หลังจบ ‘GARAGE’ พื้นที่ใหม่ที่ UNLOCKMEN ตั้งใจสร้างขึ้น เพื่อให้สหายชาว UNLOCKMEN ทุกคนได้มีโอกาสเยี่ยมเยียน MAN CAVE ของเรา พร้อมมอบประสบการณ์ UNLOCK ในรูปแบบที่ใกล้ชิดมากกว่าการอ่านผ่านตัวหนังสือ เข้ามารวมตัวกันนั่งพูดคุยหรือสัมผัสเรื่องที่คุณไม่เคยรู้ด้วยกันกับเราแบบถึงพริกถึงขิง ซึ่งหนนี้เราว่าด้วยเรื่องของการเอาชนะขีดจำกัดขั้นแรกอย่าง “ความกลัว” ด้วย “ความรู้” ด้านการเงิน กับเรื่องที่ใกล้ตัวที่เราได้ยินมันมาตลอด แต่อาจจะไม่เข้าใจมันอย่างทะลุมากพอ นั่นก็คือ “BLOCKCHAIN” คำจ่อปลายหูที่หลายคนได้ยิน แต่ยังไม่มีโอกาสเข้าใจมันอย่างลึกซึ้ง ส่งผลให้เกิดความกลัวที่จะสัมผัสมัน อาจจะทำให้เราพลาดโอกาสดี ๆ จากเทคโนโลยีใหม่ ๆ ไป บวกกับหลายเสียงที่ e-mail มาถามเราว่า ‘พอจะเข้าใจ Bitcoin แต่ไม่รู้ว่ามันเกี่ยวกับ Blockchain ยังไง มันเกิดจากอะไร มันเป็นของใคร’ พอไม่รู้ก็เลยไม่กล้าลงทุน ในขณะที่ราคา Bitcoin พุ่งไปไกลจนหลายคนตามไม่ทัน คิดได้ดังนั้น เราก็เลยเชิญกูรูด้านนี้โดยเฉพาะ ให้มาอธิบาย พูดคุยกันให้กระจ่าง ด้วยการเชิญคุณ Alan Lee – Blockchain Developer บินตรงดิ่งมาจากสิงคโปร์
สำหรับคนที่เกิดในยุค 70’s – 80’s เป็นต้นมา น่าจะเติบโตพร้อมกับภาพความเท่ของมือกีตาร์วง Rock and Roll ที่ถือว่าหล่อกินเรียบกว่าใครในวง เป็นอาชีพที่เท่สุดยอดกว่าอาชีพใด ทำรายได้ถล่มทลาย สาววิ่งกรี๊ดตามรถตู้เพราะอยากจะโยนตัวเองเอาใส่บรรดามือกีตาร์เหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นความคูลของ Slash กับกีตาร์ Gibson คู่ใจ หรือความเท่ของ The legendary Jimi Hendrix กับกีตาร์ Fender ข้างกาย แต่ใครจะไปคาดคิดว่าปัจจุบัน บริษัทกีตาร์ระดับขึ้นหิ้งทั้ง 2 แบรนด์ กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก เป็นหนี้ก้อนใหญ่มหาศาลและไม่มีทีท่าว่าจะหมุนมาจ่ายทัน เสี่ยงต่อการล้มละลายอย่างสูง ดูเหมือนยุคสมัยนี้จะเป็นยุคแห่งเก้าอี้ดนตรี ใครปรับตัวไม่ทัน ก็มีโอกาสล้มพับได้ทุกราย ไม่ว่าจะเคยยิ่งใหญ่มาแค่ไหน เอาง่าย ๆ ก็คือสิ่งที่เราเห็นจากวงการ Magazine ที่ปิดเล่มล้มกองกันจนเกือบหมดแผง จากการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค ไม่เว้นแม้แต่ในอุตสาหกรรมกีตาร์ที่มี Big Player หลัก ๆ อยู่แค่ 2 แบรนด์ยักษ์ใหญ่ระดับ Iconic อย่าง Gibson และ
