ถือเป็นข่าวสะเทือนวงการรถยนต์โลกเลยก็ว่าได้ เมื่อค่ายผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อย่าง Mercedez-Benz ออกมาประกาศว่าพวกเขาเตรียมหยุดพัฒนาเครื่องยนต์สันดาปและเตรียมเดินหน้าพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ งานนี้ตัวพ่อของวงการ EV อย่าง Elon Musk ก็ร่วมแสดงความยินดีต่อเส้นทางสู่อนาคตครั้งนี้ด้วย การขยับตัวครั้งนี้ย่อมทำให้ค่ายรถยนต์น้อยใหญ่ทั่วโลกต้องหันมาสนใจการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นแน่นอน โดย Markus Schafer ผู้บริหารของ Daimler AG และหัวแผนกวิจัยและพัฒนารถยนต์ของ Mercedez-Benz พูดถึงแนวทางการทำงานในอนาคตว่า Mercedez-Benz เตรียมหยุดพัฒนาเครื่องยนต์สันดาปภายใน หรือ Internal Combustion Engine เพื่อเดินหน้าพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า(Electric Vehicle) และเตรียมตัวเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ที่กำลังจะมาถึงของการสร้างยนตรกรรมไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การแข่งขันของตลาด EV ที่เข้มข้นในปัจจุบันทำให้ค่ายรถยักษ์ใหญ่ของโลกประกาศเดินหน้าในเส้นทางไฟฟ้าอย่างจริงจัง โดย Markus Schafer กล่าวว่าพวกเขากำลังทุ่มงบประมาณไปกับการพัฒนาชิ้นส่วนต่าง ๆ ของรถยนต์ไฟฟ้ารวมถึงพัฒนาแบตเตอรี่ให้มีคุณภาพ ขณะเดียวกัน Mercedez-Benz ก็ยังให้เวลาผู้ใช้งานรถของพวกเขาได้ปรับตัว แม้จะหยุดพัฒนาเครื่องยนต์สันดาปแล้ว แต่พวกเขายังคงผลิตเครื่องยนต์และชิ้นส่วนของเครื่องยนต์สันดาปเพื่อใช้ในรถ C-Class, S-Class และรถยนต์ในเซกเมนต์ SUV ต่อไปเหมือนเดิม เรื่องที่น่าสนใจอีกเรื่องเกี่ยวกับประกาศครั้งนี้ของ Mercedez-Benz คือการเข้ามาแสดงความยินดีจากมหาเศรษฐีผู้ขับเคลื่อนวงการรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Elon Musk ที่ทวีตแสดงความยินดีว่า “Electric
ฝนที่ตกกระหน่ำตลอดหลายวันที่ผ่านมา คงทำให้หนุ่มสายสนีกเกอร์เฮดหลายคนอดกังวลเกี่ยวกับการใส่รองเท้าคู่โปรดออกจากบ้านไม่ได้ ถึงแม้จะมีสเปรย์กันน้ำช่วยลดความกังวลได้บ้างก็ตาม แต่สุดท้ายก็ต้องเจอปัญหาในขั้นตอนการทำความสะอาดอยู่ดี มีเทคโนโลยีและถึงอุปกรณ์เสริมมากมายถูกผลิตออกมาเพื่อป้องกันรองเท้าของเราจากน้ำหรือคราบสกปรก หนึ่งในนั้นคือ MudGuards ที่จะปกป้องส่วนขอบรองเท้าได้เป็นอย่างดี ล่าสุดค่ายกีฬาอย่าง Adidas ก็จับมันใส่ไว้ในรองเท้าโมเดลยอดฮิตอย่าง NMD R1 และกำลังจะปล่อยออกสู่ตลาดในช่วงต้นเดือนตุลาคมนี้แล้ว