ปฏิเสธไม่ได้ว่ามลพิษกับรถยนต์ยังไงก็เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาเรื่อย เรียกได้ว่าถ้ามีรถมันก็ต้องมีควันพิษมาเป็นเงาตามตัว ธุรกิจที่ต้องวนเวียนอยู่กับรถทั้งหลายเลยพากันออกมาคิดค้นนวัตกรรมกันใหญ่ บ้างก็เป็นรถไฟฟ้าไม่น้ำมัน เครื่องยนต์ที่ทำให้ระบบเผาไหม้ทำงานแบบไม่ปล่อยควันพิษ จะได้รักษ์โลกไปกับความเร็วพร้อมกัน แต่ใครมันจะไปนึกว่าบริษัทผลิตล้อที่เราดูแล้วก็ไม่เห็นว่ามันจะเปลี่ยนอะไรไปได้ตรงไหนเกิดอยากจะสนุกกับเขาด้วยคน ส่งล้อเขียว ๆ มาฟอกควันมันดื้อ ๆ เอาสิวะ ! ก็อยากให้รถมันได้วิ่งในถนน งั้นก็จะทำยางที่ใครก็ต้องร้องขอให้เอารถออกมาวิ่ง Good Year เลยพัฒนาทุบมิติเดิมจากความแม็กซ์สวย เนื้อยางดี มาใส่ไอเดียสร้าง prototype ทำล้อรุ่น Oxygen ออกมาให้แม่งฟอกอากาศได้ด้วยเลย ยางลดโลกร้อนที่เห็นไม่ได้เขียวแค่สี ไม่ได้มีเครื่องฟอกอากาศด้านในใช้เครื่องยนต์อะไร แต่ใส่พืชเขียวตระกูลมอสส์มาปลูกกันในล้อ คลอโรฟิลล์เกาะไปกับรถยังไงก็ได้แดดไว้สังเคราะห์แสงชัวร์ หลักการคือระหว่างล้อหมุนจะดูดเอาความชื้นด้านนอกเข้ามาเลี้ยงมอสส์ พร้อม ๆ ไปกับการดึงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้านนอกเข้าไปด้วยแล้วก็คายออกซิเจนออกมาตามระบบเดียวกับที่เราเคยเรียนเรื่องการสังเคราะห์แสงพืช แต่แค่จับต้นไม้ไปไว้ในล้ออย่างเดียวมันยังคูลพอ เขาเลยใส่ระบบเซ็นเซอร์กับ AI สร้างเทคโนโลยี V2X technology เข้าไปออกแบบร่วมเชื่อมโยงกระบวนการสังเคราะห์แสงของพืชดึงกระแสไฟฟ้ามาจ่ายเพิ่มระบบไฟให้ล้อเท่ส่องสว่างได้ด้วยวงไฟ LED รอบล้อยามค่ำคืนขณะเปลี่ยนเลนด้วย รถข้าง ๆ หรือคนตามทางเท้าจะได้มองเห็นเราได้ง่ายขึ้น นวัตกรรมล้อแห่งอนาคตที่หวังจะฟอกอากาศนี้ ทาง good year เขาคำนวณไว้ว่าอยากจะให้มีใช้กันในเมืองใหญ่ทั่วโลก อย่างน้อยที่สุดที่คาดการณ์ไว้คือ ถ้ารถทุกคันในปารีสมียางเหล่านี้ก็จะกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึงประมาณ 4,000 ตันในแต่ละปี เหมือนการทำให้รถที่เคยวิ่งหายไป 4,500
