ถ้าหากมีโอกาสได้ลองไปเปิดกรุสมบัติของเหล่านักสะสมนาฬิกา แน่นอนว่าจะต้องมีชื่อ OMEGA รวมอยู่ในคอลเลคชันเรือนเวลาสุดรักเป็นแน่แท้ ด้วยคุณภาพและเรื่องราวที่ถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 170 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งแบรนด์ขึ้นมาที่เมือง La Chaux-de-Fonds ประเทศ Switzerland เมื่อปี 1848 โดยตลอดระยะเวลาเกือบ 2 ศตวรรษ OMEGA ได้สร้างสรรค์นาฬิการะดับตำนานออกมามากมาย และ OMEGA Seamaster Diver 300m ก็เป็นหนึ่งในตำนานแห่งเรือนเวลาจาก OMEGA ที่เหล่าคนรักนาฬิกาทั้งหลายต่างหลงใหล ย้อนไปตั้งแต่จุดเริ่มต้นเมื่อครั้งที่นาฬิกา Seamaster Professional Diver 300m ปรากฏโฉมขึ้นมาเป็นครั้งแรกในโลกเมื่อปี 1993 เครื่องบอกเวลาชิ้นนี้ก็ประสบความสำเร็จในเวลาแค่ชั่วข้ามคืน จากความหลงใหลที่มีต่อการออกแบบตัวเรือน รวมถึงกลไกประสิทธิภาพสูง ผ่านระยะเวลาเพียงไม่นาน เรือนเวลาก็ได้ไปอยู่บนข้อมือของเหล่านักดำน้ำ นักกีฬา นักวิจัย ไม่เว้นแม้แต่ในภาพยนตร์สายลับชื่อดัง และในวันนี้เราจะพาชาว UNLOCKMEN ทุกคนไปย้อนสัมผัสเหตุการณ์ที่เป็นหมุดไมล์สำคัญของช่วงเวลา 25 ปี การเดินทางก้าวแรกสู่ตำนานของ OMEGA Seamaster Diver 300M HOW THE SEAMASTER
นั่งไทม์แมชชีนย้อนสู่ยุค 90 ยุคที่เรายังฟังเพลงจาก Walkman ไม่ใช่ Spotify ยุคที่เรายังดูภาพยนตร์จากวิดิโอหรือซีดีไม่ใช่ Netflix ยุคที่เรายังสื่อสารกันผ่านเพจเจอร์ ไม่ใช่ Facebook แต่แน่นอนว่าพวกเราทุกคนไร้ซึ่งพลังพิเศษ ไม่อาจหวนสู่คืนวันเหล่านั้นได้อีก เช่นเดียวกับ Thomas Ollivier ดีไซน์เนอร์ไอเดียเจ๋งที่ได้รับแรงบันดาลใจจากแนวคิดเหล่านี้ จนนำไปสู่ผลงานการออกแบบที่เห็นแล้วต้องหลงรัก โดยเฉพาะกลุ่ม Gen-X ตอนปลาย Gen-Y ตอนต้นที่ชีวิตช่วงวัยรุ่นอยู่ในยุค 90 ปัจจุบันบริการ Online Streaming ต่าง ๆ คือช่องทางหลักที่เราใช้เสพสิ่งบันเทิงต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหนัง, ซีรีส์ หรือเพลง เมื่อเป็นเช่นนี้ Thomas Ollivier จึงจับ Spotify หนึ่งใน Music Online Streaming ยอดฮิตมาอยู่ในเครื่องเล่นเทปซึ่งเป็นตัวแทนแห่งการฟังเพลงเมื่อยุคสมัยนั้น เช่นเดียวกับ Netflix หนึ่งใน Online Streaming ที่รวบรวมความบันเทิงไว้มากที่สุดในปัจจุบัน ถูกจับแปรสภาพกลายเป็นเครื่องเล่น VCD ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ Y2K โทรศัพท์มือถือยังราคาแพงหูฉี่ ดังนั้นทางเลือกที่ได้รับความนิยมในการติดต่อสื่อสารกับคนอื่นคงหนีไม่พ้นเพจเจอร์ ตรงกันข้ามกับปัจจุบันที่การสื่อสารทำได้ง่ายเพียงแค่ปลายนิ้วจิ้ม นอกจากนั้นยังรวบรวมข่าวสารจากทั่วทั้งโลกมาไว้ภายใต้ตัว F และพื้นหลังสีฟ้า เช่นเดียวกันกับการถ่ายรูปที่ในปัจจุบันทุกอย่างรวดเร็ว เพียงไม่ถึง 1
