หากย้อนกลับไปค้นความทรงจำของผู้คนเมื่อ 20 กว่าปีก่อน หลายคนน่าจะเจอเศษเสี้ยวของความทรงจำเดียวกันกับเรา ความทรงจำที่มีถึงเรื่องราวของดาวดวงหนึ่งที่เจิดจรัสสุด ๆ บนวงการบันเทิงไทย เรียกว่าระดับปรากฏการณ์ก็คงดูไม่เกินจริงนัก เขาเป็นเด็กหนุ่มตาหล่อเหลา คารมดี ขี้เล่น เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ที่หาตัวจับได้ยาก ซึ่งเราเชื่อเหลือเกินว่าคนที่เติบโตขึ้นมาในช่วงยุค 90 คงไม่มีใครไม่รู้จักผู้ชายที่ชื่อว่า ‘เจ มณฑล จิรา’ ก่อนที่เขาจะหายหน้าไปจากแสงไฟสปอตไลต์อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย จะเหลือไว้ก็เพียงข่าวคราวผลงานด้านการทำเพลงในฐานะคนเบื้องหลังให้กับภาพยนตร์ระดับฮอลลีวู้ด รวมถึงศิลปินดังมากหน้าหลายตาทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ พร้อมงานเพลง Side Project เล็ก ๆ ที่ทำร่วมกับเพื่อนฝูงให้กลุ่มคนที่ยังติดตามผลงานของเขาอยู่ได้หายคิดถึงกันบ้าง และในวันนี้เมื่อเราได้ยินข่าวเกี่ยวกับการตัดสินใจกลับมาเป็นคนเบื้องหน้าอีกครั้ง เราจึงไม่พลาดที่จะชวน ‘เจ มณฑล จิรา’ มาพูดคุยถึงชีวิตของเขาในหลายแง่มุมซึ่งหลายคนอาจไม่มีโอกาสได้ถาม นับตั้งแต่ที่เขาเลือกหายไปจากงานเบื้องหน้าในวงการบันเทิง จนกระทั่งการกลับมาพร้อม ‘ด้วยความเคารพ’ ผลงานอัลบั้มเดี่ยวภาคภาษาไทยในรอบ 24 ปีของเขา อะไรที่ทำให้เขาปลีกตัวจากงานบันเทิงที่กำลังรุ่ง อะไรที่ทำให้เขาหันไปทุ่มเทกับงานเพลง และอะไรที่ทำให้ชายวัย 41 ย่าง 42 ปี (ที่ยังคงหล่อเหลาดูดีเกินอายุ) นั้นกลับมามุ่งมั่นสร้างผลงานเดี่ยวของตัวเองอีกครั้ง ขอเชิญชาว UNLOCKMEN ทุกท่านไปพบคำตอบพร้อม ๆ กันในคอลัมน์
สำหรับคอกาแฟทั้งหลายคงปฏิเสธไม่ได้ว่ากาแฟนั้นเปรียบได้ดั่งน้ำอมฤตที่ช่วยรีเฟรชความสดชื่นในชีวิตแต่ละวันได้เป็นอย่างดี ทำให้ร้านคาเฟ่และกาแฟดี ๆ สักแก้ว กลายเป็นสิ่งที่หลายคนขาดไม่ได้ และในชั่วโมงเร่งรีบแบบนี้ร้านคาเฟ่สไตล์ Grab & Go จึงทยอยกันออกมาเปิดมากขึ้น แต่หนึ่งในนั้นกลับมีอยู่ร้านหนึ่งที่แตกต่าง คือร้านกาแฟร้านนี้ที่นำเสนอเมนูกาแฟในรูปแบบใหม่ ฉีกขนบกาแฟแบบเดิม ๆ ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางย่านตลาดน้อย ปากซอยเจริญกรุง 31 และร้านที่เรากำลังพูดถึงพร้อมพาชาว UNLOCKMEN ทุกท่านไปรู้จักก็คือร้าน ‘ENVIES CAFE’ ร้านนี้นี่เอง ที่มาที่ไปของ ENVIES CAFE @เจริญกรุง ในยุคออนไลน์ 4.0 แบบนี้ นอกจากจะมีกาแฟดี ๆ แล้ว ร้านคาเฟ่ที่ตกแต่งเก๋ ๆ ก็มักจะมาคู่กับรูปภาพสวย ๆ เสมอ จึงกล่าวได้ว่า แฟชั่นกับร้านคาเฟ่ เป็นของคู่กันที่ขาดไม่ได้เลย นั่นเป็นไอเดียตั้งต้นของ คุณ ณัฐดนัย อัมพรเรืองรอง เจ้าของร้าน ENVIES CAFE ที่เชื่อว่าแฟชั่นกับร้านคาเฟ่จะเป็น Trendy ในอนาคตอย่างแน่นอน จึงเปิดเป็นร้านกาแฟร้านนี้ขึ้นมา ถือเป็น Second line ของเจ้าตัวเอง
