หนึ่งในสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในการเริ่มต้นทำงานที่ใหม่ก็คือ ‘เจ้านาย’ ซึ่งส่วนใหญ่เรามักจะไม่ค่อยรู้ว่าหัวหน้าคนใหม่ของเราจะมาในสไตล์ไหนแม้จะเจอกันแล้วตอนสัมภาษณ์ หรือมีคนบอกให้ฟังแล้วคร่าว ๆ แล้วก็ตาม แต่สุดท้ายเราคงต้องรอวันที่ได้ทำงานกับ boss คนนี้ถึงจะรู้ว่าเป็นอย่างไร คนที่เจอเจ้านายดี ๆ ก็ถือว่าได้ประสบการณ์ดี ๆ ที่มาพร้อมกับความรู้ หลายคนก็หดหู่เหลือเกินที่ต้องทนกับหัวหน้าฟีลแย่จนตัดสินใจลาออก แถมมีโอกาสซวยซ้ำซ้อนเหมือนกันกับออฟฟิศใหม่ แต่เราอยากจะบอกว่าไม่มีใครเพอร์เฟ็คต์หรอก ทุกคนมีข้อดีข้อเสีย วันหนึ่งหากคุณรู้สึกกังขากับ boss ของคุณขึ้นมา อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจ ลองสังเกตุดูว่าเขามีคุณสมบัติ 5 ข้อนี้หรือไม่ ถ้ามีครบถ้วน อย่าทิ้งเขาไปเลยครับ อยู่รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับหัวหน้าคนนี้จนสุดทางเลยดีกว่า 1.มีศิลปะในการฟัง Peter Drucker ผู้ถูกยกย่องให้เป็นบิดาแห่งการบริหารยุคใหม่ชาวอเมริกันผู้ล่วงลับเคยกล่าวไว้ว่า “สิ่งที่สำคัญที่สุดในการสื่อสารก็คือการได้ยินในสิ่งที่ผู้อื่นไม่ได้พูด” การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพไม่ใช่แค่การพูดเก่งเท่านั้น ถ้าหัวหน้าของคุณเป็นโคตรผู้ฟังที่ดี มีศิลปะในการปกครอง คอยซักถามถึงสิ่งที่ลูกน้องต้องการเสมอ รวมถึงมีความสามารถในการหยั่งรู้และเข้าใจสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในใจผู้อื่นแล้วหละก็ ถือว่าคุณโชคดีมาก ๆ ผู้นำคนไหนที่ใส่ใจฟังเสียงจากใจของลูกน้องก็จะสร้างความเชื่อใจและเรียกความภักดีได้ไม่ยาก 2.เป็นโค้ชที่ยอดเยี่ยม ทุกวันนี้ความสามารถในการ coaching ถือเป็นคุณสมบัติที่จำเป็นของผู้นำในบรรดาองค์กรที่มีความก้าวหน้ามากที่สุด ถ้าหัวหน้าของคุณอุทิศเวลาในการสอนงานและให้คำปรึกษาเรื่องชีวิตกับคุณ รวมถึงเป็นผู้นำที่ดีในการหาทิศทางการทำงาน ประเมินประสิทธิภาพได้เที่ยงตรง และเติมเต็มความสำเร็จให้กับภารกิจต่าง ๆ ให้กับองค์กรได้ แบบนี้ยินดีด้วยครับ ยิ่งหากถ้าคุณเป็นหนุ่ม Millennials