คอลเลกชันใหม่ Adidas NMD R1 เปิดตัวออกมาพร้อมกัน 4 สี ประกอบไปด้วย Core Black, Ash Silver, Cloud White และ Orchid Tint คราวนี้มาพร้อมส่วนอัปเปอร์ผ้าถักแบบแข็งแรงพิเศษที่ยึดติดกับส่วนมิดโซลซึ่งยังคงใช้เป็นโฟมเทคโนโลยี Boost ส่วน MudGuards ที่ถูกเพิ่มเข้ามาถือเป็นส่วนเด็ด โดยใส่ไว้ตรงข้างเท้าด้านนอกเริ่มจากปลายนิ้วยาวไปถึงส้นด้านหลังซึ่งจะช่วยป้องกันคราบสกปรกไม่ให้ซึมเข้าใปในขอบรองเท้า ถือว่าตอบโจทย์มาก ๆ สำหรับการเสริม MudGuards โดยเฉพาะการใส่ในช่วงฤดูฝนหรือการสวมใส่ในพื้นที่ที่ค่อนข้างสมบุกสมบันเสี่ยงต่อการเลอะเทอะ เพราะหนุ่ม ๆ ที่ทำความสะอาดรองเท้าด้วยตัวเองคงทราบกันดีว่าคราบฝังแน่นในบริเวณขอบรองเท้าทำความสะอาดยากมาก ๆ ดังนั้นการมี MudGuards จะช่วยให้เรากังวลแค่ในส่วนอัปเปอร์และโฟมสีขาวโดยรอบเท่านั้น ทั้งหมดทำให้ NMD R1 คอนเลกชันนี้เหมาะสมกับผู้ชายที่ต้องการรองเท้าใส่เดินลุยแบบไม่ต้องกังวล แฟน ๆ
หากย้อนไปในช่วงยุค 80s หนุ่ม ๆ หลายคนคงพอจำได้ว่า ‘AKIRA’ หรือ ‘อากิระ คนไม่ใช่คน’ การ์ตูนแอ็กชันไซไฟอันโด่งดังได้เข้าฉายและกวาดรายได้ทั่วโลกไปอย่างถล่มทลาย ภาพยนตร์เรื่องนี้บอกเล่าเรื่องราวของโลกอนาคตอันปั่นป่วนที่มีเด็กหนุ่มชื่อว่า ‘อาริกะ’ เป็นตัวเดินเรื่อง ในภาพยนตร์อ้างถึงเหตุการณ์ที่กรุงโตเกียวถูกทิ้งระเบิดปรมาณูในเดือนกรกฎาคมของปี 1982 ตั้งแต่นั้นไฟสงครามก็เริ่มปะทุขึ้นและสงครามโลกครั้งที่ 3 ก็ทำให้โตเกียวต้องล่มสลายลงในที่สุด ชาวญี่ปุ่นจึงต้องสร้างเมือง ‘Neo-Tokyo’ ขึ้นมาทดแทนเพื่อให้เป็นทั้งเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขา Neo-Tokyo ได้รับสมญานามว่าเป็นเมืองอุตสาหกรรมเฟื่องฟูภายใต้ฉากหลังของซากปรักหักพังที่ถูกทิ้งร้าง อย่างไรก็ตามเมืองแห่งนี้ยังคงเอกลักษณ์ของแสงไฟหลากสีที่ส่องสว่างในยามค่ำคืน แบรนด์นาฬิกาสัญชาติญี่ปุ่นอย่าง Casio จึงหยิบอัตลักษณ์ของเมือง Neo-Tokyo มาถ่ายทอดลงในซีรีส์ ‘G-SHOCK Neo-Tokyo’ ที่เลือกโมเดลนาฬิกาดิจิทัลและแอนะล็อกรุ่นยอดนิยมของแบรนด์ ทั้ง GA140, GA700, GAS100 และ DW6900 มาประยุกต์ให้ดูเท่และร่วมสมัยยิ่งขึ้น การดีไซน์ของนาฬิกาแต่ละเรือนจะถูกห่อหุ้มด้วยสี jet black ตั้งแต่ตัวเรือน สายรัดเรซิ่น ไปจนถึงขอบเบเซล ทำให้ง่ายต่อการจับคู่กับเสื้อผ้าหรือมิกซ์แอนด์แมตช์กับเครื่องประดับชิ้นอื่น ๆ บริเวณหน้าปัดของนาฬิกาทั้ง 4 รุ่น จะใช้แสงไฟอิเล็กโทร-ลูมิเนสเซนต์ (Electro-luminescent) ให้ความรู้สึกคล้ายกับแสงนีออนหลากสี เพื่อสะท้อนถึงเมือง Neo-Tokyo
