ไม่ปล่อยให้รอนาน หลังจากเปิดโปรเจ็คต์ adidas x Dragonball Z พร้อมภาพโปรโมตรองเท้าสองรุ่นก่อนหน้านี้อันได้แก่ Frieza edition และ Cell edtion ออกมายั่วน้ำลายสาวกการ์ตูนปล่อยพลังคลื่นเต่าสุดฮิตในช่วงทศวรรษที่ 80s – 90s ล่าสุดพวกเขาก็ได้ส่งรองเท้ารุ่นใหม่ออกมากระหน่ำให้แฟน ๆ ได้ฮือฮากันอย่างต่อเนื่อง นั่นคือ ‘Dragon Ball Z’ x adidas Kamanda “Majin Buu” โดยรองเท้ารุ่นดังกล่าวเป็นการนำคาแรคเตอร์ตัวร้ายคนสุดท้ายของ Dragon Ball ภาค Z อย่างจอมมารบู มาเป็นแรงบันดาลใจสำหรับการผลิตรองเท้ารุ่นพิเศษนี้ โดยจากภาพโปรโมตก็จะเห็นได้ว่า ทาง adidas ได้ทำการนำรองเท้ารุ่น Stan Smith มาปรับเปลี่ยนบริเวณลิ้นรองเท้า และ Outsole ใหม่ให้มีความแตกต่าง จากรุ่นปกติ อีกทั้งพวกเขาได้ใช้จุดเด่นจากสีของตัวละคร ไม่ว่าจะเป็น ชมพู ม่วง เหลือ ดำ มาเล่นลวดลายสลับกันไปตามบริเวณส่วนต่าง ๆ ซึ่งพอดูแล้วก็สามารถรับรู้ได้ทันทีว่านี่คือคาแรกเตอร์ของตัวละครจอมมารบูที่เราคุ้นเคย ซึ่งทาง
เรียกว่าเป็นปีทองแห่งการ Collab ของแบรนด์ Street Fashion โดยแท้จริง ความคืบหน้าของข่าวช่วงปลายเดือนธันวาคม ที่มีเสืองลือว่า adidas จะทำ Dragon Ball Z collection ออกมาให้ผู้ชายวัย 30+ อย่างพวกเราต้องเก็บสะสมอย่างไม่มีทางเลือก พร้อมเปิดเผยว่าจะทำออกมาทั้งหมด 7 รุ่น เพื่อ represent Dragon Ball 7 ลูก แต่วันนี้มีความคืบหน้าจาก SneakerNews ออกมาเพิ่ม ทำให้เรารู้ว่ารองเท้า adidas x Dragon Ball Z นั้นจะมีทั้งหมด ‘8 รุ่น’ ไม่ใช่ 7 รุ่นอย่างที่รายงานก่อนหน้านี้ เป็นการแทน 8 ตัวละครหลักในการ์ตูนความยาวสามชาติเรื่องนี้ ด้วยการเปิดตัว Frieza edition และ Cell edition ออกมาพร้อม ๆ กัน คู่แรก Frieza edition
หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า นอกจากเจนีวาแล้ว เมืองเบียล ก็เป็นอีกต้นกำเนิดแห่งวิถีประเพณีดั้งเดิมแห่งการประดิษฐ์เครื่องบอกเวลาของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และเป็นศูนย์กลางสำคัญของอุตสาหกรรมการผลิตเรือนเวลามาจนถึงทุกวันนี้ ก้าวแรกของแบรนด์นาฬิกาอิสระอย่าง Azimuth ก็เริ่มต้นขึ้นที่นี่เช่นกัน ด้วยคอนเซ็ปต์ในการเป็นนาฬิการูปแบบเฉพาะตัวที่ผสานดีไซน์อันยอดเยี่ยม นวัตกรรมอันทันสมัย และประเพณีดั้งเดิมแห่งการประดิษฐ์เรือนเวลาของสวิส เข้าด้วยกันอย่างลงตัว สำหรับใครที่รู้สึกว่าชื่อแบรนด์ไม่ค่อยคุ้นหู ที่จริงแล้วเรือนเวลาแบรนด์นี้มีประวัติและเทคโนโลยีการผลิตที่ละเอียดอ่อนไม่แพ้แบรนด์ไหนในโลก แม้จะเป็นนาฬิกาสวิส แต่ผู้ให้กำเนิดแบรนด์และก่อตั้งโรงงานผลิตนาฬิกา Azimuth ขึ้นที่เมือง เบียล ตั้งแต่ปี ค.