ตอนนี้นับได้ว่าเพจ ‘กอล์ฟมาเยือน’ เป็นอีกหนึ่งเพจ Influencer เรื่องกล้อง ที่คนรักการถ่ายรูปต้องเข้าไปเยือนอยู่เป็นประจำ แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ กอล์ฟได้ผ่านการลองผิดลองถูกมาแล้วนับไม่ถ้วน เขาใช้เวลาปั้นเพจอยู่ 2 ปี กว่าจะได้คนติดตามหลักแสน และกระโดดไปครึ่งล้านในเวลาอีก 1 ปี จนปัจจุบัน มียอด Follower ใน Facebook เป็นหลักล้านคนเข้าไปแล้ว แน่นอนว่าสิ่งที่เรา และคนส่วนใหญ่เห็น คือตัวตน ชื่อเสียง ความสำเร็จที่ผู้ชายคนนี้มีในปัจจุบัน แต่อะไรคือสิ่งที่ทำให้กอล์ฟ กลายมาเป็น ‘กอล์ฟมาเยือน’ ในวันนี้? คือประเด็นสำคัญที่ทำให้เราชวน ‘กอล์ฟ-กันตพัฒน์ พฤฒิธรรมกูล’ ชายหนุ่มวัย 28 ปี มาพูดคุยกันในคอลัมน์ The Real สัปดาห์นี้ จุดเริ่มต้นที่นำพากอล์ฟมา ‘เยือน’ วงการถ่ายรูป กอล์ฟเล่าย้อนให้เราฟังถึงจุดเริ่มต้น กับการซื้อกล้องตัวแรกในชีวิตเพื่อไปถ่ายรูปเล่นในช่วงไปเที่ยววันหยุดกับพรรคพวก ซึ่งก็ยังเป็นมือสมัครเล่นมาก ๆ ถ่ายกันขำ ๆ กับเพื่อนทั่วไปตามประสา หลังกลับมาจากทริปนั้น ก็อัปรูปลง Facebook ปรากฏว่าคนกดไลก์เยอะ คนชอบรูปของเขา
เมื่อเอ่ยชื่อซอยอารีย์ขึ้นมา เชื่อว่าแทบทุกคงต้องนึกถึงย่านชิค ๆ อีกหนึ่งพิกัดที่เปรียบเสมือนเมืองหลวงคาเฟ่ของเมืองกรุง ซึ่งภาพจำที่ฉาบด้วยความดูดีมีสไตล์และความเจริญที่หลั่งไหลเข้ามาตามกระแสธารแห่งเวลา ทำให้พื้นที่ซึ่งเคยเป็น Residence Area ที่ผู้คนใช้ชีวิตง่าย ๆ สบาย ๆ อย่างอารีย์นั้นเปลี่ยนแปลงไป และเป็นอะไรที่ชาวอารีย์จำนวนไม่น้อยโหยหา ซึ่ง Poet House Cafe บ้านสีขาวที่ตั้งอยู่ในย่านอารีย์ซอย 5 คือคาเฟ่ และ เวิร์กช็อปสตูดิโอ ที่เราขอยกให้เป็นอีกโลเคชันที่สามารถคืนความเป็นย่านที่อยู่อาศัยสุดชิลล์ให้กับซอยอารีย์ได้เป็นอย่างดี และนี่คือเหตุผลที่คอลัมน์ GUIDE สัปดาห์นี้ เราเลือกพาทุกคนมาสัมผัสร้านคาเฟ่ และพื้นที่สร้างสรรค์กลางกรุง ซึ่งให้บรรยากาศอบอุ่นเหมือนบ้านหลังที่สอง ที่รอให้ทุกคนได้ไปผ่อนคลายกับกาแฟดี ๆ อาหารอร่อย ๆ และกิจกรรมเวิร์กช็อปมากมายไปพร้อม ๆ กัน POET HOUSE CAFE บ้านที่ทุกคนคือกวีเอก “ตอนที่เริ่มทำร้าน เรารู้สึกว่าอยากจะให้บรรยากาศความเป็นอารีย์สมัยก่อนมันกลับมาเหมือนเดิม ยังใช้ชีวิตที่เรียบ ๆง่าย ๆ สบาย ๆ ได้แบบไม่ต้องอึดอัด ไม่ต้องฟอร์มเยอะ และกลุ่มคนที่มาทำงานแถวนี้ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่ม Freelance, Creative พวกที่ทำงาน Production