แม้จะไม่ใช่วันหยุดเสาร์ อาทิตย์ แต่หลังจากทำงานอันแสนเหน็ดเหนื่อยหลายคนเลือกมักจะเลือกพักผ่อนอยู่บ้านแทนที่จะออกไปข้างนอกเบียดเสียดกับคนอื่น โดยขอใช้เวลาส่วนตัวอันน้อยนิดไปกับการฟังเพลงแล้วนอนเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับวันใหม่ ทว่าเพลงที่ฟังอยู่อาจจะเดิม ๆ และน่าเบื่อไปเสียแล้ว ดังนั้นถ้าเกิดมีเพลย์ลิสต์ใหม่ชิล ๆ มาเปิดคลอในบ้านคงจะดีไม่น้อย ทีมงาน UNLOCKMEN เลยไปหา 10 เพลงสุดชิลสไตล์ EDM จากเพลย์ลิสต์ของ Billboard ไว้เปิดฟังชิล ๆ ก่อนนอน Shallou – Begin (Feat. Wales) ATTLAS – I Need You More Amtrac – Piano Boy Chet Porter – Stay (Feat. Chelsea Cutler) Autograf – Dream Klingande – Jubel Lost Frequencies – Reality (Feat. Janieck
บางครั้งเราอาจมองว่าความตายคือเรื่องไกลตัว เพราะยังคงมั่นใจในการใช้ชีวิตของตัวเองว่าคงไม่เป็นอะไรไปง่าย ๆ ไม่ใช้ชีวิตประมาท แค่นี้ก็อยู่ยาวเหยียบร้อยปีแล้ว แต่ความเป็นจริงมันมีปัจจัยภายนอกอีกร้อยแปดพันเก้าที่จะเข้ามาตัดทอนอายุเราไปได้แบบไม่ทันตั้งตัว เราไม่รู้เลยว่าเช้านี้ที่ตื่นขึ้นมาจะเป็นเช้าสุดท้ายของเราหรือเปล่า เราจะได้เดินผ่านร้านกาแฟเป็นครั้งสุดท้ายหรือเปล่า หรือแม้แต่อาหารที่กำลังกินไปอ่านไปเนี่ย มันจะเป็นมื้อสุดท้ายของเราหรือเปล่า ท่ามกลางสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่อาจควบคุมได้เองทั้งหมด UNLOCKMEN จะพามาดูอาหารมื้อสุดท้ายของ 10 คนดังระดับโลกที่ล่วงลับไปแล้ว ที่บางคนก็รู้ตัวว่านี่คือมื้อสุดท้ายของเขา บางคนก็ไม่อาจรู้ได้เลย เศร้านะ ว่ามั้ย ? Socrates หลายคนคงคุ้นหน้าคุ้นตากันดี เอ่อ เรียกว่าคุ้นชื่อดีกว่า สำหรับ “Socrates” นักปรัชญาที่โผล่ไปในเลคเชอร์ของทุกวิชา อาหารมื้อสุดท้ายของเขาจะเรียกว่าอาหารก็คงเรียกไม่ได้เต็มปาก เพราะมันคือ “ยาพิษ” ที่เขาถูกตัดสินให้จบชีวิตตัวเองด้วยยาพิษซึ่งเป็นพิษจากต้น Hemlock ด้วยข้อหาที่ทำให้ผู้คนในเอเธนส์เสื่อมศรัทธาในศาสนา ดูเศร้าไม่น้อยที่การตั้งคำถามกับสังคมไม่เป็นที่ยอมรับเสียจนต้องจบชีวิตใครสักคน จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 มันสมองที่ฉลาดเป็นกรดทำให้นายพลในกองทัพสามารถพาตัวเองมาเป็นกงสุลเอกและขยับขึ้นมาเป็นจักรพรรดิของฝรั่งเศสในที่สุด และความรุ่งเรืองของพระองค์ไม่อาจเล่าได้ภายในหนึ่งพารากราฟ เอาเป็นว่าตัดภาพไปที่ช่วงสุดท้ายของชีวิต เพราะนี่คือคอนเทนต์เกี่ยวกับความตาย ช่วงสุดท้ายของชีวิตนโปเลียนถูกเนรเทศไปใช้ชีวิตที่เกาะ St. Helena และเช้าของวันที่ 5 พฤษภาคม ปี ค.ศ. 1821 เขาได้กินอาหารเช้าเหมือนในทุกวัน แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือพระองค์ไม่อาจรู้เลยว่านี่คืออาหารมื้อสุดท้ายของพระองค์ เช้านั้นพระกระยาหารเช้าคือ “ตับ เบคอน ขนมปังกระเทียม
“คุณมีเวลาว่างหลังเลิกงานวันละ 20 นาทีไหม ?” เย็นไว้พ่อหนุ่ม ผมไม่ได้ชวนมาเป็นดาวน์ไลน์ขายตรง แต่เป็นห่วงเรื่องสุขภาพ โดยเฉพาะกับผู้ชายอย่างเรา ๆ ที่เต็มที่กับทั้งเรื่องงาน สังคม และคนรอบข้างจนไม่มีเวลาฟิตร่างกายมากนัก เวลาพักก็อยากนอนแล้ว แต่ถ้าปล่อยตัวเองแบบนี้มันก็คงจะเปื่อยเกินไป ถ้าชีวิตของคุณมันช่าง busy เวลาแค่ 20 นาทีมันยังไม่ค่อยมี ไม่เป็นไรครับ ทีมงาน UNLOCKMEN มีทางออกมาแนะนำกัน สำหรับคนที่ต้องการออกกำลังกายอย่างมีประสิทธิภาพในเวลาน้อยสุด ๆ เรามี 10 ท่าออกกำลังกายสุดเข้มข้นโดยใช้น้ำหนักตัวของร่างกายมาให้คุณเลือกและออกแบบโปรแกรมออกกำลังกายง่าย ๆ ที่ใช้เวลาแค่ 2.30 นาที – 3.00 นาที ก็สามารถเผาผลาญได้ถึง 200 แคลอรี่ วิธีการก็คือ ให้เลือกมา 5 ท่าจากลิสต์นี้ นำมาเล่นท่าละ 30 วินาทีต่อเนื่องกัน ครบทุกท่าใช้เวลาแค่ 2.30 นาที ไม่ก็ถ้าอยากฟิตขึ้นอีกก็เล่นท่าละ 1 นาทีไปเลยก็ได้ เสียเวลาแค่ 5 นาที แลกกับการเบิร์นได้ขนาดนี้ถือว่าคุ้มกำลังสุด ๆ
มีคนเคยเปรียบเปรยไว้ว่าการแสดงความคิดที่ต่างกันก็เหมือนการสวมแว่น เราสวมกรอบที่ต่างกันจึงมีมุมมองต่างกัน แต่ใครจะคิดว่าวันหนึ่งจะมีคนคู่หนึ่งหยิบ “แว่น” จากคำเปรียบที่จับต้องไม่ได้มาสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นจริง ถอดคาแรคเตอร์คนสวมมาสร้างเฟรมแห่งตัวตน ชนิดที่ไม่ว่าจะสวมหรือวางไว้บนโต๊ะก็รู้ว่าเป็นตัวเรา ที่สำคัญมันยังสามารถกลายเป็นมรดกส่งต่อให้คนรอบข้างได้นึกถึงในวันที่เราไม่อยู่ในโลกใบนี้แล้วด้วย เพราะถ้าเก็บรักษาให้ดีก็มีอายุขัยมากกว่าคนสวมเสียอีก! อาร์ท – ชนกันต์ อุโฆษกุล และเฟิร์น – อานิกนันท์ เอี่ยมอ่อง คือ 2 นักดีไซน์ที่จบจากคณะมัณฑนศิลป์ รั้วศิลปากร ทำงานด้านครีเอทีฟและกราฟิกดีไซน์เนอร์ก่อนผันมาเป็นเจ้าของ Arty & Fern Eyewear ร้านแว่นแบรนด์ไทยมากเอกลักษณ์สไตล์ custom-made ร้านที่เปลี่ยนสโลแกนจากการ วัด “สายตา” ประกอบแว่น ให้ no limit ไปอีกขั้นด้วยการ วัด “สไตล์” ประกอบแว่น จนใครก็พร้อมใจเข้าคิวอยากเป็นเจ้าของ เปิดร้านแว่นจากคนนอก “สายตา” แม้หลายคนอาจจะเคยเห็นทั้งอาร์ตและเฟิร์นผ่านสื่ออื่น ๆ แต่สิ่งที่อาจไม่รู้มาก่อนคือ ทั้งคู่เป็นคนที่มีค่าสายตาน้อยมาก ๆ ดังนั้นความหลงใหลเรื่องแว่นที่พาพวกเขาให้ก้าวมาเปิดร้านจึงไม่ใช่เรื่องของทัศนมาตรศาสตร์ หรือเรื่องของการมองเห็นแต่เป็นเรื่องของดีไซน์ล้วน ๆ โดยเริ่มต้นจากความชอบแบบนักใส่นักสะสม ผสมกับความรู้เรื่องการดีไซน์ที่ร่ำเรียน จนกลายเป็นการเล่นสนุกตอบสนองความชอบตัวเองผ่านการทำแว่นไร้สายตาที่พวกเขาชื่นชอบกันอย่าง “แว่นกันแดด” ซึ่งแม้มันจะเป็นก้าวแรกของการสร้างแบรนด์แบบสนุก ๆ ที่ดันรุ่งโดยไม่ตั้งใจ
มีปาร์ตี้ทีไรแก้วแดง ๆ อย่าง “RED PARTY CUP” เป็นอะไรที่ขาดไม่ได้ เอาไว้เพิ่มกิมมิคให้กับงานแบบเก๋ ๆ ซึ่งเป็นที่นิยมไปทั่วโลก เจอได้ทั้งในหนัง MV ดัง ๆ หรือแม้แต่ปาร์ตี้ของวัยรุ่นฝั่งยุโรป มันช่างสะดุดตาและให้ฟีลปาร์ตี้แบบสุด ๆ จนมันแผ่ขยายไปทั่วโลก แต่นั่นแหละถ้ามีกันทุกปาร์ตี้แล้วมันจะพิเศษตรงไหนล่ะทีนี้ เมื่อใคร ๆ เขาก็ใช้กัน งั้นมาลองนี่ “GOLD PARTY CUP” มันมีดียังไง UNLOCKMEN จะพามาดูกัน ทำไมต้อง RED CUP ในงานปาร์ตี้ ? ก่อนจะไปเจอกับแก้วสีทองวิบวับ เราขอเกริ่นให้ฟังสักนิดว่าทำไมงานปาร์ตี้ถึงต้องเป็น RED CUP เจ้าแรกที่เริ่มผลิตแก้วแดงนี้คือ Solo Cup Company ตั้งแต่ปี 1936 นู่นแล้ว แต่ก่อนเนี่ยมันยังไม่ฮิตที่จะเอามาใช้งานจริง ๆ ในปาร์ตี้เลย ใครเอามาใช้ก็คงแปลกพิลึกที่จะมายืนถือแก้วแดง ๆ อยู่คนเดียว แต่แล้วมันก็มาแพร่หลายได้จากวงการภาพยนตร์ที่เริ่มเอาเข้ามาประกอบฉากงานปาร์ตี้ต่าง ๆ โดยเฉพาะปาร์ตี้ของหนุ่มสาวมหาวิทยาลัยที่สุดเหวี่ยงแบบไม่แคร์โลก โดยภาพยนตร์เรื่องแรกที่นำมาใช้ จะเป็นเรื่องไหนไปไม่ได้ นอกจาก American Pie ที่สุดของความหรรษาในชีวิตวัยรุ่น หลังจากนั้นจึงเริ่มแพร่หลายมาเรื่องอื่น ๆ
“อกหักครั้งสุดท้ายคือเมื่อไหร่ แล้วผ่านมันมาได้อย่างไร?” ไม่ว่าตอนนี้จะเป็นผู้ชายที่กำลังอกหัก ผู้ชายที่กำลังมีความรัก หรือผู้ชายที่โสดอย่างเป็นสุข UNLOCKMEN ก็เชื่อว่าทุกคนต้องเคยผ่านช่วงเวลา “อกหัก” มาแล้วเท่านั้น จำได้ไหมว่ามันโคตรทรมานแค่ไหน ทั้งคิดถึง ทั้งอยากกลับไปเป็นเหมือนเดิม ทั้งโหยหา เราแค่อยากจะบอกว่าอาการเหล่านั้นไม่ใช่จินตนาการมั่ว ๆ ของเราเอง แต่ เฮ้ย