กว่าร้อยล้านคนทั่วโลก เป็นสมาชิกของ NETFLIX ผู้ให้บริการ Streaming หนังและซีรี่ส์ยักษ์ใหญ่ของโลก ทุนหนาชนิดที่ว่ามี Original Content เป็นของตัวเองแบบไล่ดูแทบไม่ทัน ส่วนกำไรคงไม่ต้องพูดถึงว่ารายได้จะมหาศาลขนาดไหน เราอาจจะโฟกัสไปที่กำไรจากภาพยนตร์และซีรี่ส์ที่พวกเขาผลิตออกมา แต่ใครจะรู้ว่าจุดที่ช่วยให้ Netflix เซฟเงินได้แบบโคตรเจ๋งปีละหลายล้านดอลลาร์คือการทำ FONT ใช้เอง! วันนี้ UNLOCKMEN จะพามาดูไปพร้อม ๆ กันว่าไอ้ FONT ที่ว่าเนี่ยมันช่วยเซฟเงินมหาศาลขนาดนั้นได้ยังไง “NETFLIX SANS” โลโก้เรียบง่ายที่ทำให้ทุกคนต่างจดจ่อเพื่อรอดูภาพยนตร์ที่กำลังตามมาในไม่กี่อึดใจ หรือภาพปกซีรี่ส์ต่าง ๆ ที่ใช้ฟอนต์ที่เป็นอัตลักษณ์ เรียบ ๆ อ่านง่าย สบายตา แต่ก็เป็นที่จดจำ นั่นคือ “NETFLIX SANS” ที่ถูกดีไซน์โดย Dalton Maag ทีมครีเอทีฟในบริษัทนั่นแหละ แม้ว่าบางเรื่องอาจจะมีฟอนต์ที่เป็นแบบประจำของตัวเองจนเป็นภาพจำไปแล้ว แต่ลองสังเกตดูว่าเรื่องใหม่ ๆ ที่เพิ่งทยอยออกมา หรือแม้แต่ปกจากเรื่องเก่า ๆ (ถ้าใครดู NETFLIX จะสังเกตได้ว่าเรื่องนึงจะมีหลายปก) เริ่มมาใช้เจ้าฟอนต์ “NETFLIX SANS” บ้างแล้ว ทำไมถึงช่วยเซฟเงินได้ ?
ถ้าสังเกตให้ดี ลงลึกไปในจิตใจของผู้ชายอย่างเรา ๆ สิ่งหนึ่งที่พวกเรามีเหมือนกันคือความเป็นเด็กผู้ชายซุกซน ที่ไม่ว่าอายุจะมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยังไม่วายที่จะชอบแกะนู่น แต่งนี่ ต่อนั่น เพื่อสร้างสรรค์ของเล่นคู่ใจให้กลายมาเป็นเวอร์ชันส่วนตัวหนึ่งเดียวในโลกไม่มีใครเหมือน ซึ่งของเล่นที่ผ่านการดัดแปลงมาตลอดช่วงชีวิตของผู้ชายคนหนึ่งนั้น ต่างก็มีมาแล้วทั้ง ตุ๊กตุ่น ตุ๊กตา โมเดลพลาสติก ฟิกเกอร์ รถบังคับ ฯลฯ ต่อเนื่องมาจนถึงเริ่มเป็นหนุ่มวัยรุ่น ไปจนถึงหนุ่มใหญ่ ที่ไม่ว่าใครก็มักจะแพ้ทางมอบความหลงใหลให้กับของเล่นชิ้นใหญ่ที่มาพร้อมเครื่องยนต์กลไก ซึ่งสามารถขับขี่ไปไหนมาไหนได้ กับสิ่งที่เรียกว่าพาหนะคู่ใจ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ หรือมอเตอร์ไซค์ ถ้ามีโอกาสยังไงผู้ชายทั้งหลายก็ไม่พลาดที่จะปรับนู่นแต่งนี่ ทั้งการปรับจูนเครื่องเพิ่มสมรรถนะ รวมไปถึงความสวยงามภายนอก ยังไงก็ขอให้ได้แตกต่างจากของเดิมที่เหมือนกันไปทั่วท้องถนนสักเล็กน้อยก็ยังดี หรือใครที่เล่นใหญ่หน่อยก็เอาซะแทบจำโฉมเดิมไม่ได้ แต่ไม่ว่าจะแต่งมาก แต่งน้อย เป้าหมายปลายทางสุดท้ายคือได้เห็นรถที่เรารักมีความสวยงามในสไตล์ที่เราชื่นชอบ เท่านี้ก็มีความสุขแล้ว ด้วย Insight ที่ชัดเจนนี้ ทางรถจักรยานยนต์ฮอนด้าจึงนำมาคิดต่อยอด ทำการบ้านอย่างดี จนถือกำเนิดออกมาเป็นแคมเปญ “Express Your