เมื่อความสนุก ไม่ได้หยุดแค่ในจอเล็ก ๆ ในมือเรา แต่สามารถเปลี่ยนเป็นสวนสนุกที่ยิ่งใหญ่ ให้เราได้สร้างสรรค์ประสบการณ์ที่สนุกสนาน เพิ่มรอยยิ้มให้กับคนรอบข้างได้ นี่เป็นสิ่งที่มากกว่าการพัฒนาเทคโนโลยี และเป็นการสร้างความสุขสนุกสนานในรูปแบบใหม่ด้วยเทคโนโลยีดิจิตัลอินเตอร์แอคทีฟ เป็นความโชคดีที่ทีมงาน UNLOCKMEN มีโอกาสได้รู้จักหนุ่มไฟแรงอย่าง คุณเกียรติยศ พานิชปรีชา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิท สตูดิโอ จำกัด ผู้นำด้านการสร้างสรรค์เทคโนโลยีโดยเฉพาะการพัฒนาสร้างสรรค์เทคโนโลยีอินเตอร์แอคทีฟสัญชาติไทย ซึ่งมีผลงานเป็นที่ยอมรับในระดับโลก ล่าสุดด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีอินเตอร์แอคทีฟหลากหลายรูปแบบ ประกาศเตรียมเปิดตัว บิท.เพลย์กราวด์ สวนสนุกดิจิทัลอินเตอร์แอคทีฟเต็มรูปแบบครั้งแรกในประเทศไทย หวังเป็นสะพานเชื่อมผู้คนกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ผ่านกิจกรรมที่สนุกสนานไม่รู้เบื่อรวม 10 สเตชั่น เพื่อสะท้อนให้เห็นว่าเทคโนโลยีเป็นได้มากกว่าจอ เผยเตรียมนำผลงานบางส่วนบุกโชว์ที่ ซานฟรานซิสโก และโตเกียว ในเดือนพฤษภาคมนี้ ก่อนจัดหนักจัดเต็ม เปิดตัวเต็มรูปแบบใจกลางกรุงเทพ ณ ศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์ นาน 7 เดือนเต็ม ปักธงเป็นแลนด์มาร์กใหม่ที่คนไทยและต่างชาติจะไม่ยอมพลาด เรามีโอกาสได้พูดคุยกับคุณเกียรติยศ พานิชปรีชา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิท สตูดิโอ จำกัด เกี่ยวกับแนวคิดในการจัดงานครั้งยิ่งใหญ่นี้ “จากความสำเร็จที่ได้รับการยอมรับในต่างประเทศด้านการพัฒนา และการสร้างสรรค์เทคโนโลยีให้กับกลุ่มธุรกิจหรือ B2B ส่งผลให้ บิท สตูดิโอ
พูดได้ว่าในยุคนี้ เป็นยุคที่วงการโฆษณาแข่งขันกันมากที่สุด เนื่องด้วยการเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมากในยุคดิจิตัลนี้ ใครที่สามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางธุรกิจก่อนย่อมได้เปรียบ ล่าสุด CJ / BUYERMINDS ได้เกิดขึ้นจากการจับมือระหว่างสองบริษัทใหญ่อย่าง Digital Creative Agency : CJWORX ( Thailland ) และ Behavioural Design Agency : BUYERMINDS (Netherlands) ให้บริการออกแบบพฤติกรรมผู้บริโภค ผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่เข้าถึงผู้บริโภค เพื่อเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจ โดยใช้หลักจิตวิทยาศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภค ให้กับลูกค้าในไทยและภูมิภาคอาเซียน ซึ่งต้องบอกว่านี่เป็นครั้งแรกในอาเซียนที่ใช้นักจิตวิทยาในการปรับปรุงธุรกิจของลูกค้า ซึ่งพิสูจน์แล้วว่ามียอดขายเพิ่มขึ้น 3X โดยผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น เว็บไซต์ อีเมล โมบาย แอพ UNLOCKMEN มีโอกาสได้ร่วมฟังวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร กับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของวงการ เราจึงไม่พลาดที่จะนำข้อมูลและแนวคิดของผู้บริหารมาแบ่งปัน กระบวนการทำงานของ CJ / BUYERMINDS ทำงานร่วมกันอย่างไร 1. วิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมอินไซต์ของผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง เพื่อทราบเข้าใจสาเหตุ และผลตอบรับของพฤติกรรมต่างๆ
แต่งตัวมอซอไม่ได้แปลว่าจน แต่งตัวดีก็ไม่ได้แปลว่ารวย เรื่องที่สามารถตบตากันได้อย่างนี้อาจทำให้ชาว UNLOCKMEN ทั้งหลายติดกับดักความใจดี ยื่นเงินให้เพื่อนหรือคนรู้จักที่เดินหน้าเศร้า ชีวิตสีเทามาขอยืมเงินต่อไลฟ์สไตล์รวยของตัวเองก็เป็นได้ แถมเวลาทวงก็ทวงยากสิ้นดี เพื่อให้ไม่ต้องเจ็บตัวและสูญเงินในบัญชีแบบเจ็บใจเพราะคนจนไม่จริง วันนี้เราเอาทริคจับกระแสความรวยจากนักวิทย์ที่เผยวิธีจับความรวยที่แล่บออกมาตีแผ่ ชนิดเงินเขา บัญชีใคร เราก็รู้! แต่งตัวดีแค่ไหนก็บอกอะไรไม่ได้ และสุดท้ายบอกตรงนี้เลยว่า “กูไม่ให้ยืม!” วีรบุรุษที่จับกลิ่นเงินที่จะพาเราออกจากสถานการณ์สุดกระอักกระอ่วนนี้คือเหล่านักวิจัยของ University of Toronto ซึ่งพวกเขาพบว่า มันจะไปยากตรงไหน ความรวยความจนมันแปะอยู่บนหน้านั่นแล้วไง แต่มันหมายความว่ายังไงกันแน่ลองไปดูกัน เส้นสถานะการเงินบนใบหน้า จะให้พูดก็ดูจะเหมือนการดูโหงวเฮ้งบนใบหน้านั่นแหละ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเหล่าซินแสทั้งหลายเขาใช้วิธีเดียวกันนี้ไหมเวลาทำนายอนาคต แต่ที่แน่ๆ ทั้ง R. Thora Bjornsdottir – นักศึกษาปริญญาโทและ Nicholas O. Rule – ศาสตราจารย์วิชาจิตวิทยา ที่ทำการวิจัยเรื่องนี้นำรูปภาพ portrait ขาวดำ ของชาย 80 คน และหญิง 80 คนที่มาจากต่างเชื้อชาติ สัญชาติและภูมิหลัง ผิวไม่มีรอยสักหรือตำหนิอะไรให้เป็นที่สังเกตมาใช้ในการวิจัย โดยครึ่งนึงมีรายได้ประมาณ $60,000 หรือประมาณ 1,870,000