ศ.2004 เป็นต้นมานั้น ไม่ใช่ชาวสวิส แต่เป็นชายผู้หลงใหลในเครื่องบอกเวลาชาวเอเชีย 2 ท่าน Alvin Lye กับ Christopher Long ทั้งสองท่านนี้เป็นผู้คร่ำหวอดมากประสบการณ์ในวงการนาฬิกา ทั้งในแง่ของการสะสม และการเป็นผู้จำหน่าย ซึ่งไม่เพียงพอสนองความต้องการที่แท้จริงของเขาทั้งคู่ได้ เพราะทั้งสองต่างประสงค์ที่จะสร้างนาฬิกาในอุดมคติขึ้นมาเอง ด้วยความที่ไม่มีนาฬิกาแบรนด์ใดตอบโจทย์คุณสมบัติที่พวกเขาต้องการให้มีได้ โปรเจ็คต์การก่อตั้งแบรนด์และโรงงานนาฬิกาของพวกเขาจึงก่อกำเนิดขึ้นโดยเลือกคำว่า Azimuth ซึ่งเป็นชื่อเรียกระยะคำนวณของเส้นขอบฟ้าจากตำแหน่งใด ๆ บนโลก มาเป็นชื่อแบรนด์ ด้วยเป็นความหมายแห่งการแสวงหาความรู้ทางปัญญาของมนุษย์ อีกทั้งคำนี้ยังมาจากรากศัพท์ภาษาอารบิก ที่หมายถึงเส้นทางที่นักเดินทางข้ามผ่านซึ่งก็เป็นความหมายที่โดนใจพวกเขาเช่นกัน ส่วนโลโก้ของแบรนด์มาจากลักษณะของแฮร์สปริง ที่เปรียบได้กับการเต้นของหัวใจแห่งกลไกจักรกล ซึ่งเป็นการบ่งบอกถึงความมุ่งมั่นในการผลิตแต่เพียงนาฬิกาจักรกลได้อย่างตรงประเด็นที่สุด ความต้องการสร้างสิ่งที่แตกต่างนั้น คือวัตถุประสงค์หลักในการสร้างนาฬิกา Azimuth ดังนั้นนาฬิกาจาก Azimuth จึงแตกต่างจากนาฬิกาที่พบเห็นกันอยู่ทั่วไป พวกเขาให้อิสระกับทีมออกแบบ
ไม่รู้ว่าอยากจะสร้างกระแส หรือว่าต้องการจะสื่ออะไรสำหรับแบรนด์ fast-fashion ชื่อดังจาก Sweden อย่าง H&M ที่เมื่อไม่นานมานี้ ได้ทำการเปิดตัวคอลเลคชั่นสำหรับเด็กในเครือประเทศสหราชอาณาจักร ซึ่งสินค้าดังกล่าวได้มีรูปภาพเด็กผิวสีสวมเสื้อฮู้ดสีเขียว พร้อมลายกราฟิกข้อความว่า “Coolest Monkey in The Jungle” ที่ชวนให้คิดว่ามันเป็นการจงใจของ Art Director โปรเจคต์นี้หรือเปล่า? เมื่อภาพดังกล่าวเป็นการประกบคู่กับเด็กผิวขาวในเสื้อที่มีคำว่า “Mangrove Jungle, Survival Expert” หลังจากภาพนี้เผยแพร่ออกไปก็เกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักบนโซเชียลมีเดีย ทั้งทาง Twitter และ Facebook เนื่องจากเข้าข่ายการเหยียดสีผิว เพราะความหมายของเสื้อมันสื่อไปในเนื้อหาที่ว่า เด็กผิวสีต้องติดอยู่ในป่า แต่เด็กผิวขาวกลับรอดชีวิตออกมาได้ จนทำให้ H&M ต้องถอนภาพโปรโมตนี้ออกมาจากสื่อโฆษณา รวมถึงบนเว็บไซต์ตัวเองทั้งหมด พร้อมออกแถลงการณ์ขอโทษถึงความรู้เท่าไม่ถึงการ แต่เคราะห์ซ้ำกรรมซ้อนเมื่อ ดารา เซเลบริตี้ผิวสี ทั้งหลายได้ประกาศบอยคอตต์ขอไม่ร่วมงานกับ H&M อีก แม้กระทั่ง The Weeknd ที่เคยมีโปรเจคต์คอลเลคชั่นพร้อมสัญญาก้อนใหญ่กับทางแบรนด์ ยังตัดสินใจใช้ Twitter ส่วนตัวเพื่อประกาศว่า “ผมตื่นเช้ามาแล้วรู้สึกช็อค และละอายใจอย่างมากกับรูปนี้ แต่ผมคงต้องบอกว่าหลังจากนี้คงจะไม่มีการร่วมกับ H&M อีกต่อไป”
