ในโลกที่ทุกอย่างมันผ่านไปเร็ว หากมองย้อนกลับไปผู้ชายอย่างเราจะรู้ทันทีว่าความมั่นคงของอาชีพในแต่ละ พ.ศ. มันไม่ได้ยั่งยืนไปตลอด ปีก่อนอาชีพวิศวะอาจจะยั่งยืน ปีถัดมาอาจจะเงียบเหงา วิธีแก้ที่จะทำให้ผู้ชายอย่างเราหางานได้แม้ไม่ตรงสายงาน หรือสมัครตรงสายงานแต่อยากจะโดดเด่นกว่าคนอื่น ก็ต้องเติมสกิลที่เป็นที่ต้องการ ใน พ.ศ. นั้นลงใน Portfolio สำหรับปี 2018 นี้เราก็สรุปทั้ง 8 สกิลโดดเด่นที่บอสในอนาคตอยากให้คุณมีมาให้เรียบร้อยแล้ว พร้อมคอร์สฟรีที่ช่วยเสริมสกิลนั้นมาฝากกัน Coding เขียนโค้ดดิ ! สังคมยุคนี้มัน 4.0 อะไรก็ต้องออนไลน์ไปหมด เรื่อง Tech จึงเป็นสิ่งที่ทุกบริษัทต้องการ แต่ทุกวันนี้คนที่มีสกิลนี้ก็ยังน้อยกว่าความต้องการในตลาดมาก คนที่มีสกิลเรื่องการเขียนโค้ดเลยตอบโจทย์ แม้หลายคนจะเห็นว่าตัวเลขหรืออักษรสำหรับเขียนโค้ดมันเข้าใจยาก น่าจะต้องใช้เวลาเรียนนาน แต่อย่าเพิ่งกลัว ทุกวันนี้มันมีช่องทางฟรีให้เรียนเพิ่มสกิล เอาเป็นว่าถึงเราจะไม่เซียนถึงขนาดเป็นโปรที่เขียนโปรแกรมได้เอง แต่การรู้เรื่องพื้นฐานบ้านมันก็เป็น shortcut ให้เราใช้ในการแก้ปัญหาได้ดี อย่างเราที่เป็น content creator เองก็ต้องรู้โค้ดไว้ใช้กับเว็บไซต์หรือแก้ป้ญหา ดังนั้นไม่ว่าคุณจะทำงานด้วยอาชีพไหนก็อาจจะต้องมีอันไปเกี่ยวพันกับเรื่องโค้ด ดังนั้นดูไว้ก็ไม่เสียหาย ดีไม่ดีจะเป็นช่องทางรับจ็อบเพิ่มอีกทางให้เงินตุงกระเป๋าได้อีกด้วย FREE COURSE Excel ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ หนึ่งในสกิลที่หลายคนมองข้ามแต่บอสในอนาคตของเราต้องการ แถมเป็นสกิลที่แสดงความโปรดักทีฟได้ดีคือโปรแกรมสีเขียวที่มีติด Microsoft Office
เมื่อก่อนมีเงินเขานับเป็นน้อง มีทองเขานับเป็นพี่ แต่เดี๋ยวนี้วิธีนับมันไม่เหมือนเก่าต่อให้เดินล่อนจ้อนออกนอกบ้าน ไม่คล้องทองหยองเต็มคอ หรือกระเป๋าสตางค์จะแฟ่บแค่ไหน ตราบเท่าที่มีสมาร์ทโฟนในกำมือมันก็อุ่นใจ เพราะเราอยู่ในสังคม cashless society ที่ถ้าย้อนกลับไป 5-10 ปีที่แล้ว พูดไปก็คงไม่มีใครเชื่อหรือนึกออกว่าเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ที่ไร้พรมแดนหน้าตาเป็นอย่างไร พอ ๆ กับที่หลงลืมความยุ่งยากเดิมที่มีว่ากว่าจะซื้อของสักชิ้น