เหมือนเป็นธรรมเนียมประจำปีไปแล้วที่ Forbes ต้องจัดอันดับมหาเศรษฐีระดับโลก แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าบรรดาคนมีตังค์ล้นฟ้าเหล่านั้นก็คือบรรดาคนมีตังค์ที่อายุยังน้อย จนเรียกได้ว่าอายุน้อยหลายร้อยหลายพันล้านดอลลาร์ที่แท้จริง โฉมหน้าพวกเขาจะเป็นอย่างไร? และเขาทำอะไรกันบ้าง UNLOCKMEN ชวนมาอัปเดตไว้เป็นแรงบันดาลใจให้ฮึดสู้ฟัดเผื่อจะรวยให้ได้เสี้ยวของเขาขึ้นมาบ้าง สำหรับมหาเศรษฐีที่เด็กที่สุด 3 ลำดับแรกล้วนแต่เป็นชาวนอร์เวย์ สำหรับคนที่เด็กที่สุดนั้นมีอายุเพียง 21 ปีเท่านั้น เธอคือ Alexandra Andresen โดยมีทรัพย์สินจำนวน 1.4 พันล้านดอลลาร์ ส่วนที่เหลือจะเป็นใครบ้างนั้นเราจะพามารู้จักพวกเขาไปพร้อม ๆ กัน John Collison, 27 ปี — $1 พันล้าน John Collison เป็นนักลงทุนชาวไอริชผู้ร่วมก่อตั้ง Stripe ซึ่งเป็นบริษัทออนไลน์เพย์เมนต์ที่ตั้งอยู่ที่ซานฟรานซิสโก John Collison เริ่มมีไอเดียที่จะทำบริษัท Stripe กับพี่ชายของเขาตั้งแต่เรียนอยู่ในวิทยาลัยที่บอสตัน จนกระทั่งบริษัทของเขาก่อตั้งขึ้นได้สำเร็จในปี 2011 ซึ่งขณะนั้นบริษัทยังไม่เป็นที่รู้จักเนื่องจากเขาไม่ได้ขายอะไรที่เป็นสินค้าที่บริโภคได้ แต่เป็นระบบซอฟต์แวร์ที่จะขายให้บริษัททั่วโลกติดตั้งแล้วสามารถทำธุรกรรมออนไลน์ได้ แต่ล่าสุดเขาก็มีลูกค้ากว่า 100,000 รายทั่วโลก และได้รับตำแหน่งมหาเศรษฐีพันล้านที่รวยที่สุดคนหนึ่งไปแล้ว Evan Spiegel, 27 ปี — $4.1
ที่ทำงานของคุณเป็นยังไงบ้าง ? พอเจอคำถามนี้เข้าไป ลองมองไปรอบ ๆ ตัวไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศ การเดินทาง เพื่อนร่วมงาน และหัวหน้า หากคุณรู้สึกไม่โอเคกับสักสิ่ง ก็เป็นสัญญานว่าเริ่มใช้ชีวิตการทำงานลำบากมากขึ้นแล้วล่ะ หากเป็นสภาพแวดล้อมก็ยังพอทนไหว แต่สำหรับคนรอบตัวในที่ทำงานนี่สิที่ยาก จะบอกว่าไม่ต้องสนใจสิวะ! ทำงานของเราไป แต่ถ้าคนนั้นเป็น “เจ้านาย” ล่ะ ? เราคงช่างมันไม่ได้หรอกนะ จะมีปัญหากับใครก็ได้ แต่จะมีปัญหากับเจ้านายไม่ได้! UNLOCKMEN จะช่วยหาทางออกให้สำหรับคนที่เตรียมจะงัดกับหัวหน้าอยู่หลายระลอก ลองสันติวิธีที่ไม่ต้องงัดกันให้เสียความสัมพันธ์กันดีกว่า สังเกตท่าที คุณอาจยังไม่แน่ใจว่าตกลงบอสคิดยังไงกันแน่ ลองสังเกตสิ่งเหล่านี้ดู ด้วยวุฒิภาวะของความเป็นหัวหน้าคงไม่มีใครบอกกันโต้ง ๆ ว่า “เฮ้ย ! ไม่ชอบขี้หน้าคุณเลยว่ะ” แต่อาจจะแสดงออกด้วยท่าทีอย่างอื่นแทน ไม่ว่าจะเป็นภาษากายอย่างสายตา ท่าทาง หรือจะเป็นคำพูด ที่เป็นอะไรที่ดูออกง่ายกว่าพอสมควร ถ้าใครไม่ถูกชะตากับเรา และยิ่งถ้าเป็นหัวหน้า งานในมือคุณก็จะถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษ ลองสังเกตคำพูดประเภท “อย่าลืมนะ ว่าต้องทำนี่ นี่ แล้วค่อยไปนี่” “คุณลองทำแบบนั้นดีกว่ามั้ย?” ถ้าหากคุณรู้สึกว่าถูกเพ่งเล็งนั่นหมายความว่าคุณอาจไม่ได้รับความไว้วางใจให้ทำงานนั้นมากพอ แล้วมาดูวิธีรับมือในข้อต่อไป แสดงความกระตือรือร้น ทุกครั้งที่มีการเริ่มโปรเจกต์ใหม่ แสดงให้บอสเห็นว่าคุณเตรียมตัวมาบ้างแล้ว ทำเท่าที่ทำได้แบบเป็นธรรมชาติของคุณ ไม่จำเป็นต้องมาแน่นปึ้ก 100%
การใช้ชีวิตบนโลกสุดท้าทายใบนี้ต้องใช้ ‘พลังงาน’ มากมายเป็นแรงขับเคลื่อน ต้องใช้ ‘passion’ แรงกล้าในการผลักดันตัวเอง ต้องใช้ ‘ความกล้า’ ขั้นสุดในการเผชิญทุกสิ่งที่ขวางหน้า และต้องมี ‘Positive thinking’ ที่จะช่วยเปลี่ยนพลังจากข้างในให้กลายเป็นความจริงขึ้นมาได้ ทีมงาน UNLOCKMEN มีโอกาสได้พูดคุยกับชายที่มีทุกข้อที่กล่าวมาอย่างเหลือล้น และได้สัมผัสตัวตนทางความคิดของเขาในแบบที่เราไม่เคยรู้มาก่อน จนหายสงสัยไปเลยว่าทำไมชายที่ชื่อว่า ‘วู้ดดี้’ วุฒิธร มิลินทจินดา ถึงได้ทรงพลังขนาดนี้ ทรงพลังขนาดที่ว่า ทุกคนที่ได้อยู่รอบตัวของเค้า จะต้องซึมซับเอาพลังงานบวก เอาแรงบันดาลใจ เข้ามาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าถามว่าคุยกับใครแล้วถึงกับขนลุก พูดแบบไม่โอเวอร์เลยว่า การคุยกับคุณวู้ดดี้ ให้ความรู้สึกแบบนั้นได้จริง ๆ เรารู้จักคุณวู้ดดี้ในฐานะผู้ดำเนินรายการ ‘Woody World’ เรียลลิตี้ทอล์กโชว์สุด exclusive ที่ออกอากาศทุกคืนวันอาทิตย์ เวลา 22.15 – 23.30 น. ทางช่อง Workpoint 23 รวมถึงแพลตฟอร์มอื่นอย่าง Facebook และ YouTube นอกจากนี้ยังมีรายการสร้างแรงบันดาลใจในการเปลี่ยนตัวเองไปในทางที่ดีขึ้นอย่าง ‘คนแปลงร่าง’ ส่วนงานนอกจอที่โดดเด่นก็คือการจัดเทศกาลดนตรี ‘S2O’ อีเว้นต์สุดมันส์วันสงกรานต์ที่ใครหลายคนเคยไป นั้นคือสิ่งที่ทุกคนมองเห็น แต่สิ่งที่เขาเป็นคืออะไร ? “ผมคือนักวิทยาศาสตร์” เรามาเยือนคุณวู้ดดี้ถึงโลกของเขา ที่ บริษัท วู้ดดี้เวิลด์ จำกัด อาณาจักรที่เขากับทีมงานสร้างสรรค์ผลงานออกสู่ภายนอก
สมัครเข้าบริษัทไหน ๆ เขาก็ยืนยันชัดเจนว่าเวลาทำงานต้อง 8 ชัวโมงเป๊ะ บวกกับเวลาพักกินข้าว 1 ชั่วโมง เท่ากับ 9 ชั่วโมงทำงานและพักที่ผู้ชายอย่างเราต้องใช้ไป แต่เคยสงสัยไหมว่าไอ้วิธีการทำงานด้วยสัดส่วนแบบนี้มันเวิร์คจริง ๆ หรือ? มันทำให้ประสิทธิภาพการทำงานพุ่งกระฉูดได้สุดจริงหรือเปล่า? UNLOCKMEN ประกาศตรงนี้เลยแล้วกันว่า “ไม่จริง!” แล้วมันต้องทำงานแบบไหนที่ผู้ชายอย่างเราจะได้งานอย่างจริงจัง? วิธีคิดเรื่องการทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวันไม่ใช่แค่เป็นความคิดสุดล้าสมัย (ที่ใคร ๆ ก็ยังใช้อยู่) แต่ยังไม่ได้ผลการทำงานอย่างเต็มที่อีกด้วย แต่ถ้าเราสงสัยว่า “อ้าว ถ้ามันไม่เวิร์คแล้วมันมีที่มาจากไหนล่ะ?” คำตอบที่จะมอบให้ก็ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยปฏิวัติอุตสาหกรรมช่วง ค.