เดือนเมษายนที่จะถึงนี้มีวันหยุดยาวหลายวัน หากคุณเบื่อกับการสาดน้ำปะแป้งแล้ว ก็ปล่อยให้เป็นพื้นที่ของคนหนุ่มสาวกันไป แต่จะให้นอนตีพุงอยู่บ้านมันก็คงโคตรน่าเบื่อ อุตส่าห์ได้วันหยุดทั้งที UNLOCKMEN ขอแนะนำให้ลองหากิจกรรมที่ช่วยให้คุณได้เปลี่ยนบรรยากาศอย่างการไป Camping ต่างจังหวัด อย่างไรก็ตามแม้การ Camping จะเป็นกิจกรรมที่ดูลุย ๆ แต่ว่าจะให้ไปแบบปุบปับเลยก็คงไม่ดี เราเลยอาสามาแนะนำการเตรียมตัวแบบคร่าว ๆ ที่มือใหม่ไม่ควรพลาด อย่าลืมทดสอบอุปกรณ์ก่อนไป มัวตื่นเต้นกับการก่อกองไฟและเตรียมสารพัดของจนลืมลองอุปกรณ์ที่ซื้อมาใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเต็นท์ แก๊สกระป๋อง หรืออะไรอย่างอื่นก็ตาม แม้ว่าจะลองที่ร้านมาแล้ว ก็ควรกลับมาลองที่บ้านอยู่ดีเพื่อความชัวร์ว่าเราจะไม่ไปเหวอหน้างาน หากของชิ้นนั้นมันเจ๊ง หรือเราเกิดใช้มันไม่เป็นขึ้นมา ควรเช็กสภาพอุปกรณ์เก่าที่มีด้วยเช่นกัน ว่ายังใช้ได้อยู่มั้ย อย่าเพิ่งนอนใจว่าเคยใช้แล้วจะต้องใช้ได้เสมอไป เก็บของใช้ในห้องน้ำไว้ในเต็นท์เสมอ เราอาจจะมัวแต่ระวังเรื่องอาหาร ว่าต้องเก็บให้มิดชิดไม่ให้สัตว์มารบกวน แต่ลืมของใช้ในห้องน้ำไปหรือเปล่า ? สบู่ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ก็สามารถดึงดูดความสนใจจากสัตว์น้อยใหญ่ได้ หากคุณทิ้งมันไม่เป็นที่เป็นทาง นอกจากจะทิ้งเกลื่อนเป็นขยะแล้ว อาจจะเป็นอันตรายต่อสัตว์อีกด้วย อย่าลืมเก็บเข้าเต็นท์ให้เรียบร้อยกันล่ะ อย่าถึงที่หมายตอนมืด ควรเผื่อเวลาในการเดินทางให้ดี ถ้าหากคุณไปถึงที่หมายตอนมืดค่ำแล้วล่ะก็ แม้จะมีไฟจากไฟฉาย แต่มันก็ไม่อาจช่วยให้สว่างแบบทั่วถึงได้เหมือนพระอาทิตย์ (ที่ตกดินไปแล้ว) นอกจากนี้เราอาจจะมองไม่เห็นพื้นที่ที่เราต้องการจะตั้งเต็นท์ด้วยว่าเป็นพื้นลักษณะไหน มีรังมด แมลง หรือก้อนกรวดที่คม ๆ อยู่หรือเปล่า การกางเต็นท์ในความมืดไม่ใช่เรื่องน่าอภิรมย์เลยจริง ๆ
“งานโคตรยุ่งเลยว่ะ ไม่มีเวลาทำอย่างอื่นเลย” นี่เป็นข้ออ้างอันดับต้น ๆ ของผู้ชายที่ Work Hard Play Hard ซึ่งข้ออ้างง่าย ๆ นี้ทำให้เราพลาดอะไรหลายต่อหลายอย่างในชีวิตแบบไม่รู้ตัว เราพลาดเวลาออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดี เราพลาดเวลาไปเฮฮากับเพื่อนฝูงเพื่อความสัมพันธ์ที่ดี เราพลาดเวลาทำสิ่งที่เราชอบเพื่อเติมเต็มความฝัน เราพลาดแทบทุกอย่างในชีวิตเพียงเพราะคำว่า “ไม่มีเวลา” เคยถามตัวเองบ้างไหมว่าที่ “ไม่มีเวลา” จริง ๆ หรือเราแค่ตัดโอกาสตัวเองออกจากสิ่งต่าง ๆ อย่างคนขี้แพ้กันแน่? UNLOCKMEN บอกได้เลยว่าหลังจากที่อ่านเรื่องราวการจัดสรรเวลา“กฎ 168 ชั่วโมงต่ออาทิตย์” นี้จบ เราจะมอง “เวลาในชีวิต” ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ประหยัดเวลาเพื่อมีเวลา? Laura