หลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นมาบนโลกของเรานั้นล้วนมีที่มาที่ไป ไม่เว้นแม้แต่แนวเพลง เทรนด์การแต่งกาย วัฒนธรรม และไลฟ์สไตล์ต่าง ๆ เช่น ทำไมบางคนถึงมีความรู้สึกคุ้นเคยกับเพลง Grunge อย่างไร้เหตุผล? แต่พอมานึกดี ๆ จึงมารู้ว่า เพราะเราเติบโตขึ้นมาในช่วงยุค 90s ที่ถึงแม้ว่า เราไม่ได้ตั้งใจจะฟัง แต่ด้วยกระแส และเทรนด์ในช่วงนั้น มันประโคมกระหน่ำทั้งเพลงและการแต่งกายให้เราซึมซับเข้าไปอย่างไม่ทันรู้ตัว ดังนั้น วันนี้เราจึงเอาเทรนด์ทั้งดนตรี และแฟชั่นในยุคทองของแต่ละเทรนด์มาให้กับชาว UNLOCKMEN ที่เกิดในทุกยุคทุกสมัยได้เข้าใจ เทรนด์ของคนที่โตมาในยุคสมัยที่แตกต่างกันดู 1960s : British Invasion, Hippies, Woodstock หากคิดถึงแฟชั่นการฟังเพลง และสไตล์การแต่งตัวของศิลปินในช่วงทศวรรษที่ 1960 แน่นอนว่า ทุกคนต้องมุ่งไปที่ Iconic แห่งยุคอย่าง Janis Joplin และ Jimi Hendrix อย่างแน่นอน ในช่วงยุค 1960 ถือเป็นช่วงเวลาที่แฟชั่นการแต่งกาย และดนตรี ได้หลอมรวมกายเป็นหนึ่งเดียว ดนตรี และวิธีชีวิต Hippies ได้เข้ามามีอิทธิพลอย่างมากในยุคนั้น เช่น
เชื่อว่าแฟนเพลงของวง Linkin Park ยังคงจะไม่ลืมเสียงร้องของนักร้องนำวัย 41 ปี ที่ได้ทำการปลิดชีพตัวเองด้วยการแขวนคอกันไปเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งก็คือ Chester Bennington นั่นเอง โดยหลังจากที่ Chester จากไป ทางวงก็ได้ตัดสินใจยกเลิกทัวร์คอนเสิร์ตที่กำลังจะจัดขึ้นในหลายไปเทศไปจนเกือบหมด และดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องยากที่วง Linkin Park จะกลับมาทำการแสดงสดสุดมันส์ต่อหน้าแฟน ๆ อีกครั้ง แต่เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม หรือช่วงเช้าวันที่ 28 ของบ้านเราที่ผ่านมา ทางวงได้จัดคอนเสิร์ตรอบพิเศษขึ้น โดยใช้ชื่อว่า “Linkin Park & Friends Celebrate Life in Honor of Chester Bennington” ซึ่งเป็นคอนเสิร์ตเพื่อการรำลึก และเป็นเกียรติให้กับ Chester นอกจากนี้ยังมีวงดนตรีอีกมากมายที่มาร่วมแจมในงานนี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น Blink-182, Alanis Morissette, Avenged Sevenfold, No Doubt, Sum 41’s และ
“ผมจะนอนหลับก็ต่อเมื่อผมตายเท่านั้น” คือสโลแกนสุดเท่จากหนึ่งในศิลปิน/โปรดิวเซอร์ สายดนตรีอิเลคโทรนิคส์แห่งยุคอย่าง Steve Aoki ซึ่งจะว่าไปแล้วตัวของเขามีเรื่องราวที่น่าสนใจ ที่กว่าจะฝ่าฟันมายืนเด่นสง่าอยู่แถวหน้าดังเช่นทุกวันนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นทีมงาน UNLOCKMEN จึงอยากจะนำเรื่องราวประวัติชีวิตของเขามาเป็นแรงบันดาลใจขับเคลื่อนความฝันของคนที่กำลังหมดไฟ Steven Hiroyuki Aoki เด็กหนุ่มเชื้อสายญี่ปุ่นที่มาเกิดและเติบโตในดินแดนสหรัฐอเมริกา โดยพ่อของเขาคืออดีตตำนานนักมวยปล้ำชื่อดัง Rocky Aoki ที่ได้พาครอบครัวย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่เมือง Miami ในรัฐ Florida แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น พ่อ และแม่ของ Steve ก็ได้หย่าร้างและแยกทางกันตั้งแต่ Steve ยังเป็นเด็ก จึงทำให้แม่ของเขา (Chizuru Kobayashi) ต้องเลี้ยงเขามาด้วยตัวคนเดียว ซึ่งแม้ว่า Steve Aoki จะสามารถเจอคุณพ่อเมื่อไหร่ก็ได้ตามต้องการ แต่การที่ครอบครัวต้องแตกแยก และพ่อของเขาได้ไปมีครอบครัวใหม่ มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะได้รับความรักที่สมบูรณ์แบบ ดังนั้นชีวิตในวัยเด็กของเขาจึงเป็นเด็กเก็บตัว ขี้อาย เนื่องจากลักษณะภายนอกที่ดูแตกต่างจากเพื่อนคนอื่น ๆ ที่ผิวขาวหัวทอง แต่ Steve เป็นคนเอเชียผิวเหลืองหัวดำตัวเล็ก บวกกับยังไม่สามารถปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมตะวันตกได้ แต่ตัวเขาเองก็พยายามอย่างหนักเพื่อปรับตัวเข้ากับสิ่งใหม่ ๆ รอบตัว อย่างเช่น ตอนมัธยม Steve Aoki พยายามเข้าร่วมทีมฟุตบอลเพราะหวังจะสามารถกลมกลืนและเข้ากับเพื่อนคนอื่น ๆ
การดูดนตรีสดให้ได้อารมณ์ที่สุดนั้นทำอย่างไร? คำถามยอดฮิตที่คนบางคนยังไม่เข้าใจ และสงสัยอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ไปดูคอนเสิร์ตวง Rock หรือวงดนตรีที่เล่นดนตรีแนวมันส์ ๆ หนัก ๆ มักจะเห็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่มันมีการเล่นที่จะว่าเต้นก็ไม่ใช่ เหมือนจะมีเรื่องกันก็ไม่เชิงยิ่งทำให้งงเข้าไปใหญ่ว่า มันจะอะไรขนาดนั้น จริง ๆ แล้ว ไอ้การกระทำดังกล่าว ถ้าหากว่าเป็นคนที่ชื่นชอบการเสพดนตรี และดูคอนเสิร์ต โดยเฉพาะนักเสพที่ถูกเรียกว่า “เด็กเสื้อดำ” จะเข้าใจว่า มันเป็น Culture ทางการดูคอนเสิร์ตที่เรียกว่า “Mosh Pit” ซึ่งมีมาอย่างยาวนาน วันนี้เราจะพาชาว UNLOCKMEN ไปทำความรู้จักกับธรรมเนียม หรือท่าทางการแสดงออกนี้กัน จะได้ไม่ตกใจเวลาหลงเข้าไปกลางดงชาว Rock ตอนดูคอนเสิร์ต “History of Mosh” ในช่วงต้นยุค 80 การละเล่นนี้ถูกเรียกว่า Mash โดยนักร้องนำวง Hardcore Punk ที่ชื่อว่า Bad Brain นั่นก็คือ Paul Hudson เพื่อที่จะใช้อธิบายการเต้นแบบก้าวร้าว และรุนแรงในขณะที่ผู้คนกำลังดูการแสดงสดของเขา แต่เนื่องจากว่า Paul เป็นคนพูดจาติดสำเนียง