จ่ายบิลสักอย่าง เราใช้ชีวิตกันด้วยความยุ่งยากขนาดไหน ระหว่างที่อ่านถึงตรงนี้หลายคนอาจจะกำลังมองว่ามันไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ถ้าลองย้อนคิดว่าปรากฏการณ์สเกลใหญ่ขนาดนี้ที่เกิดขึ้นในสังคมแถมผ่านมาเป็นปี ๆ แล้ว ใครเป็นคนทำ? ใครที่อยู่หลังการกดนิ้วบนจอกระจกตอบโจทย์การใช้ชีวิตพวกเรา คนที่แอบอยู่หลังความ Easy เหล่านั้น พวกเขาคือใคร ทำอาชีพอะไรกัน คำตอบคุณเหมือนที่เราจะเฉลยหรือเปล่า ? พวกเขาเหล่านี้คือ “คนธนาคาร” เมื่อปรากฎการณ์ดิจิทัลแบงกิ้งมันมาจากกลุ่ม “คนธนาคาร” คนที่เราไม่เคยมองเห็นหน้า และงาน UNLOCK ก็เป็นงานถนัดของพวกเราอยู่แล้ว UNLOCKMEN ขอถือโอกาสนี้บุกไปตามหาและพูดคุยกับคนเบื้องหลังกันให้มันลึกสุดใจกันถึงถิ่นที่ SCB สำนักงานใหญ่ อาณาจักรของพวกเขา กันดีกว่า รู้จัก “คนธนาคาร” กลุ่มคนสนุกสายดิจิทัลแบงกิ้ง ถ้าไม่นับรวมบรรยากาศครึกครื้นและคราคร่ำด้วยผู้คนยกฟลอร์ด้านนอกห้องที่เราคุยกัน คนต่างวัย ต่างสายอาชีพแต่เป็นเจ้าของความคิดสนุก
ผ่านกิจกรรม GARAGE ที่พาพวกเราไปล้วงลึกเรื่อง blockchain กันให้หายสงสัยมาสักระยะแล้ว พวกเราชาว UNLOCKMEN สายนักลงทุนอาจจะเหงา เพราะช่วงน้ีเราไม่ค่อยได้มาพูดถึงเรื่องนี้กันเท่าไร แต่หนนี้ข่าวใหญ่น่ายินดีเกี่ยวกับตลาดเทรดสกุลเงินดิจิทัลไทยเปิดใหม่พร้อมใช้ในวันที่ 26 เมษายน นี่แหละที่ทำให้เลือดในกายเริ่มสูบฉีดและส่งสัญญาณว่า “อาจถึงเวลาควักสกุลเงินดิจิทัลออกมาจ่ายกันซึ่ง ๆ หน้าได้แล้ว Bro เอ๋ย” GATEWAY สกุลเงินดิจิทัลในไทย ไม้เบื่อไม้เมาสถาบันการเงิน พูดกันตามตรงเรื่องสกุลเงินดิจิทัลสำหรับประเทศไทยวันนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่แล้ว เพราะหลายคนเข้าใจและรู้จักกันดี รวมถึงขุดกันเก่งด้วย เพราะฉะนั้นเราจะไม่ขอพูดถึงมันอีก แต่เรื่องของการเอาไปใช้หรือเกตเวย์การเทรดดีกว่าที่ยังเรียกว่าฟัดกันมันส์ มีน้อยเจ้า แถมยังเคยมีข่าวเจ้าบ้านการเงินอย่างธนาคารกลางแห่งประเทศไทยที่เคยออกมาหวดกันไปหนในช่วงเดือนกุมภาที่ผ่านมาว่าให้ “ธนาคารในประเทศเลี่ยงระบบเงินดิจิตอล” เป็นผลให้เกตเวย์ในไทยอย่าง TDAX หาที่สิงแทบไม่ทันเพราะโดนปิดบัญชีจากธนาคารกรุงเทพซึ่งเป็นธนาคารผูกบัญชีไว้สำหรับรับเงินฝากจากลูกค้า