Vanderkam คือนักเขียนผู้เชี่ยวชาญเรื่องการบริหารเวลา เรื่องราวของเธอโคตรน่าสนใจ ตอนแรกเธอก็ดั้นด้นพยายามหาเวลาเพิ่มเหมือนเรา ๆ ทุกคนนี่แหละ โดยทริคที่เธอสนใจก็คือการประหยัดเวลาเพื่อเพิ่มเวลา สมมติว่าเราซื้ออาหารสำเร็จรูปมาอุ่นแล้วมันเขียนว่าอุ่น 3-4 นาที เราก็อุ่นมันแค่ 3 นาที เพื่อประหยัดเวลา 1 นาทีไว้ไปทำอย่างอื่น หรือถ้าเราติดละครสักเรื่องแทนที่จะดูมันฉายทางโทรทัศน์สด ๆ เราก็ดูย้อนหลังแทน เพราะจะประหยัดเวลาที่ต้องเสียไปกับการดูโฆษณาได้รวม ๆ
การออกแบบถือเป็นเรื่องสำคัญเพราะมันโคตรมีส่วนในการดึงดูดให้คนสนใจ ยิ่งในวงการธุรกิจ การสร้างเครื่องหมายการค้าที่เตะตา จะยิ่งทำให้แบรนด์เป็นที่จดจำ ลองสังเกตแบรนด์ระดับโลกอย่าง NIKE, Coca Cola, IKEA และอื่น ๆ อีกมากมาย ที่ผู้คนมักจะจำแบรนด์ได้จากโลโก้และการใช้สีก็เป็นอีกเรื่องที่สำคัญสำหรับการเลือกให้เหมาะสมกับแบรนด์ เพื่อให้ลูกค้าให้ความสนใจและเป็นที่จดจำ UNLOCKMEN จะมาแนะนำทริกเล็กน้อยให้คุณเลือกสีแบรนด์ของคุณให้เตะตาจนลูกค้าต้องเหลียวกลับมามองอีกครั้ง ใช้วงล้อสี วงล้อสีแบบที่เราเคยระบายสีน้ำกันในตอนประถมฯนั่นแหละ ตัวช่วยชั้นเยี่ยม! เราจะได้เห็นสีที่แบ่งเป็นโทนร้อนโทนเย็นและสีคู่ตรงข้าม ซึ่งเป็นด่านแรกสำหรับการเลือกสีในงานดีไซน์ หากเรามองหาลูกเล่น หรือหลีกเลี่ยงสีที่ไม่ไปด้วยกัน เราจะได้เห็นสีในภาพรวมทั้งแต่การไล่โทนสี ความเข้ม ความอ่อน คุณต้องการจะสื่อสารกับคนที่มองแบรนด์แบบไหน ก็ต้องเลือกใช้สีให้ถูกต้อง การดูวงล้อสีจากภาพรวมจึงสามารถเลือกได้แทบจะทุกสีที่มีบนโลกนี้ สีที่คู่กัน ไม่ว่าจะเป็นสีคู่ตรงข้าม หรือสีที่นิยมใช้คู่กัน อย่าง IKEA เป็นตัวอย่างของสีคู่ตรงข้ามที่ดี โดย TEXT สีเหลืองบนพื้นหลังสีน้ำเงินสดใส แม้จะเป็นสีตรงข้าม แต่ด้วยความที่มันเป็นโลโก้ของแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง มันจึงเป็นอะไรที่สะดุดตามากกว่าขัดกัน หรือสีที่นิยมใช้คู่กันในงานดีไซน์ พวก สีเทา – สีครีม ที่แม้จะไม่ได้เป็นสีคู่ตรงข้าม แต่มันคือสีที่เอามาวางคู่กันแล้วช่างเข้ากันซะเหลือกัน ลองหา Reference ตามเว็บดีไซน์จะมีตัวอย่างการใช้สีทั้งภาพถ่ายและงานดีไซน์ สีบ่งบอกตัวตน การเลือกสีสำหรับโลโก้หรือสีประจำแบรนด์จะบ่งบอกถึงภาพลักษณ์ของแบรนด์โดยตรง ว่าต้องการสื่อสารออกไปยังไง อย่างสีโทนเย็น