REBEL” ที่ชูจุดเด่นของมอเตอร์ไซค์ Honda Rebel ซึ่งเป็นรถสไตล์ Custom Bobber ที่สนองนี้ดผู้ชายอย่างเรา ๆ ด้วยการนำไปปรับแต่งเพิ่มเติมได้หลากหลายสไตล์ตามความชอบส่วนตัว โดยยังคงความสวยงามคลาสสิกแบบดั้งเดิมเอาไว้ ซึ่งการจัดประกวดแต่งรถชิงรางวัลมันอาจจะดูธรรมดาไป และไม่สามารถเจาะกลุ่มผู้ใช้งานจริงได้ดีเท่าไหร่นัก เพราะจะดูเหมือนเป็นการประกวดโชว์ของสำหรับสำนักแต่งรถเท่านั้น
เมื่อความสนุก ไม่ได้หยุดแค่ในจอเล็ก ๆ ในมือเรา แต่สามารถเปลี่ยนเป็นสวนสนุกที่ยิ่งใหญ่ ให้เราได้สร้างสรรค์ประสบการณ์ที่สนุกสนาน เพิ่มรอยยิ้มให้กับคนรอบข้างได้ นี่เป็นสิ่งที่มากกว่าการพัฒนาเทคโนโลยี และเป็นการสร้างความสุขสนุกสนานในรูปแบบใหม่ด้วยเทคโนโลยีดิจิตัลอินเตอร์แอคทีฟ เป็นความโชคดีที่ทีมงาน UNLOCKMEN มีโอกาสได้รู้จักหนุ่มไฟแรงอย่าง คุณเกียรติยศ พานิชปรีชา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิท สตูดิโอ จำกัด ผู้นำด้านการสร้างสรรค์เทคโนโลยีโดยเฉพาะการพัฒนาสร้างสรรค์เทคโนโลยีอินเตอร์แอคทีฟสัญชาติไทย ซึ่งมีผลงานเป็นที่ยอมรับในระดับโลก ล่าสุดด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีอินเตอร์แอคทีฟหลากหลายรูปแบบ ประกาศเตรียมเปิดตัว บิท.เพลย์กราวด์ สวนสนุกดิจิทัลอินเตอร์แอคทีฟเต็มรูปแบบครั้งแรกในประเทศไทย หวังเป็นสะพานเชื่อมผู้คนกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ผ่านกิจกรรมที่สนุกสนานไม่รู้เบื่อรวม 10 สเตชั่น เพื่อสะท้อนให้เห็นว่าเทคโนโลยีเป็นได้มากกว่าจอ เผยเตรียมนำผลงานบางส่วนบุกโชว์ที่ ซานฟรานซิสโก และโตเกียว ในเดือนพฤษภาคมนี้ ก่อนจัดหนักจัดเต็ม เปิดตัวเต็มรูปแบบใจกลางกรุงเทพ ณ ศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์ นาน 7 เดือนเต็ม ปักธงเป็นแลนด์มาร์กใหม่ที่คนไทยและต่างชาติจะไม่ยอมพลาด เรามีโอกาสได้พูดคุยกับคุณเกียรติยศ พานิชปรีชา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิท สตูดิโอ จำกัด เกี่ยวกับแนวคิดในการจัดงานครั้งยิ่งใหญ่นี้ “จากความสำเร็จที่ได้รับการยอมรับในต่างประเทศด้านการพัฒนา และการสร้างสรรค์เทคโนโลยีให้กับกลุ่มธุรกิจหรือ B2B ส่งผลให้ บิท สตูดิโอ