หากเอ่ยชื่อของ ‘เล็ก-อภิชัย ตระกูลเผด็จไกร’ เชื่อว่าหลายคนอาจต้องใช้เวลาหยุดคิดว่าเขาคือใคร แต่เมื่อเอ่ยชื่อ ‘เล็ก Greasy Café’ เราเชื่อว่าภาพของชายผมยาว รอยสักรูปปลา กีต้าร์คู่ใจ บุคลิกของพี่ชายที่อบอุ่น แต่ลึกลับ พร้อมน้ำเสียงแหบหม่น ซึ่งถ่ายทอดเรื่องราวความรัก รวมถึงแง่มุมต่าง ๆ ของชีวิตแบบตรงไปตรงมาผ่านคำร้องและภาษาดนตรีที่สวยงาม ต้องปรากฎชัดเจนขึ้นมาในทันที ด้วยเอกลักษณ์ที่ชัดเจนของน้ำเสียง เนื้อหา และดนตรีที่ถ่ายทอดออกมา ทำให้ในสายตาของเรา ‘เล็ก Greasy Café’ ไม่ได้เป็นแค่นักดนตรี นักร้อง นักแต่งเพลง แต่เขายังเป็นนักเล่าเรื่อง ที่ทุกการเดินทางผ่านช่วงเวลาต่าง ๆ ของชีวิต เขามักจะเก็บเกี่ยวเอาประสบการณ์จากช่วงเวลาเหล่านั้น มาร้อยเรียง และ ส่งต่อมุมมองผ่านบทเพลงที่มีเนื้อหาลุ่มลึก อาจดูเหมือนฟังยาก แต่มันช่าง ‘จริง’ เสียจนเข้าไปสัมผัสตรงกลางใจคนฟังอย่างปฏิเสธไม่ได้ ซึ่งการออกเดินทางถ่ายทอดเรื่องราวบนถนนสายดนตรีของ ‘เล็ก Greasy Café’ นั้นได้ผ่านเวลามาแล้วไม่ใช่น้อย นับตั้งแต่ร่วมทำเพลงในอัลบั้มรวมพิเศษ Smallroom 001 – 002 (2001) มาจนถึงการได้มีผลงานเดี่ยวของตัวเองในนาม Greasy Café
หลังจากจัดปาร์ตี้อุ่นเครื่องที่เมืองไทย วอร์มอัพความมันส์ให้คุกรุ่น จนเราแทบอดใจรอไม่ไหว ที่จะได้บินลัดฟ้าไปไกลถึงกรุงอัมสเตอดัมส์ ประเทศเนเธอแลนด์ดินแดนต้นกำเนิดไฮเนเก้น กับแคมเปญ Heineken® Live Access ซึ่งตั้งใจจะยกระดับประสบการณ์ Open Your World ฉีกทุกข้อจำกัดทางดนตรีแบบไร้พรมแดน ด้วยการไปสุดเหวี่ยงกับ Mysteryland เทศกาลดนตรีระดับโลก ตำนานที่เหล่านักปาร์ตี้ทั้งหลาย ตั้งอกตั้งใจว่าต้องไปเยือนให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต ด้วยศักดิ์ศรีของต้นกำเนิดแห่งเทศกาลดนตรี EDM ที่จัดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องยาวนานที่สุดในโลก และเมื่อถึงเวลาที่รอคอย กับโอกาสในการเปิดประสบการณ์ทางดนตรี จาก Music Festival ระดับโลก ที่ Heineken® Live Access ภูมิใจเสนอ แน่นอนว่าเราย่อมไม่พลาดที่จะเสพบรรยากาศ บันทึกเรื่องราวทุกช่วงเวลาแห่งความมันส์ ในงาน Mysteryland ที่เพิ่งจัดขึ้นไปเมื่อวันที่ 26 – 27 สิงหาคม ที่ผ่านมา เอามาถ่ายทอดเป็นประสบการณ์ให้ชาว UNLOCKMEN ได้ซึมซับความสนุกไปกับเราด้วย ซึ่งในครั้งนี้เราไม่ได้ไปแบบเหงา ๆ ให้เสียคอนเซ็ปต์ความครื้นเครงของสุดยอดเทศกาลดนตรีอิเล็คทรอนิคส์ระดับโลก เพราะทริปนี้ถูกเติมเต็มความสนุกด้วยผู้ร่วมทางที่หลงใหลในมิวสิคเฟสติวัล ไม่ว่าจะเป็น ป๊อก-ภัสสรกรณ์ จิราธิวัฒน์, ติช่า-กันติชา ชุมมะ และ