เรื่องของแฟชั่นแต่ละคนอาจจะให้ความสําคัญแตกต่างกันออกไป ทว่าสําหรับคนที่ใส่ใจเรื่องสไตล์ของตัวเองและแสดงตัวตนผ่านทางเสื้อผ้าที่เลือกใส่นั้น เวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงคอลเลคชั่นในแต่ละฤดูกาลจึงเป็นเรื่องสนุกตื่นเต้นที่จะได้อัพเดทลุคของตัวเองให้ตามเทรนด์อยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะซัมเมอร์นี้ นับว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่หนุ่ม ๆ จะได้เฉลิมฉลองกับช่วงเวลาพักผ่อนอย่างเต็มเหนี่ยว แถมด้วยความร้อนแรงของแสงแดด ที่ทำให้เราอยากจัดเต็มเพื่อดึงดูดสายตาของทุกคนแข่งกับสภาพอากาศเมืองไทยให้มันรู้กันไปเลยว่าใครที่แน่กว่ากัน แล้วถ้าหากพูดถึงวัฒนธรรมแฟชั่นที่มีอิทธิพลกับหนุ่มไทยมากที่สุดตลอดมา คงจะหนีไม่พ้น Japanese Style ที่กลมกลืนผสมผสานเข้ากับไลฟ์สไตล์แบบไทย ๆ ไม่ว่าจะเป็นมินิมอลหรือโอเวอร์ไซส์เป็นอย่างดี ดังนั้นเพื่อเป็นการอัพเดทเทรนด์ใหม่ล่าสุดให้เหมาะสมกับช่วงหน้าร้อน ทีมงาน UNLOCKMEN ได้จัดลุคเฉียบ ๆ จนเรียกได้ว่าเป็น Dress-2-kill แบบฉบับ “Nippon Boy” มาฝากทุกคนกัน #LOOK1 Working Sharp จุดเด่นอย่างหนึ่งของสไตล์การแต่งตัวแบบ Nippon คือต้องมีดีเทลให้น้อยที่สุดเพื่อสะท้อนอารมณ์แบบมินิมอล โดยเฉพาะโทนสียิ่งเรียบง่ายยิ่งดี ดังนั้นเราจึงเลือกชุดเป็นสูทสีเทากระดุมเดียวแบบโอเวอร์ไซส์ ที่ให้ความรู้สึกแบบ Japanese เพิ่มดีกรีรับซัมเมอร์ให้ชุดทำงานไม่ดูน่าเบื่อ มีสีสันขึ้นด้วยการเสริมด้วยเสื้อ polo สีเหลืองสแซมเข้าไป พร้อมจับคู่กับรองเท้าหนังดี ๆ สักคู่ จากนั้นหาเครื่องประดับอย่างเช่น นาฬิกาดี ๆ สักเรือนมายกระดับ Overall look ให้เฉียบคมสะกดทุกสายตาในเวลาทำงานของคุณ อย่างเช่นนาฬิกา ALBA รุ่น AT3C31X ด้วยดีไซน์เรียบหรูสะดุดตาด้วยหน้าปัดสีทองไล่สีกับสายสเตนเลสสตีลที่ตัดกันอย่างลงตัว #LOOK2 Casual
UNLOCKMEN สายกระหายเหล้าบ๊วยยกมือขึ้น ! เห็นมือที่ยกกันบางเบา เราก็พอรู้ว่าในหมู่ผู้ชายส่วนใหญ่ มักไม่กระแทกปากกันด้วยแอลกอฮอล์รสชาติติดหวานและนิยมความคมเข้มฉบับ ON THE ROCK ของ Whisky หรือ Single Malt มากกว่า ถึงอย่างนั้นก็อย่าได้ประมาทว่าร้านเหล้าบ๊วยจะรองบ่อนหรือมองเมินไปเป็นอันขาด เพราะการมีร้านบาร์เหล้าบ๊วยสักแห่งติดลิสต์ไว้ก็เป็นแต้มต่อสำหรับผู้ชายที่อยากเปลี่ยนรสชาติการจิบทบทวนอารมณ์สไตล์สายชิล และเป็นปลายทางสุดโรมานซ์ไว้สำหรับพาคนรู้ใจมาด้วย