พูดได้ว่าในยุคนี้ เป็นยุคที่วงการโฆษณาแข่งขันกันมากที่สุด เนื่องด้วยการเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมากในยุคดิจิตัลนี้ ใครที่สามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางธุรกิจก่อนย่อมได้เปรียบ ล่าสุด CJ / BUYERMINDS ได้เกิดขึ้นจากการจับมือระหว่างสองบริษัทใหญ่อย่าง Digital Creative Agency : CJWORX ( Thailland ) และ Behavioural Design Agency : BUYERMINDS (Netherlands) ให้บริการออกแบบพฤติกรรมผู้บริโภค ผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่เข้าถึงผู้บริโภค เพื่อเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจ โดยใช้หลักจิตวิทยาศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภค ให้กับลูกค้าในไทยและภูมิภาคอาเซียน ซึ่งต้องบอกว่านี่เป็นครั้งแรกในอาเซียนที่ใช้นักจิตวิทยาในการปรับปรุงธุรกิจของลูกค้า ซึ่งพิสูจน์แล้วว่ามียอดขายเพิ่มขึ้น 3X โดยผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น เว็บไซต์ อีเมล โมบาย แอพ UNLOCKMEN มีโอกาสได้ร่วมฟังวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร กับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของวงการ เราจึงไม่พลาดที่จะนำข้อมูลและแนวคิดของผู้บริหารมาแบ่งปัน กระบวนการทำงานของ CJ / BUYERMINDS ทำงานร่วมกันอย่างไร 1. วิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมอินไซต์ของผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง เพื่อทราบเข้าใจสาเหตุ และผลตอบรับของพฤติกรรมต่างๆ
COUNTDOWN ต่อไปอีก 2 อาทิตย์ ก่อน D-day วันที่ 8 เมษายน 2561 ถึงจะได้เวลาปิดไฟว่างรับผู้โดยสารไปตลอดกาลภายใต้แบรนด์สีเทา – ดำ กับโลโก้ตัว “U” ของ UBER เพราะจากนี้ต้องย้ายสำมะโนครัวไปอยู่ใต้อาณัติของ GRAB โดยสมบูรณ์ จากข่าวที่ออกมายืนยันอย่างเป็นทางการและกระฉ่อนที่สุดต้นสัปดาห์นี้ เรื่อง GRAB เข้าเทคโอเวอร์กิจการโซนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้เหี้ยนกับการประกาศการจับมือครอบครัวเดียวกันระหว่าง GRAB และ UBER แต่ครอบครัวนี้เน้นสีเขียวเป็นใหญ่เท่านั้นเอง ชาว UNLOCKMEN คนไหนอยากจะมันส์และไม่ตกข่าวกับกลยุทธ์สุดพิเศษนี้มาตามดู RECAP ให้เป็นเรื่องเป็นราวด้านล่างกัน อุแว้ UBER บ๊ายบายยยย นายอูเบอร์เพื่อนยาก ไหน ๆ นายจะลอกคราบไปเกิดใหม่เป็น GRAB เราก็จะไม่ลืมการมีอยู่ของนาย เพราะก็พึ่งพากันมาแต่ไหนแต่ไร ขอบคุณนะที่ยกระดับการขับขี่แท็กซี่ไทย UBER ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 9 ปีที่แล้ว (ปี 2009) บุกลงสนามแท็กซี่สาธารณะในรูปแบบ niche market หรือตลาดเฉพาะที่เน้นรับลูกค้าหรู