ทุกวันนี้เซอร์วิสแบบ all in one ป้อนถึงที่ คายถึงปาก แทบจะกลายเป็นสิ่งที่ทุกอุตสาหกรรมลุกขึ้นมาทำกันทั้งนั้น กระทั่งเอเจนซี่เองก็มีหน้าใหม่หน้าเก่าเข้าออกในวงการอยู่ตลอดเวลา อะไรที่ทำให้บางเอเจนซี่ขายได้ แต่บางแห่งต่อให้ทำดีแค่ไหนก็ยังขายไม่ออก? หรืออะไรที่ทำให้เอเจนซี่เล็ก ๆ แย่งงานเอเจนซี่เจ้าดังได้ เราเองพยายามหาข้อเท็จจริงเรื่องนั้นอยู่เหมือนกัน กระทั่งไปเจอแนวคำตอบที่น่าสนใจของ Dave Trott นักโฆษณาที่เขียนหนังสือชื่อ “Predatory Thinking” หรือที่แปลเป็นฉบับไทยว่า “เกิดเป็นกระต่ายต้องคิดได้ให้อย่างหมาป่า” ซึ่งพูดถึงการคิดต่างที่จะทำให้เราพลิกเกมการทำงานและการใช้ชีวิตได้ UNLOCKMEN คิดว่าเรื่องนี้น่าสนใจสำหรับทั้งคนทำธุรกิจและพนักงานตาดำ ๆ ทั่วไป เราจะไม่พูดเด็ดขาดว่าเราไม่อยากเป็นเจ้าของเงินก้อนนั้นที่ลูกค้าวางไว้ ดังนั้น เพื่อให้คุณมีโอกาสได้เงินก้อนนั้นมาก่อนที่คนอื่นจะคาบไปรับประทาน ลองมาดูกันว่าเหตุผลที่ทำให้ลูกค้าไม่ซื้อมันเพราะอะไรกันแน่ โฆษณาดีแค่ไหนก็ไม่ได้การันตียอดขาย อยากมีตัวตน อยากให้คนพูดถึง อยากเอาชนะการกด skip นี่คือโจทย์ที่นักโฆษณามือทองทุกคนพยายามดันผลงานให้ไปถึง แต่คำว่า “ดี” นั้น ต่อให้มากแค่ไหน คว้ารางวัล Cannes Lions มาได้ ก็แทบไม่มีความหมาย หากลูกค้าต้องการให้นำไปวัดเม็ดเงินที่จะคืนกลับมาที่บริษัท รู้ไหมเพราะอะไร? เพราะความเป็นจริงคนเราไม่ได้ตัดสินใจซื้อจากแค่โฆษณาไง ถ้าคุณเป็นคนไม่สูบบุหรี่ ต่อให้เราพยายามขายบุหรี่พรีเมี่ยมแค่ไหนให้ คุณก็ไม่ซื้อมันอยู่ดี คุณเป็นคนไม่อยากได้รถ เราโฆษณารถหมื่นแรงม้า
เป็นธรรมดาที่ศิลปินจะหยิบจับสิ่งต่าง ๆ รอบตัว มาร้อยเรียงเรื่องราว แล้วถ่ายทอดออกมาผ่านเสียงดนตรีได้ พวกเราคุ้นเคยกับเพลงรัก เพลงอกหัก เพลงปลุกใจ หากก้าวขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ คุณอาจจะเคยได้ยินเพลงเสียดสีสังคม เสียดสีการเมือง เพลงปลุกใจ หรือแม้กระทั่งเพลงเกี่ยวกับศาสนา แต่รู้หรือไม่ว่าบนโลกนี้การ “ฆ่า” และการ “ฆาตกรรม” ก็จัดเป็นหัวข้ออันดับต้น ๆ ที่เหล่าศิลปินมักนำไปเป็นแรงบันดาลใจในผลงานเช่นกัน ลองคิดเล่น ๆ ดูว่า ทั้งชีวิตที่ผ่านมา เราดูหนังที่มีฉากฆ่า อ่านหนังสือที่เกี่ยวกับความตายไปแล้วกี่เรื่อง? เพลงก็เช่นกัน… วันนี้ UNLOCKMEN จะหยิบยกบทเพลงที่น่าสนใจที่เกี่ยวกับความตายโดยเจตนาเหล่านี้มาเล่าให้คอเพลงทุกคนฟัง โดยไม่มีเจตนาผลักดันให้คุณลุกขึ้นไปทำอะไรผิดกฎหมายหรือไร้มนุษยธรรม เพียงแต่เป็นการเล่าสู่กันฟังว่าบรรดาศิลปินเหล่านี้ สามารถแปรเปลี่ยนความโหดร้าย ให้กลายเป็น ‘ศิลปะ’ ได้อย่างไร อีกทั้งยังเป็นการตีแผ่เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับเพลงที่คุณอาจเคยฟัง แต่ไม่เคยรู้ความหมายก็เพียงเท่านั้น ถ้าพร้อมแล้ว มาดูกันว่ามีเพลงอะไรบ้าง Wake Up Call – Maroon 5 เพลงดังของวงดัง ตั้งแต่ปี 2007 บทเพลงว่าด้วยเรื่องราวของชายคนหนึ่ง ที่จับได้ว่าถูกแฟนสาวนอกใจ หลายคนที่ถูกคนรักหักหลังฟังแล้วอาจจะรู้สึกอินจนแชร์ลงโซเชียลเพื่อสื่อความหมายระบายอารมณ์ แต่! ตรงช่วงท้าย ๆ ของเพลงนี้มันมีท่อนที่ร้องว่า
ขึ้นชื่อว่า “งาน” มันจึงอาจไม่ได้หอมหวานสวยงามเหมือนการเป็นเจ้าชายในเทพนิยายเสมอไป แต่หลายครั้งงานก็ไม่ได้เลวจนเป็นปีศาจร้ายทำลายชีวิตของเราขนาดนั้น แต่ “ทัศนคติ” เรื่องการทำงานต่างหาก ถ้าเราเผลอพลาดนิดเดียวโดยไม่หมั่นสำรวจมัน ทัศนคติเลวร้ายเหล่านั้นจะทำให้เราเกลียดงานเข้าไส้ และเอาแต่เฝ้าถามตัวเองว่าเราก็ทำงานหนักปางตาย ทำไมอะไร ๆ ไม่ดีขึ้นสักที? UNLOCKMEN ชวนสำรวจทัศนคติเลวร้ายที่อาจเป็นภัยต่องานและความสุขของคุณ มาดูกันว่าที่งานหนัก เงินก็น้อย มันผิดที่งาน ผิดที่เรา หรือผิดที่ทัศนคติของเรากันแน่? จะได้แก้ได้อย่างตรงจุด คนนั้นหรอ ไม่เห็นจะเก่งเลย งานของเขาผมก็ทำได้สบายมาก ไม่แปลกที่เราจะรู้สึกว่าในที่ทำงานของเรามีคนที่ทำงานมากกว่าเรา ทำงานน้อยกว่าเรา หรือบางตำแหน่งสูงกว่าเราแต่ทำไมดูสบายกว่าจังเลยนะ แต่มันจะแปลกถ้าคุณเอาแต่คิดว่าตำแหน่งสูง ๆ หรือตำแหน่งอื่น ๆ ทำงานสบายและคุณเอาแต่ดูถูกและคิดว่าตัวเองเก่งอยู่ไกล ๆ โดยไม่คิดจะพิสูจน์ตัวเองเลย ทัศนคติแบบนี้จะประกอบคุณขึ้นให้กลายเป็นคนที่คิดว่าตัวเองเก่ง คิดว่าตัวเองทำได้ดีกว่าทุกคน แต่ปัญหาก็คือมันเป็นแค่ความคิดและจินตนาการของคุณเท่านั้น ท้ายที่สุดจะลงเอยด้วยการที่คุณเอาแต่โทษคนอื่นว่าไม่เห็นจะทำอะไรแต่ได้ดี ในขณะที่คุณเก่งขนาดนี้แต่ไม่ไปไหน เรากำลังจะบอกว่า ยิ่งรู้สึกว่าตำแหน่งที่สูงกว่าหรือตำแหน่งอื่น ๆ ทำงานได้ไม่ดีหรือเก่งเท่าคุณ คุณยิ่งต้องพิสูจน์ตัวเองให้คนอื่นเห็นว่างานที่ดีและมีประสิทธิภาพเป็นอย่างไร โดยอาจทั้งทำให้เห็นหรือเสนอความเห็น อย่างน้อยการที่คุณพยายามพิสูจน์ตัวเองวันหนึ่งคุณอาจได้ไปอยู่ในตำแหน่งเหล่านั้นแทนคนพวกนั้นจริง ๆ ก็ได้ แต่ถ้าคุณเอาแต่คิดอยู่ในหัว คุณจะทำได้แค่อิจฉาพวกเขา โกรธตัวเอง และไม่มีความสุขในการทำงานอีกเลย ทำงานไปวัน ๆ แต่หวังความก้าวหน้า