มันมีเหตุผลที่เกี่ยวกับกลไกในสมองมาเกี่ยวด้วยว่ะ Guy Winch นักจิตวิทยาเจ้าของหนังสือชื่อ How to Fix a Broken Heart บอกเลยว่าอาการอกหักไม่ใช่อาการมั่ว ๆ แต่เป็นอาการคล้ายกับการ “ลงแดง” จากการเสพยา เพราะเมื่อเราถูกตัดขาดจากความสัมพันธ์สุดโรแมนติก กลไกในสมองเราจะไปกระตุ้นการทำงานแบบเดียวกับสมองของคนที่เลิกยาเสพติดอย่างโคเคนเลยทีเดียว แต่ก็ใช่ว่าจะไร้ทางออก แม้จะถูกสาวทิ้งจนแทบลงแดงตาย UNLOCKMEN ก็ยังอยู่ข้างกายผู้ชายทุกคนเสมอ และนี่คือหนทางเอาตัวรอดจากการลงแดง เอ้ย การอกหักที่เรานำมาฝากกัน ปาโซเชียลมีเดียทิ้งไป เป็นผู้ชายแมน ๆ อย่าให้ความคิดเกี่ยวกับ “เธอผู้เป็นอดีต” คนนั้นมาทำให้เราเสียสมาธิได้ และหนทางที่จะทำให้ผู้ชายอย่างเราเสียสมาธิมากที่สุดหนทางหนึ่งก็คือการส่องโซเชียลมีเดียของคุณเธอคนนั้นซ้ำ ๆ อย่าว่าแต่ส่องซ้ำ ๆ เลย ส่องครั้งเดียวก็เป็นภัยอันตรายขั้นสุดยอด เพราะมันจะทำให้เราก้ามผ่านช่วงเวลาแห่งการคิดถึง
ในยุคที่การเป็นคนขี้แซะเหมือนจะคูล เพราะเที่ยวแสดงความคิดเห็นไปทั่วว่าตัวเองมีอารมณ์ขัน ช่างจิกกัด และกำลังต่อต้านอะไรบางอย่างอยู่ UNLOCKMEN ว่าการแซะก็เป็นสิทธิส่วนบุคคลที่พึงจะกระทำได้ แต่ก็เป็นสิทธิของเราเช่นกันที่จะตะโกนในใจว่า “โคตรรำคาญเลยเว้ย!” แซะอะไรนักหนา แถมบางทีที่แซะก็ไม่ตลก ไม่ขำ ไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ เราเข้าใจว่าการอยู่ท่ามกลางสมรภูมิการแซะอันดุเดือด อาจทำให้เรากระอักเลือกตายได้ วันนี้เราเลยเอา 5 วิธีรับมือกับคนขี้แซะมาฝากกัน รุ่นใหญ่ใจต้องนิ่ง วิธีรับมือการแซะอันดับต้น ๆ ก็คืออยู่เฉย ๆ นิ่ง ๆ เข้าไว้ ยิ่งเป็นการแซะผ่านโซเชียลมีเดียที่ไม่รู้ว่าเขาแซะใครยิ่งไม่ต้องหัวร้อนไปอ้าแขนรับโดยคิดว่าเขาแซะเราให้เสียเวลา หรือต่อให้รู้ทั้งรู้ว่าเขาแซะเราก็ปล่อยเขาไปตามมีตามเกิด ถ้าเขาหวังดีอยากให้เราปรับปรุงอะไรจริง เขาคงมาบอกเราตรง ๆ ไม่มัวมาแซะมาแขวะให้ไม่เกิดประโยชน์อย่างนี้ การทำอย่างนี้ก็อาจแปลได้ว่าเขาไม่ได้แซะเรา ปล่อยผ่านไป หรือถ้าเขาแซะเราแต่ไม่มาบอกเราตรง ๆ ก็ยิ่งปล่อยผ่านได้เลย เพราะเขาแค่หวังสนุก ไม่ได้หวังดีแต่อย่างใด! แซะต่อหน้าก็ต้องโต้ตอบกันต่อหน้า แซะผ่านโซเชียลมีเดียก็แล้วไป มันจับมือใครดมไม่ได้ว่าเขาไปเห็นอะไรมา แล้วต้องการพูดถึงอะไรกันแน่ แต่การที่เขาแซะตรง ๆ ในวงสนทนาที่เราก็อยู่ตรงนั้นด้วย แล้วเรารู้สึกว่าไม่ว่ามันจะแซะใครนี่ก็ชักจะเลยเถิดไปแล้ว เราก็จำเป็นต้องบอกเขาอย่างสุภาพที่สุด โดยไม่ต้องดราม่าอะไรสไตล์รุ่นใหญ่ อาจจะพูดยิ้ม ๆ อย่างจริงใจอย่างที่รู้สึกว่า “ผมว่านี่มันมากไป ไม่เห็นตลกตรงไหนเลยครับ” แล้วก็ชวนเขาพูดคุยอย่างไหลลื่นเป็นกันเองต่อไป