เทรนด์ดีไซน์ก็ไม่ต่างอะไรกับเพลงและแฟชั่นที่ทุกอย่างมันจะวนกลับมาฮิตใหม่อยู่เสมอ ของสุดเชยในวันนั้นคือของโคตรเจ๋งในวันนี้ ผู้ชายอย่างเราเลยไม่อาจตัดสไตล์ไหนทิ้งได้เลยและยังจำเป็นต้องอัปเดตเทรนด์อยู่เสมอ เพื่อให้งานของเราออกมาเกาะกระแสและขายได้นั่นเอง UNLOCKMEN จะพามาเกาะกระแสเทรนด์ดีไซน์ปี 2018 ที่ฮิตกันตั้งแต่ต้นปีและยังคงแข็งแกร่งลากยาวมาถึงปลายปีนี้ได้ แถมยังจะอยู่ต่อไปได้อีกนาน การจัดวาง TEXT ที่ไร้ขอบเขต เป็นอีกสิ่งที่ปีนี้เราจะสังเกตเห็นได้จากหลายแบรนด์หรืออาร์ตเวิร์ก หันมาวาง Text ที่ฉีกจากรูปแบบเดิม ๆ ไปโดยสิ้นเชิง พอแล้วกับข้อความที่ต้องเรียงเป็นประโยคสวยงาม เทรนด์ในปีนี้ เราสามารถฉีกคำออกจากกันได้โดยใช้ “-” เข้ามามีส่วนร่วม เติมเต็มช่องว่างที่หายไปของคำนั้นและเพื่อให้รู้ว่าคำนี้จะเชื่อมกับคำต่อไป อีกแบบคือ การเว้นช่องไฟของคำให้ห่างเต็มพื้นที่ จนตัวอักษรกลายเป็น Elements หนึ่งของการออกแบบไปแล้ว Illustrations เข้ามาเพิ่มมิติได้ตามใจนึก รูปภาพเป็นอีกองค์ประกอบที่เว็บไซต์จะต้องมี และหลายเว็บฯ มีรูปภาพเป็นองค์ประกอบสำคัญเลยด้วย เรามักจะคุ้นเคยแต่ภาพถ่ายถูกนำมาเป็นส่วนสำคัญของหน้า Home เป็น Header หรือส่วนอื่น ๆ เพราะเรามักจะใช้ภาพถ่ายสื่อสารข้อความบางอย่างออกมา และมันก็ทำหน้าที่นี้ได้ดีมาเสมอ แต่ 2018 นี้ ลองขยับมาเป็นงาน Illustrations กันดู อาจจะไม่ใช่ทั้งหมดของภาพ แต่การมี Illustrations ให้ภาพมีกลิ่นอายของลายเส้น ลวดลายจากการวาด ไม่ว่าจะเป็นงานแนวไหนก็ตาม มาเป็นส่วนหนึ่งจะช่วยให้ภาพนั้นดูเป็นงานทำมือมากขึ้น
“ศิลปะ” ที่เราไม่อาจมีบรรทัดฐานใดไปเทียบเคียงเอาถูกผิด หรือตัดสินอะไรกับมันได้ หากเพราะมันเป็นสิ่งที่เราใช้สุนทรียศาสตร์ในการดื่มด่ำ เสพสิ่งที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมา มันจึงเป็นสิ่งที่สวยงามไม่ว่าจะอยู่ในส่วนใดของชีวิตก็ตาม ถึงอย่างนั้นมันอาจไม่ได้เป็นประเด็นที่ตีตลาดทุกคนในสังคมได้ทั้งหมด มันยังถือเป็นความชอบเฉพาะกลุ่ม (ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร) หลายคนเลยมักจะติดภาพเดิม ๆ ที่ว่าศิลปะไม่ใช่เรื่องสำหรับทุกคน เข้าถึงยาก ต้องเป็นคนอาร์ต แต่ UNLOCKMEN อยากจะพาทุกคนไปรู้จักกับพื้นที่ ที่จะทำให้ศิลปะกลายเป็นเรื่องของทุกคน เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ ที่ “GOOSE LIFE SPACE” พื้นที่ของศิลปะในทุกวันนี้ อาจไม่ได้จำกัดอยู่แค่รูปแบบเดิม ๆ ที่จะต้องเป็นพื้นที่สำหรับ Gallery หรือ Scrupture ที่ทำได้แค่เดินดูเท่านั้น อย่างที่ “Goose Life Space” เป็นพื้นที่สำหรับ Art ในหลายรูปแบบ ด้วยความตั้งใจของคุณมะม่วง วรุตม์ ศรีชัยพฤกษ์ และคุณฟลุ๊ค สมัชชา พ่อค้าเรือ ที่เลือกพื้นที่ตรงนี้ให้เป็นพื้นที่สำหรับ Installation และมีพื้นที่อีกชั้นสำหรับ Live Performance ที่พร้อมรองรับ Performance ทุกรูปแบบ ส่วนความสะดวกสบายในการเดินทางของที่นี่ถือว่าอยู่ในทำเลที่ดีมาก เพราะอยู่ติด BTS สถานีสนามเป้า
จากข้อเท็จจริงที่ว่าผู้คนส่วนใหญ่ใช้เวลา 1/3 ของชีวิตไปกับการนอน จึงแทบปฏิเสธไม่ได้ว่าห้องนอนนั้นถือเป็นอีกพื้นที่สำคัญของชีวิต ซึ่งนอกจากจะทำหน้าที่เป็นห้องสำหรับพักผ่อน ห้องนอนยังเป็นพื้นที่ที่สามารถสะท้อนตัวตนของเราออกมาได้เป็นอย่างดีผ่านเฟอร์นิเจอร์ รวมถึงข้าวของต่าง ๆ ที่เราเลือกใช้ภายในห้อง ด้วยเหตุผลนี้ทำให้ผู้คนทั้งหลาย รวมถึงผู้ชายอย่างเรา ๆ ต่างก็อยากมีห้องนอนในฝันที่ตกแต่งออกมาในรูปแบบที่ตัวเองปรารถนา ในสไตล์ที่เป็นตัวเองอย่างที่สุด แต่ถึงแม้ใจจะอยากแต่งห้องแบบเต็มที่ ก็ใช่ว่าจะจับต้นชนปลายความต้องการในหัวให้ออกมาเป็นรูปเป็นร่างของห้องนอนในฝันได้ชัดเจนขนาดนั้น วันนี้ UNLOCKMEN จึงขอแนะนำ 5 สไตล์การตกแต่งห้องนอนแมน ๆ ให้ออกมาเท่สมใจ เพื่อเป็นจุดตั้งต้นของไอเดียการออกแบบพื้นที่ส่วนตัวอย่างห้องนอนที่ถ่ายทอดความเป็นตัวเองออกมาได้ชัดเจนที่สุด และที่สำคัญคือต้องไม่หลุดคอนเซ็ปต์ความเท่ในแบบที่ผู้ชายอย่างเราต้องการ ไอเดียแรกสำหรับผู้ชายสายคลาสสิก เน้นคุมโทนสีน้ำตาลของพื้นห้อง และเฟอร์นิเจอร์ไม้ ขาดไม่ได้กับโซฟาหนังดี ๆ เอาไว้นั่งอ่านหนังสือสักตัว พร้อมเพิ่มความโดดเด่นสร้างลูกเล่นให้กับห้องไม่ให้ถูกกลืนไปด้วยสีน้ำตาลเพียงอย่างเดียวด้วยการเลือกเตียงนอน หรือ ตกแต่งผนังหัวเตียงในโทนสีเทา ซึ่งให้ความแตกต่างแต่ก็ยังกลมกลืนกับอารมณ์โดยรวมของห้องนอนสไตล์นี้ ถ้าความเรียบง่ายคือรูปแบบการใช้ชีวิตที่โปรดปราน การแต่งห้องนอนแนวมินิมัลคือทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะในความน้อยก็ยังมีความเท่แฝงอยู่ภายใต้ผนังห้องสีเทาเข้มตัดกับสีน้ำตาลอ่อนของเนื้อไม้ที่นำมาตกแต่งกรุเป็นผนังหัวเตียง และสำหรับเฟอร์นิเจอร์ที่เข้ากับห้องนอนแนวนี้เราแนะนำว่าควรหาเฟอร์นิเจอร์เรียบ ๆ ที่ไม่เน้นดีเทลของพื้นผิวและรูปทรงอะไรมากมายมาใช้ พร้อมเพิ่มมิติให้กับห้องด้วยการใช้สีดำเข้ามาแซมในส่วนของกรอบบานประตู, หน้าต่าง หรือไม่ก็โชว์ความติสท์ด้วยกรอบรูปสีดำเรียบ ๆ ก็ดูเท่ไม่ใช่เล่น อีกหนึ่งทางเลือกของหนุ่มสายมินิมัล แต่เพิ่มความอบอุ่นในแบบฉบับนิปปอนขึ้นมาอีกนิด เฟอร์นิเจอร์ รวมถึงผนังหัวเตียงไม้สีอ่อนยังเป็นหัวใจสำคัญหลักในการสร้างอารมณ์ความอบอุ่นเรียบง่ายให้กับห้องนี้ ที่แตกต่างออกไปก็จะเป็นในเรื่องของการเพิ่มสีสันรวมถึงลูกเล่นงานดีไซน์ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ให้ห้องนอนห้องนี้ดูมีรายละเอียดและความขี้เล่นที่เพิ่มมากขึ้น
หนังสือไม่เพียงบอกเล่าเรื่องราวภายใน แต่ยังสะท้อนเรื่องราวของคนอ่านด้วยว่ามีความสนใจเรื่องไหน ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับหนังสือจึงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถแยกขาดจากกันได้ นี่จึงเป็นโอกาสดีที่เราแอบทำโปรเจกต์ลับ ๆ นี้ขึ้นโดย Snapshot หนังสือที่เราพบในสถานที่ต่าง ๆ ที่ไปเยือนและนำมาเล่าสู่กันฟังเพื่อแนะนำต่อให้ชาว UNLOCKMEN ได้อ่านกัน เผื่อใครที่ชื่นชอบไลฟ์สไตล์ของเจ้าของหนังสือจะเห็นมุมมองอีกด้านที่กว้างขึ้น ที่สำคัญมันยังถือเป็นการปลุกกระแสการอ่านหนังสือล็อตเก่าที่ยังคงเจ๋งเสมอไว้ให้เรามีโอกาสไปพลิกอ่านกัน สำหรับครั้งนี้สถานที่ที่เราตามไป Snap คือ Apos the HQ สถานที่ทำงานของ Apostrophys Group แต่บอกก่อนว่าทั้ง 5 เล่มนี้ไม่ได้เป็นการ Recommend จากชาว Apos แต่อย่างใด หากเป็นความคิดเห็นและการคัดเลือกของเราที่คิดว่าน่าสนใจและต้องการนำมาบอกต่อ Very Thai : everyday popular culture เริ่มต้นเล่มแรกด้วยหนังสือปกแข็งสีชมพูแสบสันจำนวน 320 หน้าที่เขียนด้วยภาษาอังกฤษทั้งฉบับ แต่ไม่ได้ยากเกินความเข้าใจ ข้างในเล่มว่าด้วยเรื่องวัฒนธรรมของไทยที่เราเห็นจนชินตา แต่ชาวต่างชาติที่มาไทยแทบทุกคนล้วนต้องอุทานว่า “อย่างนี้ก็มีด้วยเหรอ” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทิชชู่สีชมพูในร้านอาหาร รถแท็กซี่ที่ตกแต่งด้วยการแปะโน่นนี่เต็มรถ ไปจนถึงการจัดชุดอาหารเล็ก ๆ แล้วปักธูปเพื่อบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ความโดดเด่นของเล่มนี้อยู่ที่มุมมองการนำเสนอจากผู้เขียนหนังสือที่เล่าเรื่องพาซื่อจากความเป็นชาวต่างชาติ แต่มีผลกับการปรับมุมมองที่เคยจำเจของเราไปอย่างสิ้นเชิง แถมยังต่อยอดความคิดให้เราตั้งคำถามกับทุกสิ่งรอบตัวได้มากขึ้นด้วย ดังนั้น Very Thai หรือ