แต่งตัวมอซอไม่ได้แปลว่าจน แต่งตัวดีก็ไม่ได้แปลว่ารวย เรื่องที่สามารถตบตากันได้อย่างนี้อาจทำให้ชาว UNLOCKMEN ทั้งหลายติดกับดักความใจดี ยื่นเงินให้เพื่อนหรือคนรู้จักที่เดินหน้าเศร้า ชีวิตสีเทามาขอยืมเงินต่อไลฟ์สไตล์รวยของตัวเองก็เป็นได้ แถมเวลาทวงก็ทวงยากสิ้นดี เพื่อให้ไม่ต้องเจ็บตัวและสูญเงินในบัญชีแบบเจ็บใจเพราะคนจนไม่จริง วันนี้เราเอาทริคจับกระแสความรวยจากนักวิทย์ที่เผยวิธีจับความรวยที่แล่บออกมาตีแผ่ ชนิดเงินเขา บัญชีใคร เราก็รู้! แต่งตัวดีแค่ไหนก็บอกอะไรไม่ได้ และสุดท้ายบอกตรงนี้เลยว่า “กูไม่ให้ยืม!” วีรบุรุษที่จับกลิ่นเงินที่จะพาเราออกจากสถานการณ์สุดกระอักกระอ่วนนี้คือเหล่านักวิจัยของ University of Toronto ซึ่งพวกเขาพบว่า มันจะไปยากตรงไหน ความรวยความจนมันแปะอยู่บนหน้านั่นแล้วไง แต่มันหมายความว่ายังไงกันแน่ลองไปดูกัน เส้นสถานะการเงินบนใบหน้า จะให้พูดก็ดูจะเหมือนการดูโหงวเฮ้งบนใบหน้านั่นแหละ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเหล่าซินแสทั้งหลายเขาใช้วิธีเดียวกันนี้ไหมเวลาทำนายอนาคต แต่ที่แน่ๆ ทั้ง R. Thora Bjornsdottir – นักศึกษาปริญญาโทและ Nicholas O. Rule – ศาสตราจารย์วิชาจิตวิทยา ที่ทำการวิจัยเรื่องนี้นำรูปภาพ portrait ขาวดำ ของชาย 80 คน และหญิง 80 คนที่มาจากต่างเชื้อชาติ สัญชาติและภูมิหลัง ผิวไม่มีรอยสักหรือตำหนิอะไรให้เป็นที่สังเกตมาใช้ในการวิจัย โดยครึ่งนึงมีรายได้ประมาณ $60,000 หรือประมาณ 1,870,000
เหมือนเป็นธรรมเนียมประจำปีไปแล้วที่ Forbes ต้องจัดอันดับมหาเศรษฐีระดับโลก แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าบรรดาคนมีตังค์ล้นฟ้าเหล่านั้นก็คือบรรดาคนมีตังค์ที่อายุยังน้อย จนเรียกได้ว่าอายุน้อยหลายร้อยหลายพันล้านดอลลาร์ที่แท้จริง โฉมหน้าพวกเขาจะเป็นอย่างไร? และเขาทำอะไรกันบ้าง UNLOCKMEN ชวนมาอัปเดตไว้เป็นแรงบันดาลใจให้ฮึดสู้ฟัดเผื่อจะรวยให้ได้เสี้ยวของเขาขึ้นมาบ้าง สำหรับมหาเศรษฐีที่เด็กที่สุด 3 ลำดับแรกล้วนแต่เป็นชาวนอร์เวย์ สำหรับคนที่เด็กที่สุดนั้นมีอายุเพียง 21 ปีเท่านั้น เธอคือ Alexandra Andresen โดยมีทรัพย์สินจำนวน 1.4 พันล้านดอลลาร์ ส่วนที่เหลือจะเป็นใครบ้างนั้นเราจะพามารู้จักพวกเขาไปพร้อม ๆ กัน John Collison, 27 ปี — $1 พันล้าน John Collison เป็นนักลงทุนชาวไอริชผู้ร่วมก่อตั้ง Stripe ซึ่งเป็นบริษัทออนไลน์เพย์เมนต์ที่ตั้งอยู่ที่ซานฟรานซิสโก John Collison เริ่มมีไอเดียที่จะทำบริษัท Stripe กับพี่ชายของเขาตั้งแต่เรียนอยู่ในวิทยาลัยที่บอสตัน จนกระทั่งบริษัทของเขาก่อตั้งขึ้นได้สำเร็จในปี 