การก้าวขึ้นมาเป็นสตั๊นท์แมนแถวหน้าในวงการหนัง Hollywood ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เพราะช่วงเริ่มต้นเข้าวงการ คุณจะเลือกรับงานไม่ได้มากนัก หรือมักได้บทตัวแทนแบบหฤโหด เช่น ตกลงไปในแท่นเจาะน้ำมัน ถูกเตะเข้ากลางลำตัว ไปจนถึงโดนจับโยนออกจากหน้าต่างบ้าน นั้นคือสิ่งที่ Bobby Holland Hanton ต้องพบเจอเมื่อเริ่มต้นอาชีพ ก่อนจะกลายมาเป็นที่ต้องการตัวเป็นอย่างมาก หลังจากมีผลงานการแสดงแทนพระเอกแนวหน้าอย่าง Daniel Craig : James Bond , Chirstian bale’s : Batman และ Chris Evan : Captain America ล่าสุด Hanton รับเป็นสตั๊นท์แมนในบทบาท ของ Thor ให้ Chris Hemsworth ทั้งใน Thor : Ragnarok รวมถึง The Avengers : Infinity War อีกด้วย และโปรเจคใหญ่นี้ของ Marvel
หากใครได้ชมหนังซุปเปอร์ฮีโร่ที่กำลังฉายอยู่ในขณะนี้อย่าง Black Panther คงจะได้เห็นฉากการไล่ล่าผู้ร้ายในเกาหลีของตัวเอก T’Challa ที่รับบทโดย Chadwick Boseman ไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเราจะไม่สปอยล์หนังให้เสียอรรถรสไปมากกว่านี้ ทว่าหากใครสังเกตรถสปอร์ตสีน้ำเงินที่ T’Challa ใช้ในการไล่ล่าแล้วรู้สึกสงสัยว่าเป็นรถยนต์ยี่ห้ออะไรกัน ทำไมมันถึงเท่จัง ทำไมมันเท่กว่าชาวบ้านชาวช่อง เราขอเฉลยให้กระจ่างว่ารถคันนั้นคือ Lexus LC 500 ซุปเปอร์คาร์สุดพรีเมี่ยมจาก Lexus นั่นเอง โดยวันนี้ UNLOCKMEN จะมาแนะนำรถคันนี้แบบเจาะลึกถึงรายละเอียด Lexus LC 500 เริ่มต้นตัวต้นแบบอย่าง LF-LC ซึ่งเปิดตัวในงาน Detroit Autoshow เมื่อปี 2012 ด้วยรูปลักษณ์เส้นสายที่มีมาจาก LFA ซุปเปอร์คาร์ชื่อดังในอดีตโดยทีมออกแบบอย่าง Calty Design ทำให้ LF-LC ได้รับความสนใจมากพอสมควร จนได้ชื่อว่าจะเป็นตัวตายตัวแทนถัดไปของ LFA ด้วยกระแสตอบรับระดับดีมากนั้นทำให้ทาง Lexus อนุมัติไฟเขียวให้เริ่มการพัฒนาจากรถต้นแบบเพื่อผลิตวางจำหน่ายใช้งานจริง จนได้ LC 500 ที่มีดีไซน์ไม่ต่างจากตัวต้นแบบอย่าง LF-LC มากนัก ซึ่ง