หรือโอนเงินออก แต่นโยบายเชือดไก่ให้ลิงดู ไก่ที่โดนเชือดไปก็ไม่ตาย ทาง TDAX แก้ไขด้วยการใช้ช่องทางอื่นที่ไม่ผ่านบริการธนาคารในการบริการฝากและถอนเงินลูกค้านักลงทุน ทว่าตอนนี้ก็ยังมีเรื่องภาษีที่รัฐอยากจะจ่อเก็บกับตัวบรรดา Exchanger ด้วย ธุรกรรมฝั่ง TDAX เลยยังชะงักรอการคอนเฟิร์มอยู่ ส่วนลิงทั้งหลายก็ไม่ได้มองว่าที่แห่งนี้เป็น red zone แต่อย่างใด เพราะแค่เข้าให้ถูกต้องอนาคตก็น่าจะสดใสเหมือนอย่างม้ามืดของเราที่ไม่ได้กลัวแล้วดูท่าว่าจะเป็นลูกรักเสียด้วย JIBEX ลูกรักหน้าใหม่เปิดตัวครบวงจร สำหรับคนที่ติดตามเรื่อง cryptocurrency
“ซูชิ” เมนูกินง่ายสั่งสะดวกที่ผู้ชายนิยม เพราะมันเป็นเมนูที่ดูเรียบง่าย แต่แฝงความพิถีพิถัน วัฒนธรรม พูดง่าย ๆ ว่าแค่คำเดียวก็ได้เสพครบทุกอย่าง ยิ่งถ้าร้านไหนมีปลาสด ข้าวเหนียวนุ่ม กับอุณหภูมิพอเหมาะของมือเชฟชั้นยอด ซูชิทั้งคำที่หยิบเข้าปากแทบละลายหายไปในพริบตาจนต้องเร่งสั่งคำใหม่มากินเรื่อย ๆ ไม่หยุด ทว่าภายใต้หน้าตาคลีน ๆ ของซูชิที่ดูจะมีแค่ปลากับข้าวก็อย่างเพิ่งวางใจว่ามันจะไม่เป็นพิษเป็นภัยกับหุ่นและสุขภาพเราชาว UNLOCKMEN วันนี้เราจึงขอรวมวิธีการกินซูชิให้คลีนมาแจก จะได้กินกันอย่างสบายใจขึ้น คำเตือนจากนักโภชนาการ “ซูชิ” ไม่เฮลตี้อย่างที่คิด ถ้าจะให้มานั่งควบคุมแคลอรี่การกินนับหน่วยขนาดนั้นอาจจะไม่ใช่ทางของผู้ชายอย่างเรา แต่มันก็ต้องดูไว้บ้างเหมือนกันเพราะปัญหาหลักที่เราไม่ค่อยตั้งข้อสังเกตมันอยู่ที่ปริมาณการกิน รู้ไหมว่าซูชิประเภทโรลชิ้นเล็ก 1 ม้วนที่ซอยออกได้ 6-9 ชิ้น กินไปยังไม่ทันอิ่มมันอัดแคลอรี่ไว้ได้มากถึง 500 แคลฯ เลย ซึ่งหลัก ๆ มันมาจากข้าวขาวคลุกน้ำส้มสายชูกับน้ำตาลที่ช่วยเจริญน้ำย่อยทำให้สั่งเพลินหลายชุด ยิ่งเจอข้าวที่เป็นคาร์โบไฮเดรตซึ่งต่อไปก็จะย่อยเป็นแป้งและน้ำตาลอีก ต่อให้โปะหน้าด้วยเนื้อปลาดิบลีน ๆ ไขมันดีแค่ไหนก็คงช่วยไม่ได้ (คลี่ไปใส่ชามแต่ละมื้อนี่จะเจอว่ากินข้าวไปหลายถ้วย) แก้ลำด้วยการสั่งซูชิให้คลีน 1. เลือกซูชิที่ใช่ ก่อนสั่งก็ส่องเครื่องซูชิกันก่อน เลี่ยงซูชิประเภทโรลที่ใส่ซอสมายองเนสไว้ เน้นเครื่องข้างในเป็นผักสด หรือถ้าอยากให้คงรสชาติความมันเต็มคำไว้บ้างให้เลือกประเภทที่มีอโวคาโด เพราะเส้นใยกำลังดี ไขมันมีประโยชน์ แต่ถ้าจะให้ดีกว่านั้นการเลือกประเภทซูชิแยกคำแบบเดี่ยว ๆ จะมีส่วนผสมและซอสน้อยกว่าซึ่งดีต่อร่างกาย