2011 ซึ่งขณะนั้นบริษัทยังไม่เป็นที่รู้จักเนื่องจากเขาไม่ได้ขายอะไรที่เป็นสินค้าที่บริโภคได้ แต่เป็นระบบซอฟต์แวร์ที่จะขายให้บริษัททั่วโลกติดตั้งแล้วสามารถทำธุรกรรมออนไลน์ได้ แต่ล่าสุดเขาก็มีลูกค้ากว่า 100,000 รายทั่วโลก และได้รับตำแหน่งมหาเศรษฐีพันล้านที่รวยที่สุดคนหนึ่งไปแล้ว Evan Spiegel, 27 ปี — $4.1
ที่ทำงานของคุณเป็นยังไงบ้าง ? พอเจอคำถามนี้เข้าไป ลองมองไปรอบ ๆ ตัวไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศ การเดินทาง เพื่อนร่วมงาน และหัวหน้า หากคุณรู้สึกไม่โอเคกับสักสิ่ง ก็เป็นสัญญานว่าเริ่มใช้ชีวิตการทำงานลำบากมากขึ้นแล้วล่ะ หากเป็นสภาพแวดล้อมก็ยังพอทนไหว แต่สำหรับคนรอบตัวในที่ทำงานนี่สิที่ยาก จะบอกว่าไม่ต้องสนใจสิวะ! ทำงานของเราไป แต่ถ้าคนนั้นเป็น “เจ้านาย” ล่ะ ? เราคงช่างมันไม่ได้หรอกนะ จะมีปัญหากับใครก็ได้ แต่จะมีปัญหากับเจ้านายไม่ได้! UNLOCKMEN จะช่วยหาทางออกให้สำหรับคนที่เตรียมจะงัดกับหัวหน้าอยู่หลายระลอก ลองสันติวิธีที่ไม่ต้องงัดกันให้เสียความสัมพันธ์กันดีกว่า สังเกตท่าที คุณอาจยังไม่แน่ใจว่าตกลงบอสคิดยังไงกันแน่ ลองสังเกตสิ่งเหล่านี้ดู ด้วยวุฒิภาวะของความเป็นหัวหน้าคงไม่มีใครบอกกันโต้ง ๆ ว่า “เฮ้ย ! ไม่ชอบขี้หน้าคุณเลยว่ะ” แต่อาจจะแสดงออกด้วยท่าทีอย่างอื่นแทน ไม่ว่าจะเป็นภาษากายอย่างสายตา ท่าทาง หรือจะเป็นคำพูด ที่เป็นอะไรที่ดูออกง่ายกว่าพอสมควร ถ้าใครไม่ถูกชะตากับเรา และยิ่งถ้าเป็นหัวหน้า งานในมือคุณก็จะถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษ ลองสังเกตคำพูดประเภท “อย่าลืมนะ ว่าต้องทำนี่ นี่ แล้วค่อยไปนี่” “คุณลองทำแบบนั้นดีกว่ามั้ย?” ถ้าหากคุณรู้สึกว่าถูกเพ่งเล็งนั่นหมายความว่าคุณอาจไม่ได้รับความไว้วางใจให้ทำงานนั้นมากพอ แล้วมาดูวิธีรับมือในข้อต่อไป แสดงความกระตือรือร้น ทุกครั้งที่มีการเริ่มโปรเจกต์ใหม่ แสดงให้บอสเห็นว่าคุณเตรียมตัวมาบ้างแล้ว ทำเท่าที่ทำได้แบบเป็นธรรมชาติของคุณ ไม่จำเป็นต้องมาแน่นปึ้ก 100%
การใช้ชีวิตบนโลกสุดท้าทายใบนี้ต้องใช้ ‘พลังงาน’ มากมายเป็นแรงขับเคลื่อน ต้องใช้ ‘passion’ แรงกล้าในการผลักดันตัวเอง ต้องใช้ ‘ความกล้า’ ขั้นสุดในการเผชิญทุกสิ่งที่ขวางหน้า และต้องมี ‘Positive thinking’ ที่จะช่วยเปลี่ยนพลังจากข้างในให้กลายเป็นความจริงขึ้นมาได้ ทีมงาน UNLOCKMEN มีโอกาสได้พูดคุยกับชายที่มีทุกข้อที่กล่าวมาอย่างเหลือล้น และได้สัมผัสตัวตนทางความคิดของเขาในแบบที่เราไม่เคยรู้มาก่อน