เอาใจสาวกดนตรีแนว Melodic House กับการกลับมาของงานดนตรีคอนเซ็ปต์ร่วมสมัย SIWILAI Tour ร่วมกับ Johnnie Walker โดยอาณาจักรไลฟ์สไตล์ SIWILAI พร้อมเปิดประสบการณ์ดนตรี ต้อนรับศิลปินและโปรดิวเซอร์แนว Melodic House ระดับโลกอย่าง KLINGANDE บนพื้นที่ SIWILAI CITY CLUB แหล่งแฮ้งเอาท์สำหรับทุกคน ที่เปรียบเสมือน Beach Club ในใจกลางเมือง ผู้นำเสนอเทรนด์ร่วมสมัยในวิถีที่เข้ากับไลฟ์สไตล์คนเมืองสมัยใหม่ โดยมุ่งเน้นความเป็นสากล แต่ก็ไม่ละทิ้งเอกลักษณ์กลิ่นอายความเป็นไทย บนชั้น 5 ของศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี ไม่ว่าจะเป็นอาหารจานพิเศษซึ่งได้ถูกคัดสรร ส่วนผสมมาอย่างดี, เครื่องดื่มสูตรเฉพาะที่ไม่เหมือนใคร หรือประสบการณ์ดนตรีที่แสนน่าจดจำ SIWILAI CITY CLUB เป็นพื้นที่สำหรับ ทุกๆคน โดยเป็นจุดกำเนิดแห่งแรงบันดาลใจสำหรับคนเมืองผู้ชื่นชอบวัตนธรรมใหม่ ๆ รวมไปถึงเรื่องราวการเดินทางและการใช้ชีวิตอย่างมีรสนิยม โดยโซน Terrace ใน SIWILAI CITY CLUB ไฮไลท์ความสวยงามของทิวทัศน์ Skyline ในเมืองกรุงเทพฯ หรือจะเป็นเวทีการแสดง
‘การฟังเพลง’ ถือเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้ชายอย่างเรา ๆ อย่างแยกไม่ออก (หรือจะเถียง!?) มีความสุขสุดเหวี่ยงก็ฟังเพลง ทุกข์เศร้าเคล้าน้ำตาอกหักมาจากสาวคนไหนก็ฟังเพลง หรืออารมณ์ปกติธรรมดานั่งว่าง ๆ มึน ๆ อึน ๆ ก็ฟังเพลง เพลงแต่ละแบบก็เหมาะกับอารมณ์อันหลากหลายของเราแตกต่างกันไป แล้วเพลงแบบไหนที่นักจิตวิทยาเขาศึกษามาแล้วว่าโคตรเหมาะกับการตื่นนอนตอนเช้ากันแน่? เพลงไม่ได้มีผลแค่ช่วยให้เราตื่นนอนอย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่เพลงไม่ต่างจากยาวิเศษลึกลับที่ออกฤทธิ์หลากหลายแบบ งานวิจัยจำนวนมากที่ศึกษาเรื่องผลของการฟังเพลงหรือดนตรีที่สัมพันธ์ต่อสิ่งต่าง ๆ ของมนุษย์ การฟังเพลงสามารถช่วยให้เราทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การฟังเพลงช่วยให้เราทำงานเป็นทีมได้ดีขึ้น หรือแม้แต่การเล่นดนตรีภายในบ้านจะช่วยทำให้คนในครอบครัวใกล้ชิดกันมากขึ้น หรือแม้แต่การฟังเพลงช่วยให้สุขภาพเราดีขึ้นได้ด้วย (เออ เอากับมันสิ) แต่ครั้งนี้ UNLOCKMEN จะพามาโฟกัสที่งานวิจัยของนักจิตวิทยาที่ชื่อว่า David Greenberg จาก University of Cambridge ซึ่งเขาศึกษาเรื่องดนตรีในหลากหลายแบบทั้งบุคลิกภาพของมนุษย์ที่ส่งผลต่อการฟังเพลง หรือการเลือกฟังเพลงแบบไหนสามารถส่งผลต่อวิธีคิดของเราได้ด้วย ส่วนเจ้า Playlist กระแทกหน้าซึ่งประกอบด้วย 20 เพลงที่เรากำลังจะนำมานำเสนอนี้ เป็นงานวิจัยที่เขาทำร่วมกันกับ Spotify มิวสิคสตรีมมิ่งชื่อดังที่กำลังเข้ามามีบทบาทอย่างมากในหมู่คนฟังเพลงประเทศเรา หลักการหลัก 3 อย่างที่ David Greenberg บอกว่าเพลงทั้ง 20 เพลงนี้โคตรเหมาะกับการฟังตื่นนอนได้แก่ อย่างแรกมันต้องเริ่มจากจังหวะที่นุ่มนวลไม่ใช่มาถึงแล้วกระชากเลย แต่ต้องค่อย ๆ