“เราตั้งใจที่จะเป็นครู เราต้องทุ่มเทกับงานที่เรารัก” นี่คือสิ่งที่ ‘ครูบอย นพรัตน์ เจริญผล’ บอกกับเรา และบอกกับตัวเองทุกวันนับตั้งแต่เริ่มต้นอาชีพครูเมื่อ 8 ปีก่อน ซึ่งนิยามคำว่า ‘ทุ่มเท’ ของครูบอยได้พิสูจน์ออกมาเป็นการกระทำที่ตอกย้ำได้ชัดกว่าคำพูด เพราะถ้าหากให้ทุกคนลองตั้งคำถามกับตัวเองว่า “จะยอมเดินทางไกลแค่ไหน เพื่อช่วยคนที่ไม่เคยรู้จัก?” แน่นอนว่าคำตอบที่มีย่อมแตกต่างกัน ใกล้บ้าง ไกลบ้าง หรืออาจจะมีแม้กระทั่งคำถามกลับย้อนมาว่า “ทำไมต้องทุ่มเททำอะไรเพื่อคนไม่รู้จักด้วย” แต่สำหรับครูบอย เขาคือผู้ชายที่เลือกทุ่มเทแรงกาย แรงใจ บิดมอเตอร์ไซค์คู่ใจ ฝ่าเส้นทางไกลสุดทุรกันดารกว่า 60 กิโลเมตร ใช้ระยะเวลากว่า 4 ชั่วโมง ลุยโคลน เสี่ยงอันตรายกับการลัดเลาะผ่านขอบเหว เพื่อจุดหมายเดียวคือการได้ช่วยเหลือเด็ก ๆ ด้อยโอกาส ด้วยวิชาชีพครูที่ตัวเขาเคารพและเชื่อมั่นว่าจะสามารถเป็นส่วนช่วยพัฒนาการศึกษาบนดอยสูง และต้องบอกว่าสิ่งที่สะท้อนให้เห็นหัวจิตหัวใจอันกล้าหาญและยิ่งใหญ่ของผู้ชายคนนี้ ไม่ใช่เพียงแค่การบิดมอเตอร์ไซค์ลุยเส้นทางโหดซ้ำไปซ้ำมาตลอด 8 ปี เพื่อสอนหนังสือลูกศิษย์บนดอยเท่านั้น เพราะสิ่งที่ครูบอยทำมันมากกว่าการให้ความรู้ แต่เป็นการให้โอกาส และเป็นส่วนร่วมพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวบ้านในชุมชน รวมถึงเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนฝันของเด็ก ๆ หลายร้อยชีวิตในอำเภออมก๋อยให้ได้เข้าถึงการศึกษา ได้ทำตามฝัน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านดนตรี กีฬา หรืออาชีพ อะไรที่จำเป็นต่อการนำพาเด็ก ๆ ไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า
“ดากานดา ฉันรักแกว่ะ”น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักประโยคอมตะจากปากของ ‘ไข่ย้อย’ ตัวละครจาก ‘เพื่อนสนิท’ ผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกที่ส่งให้ชื่อของ ‘ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์’ ปรากฎขึ้นมาบนสารบบของนักแสดงหน้าใหม่ที่น่าจับตาของประเทศไทย และด้วยภาพยนตร์เรื่องเดียวกันนี้เอง