เมื่อเรื่องบนเตียงเดินทางมาทักทายเราอีกหน แม้หัวใจเราจะร่ำร้องเต็มทนว่ายังโหยหามัน แต่ก็มีหลายครั้งหลายคราที่เรารู้สึกว่า “เหี้ย ต้องทำท่าเดิม ๆ อีกแล้วหรอวะ?” แม้ชีวิตผู้ชายอย่างเราจะไม่ได้ต้องการการโลดโผนจนทะยานถึงขั้นต้องแปลกใหม่ไม่ซ้ำท่าทุกครั้ง แต่จะมีสักท่วงท่าไหมที่เราไม่ต้องเหนื่อยเกินไป ไม่ต้องพยายามมากนัก แต่ทำให้รสชาติเรื่องบนเตียงรสเก่า ๆ ร้อนเร่าอร่อยน่าจดจำขึ้นมาได้? UNLOCK YOUR SEX LIFE อยู่เคียงข้างผู้ชาย (ผู้หญิงและทุกคน) เสมอ เราเข้าใจหัวอกของคนที่อยากปฏิบัติกิจกรรมหวามไหวเต็มแก่ แต่ก็อดเบื่อหน่ายท่าเดิม ๆ ไม่ได้ จะให้เปลี่ยนท่าใหม่ที่ไม่คุ้นเลยก็เหนื่อยเกินไป วันนี้เราเสนอทางเลือกแห่ง “องศาขา” ที่พาให้หัวใจเราให้หวิวกว่าที่คาด ไม่ต้องเปลี่ยนท่วงท่ามากเกินไป แค่บิดขาเธออีกนิด ยกขาเธออีกหน่อย แต่รับรองว่าเราและคู่ของเราจะได้สัมผัสองศาใหม่ ๆ มิติใหม่ ๆ และรู้สึกอร่อยกับเซ็กซ์ครั้งนี้จนลืมไม่ลง Viennese Oyster Position ท่ามิสชันนารี หรือผู้ชายอยู่ล่าง ผู้ชายอยู่บนถือเป็นท่าพื้นฐานท็อปฮิตที่ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบแต่ก็ต้องทำ แต่จะดีแค่ไหนถ้าเราบิดองศาขาอีกนิดท่ามิสชันนารีสุดสามัญจะอร่อยขึ้นได้ Viennese oyster Position คือท่วงท่าที่ผู้ชายก็ยังคงคุมเกมอยู่ด้านบน และหวานใจของเรายังอยู่ด้านล่าง แต่เพิ่มกิมมิคด้วยการจับขาของเธอยกขึ้นสูงไปจนถึงศรีษะของเธอ ท่วงท่านี้ แม้เปลี่ยนองศาขาเธอนิดเดียว แต่เสียวซ่านเพิ่มขึ้นหลายระดับ เพราะเราจะเข้าไปในตัวเธอได้ลึกขึ้น เธอจะสัมผัสเนื้อหนังของเราได้ถึงแก่น แต่ถ้าสาว
กระแสความนิยมในตลาดสนีกเกอร์ทั่วโลก กำลังทำให้หนุ่ม ๆ อย่างเรามีตัวเลือกรองเท้ามากมายให้ซื้อและใช้งาน แม้หลายคู่หลายรุ่นจะไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร แต่ก็มีรองเท้าหลายรุ่นที่ปล่อยออกมาแล้วกลายร่างเป็นของแรร์จากความต้องการในตลาด รวมถึงความลิมิเต็ดที่ทำให้มีผู้ครอบครองมันเพียงหยิบมือ รองเท้าหลายคู่อัปราคาของตัวเองขึ้นมาเกินเท่าตัว โดยวันนี้เรามีสถิติที่น่าสนใจจาก RealReal ร้านขายรองเท้าออนไลน์สุดหรูที่เก็บข้อมูลเรื่องสนีกเกอร์ที่มีมูลค่าการขายต่อมากที่สุด และนี่คือรองเท้า 9 คู่ที่มีราคารีเซลแพงที่สุดในโลก ณ ตอนนี้ โดยเรียงลำดับจากเปอร์เซ็นต์ที่เพิ่มขึ้นมาจากราคาป้ายเดิม จะมีรองเท้าจากค่ายไหนเข้ามาอยู่ในลิสต์กันบ้าง มาดูกันเลย Yeezy Boost 350 V2 Core Black/Core White เข้าป้ายมาเป็นอันดับที่ 9 และเป็นรองเท้าจากค่าย 3 ขีดคู่เดียวในลิสต์นี้สำหรับ Yeezy Boost 350 V2 ในสี Core Black/Core White อันสวยสดงดงาม เปิดตัวครั้งแรกในวันที่ 17 ธันวาคมปี 2016 ตอนนั้น Yeezy รุ่นต่าง ๆ ยังไม่มีการผลิตมากเท่าทุกวันนี้และการมากับกล่องแบบ Original ก็มีส่วนทำให้ราคาของมันสูงอยู่เสมอ ราคาป้าย: 220 ดอลลาร์ ราคาปัจจุบันประมาณ:
ไม่ได้มีเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้นที่ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนมีรถยนต์ EV จำนวนมากทยอยเปิดตัวสู่ตลาด แต่ในตลาดของรถมอเตอร์ไซค์เองเหล่าผู้ผลิตทั้งหลายก็กำลังเปิดตัวพาหนะ 2 ล้อสายพันธุ์ไฟฟ้าของตัวเองออกมา ล่าสุดค่าย ZERO กับ ZERO SR/F ต้องถูกใจนักบิดผู้ชื่นชอบการขับขี่ในเมืองอย่างแน่นอน ZERO คือค่ายผลิตรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าจากแคลิฟอร์เนียประเทศสหรัฐอเมริกา พูดให้เข้าใจง่าย แบรนด์ของพวกเขาเป็นเหมือน Tesla แห่งวงการ 2 ล้อ เพราะพวกเขามุ่งเน้นพัฒนารถมอเตอร์ไซค์ EV มาตั้งแต่ก่อตั้งในปี 2006 และหลังจากที่ค่ายใหญ่ของวงการอย่าง Harley-Davidson เปิดตัวโมเดลไฟฟ้าอย่าง LiveWire ออกมาทาง Zero เองก็เปิดตัว SR/F ที่แม้จะไม่แรงเท่าแต่ราคาก็เอื้อมถึงง่ายกว่า โดยเปิดตัวออกมาสองสีในสไตล์ Naked Bike หรือ Street Fighter อวดโครงสร้างและงานดีไซน์ที่ดุดัน ขุมพลังของ SR/F ใช้เป็นมอเตอร์ ZF75-10 ที่ได้พลังงานจากแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ขนาด 14.4 kWh ที่ให้พลังเทียบเท่า 110 แรงม้าและแรงบิดที่ 140 ปอนด์-ฟุต วางแบบ Mid-Motor
“ฉันต้องเป็นราชาโจรสลัดให้ได้เลย!” สำหรับแฟน ๆ การ์ตูนเรื่อง One Piece ต้องคุ้นเคยกับประโยคแสนมุ่งมั่นของลูฟี่หมวกฟางอย่างแน่นอน การ์ตูนโจรสลัดอารมณ์ดีที่ผู้ชายหลายคนเฝ้าอ่านเฝ้าติดตามดูเรื่องราวของกลุ่มโจรสลัดนี้เรื่อยมาตั้งแต่เด็กจนโต และไม่น่าเชื่อว่าในปี 2019 แอนิเมชันเรื่อง One Piece จะเดินทางมาถึงปีที่ 20 แล้ว พร้อมกับการปล่อยตัวอย่างของแอนิเมชัน The Movie ลำดับที่ 14 ที่จัดเต็มความยิ่งใหญ่สำหรับเรื่องราวกว่า 20 ปี อันแสนยาวนาน UNLOCKMEN เองก็เป็นแฟนคลับการ์ตูน One Piece ไม่ต่างจากใคร ๆ ดังนั้นเมื่อแอนิเมชันเรื่องนี้เข้าฉายในประเทศไทยแถมยังครบรอบ 20 ปีอีก เราจึงไม่พลาดหยิบเรื่องราวของ One Piece The Movie มาร้อยเรียงให้เห็นถึงการเติบโตมาด้วยกันระหว่างคนดูและตัวละคร พร้อมกับพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ความทรงจำ และความประทับใจที่ได้จากการ์ตูนเรื่องนี้ร่วมกัน แต่ละก้าวเดินของ ONE PIECE THE MOVIE นับตั้งแต่ One Piece The Movie ภาคแรกออกฉายเมื่อปี