การเลือกโทนสีเสื้อผ้าให้เหมาะกับสีผิวนั้น เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ค่อนข้างสำคัญในการแต่งตัวออกมาให้ดูดี เพราะถ้าเกิดคุณเป็นคนผิวขาวมาก ๆ และยิ่งใส่เสื้อผ้าที่ทำให้ดูซอฟ์ทลง อาจจะเป็นการเน้นย้ำความขาวจนออกไปทางซีด ให้คนอื่นพาลคิดได้ว่าคุณกำลังป่วยอยู่หรือเปล่า ซึ่งจริง ๆ แล้ววิธีการเลือกโทนเสื้อผ้านั้นไม่ใช่เรื่องยากสลับซับซ้อนอะไรอย่างที่คิด เพียงแค่คุณต้องรู้จักพิถีพิถันใส่ใจกับไอเทมต่าง ๆ สักนิดหนึ่ง โดยก่อนอื่นต้องมาสำรวจร่างกายว่าอยู่ในลักษณะใด แต่ถ้าใครเกิดยังไม่รู้ต้องเลือกยังไง วันนี้ทีมงาน UNLOCKMEN หาวิธีการเลือกสีของเสื้อผ้าเพื่อให้เหมาะกับสีผิวตัวเองมากที่สุดมาฝากกัน สีผิวนั้นส่งผลกับการแต่งตัวในระดับหนึ่ง มันไม่เกี่ยวกับว่าคุณจะมีสีผิวขาวสว่าง หรือจะผิวเข้มขนาดไหน แต่มันคือการที่เรารู้จัก Balance สีผิวโทนเย็น และโทนอุ่นของตัวเรา ซึ่งการแต่งกายก็เหมือนกับการถ่ายภาพ เพราะอารมณ์จากสีเสื้อผ้าพอมันมาตกอยู่กับผิวก็จะให้อารมณ์ที่แตกต่างกันออกไป เหมือนสีของภาพถ่ายที่โทนเปลี่ยน อารมณ์ก็เปลี่ยน สังเกตเส้นเลือดบริเวณข้อมือ ก่อนอื่นเราจะต้องทำความรู้จักกับสีผิวของตัวเองเสียก่อน ซึ่งหลายครั้งเราอาจจะคุ้นเคยกับการเรียกแบบเหมารวมอย่างเช่น ผิวขาว ผิวเหลือง ผิวเข้ม โดยอันที่จริงแล้ววิธีการเรียกแบบนี้ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง 100 % เนื่องจากการแบ่งแยกตามนี้มักจะมีข้อโต้เถียงมากมาย ขาวแบบไหน คล้ำประมาณไหน ดังนั้นตามหลักแล้วสีผิวของมนุษย์เราสามารถแบ่งออกได้เพียงสามเฉดดังต่อไปนี้ Cool tone หรือเรียกว่าคนผิวโทนเย็น วิธีการให้เราสังเกตที่บริเวณเส้นเลือดใหญ่ของข้อมือจะมีสีน้ำเงิน และสีม่วง โดยผิวของคนผิวโทนเย็นจะเป็นสี ชมพู แดง ซึ่งผิวแบบนี้ไม่ค่อยมีในผู้ชายไทยเท่าไหร่นัก ใครมีถือว่าเป็นแรร์ไอเทมมาก ๆ Warm Tone หรือสีโทนอุ่น
