ่งในไลฟ์สไตล์ที่เราทำอยู่เป็นประจำไม่ว่าจะมีเทศกาลหรือไม่คือเรื่องการ “ดื่ม” วัตถุฟูลแอลฯ ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเบียร์ ไวน์ สาเก เหล้า ฯลฯ ถ้าวันที่โลกไร้เครื่องดื่มชูแรงใจเหล่านี้แล้วเข่าผู้ชายอย่างเราคงแทบทรุดลงไปกองกับพื้น ขณะที่เราทำเป็นลืม ๆ ไป และคิดว่าวันที่โลกไร้เหล้ามันคงไม่มีวันเกิดขึ้น คนบางกลุ่มเขาก็ดั้นด้นไปหาวัตถุดิบใหม่เพื่อต่อเวลาการดื่มให้เรา แถมยังได้รสชาติใหม่ดี ๆ ที่ชวนให้ยกแก้วเพิ่ม เกิดเป็นมิติเมาขั้นเทพ เมื่อไรอยากเมาแค่เก็บกระเป๋าเข้าป่าไปล่าเปลือกไม้มาสกัดให้ชุ่มคอ ดมกลิ่นไม้หอม ๆ ไปพลาง ๆ สวรรค์ชัด ๆ! ทีมนักวิจัยจากสถาบันวิจัยป่าไม้ และผลิตภัณฑ์จากป่า (Forestry and Forest Products Research Institute – FFPRI) ประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้วิจัยตำรับการดื่มจากเปลือกไม้โดยใช้เวลาถึง 9 ปีในการศึกษา ลองผิดลองถูกแล้วออกมาการันตีว่าพวกเขาค้นพบวิธีทำให้มันดื่มได้จริงไม่ต่างจากเหล้าหมักในถังทั้งหลาย แต่พิเศษกว่าตรงที่มีกลิ่นเฉพาะที่สร้างความรื่นรมย์แบบล้ำลึกชนิดที่เราไม่เคยสัมผัส โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับพื้นที่บ้านเขาที่เรียกได้ว่าแต่ละท้องถิ่นมีต้นไม้อุดมสมบูรณ์ ยิ่งเป็นจุดขายให้คอทองแดงต้องพิสูจน์ เห็นเหมือนง่าย ก็แค่เอา “เปลือกไม้” มาสกัดแอลกอฮอล์มันจะอะไรนักหนา บ้านเรายังมียาดองหลายขนานจับไม้มาดองได้ตั้งนานแล้ว บอกตรงนี้เลยว่าผิดกันหลายขุม เนื่องจากปกติแอลกอฮอล์ที่เราเอามาใช้ผลิตเป็นเครื่องดื่มชนฉลองทั้งหลายมันใช้ “เอทิลแอลกอฮอล์” เป็นพื้นฐาน ซึ่งผลิตจากวัตถุดิบประเภทแป้ง น้ำตาล