BLANCPAIN เปิดตัวนาฬิกา Fifty Fathoms Bathyscaphe Bucherer BLUE EDITIONS ภายใต้ความร่วมมือกับร้านนาฬิกา Bucherer (บุคเคอเรอร์ ) ที่มาในธีมสีน้ำเงินสุดพิเศษ ซึ่งจะมีจำหน่ายเฉพาะที่บูติค และเว็ปไซต์ของร้านนาฬิกาสุดหรูจากเมืองลูเซิร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เท่านั้น บลองแปง และ บุคเคอเรอร์ ถือกำเนิดขึ้นเพื่อสร้างสรรสิ่งที่ดีที่สุดภายใต้ความชำนาญของตนเอง และทั้งสองแบรนด์ต่างก็มีเรื่องราวสำคัญที่เชื่อมโยงกับสีน้ำเงินเช่นเดียวกัน โดยสีน้ำเงินถือเป็นสีไอคอนนิคของบุคเคอเรอร์ ในขณะที่สีนำ้เงินสื่อถึงความหลงใหล และความผูกพันกับโลกใต้ท้องทะเลของบลองแปงที่ถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่การเปิดตัวนาฬิกาฟิฟตี้ ฟาธอมส์ซึ่งถือเป็นนาฬิกาดำน้ำรูปแบบโมเดิร์นเรือนแรกของโลก (First Modern Diving Watch) เพื่อใช้สำหรับการดำน้ำระดับมืออาชีพในปีค.ศ. 1953 ต่อมาในปีค.ศ. 1956 บลองแปงได้พัฒนานาฬิการุ่นบาธีสเคป (Bathyscaphe) สำหรับพลเรือนทั่วไป เหมาะสำหรับการสวมใส่ในทุกสถานการณ์ทั้งบนบก และใต้น้ำ ล่าสุดนับตั้งแต่ปีค.ศ. 2013 เป็นต้นมา บลองแปงได้นำนาฬิการุ่นบาธีสเคปมาตีความใหม่อีกครั้งโดยเสริมด้วยกลไกที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนหลากหลายรูปแบบ ซึ่งรวมไปถึงกลไกฟลายแบ็คโครโนกราฟ (Flyback Chronograph) ที่ได้ถูกเลือกมาเป็นกลไกเพื่อรังสรรนาฬิการุ่น บุคเคอเรอร์ บลู เอดิชั่นส์ ในแง่เทคนิคจักรกลของนาฬิกาฟิฟตี้ ฟาธอมส์ บาธีสเคป บุคเคอเรอร์ บลู เอดิชั่นส์นั้น ใช้กลไกโครโนกราฟ ขึ้นลานอัตโนมัติ
เดินเข้าสู่ปีที่ 50 สำหรับอัลบั้มในตำนานของสี่เต่าทองที่รู้จักกันในชื่อ The White Album เพราะนอกจากต้นสังกัดอย่าง Apple Records จะมีแผนในการ Re-master อัลบั้มออกมาวางขายอีกครั้งในช่วงปลายปีนี้แล้ว พวกเขายังมีโปรเจกต์ปล่อยของที่ระลึกสุดเท่เป็นเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่สร้างเพื่อฉลองครบรอบครึ่งศตวรรษของ Iconic Album ในชื่อ 2Xperience SB Turntable : The Beatles White Album Edition อีกด้วย The White Album คือสตูดิโออัลบั้มที่ 9 ของ The Beatles ถูกปล่อยออกมาครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน ปี 1968 จริง ๆ แล้วชื่อของอัลบั้มคือ The Beatles (เดอะบีเทิลส์) เหมือนชื่อวงแต่เพราะการเปิดตัวพร้อมปกอัลบั้มสีขาวล้วนไร้ลวดลาย แฟนเพลงเลยติดปากเรียกกันว่า The White Album แทน หน้าปกสไตล์ Minimalist ชิ้นนี้ถูกออกแบบโดย Richard Hamilton ศิลปินแนว Modern Art