ที่ทำให้ผู้ชายคนนี้ได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากคม ชัด ลึก อวอร์ด ประจำปี 2548 แม้จะเปิดฉากอาชีพนักแสดงได้อย่างสวยงาม แต่รางวัล ชื่อเสียง คำชื่นชมที่ได้รับมาตลอดระยะเวลา 16 ปีที่ซันนี่โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิง ไม่เคยทำให้ผู้ชายคนนี้ปล่อยตัวเองให้หยุดอยู่กับความสำเร็จเก่า ๆ แต่เขายังคงมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้และพัฒนาตัวเองเพื่อทำอาชีพนักแสดง ที่เขามักจะพูดอยู่เสมอว่านี่คืออาชีพที่เขารัก ได้อย่างมีคุณภาพสมบทบาทในทุกผลงาน ด้วยความมุ่งมั่นที่จะผลักดันศักยภาพตัวเองให้ไปข้างหน้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้ ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ มีโอกาสได้รับเลือกให้มารับหน้าที่แบรนด์แอมบาสเดอร์คนใหม่ของไซโก (ประเทศไทย) ภายใต้แคมเปญ “Keep Going Forward” ไม่สิ้นสุดถ้าไม่หยุดไปต่อ ซึ่งสะท้อนตัวตนวิธีคิดของซันนี่ออกมาได้อย่างชัดเจน หลังจากที่แบรนด์แอสบาสเดอร์รุ่นพี่อย่าง ‘อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม’ ที่เคยมีผลงานร่วมกันในภาพยนตร์เรื่อง ‘ชัมบาลา’ นั้นประสบความสำเร็จอย่างมากกับแคมเปญ “Move your adventurous mind further” และ “Discover Your Planet” ของทางไซโก
บอกตรง ๆ ว่าคงไม่มีใครไม่รู้จัก Swatch เรือนเวลาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ดินแดนที่เปรียบเสมือนมหานครแห่งโลกนาฬิกา แต่หลายคนอาจยังไม่เคยรู้ว่าสวิตเซอร์แลนด์เคยเกือบเสียตำแหน่งเบอร์หนึ่งแห่งอุตสาหกรรมเครื่องบอกเวลาไปกับวิกฤตการณ์ Quartz ในช่วงยุค 70 – 80 จนกระทั่งในปี 1983 เหล่าผู้ประกอบการธุรกิจนาฬิกาสวิสได้ปรึกษาหารือแล้วว่าจะไม่ทนอีกต่อไป จึงได้ร่วมมือกันกอบกู้สถานการณ์ ด้วยการพัฒนานาฬิกาพลาสติกระบบ Quartz ตัวเรือนบางเฉียบ ดีไซน์เรียบง่ายทันสมัย สีสันหลากหลายราคาไม่แพง ออกมาแลกหมัดกับนาฬิกา Quartz จากแดนปลาดิบให้รู้ดำรู้แดงกันไป ผลสุดท้าย ด้วยคุณภาพอันเป็นที่ร่ำลือของนาฬิกา Swiss Made ที่จับต้องได้ในราคาเป็นมิตร ทำให้นาฬิกากู้ชาติของสวิสเรือนนี้ได้รับความนิยมถล่มทลายไปทั่วโลก ช่วยพลิกฟื้นธุรกิจส่งออกนาฬิกาของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ให้กลับมาผงาดอีกครั้ง และเจ้านาฬิกาพลาสติกเรือนที่ว่าก็คือนาฬิกา Swatch ที่ใคร ๆ ต่างก็รู้จัก และน่าจะเคยครอบครองมาแล้วอย่างน้อยคนละเรือนสองเรือน จากการ Debut สู่สายตา และข้อมือชาวโลกในฐานะนาฬิกาพลาสติก ราคาประหยัด สีสันสดใส ทำให้ใคร ๆ ต่างก็มีภาพจำกับความเป็นนาฬิกาพลาสติกของ Swatch แต่จริง ๆ แล้วตลอด 37 ปีที่ผ่านมา Swatch ได้สร้างสรรค์เรือนเวลาหลากรูปแบบ หลายฟังก์ชัน
