ผ่านไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับงานเปิดตัวของนาฬิการุ่นประวัติศาสตร์อย่าง ซานโตส เดอ คาร์เทียร์ (Santos de Cartier) จากคาร์เทียร์ (Cartier) แบรนด์เรือนเวลาที่มีดีไซน์หรูหราและเป็นเอกลักษณ์ สานต่อเอกลักษณ์ของเรือนเวลาด้วยการผสานความประณีตและความหรูหราที่เป็นตำนานไว้อย่างลงตัว ครั้งนี้ก็เช่นกันกับเรือนเวลาที่เป็นเสมือนตัวแทนบอกบุคลิกอย่าง นาฬิกาซานโตส เดอ คาร์เทียร์ (Santos de Cartier) สำหรับปาร์ตี้แห่งปีของคาร์เทียร์ภายในงานมีศิลปินแนวหน้ามาเพิ่มความมันส์ให้ไม่ขาดตอน อาทิ วง Phoenix, Jamie XX, Nonotak, Hot Chip and Wade Crescent นอกจากนี้ คาร์เทียร์ยังได้จัด Santos Social Labs เป็นเวลา 3 วัน พื้นที่ที่รวม function และดีไซน์เพื่อให้สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีในแบบฉบับของ “ซานโตส” ผู้มีวิสัยทัศน์ เปี่ยมไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ เหล่าผู้สร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้พูดคุย แลกเปลี่ยนเรื่องราวแรงบันดาลใจซึ่งกันและกัน ในหัวข้อของความกล้า ความสำเร็จและการสร้างสรรค์ที่ถูกจัดขึ้นใจกลางเมืองซานฟรานซิสโก แขกรับเชิญผู้ทรงเกียรติจากหลากหลายสาขาต่างพากันเข้าร่วมสุดยอดปาร์ตี้แห่งปีนี้ พร้อมด้วยบรรดาเซเล็บริตี้แถวหน้าจากหลากหลายวงการ อาทิ Jake Gyllenhaal, Sofia
“คนชอบเก็บแผ่นหนังมือสองเยอะมาก แต่มีไม่กี่เปอร์เซ็นต์ที่จะสะสมโปสเตอร์ด้วย” คำพูดจากเจ้าของร้านโปสเตอร์ย่านสยามที่คอหนังหลายคนอาจคุ้นเคยกันดีเมื่อเดินผ่านไปมาแถว ๆ ลิโด้ สะกิดใจให้นึกถึงความเป็นจริงในตอนนี้ หลายคนแม้ว่าจะชอบดูหนัง แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะสะสมโปสเตอร์ไปด้วย ของสะสมเกี่ยวกับภาพยนตร์ในทุกวันนี้มีออกมาหลายรูปแบบมากกว่าแต่ก่อนมาก ไม่ว่าจะเป็น แผ่น BOXSET เสื้อ ฟิกเกอร์ หรือจะเป็นของสะสมจากโรงภาพยนตร์ จนโปสเตอร์กลายเป็นเพียงใบปิดโฆษณาหน้าโรงหนังเท่านั้น วันนี้ UNLOCKMEN จะพามาพูดคุยกับคุณ “สันติ ตันติภัณฑรักษ์” เจ้าของร้านโปสเตอร์หนังที่ชื่อ “หนังคลาสสิค” ถึงความเป็นมาเป็นไปของร้านและความยากที่จะต้องทำให้ของสะสมชนิดนี้ยังยืนหยัดอยู่ได้แม้โลกจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลาแค่ไหนก็ตาม ร้านนี้เปิดในปีเดียวกับที่ภาพยนตร์เรื่อง “Titanic” ได้รางวัล “Best Picture” คือปี 1997 หรือพ.ศ. 2540 และยังคงดำเนินกิจการมาจนถึงปัจจุบันนี้ ถือว่าเป็นเวลานานมากสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจแรกในชีวิตของใครสักคน ใช่แล้ว นี่เป็นการหันมาจับธุรกิจครั้งแรกของพี่ติ เจ้าของร้าน ก่อนจะมาเป็นร้านโปสเตอร์ “ชีวิตก่อนจะมาเปิดร้านนี้เนี่ยค่อนข้างหนักหนามาก ตอนทำงานประจำตอนนั้นเป็นหัวหน้าฝ่ายศิลป์บริษัทนึงแล้วโดนซื้อตัวไปอีกที่นึง เลยซื้อบ้านใหม่ ลงทุนไปกับบ้านแปดแสน แต่เป็นแปดแสนในสมัยนั้นนะ ลองคิดดู พอเดือนเมษายนผมโดนออกจากงาน เลยต้องทิ้งบ้านหลังนั้นไป เพราะมันเป็นภาระ ได้เงินเดือนสี่เดือนที่เขาจ้างออกมาเป็นทุนทำร้านนี้นี่แหละ” จุดเริ่มต้นที่ทำให้หันมาเปิดร้านโปสเตอร์ “ปี 40 เป็นปีที่เกิดวิกฤติในประเทศไทย บริษัทล้มละลาย ธุรกิจเจ๊ง คนต้องออกจากงาน ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น เราก็เรียนมาแค่ปวช. แต่เรารู้ว่าเราชอบดูหนัง ชอบเก็บโปสเตอร์หนัง