เรากล้าพูดว่าผู้ชายหลายคนไม่ได้เกลียดการอ่านหนังสือและเรื่องเงินทองความมั่งคั่งก็เป็นเรื่อง Top of mind ของพวกเรา แต่เหตุผลที่พวกเราปฏิเสธการอ่านมันเพราะดงหนังสือที่มีให้เลือกจากหลายสำนักพิมพ์มันเยอะจนเลือกไม่ถูกว่าเริ่มจะหยิบเล่มไหนก่อนดี แถมราคาหนังสือเดี๋ยวนี้ก็ไม่ถูกเหมือนแต่ก่อนด้วย สำหรับคอ UNLOCKMEN ที่ชอบอ่านหนังสือแนวธุรกิจแล้วเจอว่าน้ำเยอะกว่าเนื้อ หนนี้ลองเลือกใหม่ไปจากหนังสือที่เหล่า CEOs ประสบความสำเร็จเขาอ่านเป็นประจำและใช้เป็นแรงบันดาลใจก่อนลุกไปบริหารคนบริหารเงินกันต่อจากทั้ง 10 คน และ 10 เล่มนี้ รับรองว่าไม่ผิดหวัง “Scaling Up: How a Few Companies Make It … and Why the Rest Don’t” PICKED BY: Bruce Clay ผู้ก่อตั้งมาร์เก็ตติ้งเอเจนซี่ชื่อเดียวกับตัวเอง บริษัทของเขาติดชาร์ตหนึ่งใน 5000 บริษัทเอกชนจดทะเบียนของอเมริกาที่โตไวที่สุดถึง 9 สมัยติดต่อกัน IN BRIEF: หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือทะลวงความตันทุกครั้งที่เขามีปัญหาด้านธุรกิจ “Scaling Up” เขียนโดยผู้ก่อตั้งองค์กรระดับโลกชื่อ Entrepreneurs’ Organization (EO) และยังเป็นผู้ก่อตั้ง และ CEO
“พอทราบอายุขวัญตา น้องเอยพี่มา นั่งทำตาปริบๆ” อยู่ ๆ เพลงนี้ก็ดังเป็นเดจาวูในหู พอเราได้ยินว่า LAZADA ประกาศวันเกิดปีที่ 6 ยังจำได้ลาง ๆ ว่าเพิ่งจะจัดแคมเปญวันคนโสด 11.11 ฉายช่องปลายปีไปอย่างยิ่งใหญ่ โผล่มาอีกทีอายุ 6 ขวบ เสียแล้ว แถมหน้าฟีดตอนนี้ยังเต็มไปด้วยโปรโมชั่นส่วนลดมากมาย คอยไล่สะกดจิตให้เราต้องซื้อจากสื่อหลายช่องทาง ขณะที่คนอื่นกำลังคิดว่าบ่ายนี้กูจะซื้ออะไรดี แต่สาย BIZ อย่างเรากดเข้าเว็บฯ ดูไปเรื่อย ๆ แล้วเห็นทริคทางธุรกิจว่า เฮ้ย! ที่เขาฟาดฟันมาจนแข็งแกร่งในสาย E-commerce ขนาดนี้ มันไม่ได้มาเพราะถูกหวย แต่เพราะทิปส์เสริมกลยุทธ์ดี ๆ ที่เขาใช้ต่างหาก UNLOCKMEN คนไหนเป็นสาย BIZ มีเพจ มีธุรกิจออนไลน์ ลองเอากิมมิค 6 เรื่องนี้ไปเพิ่มในธุรกิจของคุณดู แล้วจะรู้ว่าเรื่องพวกนี้มันไม่ได้เล็กน้อยอย่างที่คิดจริง ๆ 6 TIPS เทรนใหม่ครองใจลูกค้าโซเชียล 1. CHATBOT สุดไฉไล ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ
คงไม่ผิดอะไร ถ้าเราจะบอกว่าโลกธุรกิจทุกวันนี้ “แค่รีรอก็สายไป” เพราะมันก้าวกระโดดมาไกลจากยุคที่เริ่มด้วยเลข 1.0 จน พ.ศ. นี้ “4.0” กลายเป็นตัวเลขตัดเกรดว่าเราจะอยู่รอดหรือหายไป เนื่องจากโลกเดิมที่คาดเดาได้แปลงโฉมใหม่เป็นโลกที่อัดแน่นด้วยข้อมูล เรื่องราว กับความเปลี่ยนแปลงระดับวินาที! เจอคู่แข่งเดิมประเภทธุรกิจเดียวกันจ่อติดไม่พอ ดันไปเจอธุรกิจหน้าใหม่ที่ไม่คาดคิด cross สายมาแย่งลูกค้าหน้าตาเฉย พอสนามการค้าเลิกติดกรอบ นวัตกรรมล้ำหน้าขึ้นเรื่อย ๆ เกินกว่าจะใช้วิธีเก่า ๆ เอาชนะได้ คำถามที่ทุกคนสงสัยรวมถึงเราเองก็ด้วยคือ “ต้องทำยังไงเราถึงจะก้าวไป ON TOP เหนือตารางให้โลกจำจนคนพูดถึงแบบดาวค้างฟ้า ท่ามกลางการจุดพลุทางธุรกิจที่สว่างชั่วพริบตาก่อนดับไปอย่างรวดเร็วในยุคนี้ ?” UNLOCKMEN มีโอกาสไปเคาะประตูศูนย์บ่มผู้นำระดับสูงที่ใหญ่ที่สุดแห่งแรกในไทยและเอเชีย หรือ SEAC (South East Asia Center) ซึ่งปูพรมแดงไว้รอท่าพร้อมหลักสูตรใหม่สกัดความเป๊ะให้ทุกองค์กรสามารถไต่บันไดไปเทียบชั้น Google หรือ Amazon ได้แบบไม่ฝันไป เพียงใช้คีย์ไขความสำเร็จจากศูนย์กลางกระจายอำนาจเพียงหนึ่งเดียวปรับให้เท่าทันความเปลี่ยนแปลง กล่าวคือ “หมากธุรกิจมันเปลี่ยนแล้ว เมื่อเฟืองทุกตัวต้องเดิน ผู้นำก็ต้องเดิน!” MINDSET to be TOP OF MIND สิ่งที่น่าสนใจและสะกดใจเราระหว่างฟังคำบอกเล่าของ คุณอริญญา
หนุ่มคอเบียร์ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นยี่ห้อไหนก็คงรู้สโลแกนการกินกันดีว่าถ้าอยากกระดกเครื่องดื่มยอดข้าวให้อร่อยมันต้อง “Love me, Love my foam” หรือกินเบียร์ต้องมีฟองขาวนุ่มประกบหน้าเครื่องดื่ม ถึงจะจุใจ ความครีมมี่ของฟองเบียร์ มันเป็นเสน่ห์รสชาติที่ลึกลับ นุ่มนวลและช่วยดึงรสชาติของเบียร์แก้วนั้นให้ออกมาโดดเด่น เพราะนอกจากฟองจะดึงกลิ่นออกมาให้สูดก่อนดื่มอย่างเต็มที่แล้ว สัมผัสของฟองที่เข้าริมฝีปากไปพร้อมกับเบียร์ยังเพิ่มความละมุนลื่นคอกว่าเดิมด้วย แต่ถ้าฟองแฟ่บหรือรินเท่าไหร่ก็ไม่ได้ฟองนุ่มละเอียดกระแทกคอล่ะจะทำไง ? เอาว่าแค่คนที่รินทิ้งไว้ยังไม่ได้กินทันทีอยากกลับมากินฟองเบียร์ใหม่ก็อดแล้ว Designer หัวใสเขาเลยหาทางคิด accessories เฉพาะสำหรับเสกฟองให้โปะนุ่มให้ฟินได้ไม่รู้จบกับนวัตกรรมนี้ที่เรียกว่า “Beer Foamer” Norm Architecture คือดีไซเนอร์ผู้ผลิต “Beer Foamer” นี้ขึ้น แม้งานหลักของที่นี่เป็นเรื่องการดีไซน์สถาปัตยกรรม แต่เบียร์มันเป็นเครื่องหมายสากลที่ใคร ๆ ก็เข้าถึงได้ พวกเขาก็เลยนึกสนุกคิดค้นมันขึ้นมา ดีไซน์มันเลยออกมาคูลไม่ไก่กา ใครถือไว้ใช้ก็น่าจะดูแมนดูเท่ วางในบ้านก็ยังดูเป็นของตกแต่งสุดล้ำดูไม่ขัดตา หลักการใช้ก็แค่แบ่งเบียร์ที่เรารินใส่แก้วเอามาใส่ Beer Foamer สักเล็กน้อยประมาณ 0.6 – 1.3 ซม. วัดจากฐานของเครื่อง (ไม่เยอะ ไม่เปลือง) แล้วค่อยเอาส่วนด้านบนที่เป็นเครื่องปั่นสีทองแดงสุดหรูมาปะกบปิดหมุนเกลียว จากนั้นกดปุ่มด้านบนให้เครื่องตีฟองอัตโนมัติมันทำงานสัก 20 วินาที เท่านั้นเราก็ได้ฟองโฟมรสเด็ดสุดนุ่มฟูสำหรับท็อปเบียร์จิบให้ชีวิตรีแล็กซ์ได้ทุกเวลา ไม่ใช่แค่รสเด็ดของฟองเบียร์ แต่ไอ้เครื่องนี้มันยังช่วยเปลี่ยนประสบการณ์การดื่มแบบเดิม ๆ ให้สนุกขึ้นได้อีกด้วย
คนที่มีศิลปะในหัวใจ จะละเลงงานศิลป์จากปลายปากกาหรือปลายพู่กันมันก็ไม่ใช่ปัญหาตราบเท่าที่หัวใจยังคงเปี่ยมความเป็นศิลปิน เช่นเดียวกับ Bro รุ่นปู่จากแดนอาทิตย์อุทัยผมทรงโมฮอว์กคนนี้ที่กำหมัดจุ่มนวมในถังสี รัวใส่ผืนผ้าใบหรือกระดาษแบบไม่ยั้งจงกลายเป็นงานศิลปะที่ไปติดตามแกลอรี่ดังขึ้นชื่อมากมาย หลายคนสงสัยว่าชายชราฟิตปั๋งผมขาวคนนี้เป็นใคร นักมวยเก่าหรือไม่ ? เราตอบได้ตรงนี้เลยว่า “ไม่” เพราะปู่เขาขึ้นแค่สังเวียนผ้าใบเท่านั้นจนเกิดเป็น signature ประจำตัวของเขาที่ใครก็เรียกว่า “Boxing painting” วิญญาณศิลปินนักสู้ก่อนสวมนวม! Ushio Shinohara มีชื่อเล่นที่คนส่วนใหญ่เรียกกันติดปากว่า Gyu-chan เกิดที่โตเกียวในปี 1932 เรียนศิลปะในเมเจอร์จิตรกรรมสีน้ำมันที่ Tokyo Art University ก่อนจะออกมาเดินทางมุทะลุเสาะแสวงหาจิตวิญญาณและตั้งรกรากใหม่ทำมาหากินไกลบ้านจากแดนตะวันออกสู่ตะวันตกที่ “นิวยอร์ก” เมืองแห่งการเสาะหาอิสรภาพทางความคิดและชีวิต มาถึงตอนนี้ปู่ก็มีอายุยาวนานกว่า 8 ทศวรรษของการใช้ชีวิตแล้ว