ศ. 1750 ถึง ค.ศ. 1850 นู่นเลย กฎการทำงาน 8 ชั่วโมง ถูกกำหนดขึ้นมาเนื่องจาก แรงงานในโรงงานต้องทำงานห่ามรุ่งหามค่ำอย่างไม่เป็นธรรม การทำงาน 8 ชั่วโมงจึงถูกกำหนดขึ้นมาเพื่อกำหนดการทำงานอย่างมีมนุษยธรรมมากขึ้น แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในปัจจุบันแต่อย่างใด พูดง่าย ๆ ว่าวิธีการทำงานที่คิดขึ้นเมื่อ 2-3 ร้อยปีก่อน นอกจากมันจะไม่เวิร์คแล้ว มันยังฉุดรั้งการทำงานของเราอีกด้วย โดยการศึกษาของบริษัท Draugiem Group
เมื่อช่วงที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปงานรับปริญญาน้องชายของตัวเอง พอเห็นบรรยากาศแห่งความยินดี ช่อดอกไม้ รอยยิ้มของเพื่อนและคนที่มาแสดงความชื่นชม ก็แอบคิดไม่ได้ว่า ตัวผมก็ผ่านบรรยากาศแบบนี้มา 7 ปีกว่าแล้ว (นั่งนับผมหงอกของตัวเอง) ผมยังจำความรู้สึกในวันรับปริญญาของตัวเองได้ดี ผมคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จในชีวิตไปอีกก้าวหนึ่ง โดยไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจว่าโลกใบใหม่ โลกของความเป็นผู้ใหญ่ โลกของวัยทำงานที่กำลังจะเข้ามา มันจะแตกต่างจากเดิมจากหน้ามือเป็นหลังมือ เล่าเรื่องยาวให้เป็นเรื่องสั้น 7 ปีกว่าที่ผ่านมา โลกแห่งการทำงานมันให้บทเรียนดีๆหลายๆอย่างที่ประเมินค่าไม่ได้กับผม ซึ่งผมว่ามันคงจะดี ถ้ามีคนมาเล่าไอ้เรื่องแบบนี้ให้ผมฟังตั้งแต่แรก เมื่อคิดแบบนี้ เลยรู้สึกว่า เออ งั้นก็เอามันออกมาเล่าให้คนอื่นฟังเลยแล้วกัน จะได้ไม่มีคนมานั่งเสียดายเหมือนผมว่า “น่าจะรู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรก” ซึ่งผมเชื่อมั่นว่าบทเรียนนี้จะช่วยประหยัดเวลาชีวิตและเปิดมุมมองใหม่ๆให้กับคุณได้ไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน ลองไปอ่านกันดู อย่าเลือกงานจากความสามารถที่ตัวเองมี แต่ให้เลือกจากความสามารถที่ตัวเองอยากจะมี ความรู้ที่ได้จากการเรียนไม่เคยเพียงพอต่อการทำงานจริง ในเมื่อมันไม่พออยู่แล้ว จะมีประโยชน์อะไรที่จะเลือกงานจากความสามารถที่ตัวเองมี นื่คือสาเหตุที่คุณควรเลือกงานที่จะช่วยฝึกคุณให้สร้างความสามารถเพิ่มในแบบที่คุณอยากได้แทน