GEL-NIMBUS ถือเป็นรองเท้าซีรี่ส์รุ่นแรก ๆ ที่ถูกออกแบบมาสำหรับนักวิ่งที่มีระยะทางไกล โดยรองเท้ารุ่นนี้ได้รับความนิยมยาวนานถึง 20 ปี และเนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปี ทาง ASICS จึงถือโอกาสเปิดตัวแนะนำคอลเลคชั่นใหม่ในนามว่า GEL-NIMBUS 20 ซึ่งเป็นที่เล่าขานว่าเป็นรองเท้าวิ่งรุ่นที่เบาที่สุดในตระกูล Nimbus ที่ผ่านมา และสิ่งที่พิเศษสุดสำหรับคอลเลคชั่นนี้คือการออกแบบเพื่อรองรับแรงกระแทกอย่างดีเยี่ยม เหมาะสำหรับผู้รักการวิ่งทั้งระยะสั้น และระยะยาวเลยทีเดียว สำหรับฟังก์ชั่นเด่นของ GEL-NIMBUS 20 คือ ความรู้สึกสบายเท้าในทุกก้าววิ่ง ด้วยนวัตกรรมการรองรับทุกแรงกระแทก เพื่อเสริมความมั่นใจ และพาคุณเข้าสู่จุดปลายทางได้อย่างสวยงาม ครบถ้วนทั้งประโยชน์ใช้สอยและความสวยงาม ในวันนี้ GEL-NIMBUS ถือเป็นหนึ่งในตำนานของรองเท้าวิ่งระยะไกลที่รับความนิยมอย่างแพร่หลาย และเลื่องลือในความนุ่มสบายด้วยแผ่นรองรับแรงจากนวัตกรรมของ FlyteFoam ที่ผสมผสานเข้ากับเจลในส่วนบริเวณส้นเท้าออกแบบโดยเฉพาะ GEL-NIMBUS 20 รองรับการกระแทกที่มีประสิทธิภาพสูง และอีกหนึ่งนวัตกรรมใหม่ล่าสุดที่ผนวกเข้ากับคอลเลคชั่นนี้คือ Gradient Jacquard Mesh คือการออกแบบ 3 มิติ เพื่อส่งเสริมการออกแบบที่ลงตัว และพิถีพิถันให้ความโดดเด่นด้านรูปลักษณ์น่าสวมใส่ แต่ก็ไม่ละเว้นการใส่ใจในด้านประสิทธิภาพในการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นความนุ่มเบา สบาย สามารถใส่วิ่งหรือทำกิจกรรมต่างๆได้อย่างคล่องแคล่ว ช่วยปกป้องเท้าคุณจากการบาดเจ็บ ทั้งยังมีการระบายอากาศที่ดี ไม่ทำให้เกิดปัญหากลิ่นอับ
สำหรับนักลงทุน หรือผู้ที่พอจะมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องของตลาดซื้อขายหุ้น อาจจะคุ้นหูกับคำว่า “Panic Buying” หรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่า อาการลนลานเมื่อเห็นราคาตลาดกำลังพุ่งแรง หรือดิ่งจนน่าตกใจก็รีบซื้อหรือขายหุ้นมั่วซั่วโดยไม่ได้ผ่านการเช็ค และตรวจสอบพื้นฐานอย่างถี่ถ้วน สุดท้ายกลายเป็นขายหมู หรือเป็นเม่าชั้นดีติดดอยหนาวเหน็บกันไปก็หลายราย ซึ่งไอ้คำว่า Panic Buying ก็ไม่ได้ถูกบัญญัติใช้เฉพาะวงการหุ้นเพียงอย่างเดียว เพราะมันได้กลายเป็นแนวคิดทางจิตวิทยาอย่างหนึ่ง ที่แม้กระทั่งตามตลาดนัดเองก็ยังมีการนำมาใช้ ลองคิดภาพ mc สาวสวยถือไมค์ประกาศว่า “นาทีทอง สินค้าชิ้นเดียวเราไม่ขาย เราขายสินค้าสองชิ้นในราคาชิ้นเดียว 1 แถม 1 กันไปเลย !!” โดยอันที่จริงแล้วสินค้าดังกล่าว อาจจะไม่ได้เป็นสิ่งของที่ตัวเราต้องการเลยก็ได้ เพียงแต่ด้วยกลยุทธ์ที่ออกมาล่อตาล่อใจ จนทำให้เราต้องใช้จ่ายเงินแบบที่เรียกว่า Panic Buying ทำให้สูญเสียเงินไปไม่ใช่น้อย แต่ถ้าจะเล่าอาการของ Panic Buying