เชื่อว่าหลายคนที่ขับรถยนต์ได้ สอบใบขับขี่มาแล้วเรียบร้อยอาจรู้สึกแปลก ๆ หากมีใครชวนให้ไปเข้าคอร์สเรียนขับรถกันอีกสักรอบสองรอบ ดีไม่ดีอาจมีเคืองเสียด้วยซ้ำ เพราะคิดว่าโดนอำเรื่องทักษะการขับรถที่ไม่เอาไหน แต่จริง ๆ แล้วการเรียน หรือการเข้าอบรมการขับขี่เพิ่มเติม ไม่ใช่เรื่องของมือใหม่ หรือคนที่ขับรถไม่ได้เพียงเท่านั้น เพราะการขับรถได้อาจไม่ใช่สิ่งการันตีว่าเราขับรถเป็นแต่อย่างใด ซึ่งการขับรถที่เรียกว่า ‘ขับเป็น’ จริง ๆ แล้วมันต้องเป็นการขับขี่ที่ทั้งสนุกและปลอดภัยในทุกเส้นทาง ซึ่งหลักการนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ก่อให้เกิดโปรแกรม BMW Driving Experience โปรแกรมเพิ่มสกิลการขับรถระดับตำนานของวงการรถยนต์ ที่ในวันนี้เราจะพาผู้อ่าน UNLOCKMEN ทุกท่านย้อนไปดูจุดเริ่มต้น และเรื่องราวที่น่าสนใจของโปรแกรม Driving Experience จากค่าย BMW (บีเอ็มดับเบิลยู) ที่ขึ้นชื่อเรื่องความเอาจริงเอาจังและเป็นหนึ่งในค่ายรถที่ได้รับการยอมรับเรื่องมาตรฐานการให้ความรู้และประสบการณ์การขับขี่สุดมันส์ และถือเป็นหนึ่งในโปรแกรมฝึกอบรมขับขี่ที่จัดขึ้นโดยผู้ผลิตยานยนต์เป็นครั้งแรก ซึ่งจัดมาอย่างต่อเนื่องยาวนานตั้งแต่ยุค 70s จนถึงปัจจุบัน ขับรถเป็นต้องสนุกและปลอดภัย หากจะให้ย้อนรอยที่มาของโปรแกรม BMW Driving Experience คงต้องเล่าย้อนไปถึงแนวคิดของ BMW ที่มองว่า แค่การผลิตสุดยอดยนตรกรรมสมรรถนะสูงนั้นยังไม่เพียงพอ แต่สิ่งสำคัญคือจะทำอย่างไรให้ผู้ขับขี่สามารถใช้งานยานพาหนะคู่ใจได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดสุนทรียภาพแห่งการขับขี่ได้มากที่สุด จนกระทั่งในปี 1976 แนวคิดดังกล่าวได้เดินทางมาถึงจุดที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง จากการขอความร่วมมือของตำรวจเมือง Munich ที่ให้ค่ายรถ
หากเอ่ยถึงชื่อแบรนด์ Breitling (ไบร์ทลิ่ง) ขึ้นมา สาวกเรือนเวลาน่าจะรู้กันดีถึงกิตติศัพท์ด้านการจับเวลาที่เที่ยงตรงแม่นยำของจักรกลบอกเวลา ที่มีต้นกำเนิดจากหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งใน Saint-Imier (แซงต์ อิมิเยร์) ตั้งอยู่ใกล้เทือกเขา Jura (ชูรา) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งก่อตั้งโดยนาย