จงเข้าใจว่าเงินไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่สุดในตอนเริ่มต้น (ถ้าคุณยังไม่ต้องรับผิดชอบชีวิตของใครหลายคนน่ะนะ) อย่าเลือกงานที่ให้เงินเยอะกว่า จงเลือกงานที่ให้ความสามารถที่ตัวเองต้องการมากกว่า เมื่อมีความสามารถ เงินจะตามมาเอง Passion เป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งของความก้าวหน้าเท่านั้น งานที่เติมเต็มชีวิตต้องประกอบด้วย งานที่คุณอยากทำ + งานที่คุณทำได้ดี + งานที่สร้างประโยชน์ให้ผู้อื่น + งานที่สร้างรายได้ให้เพียงพอกับที่คุณต้องการ ไม่มีความฝัน ความสำเร็จของใครที่เหมือนกัน คุยกับตัวเองให้ดีๆ
มีคนเคยเปรียบเปรยไว้ว่าการแสดงความคิดที่ต่างกันก็เหมือนการสวมแว่น เราสวมกรอบที่ต่างกันจึงมีมุมมองต่างกัน แต่ใครจะคิดว่าวันหนึ่งจะมีคนคู่หนึ่งหยิบ “แว่น” จากคำเปรียบที่จับต้องไม่ได้มาสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นจริง ถอดคาแรคเตอร์คนสวมมาสร้างเฟรมแห่งตัวตน ชนิดที่ไม่ว่าจะสวมหรือวางไว้บนโต๊ะก็รู้ว่าเป็นตัวเรา ที่สำคัญมันยังสามารถกลายเป็นมรดกส่งต่อให้คนรอบข้างได้นึกถึงในวันที่เราไม่อยู่ในโลกใบนี้แล้วด้วย เพราะถ้าเก็บรักษาให้ดีก็มีอายุขัยมากกว่าคนสวมเสียอีก! อาร์ท – ชนกันต์ อุโฆษกุล และเฟิร์น – อานิกนันท์ เอี่ยมอ่อง คือ 2 นักดีไซน์ที่จบจากคณะมัณฑนศิลป์ รั้วศิลปากร ทำงานด้านครีเอทีฟและกราฟิกดีไซน์เนอร์ก่อนผันมาเป็นเจ้าของ Arty & Fern Eyewear ร้านแว่นแบรนด์ไทยมากเอกลักษณ์สไตล์ custom-made ร้านที่เปลี่ยนสโลแกนจากการ วัด “สายตา” ประกอบแว่น ให้ no limit ไปอีกขั้นด้วยการ วัด “สไตล์” ประกอบแว่น จนใครก็พร้อมใจเข้าคิวอยากเป็นเจ้าของ เปิดร้านแว่นจากคนนอก “สายตา” แม้หลายคนอาจจะเคยเห็นทั้งอาร์ตและเฟิร์นผ่านสื่ออื่น ๆ แต่สิ่งที่อาจไม่รู้มาก่อนคือ ทั้งคู่เป็นคนที่มีค่าสายตาน้อยมาก ๆ ดังนั้นความหลงใหลเรื่องแว่นที่พาพวกเขาให้ก้าวมาเปิดร้านจึงไม่ใช่เรื่องของทัศนมาตรศาสตร์ หรือเรื่องของการมองเห็นแต่เป็นเรื่องของดีไซน์ล้วน ๆ โดยเริ่มต้นจากความชอบแบบนักใส่นักสะสม ผสมกับความรู้เรื่องการดีไซน์ที่ร่ำเรียน จนกลายเป็นการเล่นสนุกตอบสนองความชอบตัวเองผ่านการทำแว่นไร้สายตาที่พวกเขาชื่นชอบกันอย่าง “แว่นกันแดด” ซึ่งแม้มันจะเป็นก้าวแรกของการสร้างแบรนด์แบบสนุก ๆ ที่ดันรุ่งโดยไม่ตั้งใจ