adidas Originals ร่วมมือกับ Pharrell Williams ร่วมมือกับ Billionaire Boys Club เปิดตัวสนีกเกอร์คอลเลคชั่นพิเศษกับสีสันสุดจี๊ดที่สายสนีกเกอร์ไม่ควรพลาด adidas Originals by BILLIONAIRE BOYS CLUB รองเท้าสีสันใหม่ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากแถบสีสันของเครื่องแบบนักศึกษา นับเป็นครั้งแรกของการร่วมมือระหว่าง Billionaire Boys Club กับ 2 โมเดลเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Pharrell Williams ที่มีความโดดเด่นอย่าง Hu NMD และ Tennis Hu หลังจากที่ adidas Originals ได้เคยร่วมงานกับ Billionaire Boys Club (BBC) มาแล้วด้วยรองเท้าสุดคลาสสิกอย่าง Stan Smith ในครั้งนี้คอลเลคชั่นนับเป็นการนำรองเท้าเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Pharrell Williams ทั้ง 2 รุ่นอย่าง Tennis Hu และ Hu NMD มาผนึกกำลังกับ BBC เป็นครั้งแรก สำหรับ
ผู้ชายทุกคนมีรสนิยมเกี่ยวกับการถ่ายรูปแตกต่างกันออกไป บางคนชอบความรวดเร็ว ความยืดหยุ่นในด้านการใช้งานจากกล้องดิจิทัลสมัยใหม่ แต่ก็มีบางส่วนที่ยังคงหลงใหลในเสน่ห์ของรูปจากกล้องฟิล์มอย่างเหนียวแน่น แต่เพื่อตอบโจทย์คนที่ชอบความเจ๋งของทั้งสองอย่าง จึงมีคนออกแนวความคิดว่าอยากเอากล้องฟิล์มโมเดลคลาสสิกมา Custom รวมกับรูปแบบการล้างภาพในตัวที่รวดเร็วของ Instant Camera ทำให้เกิดเป็น Hasselblad-Instax เครื่องนี้ขึ้นมา Eddie Cohen เจ้าของไอเดียดังกล่าวเป็นนักออกแบบรวมถึงอดีตพนักงานของ Apple Inc. เขาคือชายผู้ชื่นชอบเดินทางถ่ายภาพผู้คนในสถานที่ต่าง ๆ แต่กลับไปเจอปัญหาเมื่อมีคนเข้ามาขอรูปถ่ายจากเขา ซึ่งคงต้องรอให้กระบวนการล้างฟิล์มเสร็จก่อน พูดง่าย ๆ ว่าให้ทันทีเลยไม่ได้ทำให้เขาเกิดไอเดียอยาก Custom กล้องถ่ายรูปที่ตอบโจทย์การใช้งานของตัวเองออกมา โดยวางแผนไว้ว่าจะจับคู่กล้องฟิล์มสัญชาติสวีเดนปี 1950 รุ่น Hasselblad 500C/M มาผสมเข้ากับ Instant Camera ที่ได้รับความนิยมในยุค 90’s อย่าง FujiFilm Instax 9 ขั้นตอนแรกคือศึกษาการทำงานของกล้องทั้งสองตัว Eddie Cohen มองว่า Hasselblad 500C/M มาพร้อมระบบเซ็นเซอร์ตัวรับภาพแบบ Medium Format ที่อาจทำให้ภาพที่ถ่ายออกมามีขนาดไม่พอดีกับฟิล์มแบบ Instant ซึ่งมันต้องเป็นปัญหาเพราะฟิล์มแต่ละม้วนก็ไม่ได้ราคาถูก แถมรูปขนาดเล็กที่ได้มายังบอกเล่าความสวยงามของสิ่งที่ถ่ายได้ไม่เพียงพออีก จึงต้องทำการปรับแต่งตัวโหลดฟิล์มของ FujiFilm Instax 9 ให้มีขนาดการรับภาพเหมาะกับตัวรับภาพจากกล้อง แต่ก็ติดปัญหาความพอดีเพราะอุปกรณ์ทั้งสองชิ้นซึ่งไม่ได้ถูกสร้างเพื่อใช้งานร่วมกัน หลังลงมือวัดขนาดส่วนประกอบทั้งสองชิ้นให้รู้ความกว้าง-ยาวจนได้ตัวเลขที่เหมาะสมแล้ว