ให้เห็นภาพมากยิ่งขึ้นตามแบบทฤษฎี คือการที่ผู้บริโภคต้องตัดสินใจซื้อของบางอย่าง ภายใต้ความกดดัน ไม่ว่าจะเป็นกรอบของเวลา การบีบคั้นด้วยจำนวนสินค้าที่จำกัด หรือสถานการณ์บังคับ จนทำให้นักช็อปปิ้งส่วนใหญ่รู้สึกตื่นตระหนก สูญเสีย และให้ความสำคัญกับการจับจ่ายช่วงเวลาดังกล่าวอย่างมาก เพราะกลัวจะพลาดโอกาสนี้ไป นอกเหนือจากนี้อาการ Panic Buying ยังส่งผลต่อการตัดสินซื้อที่ขาดไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนอีกด้วย โดยเรามีตัวอย่าง 2 กรณีเกี่ยวกับ Panic Buying
เชื่อว่าผู้ชายหลายต่อหลายคน ต่างก็หลงใหลในเสน่ห์แห่งท้องทะเล กับความงดงามของผืนน้ำสีครามที่ส่องประกายระยิบระยับยามเกลียวคลื่นต้องกับแสงแดด รวมถึงผืนทรายขาวละเอียดทอดตัวยาวไกลสุดสายตา และแน่นอนว่าการได้มีโอกาสออกไปล่องเรือยอร์ช ปล่อยใจให้ว่าง เพื่อดื่มด่ำบรรยากาศ สูดกลิ่นอายทะเล คือกิจกรรมในวันพักผ่อนที่ผู้ชายอย่างเรา ๆ ยากที่จะปฏิเสธ ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกของการใช้ชีวิตอิสระ ท่องไปยังท้องทะเลกว้างใหญ่นั้น เป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่ถูกถ่ายทอดมาสู่อีกหนึ่งสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็น Key Piece ชิ้นสำคัญคู่กายผู้ชายแทบทุกคน แทบทุกโอกาส นั่นก็คือนาฬิกา ที่ไม่ได้เป็นแค่เครื่องบอกเวลา แต่มันคือเรือนเวลาที่บ่งบอกตัวตนของผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี ซึ่งตัวแทนแห่งท้องทะเลที่เราพูดถึงนั่นก็คือ OMEGA Seamaster Aqua Terra 15 YEARS OF AQUA TERRA เรือนเวลา Aqua Terra เป็นสมาชิกใหม่ของตระกูล Seamaster ซึ่ง Seamaster นั้นถือเป็นอีกหนึ่งซีรีส์นาฬิกาของ OMEGA ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง และมีเรื่องราวในหน้าประวัติศาสตร์มายาวนานกว่า 69 ปี ส่วนน้องใหม่อย่าง Aqua Terra นั้นถูกเปิดตัวออกมาให้โลกได้ยลโฉมเป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2002 หรือ 15 ปีมาแล้ว ชื่อของ Aqua
ในช่วงหยุดยาวที่ผ่านมา ทีมงาน UNLOCKMEN ได้มีโอกาสคุ้ยกองหนังเก่า ๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ในลังเก็บของกลับมาดูอีกครั้ง เนื่องจากว่างและไม่มีโปรแกรมเดินทางไปไหน จนกระทั่งไปพบ DVD ฝุ่นจับที่ยังคงมีป้ายลดราคาติดอยู่บนกล่องสีดำคุ้นตา นั่นคือ Romeo + Juliet เวอร์ชั่นปี 1996 ที่เป็นการดัดแปลงมาจากวรรณกรรมสุดอมตะของ William Shakespeare ในชื่อเดียวกัน ซึ่งต้องขอยอมรับตามตรงว่าก่อนหน้านี้ เราเคยอ่านบทวิจารณ์มามากมายเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้จดติดภาพว่าเป็นหนังรีเมคธรรมดา แถมเสียงวิจารณ์ค่อนข้างไปทางแย่เสียด้วยซ้ำ ในเรื่องของตัวบท เพราะสำหรับคอหนัง ที่ไม่ชอบอาจจะงงได้ว่าหนังพยายามที่จะดัดแปลงโครงเรื่องให้เข้าใจง่ายขึ้น แต่ดันใส่ภาษาแบบ Shakespeare แบบจัดเต็ม จนคิดว่านั่งเรียนกลอนกวีแบบชาวบ้านทั่วไปไม่เข้าใจกัน แต่เชื่อหรือไม่ว่าพอเรานำกลับมาชมอีกครั้ง ภาพยนตร์เรื่องนี้อาจจะสอบตกในเรื่ององค์ประกอบในการเล่าเรื่อง และตีความต่างจากวรรณกรรม *(สำหรับบางคน) แต่ในแง่ขององค์ประกอบศิลป์ต้องบอกเลยว่า Romeo + Juliet เวอร์ชั่นของ Baz Luhrmann สอบผ่านฉลุย เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องโทนภาพ สไตล์การแต่งตัวแบบ hyper-colorful ทุกอย่างถูกอัดแน่นอย่างลงตัว จนทำให้ Romeo + Juliet ที่นำแสดงโดย Leonardo Dicaprio และ Claire Danes เต็มไปด้วยความฉูดฉาด และเป็นแรงบันดาลใจชั้นดีของศิลปะสมัยใหม่ แฟชั่น
นับเป็นความโชคดีของเหล่าหนุ่ม ๆ ขาช้อปในปัจจุบันที่ศูนย์กลางแฟชั่นของโลกได้ขยับเข้ามาอยู่ใกล้ตัวเรามากยิ่งขึ้น ประเทศ เกาหลี และญี่ปุ่น แทบจะกลายเป็นแลนด์มาร์คสำคัญสำหรับผู้ที่หลงใหลในแฟชั่นต่างพาเหรดกันมาจับจ่ายใช้สอยอย่างเมามันส์ ด้วยสินค้าที่หลากหลาย และความเป็นปัจเจคแตกต่างกันด้วยเอกลักษณ์อันชัดเจน จึงไม่น่าแปลกใจหาก โซล และโตเกียว จะเป็นเป้าหมายสำหรับผู้ที่ชื่นชอบแฟชั่นต้องการเดินทางไปช้อปปิ้งสักครั้งให้จงได้ การเดินทางไปยังสองประเทศนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับชาวไทยอีกต่อ แต่หลายคนมักจะมีคำถามว่าหากเราตั้งเป้าจะเดินไปช้อปปิ้งซื้อเสื้อผ้ารองเท้าเพียงอย่างเดียวระหว่างไป เกาหลี และญี่ปุ่น แบบไหนถึงจะคุ้มค่า และเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของเรามากกว่ากัน? ซึ่งเราเองก็ไม่สามารถฟันธงได้ว่าแบบไหนที่ดีกว่า เพราะทั้งคู่ต่างมีจุดเด่น จุดด้อยที่ต่างกันออกไป ดังนั้นในวันนี้ทีมงาน UNLOCKMEN จึงขอมาอธิบายลักษณะความแตกต่างของแฟชั่น และย่านช้อปปิ้งระหว่างทั้งสองประเทศมหาอำนาจทางแฟชั่นของเอเชียว่าแบบไหนถึงจะเหมาะ แบบไหนถึงจะโดนใจคุณมากกว่ากัน Seoul เราขอเริ่มต้นที่ประเทศเกาหลีใต้ก่อน จากช่วงหลายขวบปีที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าพวกเขาเจริญก้าวหน้าทางศิลปะ แขนงต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว รวมไปถึงแฟชั่นสไตล์การแต่งตัวของหนุ่ม