ขึ้นชื่อว่า “ความสำเร็จ” มันก็ได้มาโคตรยากจนเลือดตาแทบกระเด็นอยู่แล้ว แต่ว่ากันว่าทันทีที่เท้าก้าวขึ้นไปแตะยอดเขาแห่งความสำเร็จเมื่อไหร่เป็นต้องหนาวยะเยือกไปถึงกระดูกสันหลังเมื่อนั้น สมกับที่เขาว่ากันว่า “ยิ่งสูงยิ่งหนาว” เพื่อนที่เคยร่วมทางมาด้วยกันก็ห่างหาย ไหนจะใครต่อใครที่ต่างกังขาว่าเราสำเร็จมาได้อย่างไร หรืออย่างร้ายที่สุดในชีวิตลูกผู้ชายคือการต้องรับมือกับความอิจฉาจากบรรดาลูกผู้ชายด้วยกันเอง ก่อนจะหดหู่จนไม่อยากก้าวเท้าสู่ความสำเร็จมากไปกว่านี้ UNLOCKMEN อยากเสนอแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ให้ เพราะไม่ว่าอะไรก็ต้องมีหวัง วิธีการรับมือกับความสำเร็จก็เช่นกัน และนี่คือ “5 วิธีอยู่กับความสำเร็จที่ได้มาให้ได้” แม้จะยากแค่ไหนก็ต้องสู้ หนีไปจากคอมฟอร์ตโซนซะ! ความสำเร็จมันก็น่ากลัวสำหรับบางคนเหมือนกัน เพราะบางทีมันก็ทำให้เรารู้สึกว่า “เฮ้ย กูสำเร็จแล้วว่ะ กูพอแล้วดีกว่า” หรือไม่ก็ “อุตส่าห์เหนื่อยมาตั้งนานของพักอยู่เฉย ๆ แล้วกัน” เพราะความสำเร็จทำให้เราเหนื่อยหรือรู้สึกว่าเรามาถึงจุดสูงสุดแล้ว เราจึงมักไม่อยากเปลี่ยนแปลงอะไร อยากอยู่กับที่เพราะคิดว่าของเดิมก็ดีอยู่แล้ว แต่ความจริงการออกจากคอมฟอร์ตโซน การลองอะไรใหม่ ๆ ต่างหากที่จะทำให้คุณอยู่รอดได้บนหนทางแห่งความสำเร็จต่อไป มันจะสอนให้คุณเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เรียนรู้ที่จะผิดพลาดอยู่เรื่อย ๆ และการผิดพลาดอยู่เรื่อย ๆ จะทำให้เราเป็นคนเปิดกว้าง นอบน้อม รับฟังคนอื่นที่แม้ไม่สำเร็จเท่าคุณแต่คุณก็ใจกว้างพอจะเปิดรับเขา เป็นเมนเทอร์ให้คนรุ่นใหม่ ๆ การแบกรับความสำเร็จอยู่บนสองบ่าย่อมถูกคาดหวังว่าต้องแบ่งปันทริค แบ่งปันไอเดียที่จะเป็นหนทางสู่ความสำเร็จไปสู่คนอื่นเป็นธรรมดา เราก็แนะนำว่าทำอย่างนั้นแหละถูกต้องแล้วเพื่อน! นอกจากความคูลแล้ว การเป็นเมนเทอร์ผู้อื่นยังทำให้เราได้ทบทวนตัวเอง ทบทวนหนทางที่ผ่านมา และยังได้ความคิดเห็นเฟรช ๆ ใหม่
แม้ยุคนี้ซีดีอาจไม่ได้รับความนิยมในฐานะสื่อที่เอาไว้ฟังเพลงโดยตรง แต่กลับกลายเป็นของสะสมแทน เพราะยุคนี้เรามี Music Streaming ที่สามารถทำให้เราฟังเพลงได้สะดวกทุกที่ทุกเวลา ก่อนหน้านี้หากใครที่ยังทันเป็นวัยรุ่นในยุคก่อน Streaming Music จะบูมระเบิดระเบ้อแบบนี้ คงพอทราบกันดีว่า แผ่นซีดีเพลง เทปคาสเซ็ต เคยเป็นที่นิยมขนาดไหน โดยเราเคยกล่าวถึงเรื่องนี้แล้วใน “ยอดขายเทปซีดีล้านตลับ” สื่อกลางดนตรีจากนวัตกรรมยุครุ่งเรือง สู่ของสะสมหายากมากมูลค่าในปัจจุบัน วันนี้ UNLOCKMEN จะพาย้อนอดีตกลับไปดูเรื่องราวของ TOWER RECORDS ใครที่เป็นคอเพลงคงยากที่จะไม่รู้จักชื่อนี้ ร้านค้าขายปลีกแผ่นเสียง ซีดี เทปคาสเซ็ต ครอบคลุมทุกแพลตฟอร์มในยุคนั้น