เพราะอายุ 85 ปีเข้าไปแล้ว ถือเป็นบิ๊กบอยรุ่นใหญ่ที่เก๋าเรื่องการใช้ชีวิต ซึ่งแน่นอนว่าไฟฝันจากวันวานที่ยังลุกโชติช่วงถึงตอนนี้ที่ยังคงฟิตฟุตเวิร์กได้ย่อมทำให้ปู่เป็นหนึ่งในตำนานมีชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการบุกเบิกทางศิลปะพอสมควร หนึ่งในความคูลของปู่ที่หลายคนอาจจะไม่รู้คือเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งกลุ่ม Neo-Dada movement หรือกลุ่มการเคลื่อนไหวของศิลปะดาด้าใหม่ในช่วงปี 1960 แนวศิลปะที่ว่าด้วยจิตวิญญาณของกลุ่มศิลปินเลือดนักสู้ที่ต้องการต่อกรกับกลุ่มทุนนิยมแบบสันติ โชว์ความเป็นไปของยุคจากการหยิบวัสดุใกล้ตัวทั้งหลายมาสร้างเป็นงานประติมากรรม จนเป็นการก้าวสำคัญที่แปะป้าย “Junk art” หรือศิลปะขยะ ให้กับงานแขนงนี้ หรือจะเรียกว่าเป็นเอกลักษณ์ของงานขึ้นมาเลยก็ว่าได้ ซึ่งงานที่ได้จากการกว้านวัสดุเหลือใช้มาสร้างตอนหลังเราจะเห็นได้ว่าเป็นแนวศิลปะที่มีให้เห็นบ่อยในนิทรรศการยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็นพวกงาน installation หรืองานประติมากรรม สำหรับงาน
กลายเป็นฟ้าหลังฝนหน้าตาเฉย หลังจากคดีของยอดชายนายมาร์ก CEO เฟซบุ๊กที่ดูเหมือนไหวตัวทันเกมทุกช่องทาง ตั้งแต่การปล่อยขายหุ้นก่อนดิ่งฮวบ เพราะกระแสลบหลายขนาน ทั้งเรื่องปรับอัลกอริทึมที่อยู่ ๆ ก็ห่วงสังคม อยากปรับหน้าฟีดลดความสำคัญของโฆษณากับร้านค้าลง เพราะกลัวผู้คนไม่ Connect กัน (หรอ?) จนร้านรวงบนเฟซบุ๊กออกอาการร้อนผ่าวเพราะต้องอัดฉีดเงินเพิ่มเพื่อให้ได้ยอด view เท่าเดิม หรือข่าวฉาวเรื่องข้อมูลผู้ใช้บริการรั่วไหลสร้างความเสียหายจนเกิดเป็นแคมเปญล้างบัญชีเฟซบุ๊ก #deletefacebook เหล่า HATE SPEECH ที่ยากจะคุมได้ ฯลฯ ไปจนถึงเหตุการณ์ล่าสุดที่ใครก็อดพูดถึงไม่ได้ คือกรณีโดนฟอกขาวช่วงแถลงการณ์กับวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ ในสภาคองเกรสที่บางครั้งเฮียก็ตีหน้าซื่อตอบมึน ๆ แล้วตบท้ายหงายการ์ดตอบไปด้วยคำพูดแมน ๆ ว่า “It was my mistake, and I’m sorry. I started Facebook, I run it, and I’m responsible for what happens here.” ก่อนจบ 2 วันในศาลโดยการเอาชนะไปด้วยสกอร์หุ้นที่พุ่งกระเตื้องจากที่เคยหดตัว