ๆ บ้านเขา จนเราเองไม่สามารถล้อเลียนเหมือนที่ผ่านมาได้อีกแล้ว แฟชั่นของผู้ชายเกาหลีนับว่ามีความสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น หนุ่ม ๆ เริ่มมีการพลิกแพลงเพิ่มลูกเล่นการแต่งตัว อีกทั้งดีไซน์เนอร์ชื่อดังของพวกเขาเริ่มมีการนำ sub-culture ต่าง ๆ เข้ามาประยุกต์ แม้ส่วนใหญ่จะติดกลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่นมาพอสมควร แต่ภาพรวมของผู้ชายประเทศเขาจัดอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมากจนควรเอาเยี่ยงอย่าง สำหรับจุดเด่นของการไปช้อปปิ้งที่โซลจากประสบการณ์ที่เราได้สัมผัสมาคือ สินค้าที่นั้นจะมีราคาค่อนข้างถูก แทบจะไม่ต่างกับราคาเสื้อผ้าในไทยเลย แถมที่สำคัญดีไซน์ยังมีความสวยงามทันสมัย แต่จะค่อนข้างอิงกับกระแสโลก อีกทั้งมีแบรนด์จำนวนไม่น้อยที่มีไลน์สินค้าเฉพาะในประเทศเกาหลี ดังนั้นเราจะพบกับไอเทมที่มีความ
แบรนด์เครื่องหนังหรูระดับโลกจากประเทศสเปน อย่าง LOEWE (โลเอเว่) ที่โดดเด่นในเรื่องความพิถีพิถันของช่างฝีมือชั้นสูง สำหรับคอลเลกชั่นผู้ชายก็โดดเด่นไม่แพ้กัน ในคอลเลกชั่น SPRING/SUMMER 2018 ได้จัดแสดงขึ้น ณ คฤหาสน์ของซัลวาดอร์ ดาลี ศิลปินชาวสเปน ที่เมืองกาดาเกส แคว้นกาตาลุญญา สมุดภาพสำหรับคอลเลคชั่นนี้ได้ถ่ายทำที่นี่เช่นกันซึ่งถือเป็นแรงบันดาลใจสำหรับแนวคิดของการจัดตกแต่งห้องจัดแสดงคอลเลคชั่นประจำฤดูกาลนี้ ณ โชว์รูมโลเอเว่ในซานซุลพิส กรุงปารีส ในคอลเลคชั่นนี้ โลเอเว่หยิบเอาเรื่องราวจากคอลเลคชั่นก่อนมาเล่าอย่างมีชีวิต ด้วยหลากไอเดียผสมผสาน เสน่ห์แห่งชีวิตริมทะเลและตัวละครแห่งจินตนาการในวัยเด็ก ถอดความหมายเป็นผลงานการสร้างสรรค์เสื้อผ้าหลากประเภท ดีไซน์ของกางเกง ขาสั้น เสื้อและกางเกงขายาวนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความหลงใหลในเพศและอารมณ์ผ่อนคลาย ในส่วนของเสื้อผ้าชิ้นคลาสสิกก็ถูกตีความใหม่โดยเน้นการแสดงอารมณ์ที่ลื่นไหล เพราะฤดูนี้ ผู้ชายสไตล์โลเอเว่นั้นพอใจจะโชว์เนื้อหนังมากกว่าเก่า พวกเขาคือเจ้าของหัวใจที่รักการเดินทางโดยแท้ สะสมความทรงจำและที่ระลึกหลากหลายระหว่างทางแล้วนำเอาความงามเหล่านั้นมาสอดแทรกลงบนผืนผ้าจนเกิดเป็นสัมผัสใหม่ที่ทรงพลัง ความเป็นเลิศแห่งงานฝีมือของโลเอเว่นั้นพบได้ตลอดคอลเลกชั่น เสื้อผ้าสปอร์ตแวร์ที่เราคุ้นเคยถูกยกระดับด้วยนวัตกรรมใหม่และเทคนิคงานฝีมืออันละเอียดอ่อน เช่นการประดับซิปที่มีทั้งฟังก์ชั่นและลวดลายทาง การปะผ้าด้วยเทคนิคอัพพลิเก้สุดประณีต