จนหายสงสัยไปเลยว่าทำไมชายที่ชื่อว่า ‘วู้ดดี้’ วุฒิธร มิลินทจินดา ถึงได้ทรงพลังขนาดนี้ ทรงพลังขนาดที่ว่า ทุกคนที่ได้อยู่รอบตัวของเค้า จะต้องซึมซับเอาพลังงานบวก เอาแรงบันดาลใจ เข้ามาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าถามว่าคุยกับใครแล้วถึงกับขนลุก พูดแบบไม่โอเวอร์เลยว่า การคุยกับคุณวู้ดดี้ ให้ความรู้สึกแบบนั้นได้จริง ๆ เรารู้จักคุณวู้ดดี้ในฐานะผู้ดำเนินรายการ ‘Woody World’ เรียลลิตี้ทอล์กโชว์สุด exclusive ที่ออกอากาศทุกคืนวันอาทิตย์ เวลา 22.15 – 23.30 น. ทางช่อง Workpoint 23 รวมถึงแพลตฟอร์มอื่นอย่าง Facebook และ YouTube นอกจากนี้ยังมีรายการสร้างแรงบันดาลใจในการเปลี่ยนตัวเองไปในทางที่ดีขึ้นอย่าง ‘คนแปลงร่าง’ ส่วนงานนอกจอที่โดดเด่นก็คือการจัดเทศกาลดนตรี ‘S2O’ อีเว้นต์สุดมันส์วันสงกรานต์ที่ใครหลายคนเคยไป นั้นคือสิ่งที่ทุกคนมองเห็น แต่สิ่งที่เขาเป็นคืออะไร ? “ผมคือนักวิทยาศาสตร์” เรามาเยือนคุณวู้ดดี้ถึงโลกของเขา ที่ บริษัท วู้ดดี้เวิลด์ จำกัด อาณาจักรที่เขากับทีมงานสร้างสรรค์ผลงานออกสู่ภายนอก
สมัครเข้าบริษัทไหน ๆ เขาก็ยืนยันชัดเจนว่าเวลาทำงานต้อง 8 ชัวโมงเป๊ะ บวกกับเวลาพักกินข้าว 1 ชั่วโมง เท่ากับ 9 ชั่วโมงทำงานและพักที่ผู้ชายอย่างเราต้องใช้ไป แต่เคยสงสัยไหมว่าไอ้วิธีการทำงานด้วยสัดส่วนแบบนี้มันเวิร์คจริง ๆ หรือ? มันทำให้ประสิทธิภาพการทำงานพุ่งกระฉูดได้สุดจริงหรือเปล่า? UNLOCKMEN ประกาศตรงนี้เลยแล้วกันว่า “ไม่จริง!” แล้วมันต้องทำงานแบบไหนที่ผู้ชายอย่างเราจะได้งานอย่างจริงจัง? วิธีคิดเรื่องการทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวันไม่ใช่แค่เป็นความคิดสุดล้าสมัย (ที่ใคร ๆ ก็ยังใช้อยู่) แต่ยังไม่ได้ผลการทำงานอย่างเต็มที่อีกด้วย แต่ถ้าเราสงสัยว่า “อ้าว ถ้ามันไม่เวิร์คแล้วมันมีที่มาจากไหนล่ะ?” คำตอบที่จะมอบให้ก็ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยปฏิวัติอุตสาหกรรมช่วง ค.ศ. 1750 ถึง ค.ศ. 1850 นู่นเลย กฎการทำงาน 8 ชั่วโมง ถูกกำหนดขึ้นมาเนื่องจาก แรงงานในโรงงานต้องทำงานห่ามรุ่งหามค่ำอย่างไม่เป็นธรรม การทำงาน 8 ชั่วโมงจึงถูกกำหนดขึ้นมาเพื่อกำหนดการทำงานอย่างมีมนุษยธรรมมากขึ้น แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในปัจจุบันแต่อย่างใด พูดง่าย ๆ ว่าวิธีการทำงานที่คิดขึ้นเมื่อ 2-3 ร้อยปีก่อน นอกจากมันจะไม่เวิร์คแล้ว มันยังฉุดรั้งการทำงานของเราอีกด้วย โดยการศึกษาของบริษัท Draugiem Group