นัดเจอลูกค้า เดตกับสาว กำหนดส่งงาน ธุระส่วนตัว ซื้อของเข้าบ้าน และงานอื่น ๆ อีกมากที่เข้ามาพร้อมกันจนเราหัวหมุน จัดระเบียบชีวิตตัวเองไม่ทัน ลองมากางตารางเวลาอันยุ่งเหยิงของเราแล้วจัดมันให้เข้าที่เข้าทางด้วย Planner หากหลายแบบทั้ง Daily, Weely, Monthly หรือยาว ๆ ตลอดปีไปกับ Yearly ที่จะมาช่วยให้ทุกอย่างคลี่คลายและเป็นระเบียบ เหมือนเอกสารที่เคยกองพะเนิน ได้ถูกจัดเข้าที่เข้าทางตามแบบที่ควรจะเป็น ทีนี้จะนัดไหน งานอะไร เราก็จะไม่หลงลืมหรือมาไฟลุกเอาช่วงใกล้ถึงเวลาอีกต่อไปแล้ว UNLOCKMEN สนับสนุนให้ผู้ชายได้ใช้ชีวิตแบบมีกึ๋นด้วย Planner แจกฟรี ที่เรารวบรวมมาให้ เป็นแบบ Printable สำหรับหนุ่มคนไหนที่ยังชอบอะไรแบบ Manual แต่สำหรับใครที่ชอบความสะดวกสบาย เราจะมาแนะนำแอปฯ สำหรับสมาร์ตโฟนในคอนเทนต์หน้า Canva เว็บฯ นี้เป็นเว็บไซต์ที่เราอยากแนะนำสำหรับคนที่ชอบดีไซน์เจ๋ง ๆ เพราะมีหลากหลายสไตล์ให้เลือกเอาตามความชอบ ไม่ว่าจะเป็น To Do List, Planner, Schedule ที่เราสามารถดัดแปลงให้เป็นหมวดอื่น ๆ ได้เช่นตารางการกิน การออกกำลังกาย สารพัดการจดโน้ต ให้เราได้ Custom
หลังจากอวดโฉมครั้งแรกไปแล้วในงาน Pebble Beach เมื่อกลางปีที่ผ่านมาล่าสุดค่ายรถสัญชาติอิตาลี Ferrari ก็ตัดสินใจเปิดสเปคทั้งหมดของรถซุปเปอร์คาร์คันใหม่ล่าสุด FERRARI 488 PISTA SPIDER โมเดลพัฒนาต่อจาก 488 SPIDER ที่ออกมาสู่ตลาดก่อนหน้านี้ ในระหว่างจัดแสดงในงาน PARIS MOTOR SHOW 2018 มาดูกันว่ารูปแบบสมบูรณ์ที่ถูกพัฒนาเสร็จแล้วจะออกมาถูกใจพวกเรามากแค่ไหน FERRARI 488 PISTA SPIDER ถือเป็นซุปเปอร์คาร์รุ่นที่ 50 ของค่าย Ferrari ซึ่งเป็นเหมือนเวอร์ชันพัฒนาแล้วของรถตระกูล 488 ที่หยิบจับส่วนดีของรถคันอื่น ๆ มาปรับปรุงและแต่งเติมไว้ในคันเดียว เริ่มจากหัวใจสำคัญอย่างเครื่องยนต์ 488 PISTA SPIDER V8 Twin-Turbocharged 3.9-liter ที่ให้กำลังมากถึง 720 แรงม้า ซึ่งเป็นบล็อคเครื่องที่ผ่านการรีดน้ำหนักให้น้อยลง แต่ยังคงประสิทธิภาพด้านความเร็วเอาไว้ครบถ้วน โดยเปลี่ยนกระบอกลูกสูบให้บางยิ่งขึ้น รวมถึงใช้เพลาข้อเหวี่ยงและ flywheel เป็นไทเทเนียมพ่วงกับชุดวาล์วและสปริงแบบพิเศษ ทำให้มีน้ำหนักเบากว่าเครื่องต้นแบบถึง 19 กิโลกรัม แต่แข็งแรงปลอดภัย พร้อมรองรับแรงบิดมหาศาลได้มากกว่าเดิม 488 PISTA SPIDER สั่งงานชุดเกียร์แบบ F1