จึงเป็นเหตุให้เราต้องดั้นด้นมาตั้งหน้าตั้งตามาเยือนที่นี่ เราบุกสำรวจร้านตั้งแต่ตะวันยังไม่ลับขอบฟ้าด้วยความรีบ ก่อนแสงสุดท้ายของวันจะย้อมที่นี่ให้กลายเป็นสีชมพูนีออนจากฝีมือของสองสาวเจ้าของร้าน พิมพ์-ชโลชา นิลธรรมชาติ กับเพื่อนสนิทอย่าง เหมียว-ปิยาภา วิเชียรสาร ที่บรรจงหยิบและจัดวางทุกสิ่งให้เข้าที่ทาง ป้ายกระดาษปะติดหลังบาร์ ตามกำแพง และแสงไฟโลโก้หน้าร้านเปิดสว่างขึ้น ทั้งหมดเต็มไปด้วยข้อความและภาพที่ระบุให้เรายกนิ้วชี้จรดริมฝีปากตาม “จุ๊ ๆ อย่าเสียงดังนะ” ทำเอาเราแปลกใจจนแทนที่จะเริ่มสั่งเครื่องดื่มอย่างที่เคย หันมากระซิบคุยกับพวกเธอกันก่อน SHUU SHUU’s hidden story คุยไปคุยมาได้ความว่า ร้าน SHUU SHUU เกิดจากความถูกคอของ 2 สาวที่รู้จักกันเนื่องจากเปิดร้านในละแวกเดียวกัน ตั้งวงดื่มด้วยกันมาก็หลายประเภทแต่ลงตัวพอดิบพอดีที่การดื่มเหล้าบ๊วย เพราะดื่มง่ายเพลินลิ้นและไม่หนักจนเกินไปเลยจับมือกันมาเปิดร้าน ส่วนเหตุผลของความเงียบที่เตรียมมาเตือนสายดื่มอย่างที่เราสังเกตเห็นตามจุดต่าง ๆ ของร้าน ก็เพราะด้านบนของร้านเป็นที่พัก บวกกับสถานที่แห่งนี้เป็นย่านชุมชน การถ้อยทีถ้อยอาศัยจิบและคุยกันแบบสงบเคล้าเสียงเพลงเบา ๆ เลยเป็นเสน่ห์ของร้านแห่งนี้ อีกสิ่งที่ถือเป็นเรื่องยูนีคที่ชาว UNLOCKMEN
การประชุมเป็นเรื่องที่จะเลี่ยงไม่ได้เลยในทุกออฟฟิศ เพราะมันคือการ Brainstorm ช่วยให้เราได้เห็นการทำงานในภาพรวมจากทุกคน แต่ประชุมทีไร มันเละเทะทู้กกกกที พูดเรื่องนู้นที เรื่องนี้ที ข้ามไปข้ามมา สุดท้ายแล้วมึนทั้งคนฟัง ทั้งคนนำประชุม วันนี้ UNLOCKMEN จะมาแนะนำเทคนิคเจ๋ง ๆ ที่ช่วย Improve การประชุมให้มีประสิทธิภาพ ไม่ตกหล่นประเด็นไหนที่สำคัญไป ถามไถ่ความต้องการของคนในทีม ถ้าหากต้องการให้ทุกคนรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายในทีม เราต้องให้ทุกคนมีความเชื่อมโยงกันและมีความสำคัญเท่า ๆ กันในทุกหน้าที่ ให้ทุกคนเสนอไอเดียที่ตัวเองมี หรือความต้องการที่อยากจะนำเสนอในที่ประชุม เคาะออกมาเป็นหมวดหมู่แล้วนำเสนอในที่ประชุม โดยทุกครั้งอย่าลืมเอ่ยชื่อเจ้าของไอเดียด้วย ถือว่าเป็นการให้เกียรติและไม่เอาความดีความชอบมาไว้ที่ตัวคนพูดในที่ประชุมเพียงคนเดียว Main Idea สิสำคัญ ลองหาเวลาคุยกันเองในทีมแบบจริงจังก่อนเข้าประชุม หาจุดยืนของทีมจากไอเดียทั้งหมดที่เสนอรวม ๆ กันแล้วตกตะกอนออกมาเป็นไอเดียหลักให้ได้ แล้วค่อยต่อยอดออกมาเป็นประเด็นเล็ก ๆ ทีหลัง แต่เนื้อหาต้องเกี่ยวข้องกันกับประเด็นใหญ่ หรือถ้าไม่เกี่ยวก็ต้องบอกให้ชัดเจนว่ามันคนละส่วนกัน เพื่อป้องกันความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในที่ประชุม เตรียมพร้อมตอบคำถาม หาจุดอ่อนที่อาจจะโดนโจมตีในประเด็นที่เราจะนำเสนอ เจอแล้วอย่าปล่อยผ่าน หาคำตอบข้อแก้ต่างมาให้พร้อม หรือถ้ายังหาทางออกไม่ได้ ก็ต้องเตรียมคำตอบที่น่าเชื่อถือแบบไม่ใช่ตอบส่ง ๆ หรือขอไปที และอย่าลืมเน้นย้ำจุดแข็งของประเด็นที่เราเสนอแบบมั่นใจ ทีมพร้อม ข้อมูลแน่น ทุกคนในทีมจำเป็นต้องรู้ข้อมูลเบื้องต้นของประเด็นที่จะเสนอ ไม่ว่าจะเป็น ที่มาที่ไป
กว่าจะขุดตัวเองไปออกกำลังกายได้แต่ละที ขุดแซะยากยิ่งกว่านักโบราณคดีขุดค้นซากไดโนเสาร์จากยุคดึกดำบรรพ์เสียอีก แต่ไม่ต้องตกใจไปเราไม่ใช่ผู้ชายคนเดียวที่ประสบปัญหา “หลอกตัวเองให้ขี้เกียจ” นี้ ขอแค่อย่ามัวจมไปกับมันแล้วปล่อยให้ร่างกายไหลไปตามวันเวลาและไขมันที่พอกพูนร่างกายขึ้นเรื่อย ๆ หยุดตั้งแต่ตอนนี้! ด้วย 5 เหตุผลจากผู้เชี่ยวชาญที่จะทลายข้ออ้างของจอมขี้เกียจอย่างคุณให้หมดสิ้นไป “โธ่ ก็ผมไม่มีเวลานี่ครับ” ข้ออ้างอันดับหนึ่งของจอมขี้เกียจอย่างเราคือ “ไม่มีเวลา” Laura Vanderkam นักเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับธุรกิจพูดเรื่องเวลาไว้อย่างน่าสนใจว่าในแต่ละอาทิตย์เรามีเวลา 168 ชั่วโมงเท่า ๆ กัน เป็นเวลานอนไป 56 ชั่วโมง และตีเป็นเวลางาน 50 ชั่วโมงไปเลย! เท่ากับว่าเราเหลือเวลา 62 ชั่วโมงเต็ม ๆ ที่เราสามารถจัดสรรปันส่วนเป็นเวลาพักผ่อนหย่อนใจ เวลาเดินทาง เวลาอาบน้ำกินข้าว ปัญหาเรื่องไม่มีเวลาจะหมดไปถ้าเรามองเวลาเป็นล็อตใหญ่ ๆ แล้วแบ่งมันไว้ตั้งแต่ต้นสัปดาห์ และใส่ “การออกกำลังกายไว้ในตารางเวลาที่เราวางไว้ด้วย” โดยอาจจะเริ่มต้นจาก 1 ชั่วโมงครึ่งจาก 168 ชั่วโมง (อาทิตย์ละ 3 วัน วันละ 30 นาที) ถ้าคิดได้ว่ามันแค่ 1 ชั่วโมงครึ่งจาก 168
เหมือนเป็นธรรมเนียมประจำปีไปแล้วที่ Forbes ต้องจัดอันดับมหาเศรษฐีระดับโลก แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าบรรดาคนมีตังค์ล้นฟ้าเหล่านั้นก็คือบรรดาคนมีตังค์ที่อายุยังน้อย จนเรียกได้ว่าอายุน้อยหลายร้อยหลายพันล้านดอลลาร์ที่แท้จริง โฉมหน้าพวกเขาจะเป็นอย่างไร? และเขาทำอะไรกันบ้าง UNLOCKMEN ชวนมาอัปเดตไว้เป็นแรงบันดาลใจให้ฮึดสู้ฟัดเผื่อจะรวยให้ได้เสี้ยวของเขาขึ้นมาบ้าง