และงานปักลายด้วยมือหลากสีสันสดใสบนรองเท้าสลิปเปอร์ เสื้อและกระเป๋า ในส่วนของการคัดสรรเนื้อผ้า ทางแบรนด์เน้นไปที่เนื้อผ้าที่มีฟังก์ชั่นใช้งานได้จริงอย่างผ้าลินิน ผ้าป๊อบลิน และผ้าแคนวาสฟอก ซึ่งถูกประดับด้วยงานปะและการพิมพ์ลายที่ให้อารมณ์สนุกสนาน รวมถึงลวดลายใบไม้ของวิลเลียม มอร์ริส ที่รังสรรค์ขึ้นด้วยเทคนิคการทอแจ็กการ์ดอย่างประณีต ในขณะเดียวกัน ลายเอโธกราฟิกสไตล์ชนเผ่าก็เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่พบได้มากในคอลเลกชั่นนี้ซึ่งโลเอเว่นำมาทำเป็นแถบลายทางบนเสื้อผ้าและเครื่องประดับ นอกจากนี้ยังมีการตกแต่งรูปหัวกระโหลกที่เป็นตัวสรุปใจความแห่งทัศนคติแบบไร้เดียงสาอันเป็นหัวใจสำคัญของคอลเลกชั่นนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ชุดว่ายน้ำที่เป็นคีย์ลุคของคอลเลคชั่นนี้ทำจากหนังกลับแบบยืด อันเกิดจากเทคนิคการทำหนังให้นุ่มและยืดหยุ่นแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นที่ไหนมาก่อน พร้อมมอบโทนสีทองโอโร่ อันเป็นเอกลักษณ์ของโลเอเว่ได้อย่างงดงามและซับซ้อน อีกหนึ่งผลงานที่ต้องกล่าวถึงคือการสร้างสรรค์ชุดสูทที่โลเอเว่นำเสนอเป็นครั้งแรกในคอลเลกชั่นนี้ ทำจากผ้าโมแฮร์ที่ละเอียดและเบา
สำหรับปี 2017 จัดเป็นอีกหนึ่งปีที่วงการรองเท้า sneakers คึกคักเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากแต่ละแบรนด์จะงัดเอาสุดยอดนวัตกรรมล้ำยุคมาแข่งขันกันอย่างดุเด็ดเผ็ดมันส์ ยังไม่รวมการร่วมโปรเจ็คต์ Collaboration ที่ขยันออกมาเอาใจแฟน ๆ แบบเดือนชนเดือนไม่ให้เก็บเงินไปทำอย่างอื่นกันเลยทีเดียว ซึ่งวันนี้ถือเป็นวาระครบรอบปี ทีมงาน UNLOCKMEN จึงได้จัดอันดับรวมรองเท้าสุดเจ๋งแต่ละประเภท จากการคัดสรรของพวกเรา ที่สุดแห่งนวัตกรรม : Nike HyperAdapt 1.0 อนาคตได้เกิดขึ้นจริงแล้ว เพราะหากย้อนกลับไปราว ๆ 30 กว่าปีก่อนเรามีรองเท้าจากภาพยนตร์เรื่อง Back to The Future ที่พระเอก Marty McFly สวมใส่รองเท้าผูกเชือกเองได้ ซึ่งทาง Nike เองก็พยายามพัฒนาเทคโนโลยีให้สามารถเกิดขึ้นจริงได้ตลอดมา แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเสียที จนกระทั่งหลังจาก 30 ปีแห่งความพยายาม Nike ก็สามารถผลิตรองเท้ากีฬาต้นแบบสมัยใหม่ ซึ่งสามารถปรับเชือกรองเท้าได้แบบอัตโนมัติ รวมถึงมีเซนเซอร์ และแบตเตอรี่มอเตอร์ฝังอยู่ในรองเท้า ในชื่อรุ่นว่า Nike HyperAdapt 1 .0 แม้ว่ารองเท้ารุ่นนี้อาจจะยังไม่ได้มีฟีเจอร์ นอกเหนือจากการปรับเชือกอัตโนมัติ แต่นี้ถือเป็นสุดยอดนวัตกรรมแห่งปี 2017