เราจะพามาย้อนรอยตั้งแต่สมัยก่อตั้ง รุ่งเรือง และดับสลายแต่ยังคงไว้ซึ่งตำนานและยังคงเป็นที่รักของคอเพลงอยู่เสมอ เช่นเดียวกับ Russ Solomon ที่จากโลกใบนี้ไปเมื่อไม่นานนี้ในวัย 92 ปี ด้วยโรคหัวใจ หลังจากที่ชีวิตเขาได้อุทิศให้กับ TOWER RECORDS ที่เขารัก จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมร้านค้าซีดีร้านหนึ่งจึงกลายเป็นร้านระดับโลกที่มีสาขาอยู่ทั่วทุกมุมโลกได้ จุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ของความยิ่งใหญ่ ทั้งหมดนี้เริ่มต้นในปี 1941 Tower Records ถูกก่อตั้งขึ้นโดย Russ Solomon ในเมืองแห่งหนึ่งในรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งในตอนนั้นเขาอายุเพียง 16 ปีเท่านั้น จริง ๆ ชื่อนี้ตั้งเพื่อ Tributed
ปิดตำนานโจรสลัดโซมาเลียไปหลายลำที่เคยโลดแล่นกลางน่านน้ำแบบละมุนละม่อม ชนิดร่วงกราวกราฟดิ่งลงเหวเมื่อเทียบกับชายฝั่งโซนอื่นอย่างน่าแปลกใจ จนช่วงนี้ไม่ค่อยมีใครได้ยินเรื่องโจรสลัดเจ้านี้สักเท่าไหร่ และคิดว่าคงโดนจัดการจากรัฐบาลที่มีท่านผู้นำสายโหดสักประเทศไปแล้วแน่ ๆ แต่พอตามควันการหายตัวไปจนเจอเฉลย เรากลับเจอเรื่องที่น่าประหลาดใจกว่า เพราะไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นผลงานของผู้ชายที่ชื่อ Kiyoshi Kimura เจ้าของเครือธุรกิจคิโยมูระคอร์ป ซึ่งเป็นประธานร้านซูชิเจ้าดังอย่าง Sushizanmai ลุง Kiyoshi คนนี้เป็นใคร คนทั่วไปอาจจะไม่รู้ แต่ในตลาดปลาซึกิจิ เขาถือเป็นตัวพ่อสุดฮอตใจถึง ที่มักจะ bid หนักสอยปลาราคาแพงที่สุดในโลกเป็นประจำทุกปี โดยมีท่าเท่ ๆ ประจำตัวของ CEO เป็นการผายมือกว้างสองข้างโชว์ปลาทูน่ายักษ์ผ่าโชว์เนื้อแดงสดชวนน้ำลายหกเป็นซิกเนเจอร์ รวมถึงต้นปีที่ผ่านมาลุงก็ยังทำท่านี้ด้วยการเคาะราคา “ปลาทูน่าครีบน้ำเงิน” น้ำหนัก 405 กิโลกรัม ในราคาสูงสุดที่ 36.5 ล้านเยน คิดเป็นเงินไทยแค่เบาะ ๆ 10 ล้านบาทเท่านั้น นอกจากโปรไฟล์การประมูลในหน้าสื่อแล้ว สิ่งที่หลายคนไม่รู้คือ Kiyoshi คนนี้แหละที่ทำให้ตลาด Tsukiji ที่เคยซบเซากลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวโด่งดัง จนผู้คนจากทั่วสารทิศหลั่งไหลมา โดยใช้วิธีรวมนักปั้นซูชิชั้นเลิศและรีโนเวทตลาดใหม่จนโด่งดังอย่างทุกวันนี้ในฐานะ “ตลาดปลาที่ใหญ่ที่สุดในโลก” ญี่ปุ่นถึงโซมาเลีย อ่านไปสองย่อหน้าก็ยังสงสัยว่ามันมาเกี่ยวกันได้ยังไง ความจริงโซมาเลียมันไม่ได้ใกล้ญี่ปุ่น (โซมาเลียอยู่แอฟริกา) ทำไม Kiyoshi ถึงเลือกที่นี่ เหตุเพราะก่อนจะเป็นนักหาปลา