สำหรับมหาเศรษฐีที่เด็กที่สุด 3 ลำดับแรกล้วนแต่เป็นชาวนอร์เวย์ สำหรับคนที่เด็กที่สุดนั้นมีอายุเพียง 21 ปีเท่านั้น เธอคือ Alexandra Andresen โดยมีทรัพย์สินจำนวน 1.4 พันล้านดอลลาร์ ส่วนที่เหลือจะเป็นใครบ้างนั้นเราจะพามารู้จักพวกเขาไปพร้อม ๆ กัน John Collison, 27 ปี — $1 พันล้าน John Collison เป็นนักลงทุนชาวไอริชผู้ร่วมก่อตั้ง Stripe ซึ่งเป็นบริษัทออนไลน์เพย์เมนต์ที่ตั้งอยู่ที่ซานฟรานซิสโก John Collison เริ่มมีไอเดียที่จะทำบริษัท Stripe กับพี่ชายของเขาตั้งแต่เรียนอยู่ในวิทยาลัยที่บอสตัน จนกระทั่งบริษัทของเขาก่อตั้งขึ้นได้สำเร็จในปี 2011 ซึ่งขณะนั้นบริษัทยังไม่เป็นที่รู้จักเนื่องจากเขาไม่ได้ขายอะไรที่เป็นสินค้าที่บริโภคได้ แต่เป็นระบบซอฟต์แวร์ที่จะขายให้บริษัททั่วโลกติดตั้งแล้วสามารถทำธุรกรรมออนไลน์ได้ แต่ล่าสุดเขาก็มีลูกค้ากว่า 100,000 รายทั่วโลก และได้รับตำแหน่งมหาเศรษฐีพันล้านที่รวยที่สุดคนหนึ่งไปแล้ว Evan Spiegel, 27 ปี — $4.1
หากพูดถึงแบรนด์แฟชั่นผู้ชายที่มีเอกลักษณ์ของลายกราฟิกอันโดดเด่น ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจาก architecture, design ต่าง ๆ อันเป็นซิกเนเจอร์ของแบรนด์ แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นจะต้องมีชื่อของ Blackbarrett by Neil Barrett รวมอยู่ด้วยเพราะแบรนด์นี้ถือว่ามีต้นกำเนิดที่ไม่ธรรมดา เนื่องจากเป็นผลงานส่วนตัวของดีไซเนอร์ชาวอังกฤษที่ชื่อ Neil Barrett ผู้เคยดำรงตำแหน่งครีเอทีฟไดเรคเตอร์ให้ห้องเสื้อชื่อดังมากมาย อาทิ Gucci และ Prada จนกระทั่งในปี 1999 เมื่อ Neil ตัดสินใจนำไอเดียมาก่อตั้งแบรนด์ของตัวเอง ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่การเล่นคู่สีขาว-ดำที่รังสรรค์ออกมาได้อย่างลงตัว ทำให้ได้รับการตอบรับที่ดีในหมู่ผู้ชายทั่วโลก สำหรับ Blackbarrett by Neil Barrett อาจจะเรียกได้ว่าเป็นแบรนด์ลูกของ Neil Barrett เนื่องจากมีการนำเทคนิค แพทเทิร์นและคอนเซ็ปต์ต่าง ๆ มาจากแบรนด์แม่ ต่างกันตรงที่ Blackbarrett by Neil Barrett นั้นมีการปรับใช้ดีไซน์ปริ้นท์ที่แตกต่างมาสร้างความโดดเด่นทำให้เป็นที่สะดุดตา มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร นอกจากนี้แล้วคาแรคเตอร์ของแบรนด์ยังมีความสนุก เท่ แตกต่าง แบบความเป็น Urban แถมที่สำคัญยังมี Asian Fit