Leon Breitling ช่างทำนาฬิกาที่ริเริ่มประดิษฐ์นาฬิกาจับเวลาในปี 1884 ด้วยชื่อเสียงเรื่องความแม่นยำทำให้จักรกลจับเวลาภายใต้ชื่อแบรนด์ Breitling ถูกนำไปใช้งานสำหรับภารกิจเหินเวหาอย่างมากมาย จนได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้บุกเบิกในการพัฒนานาฬิกาข้อมือแบบจับเวลาซึ่งได้มีส่วนร่วมเป็นอย่างมากในช่วงเวลาสำคัญในการพิชิตเวหาของมวลมนุษยชาติ จวบจนปัจจุบัน Breitling ยังเดินหน้าพัฒนานาฬิกาคุณภาพสูงขึ้นมาด้วยเป้าหมายเดียวกันกับวันแรกที่ Leon Breitling ผู้ก่อตั้งแบรนด์ได้เริ่มประดิษฐ์นาฬิกาจับเวลาขึ้นมา นั่นก็คือการสร้างสรรค์นาฬิกาจับเวลาที่มีคุณภาพยอดเยี่ยมระดับโลก และยังคงผลิตกลไกเองแบบ In-House ซึ่งนาฬิกาทุกเรือนของ Breitling นั้นผ่านการผลิตจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และได้รับรองคุณภาพตามมาตรฐาน Chronometer จากสถาบัน COSC และเมื่อได้พูดคุยถึงเรื่องราวของ Breitling สิ่งที่จะขาดไปไม่ได้เลยคือ Chronomat (โครโนแมท) เรือนเวลาที่เปรียบเสมือนคอลเลคชันสําคัญในประวัติศาสตร์ของ Breitling ที่เปิดตัวมาในปี 1984 ซึ่งเป็นยุคที่นาฬิกา Quartz เรือนบางเฉียบจากญี่ปุ่นกําลังเป็นที่นิยมจนสามารถครองตลาดมาตั้งแต่ช่วงยุค 70s สวนทางกับนาฬิกาจักรกลสวิสเมดที่ความนิยมหดหายจนแทบเข้าขั้นวิกฤติ แต่ถึงกระนั้น
สำหรับชาวร็อกที่เติบโตมาในยุคอินดี้เฟื่องฟู เราเชื่อว่าคงไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของ MAD PACK IT เจ้าของเพลงดังในอดีตอย่าง ‘รักในสันดาน’ ‘อยู่เพื่อตัวเอง’ ‘เลิก’ ‘กวนตีน’ และ ‘คำให้การ’ ด้วยเนื้อหาที่ตรงไปตรงมา ภาษาที่โดนใจ รวมถุงเสียงร้อง เสียงดนตรีที่จัดจ้านทำให้พวกเขาสร้างฐานแฟนเพลงได้ไม่ใช่น้อย โดยผลงานสตูดิโออัลบั้ม 2 ชุด, E.P. อัลบั้มอีก 1 ชุด รวมถึง ‘MAD PACK IT X-TREAM CONCERT’ คอนเสิร์ตเต็มรูปแบบของพวกเขาซึ่งจัดขึ้นในปี 2547 คือสิ่งการันตีความนิยม และความเหนียวแน่นของกลุ่มแฟน ๆ MPI เป็นอย่างดี จนเมื่อเวลาผ่าน ยุคสมัยเปลี่ยน เรื่องราวความสำเร็จเหล่านี้จึงได้กลายสภาพเป็นความทรงจำดี ๆ ยุคอินดี้ ไปพร้อม ๆ กับชื่อเสียงของพวกเขาที่ค่อย ๆ จางหายไปจากวงการเพลงในช่วง 4 – 5 ปีที่ผ่านมา จะมีก็เพียงผลงานซิงเกิ้ลใหม่ออกมาให้ได้ฟังกันเฉลี่ยปีละครั้ง แต่ถึงกระนั้นบทเพลงเก่า ๆ ของพวกเขาก็ยังคงถูกเปิดอยู่จนถึงปัจจุบัน อีกทั้งเรื่องราวของพวกเขาก็ยังคงถูกพูดถึงในกลุ่มแฟน ๆ