ในวงการเพลงไทย ถ้าหากเราสังเกตดูจะพบว่า วงดนตรีที่ประสบความสำเร็จหลายต่อหลายวงนั้น ไม่ได้มีจุดเริ่มต้นกันในเมืองกรุงที่แสนวุ่นวายนี้ เพราะเราพบว่าศิลปินหลายต่อหลายวงนั้น มีต้นกำเนิดมาจากดินแดนล้านนาของประเทศไทยเรา หรือที่ปัจจุบันคือจังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่จึงเป็นเหมือนแหล่งผลิตศิลปินที่มีชื่อเสียงในบ้านเรามาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นวง Hum, ETC, Polycat หรือ Sixty Miles ซึ่งแต่ละวงก็ประสบความสำเร็จมีเพลงฮิตออกมาให้คนไทยร้องตามกันแทบทั้งนั้น วันนี้เราจึงถือโอกาสแนะนำวงดนตรีที่มีคุณภาพ และมีจุดเริ่มต้นขึ้นทางตอนเหนือของไทยอย่างจังหวัดเชียงใหม่อีกสักวง นั่นก็คือ Nap A Lean ให้กับนักฟังเพลงทั้งหลายได้รู้จักกัน รวมไปถึงบทสัมภาษณ์ของพวกเขา กับคำถามที่แฟน ๆ หลายคนอาจจะสงสัยมาให้กับชาว UNLOCKMEN และแฟนเพลงของ Nap A Lean ได้ดูกันในวันนี้ เริ่มต้นกันจากการทำความรู้จักสมาชิกของวง Nap A Lean กันก่อนเลย โดยสมาชิกของวงนั้นมี 4 คนประกอบด้วย โต้ – ธนพล ทองสวัสดิ์ (ร้องนำ), ฮั้ว – พิสิฐ สมบัติพินพง (กีตาร์), บาส – ปณิธิ สุขสายชล
มาแล้วครับพี่น้อง หลังจากพยายามจะเข้าเมืองไทยมาได้เกือบ 5 ปี ซุ่มรอจังหวะดี ๆ จนบางคนงงว่า ไม่ให้ใช้ในประเทศไทย แต่ดันมีเพลงไทยให้เลือกฟังเพียบเลย แถมเพื่อนบ้านอย่างญี่ปุ่น, สิงคโปร์ หรือแม้แต่มาเลเซีย ก็มีฟังกันไปหมดแล้ว หลังจากบางคนต้องพยายามมุดดินฟังกันอยู่นาน ต่อไปนี้ไม่ต้องทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ เพราะในที่สุด Spotify ก็เปิดตัวในไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สำหรับคนที่ยังไม่คุ้นเคยกับ Spotify มันคือ Music Streaming Application ที่มีเพลงในคลังมากกว่า 30 ล้านเพลง ใช่แล้วครับ 30 ล้านเพลง ที่ให้เราเข้าถึงได้แบบฟรี ๆ แบบเชื่อมต่อกันได้ทั้งทาง Laptop และ Smartphone ไม่ต้องเสียเงิน download ไม่ต้อง save ลงมือถือให้เปลืองพื้นที่หน่วยความจำ ฟังแบบมันส์ ๆ ไปยาว ๆ แบบมี spot คั่นนิดหน่อย และ skip เพลงได้ 3
ในคืนหลังจากการทำงาน เมื่อกลับถึงบ้านวางกระเป๋าพร้อมเอนกายลงบนโซฟาตัวโปรด พร้อมทั้งครุ่นคิดว่า อะไรคือรางวัลของการทำงานหนักในวันนี้? ผู้ชายหลายคนที่ทุ่มเท่ชีวิตกว่า 12 ชั่วโมง ให้กับการทำงานหนัก และการไล่ล่าความสำเร็จในชีวิตอย่างสุดความสามารถ จนในที่สุดก็สามารถคว้ามันเอาไว้ในมือได้ดั่งใจหวัง แต่บางครั้ง ในบางเวลาช่วงสั้น ๆ ที่ต้องการจะหยุดพักความเหนื่อยล้า และใช้เวลาเติมเต็มความสุขให้กับชีวิต กลับไม่รู้เลยว่า อะไรที่จะสามารถทำให้เรารู้สึกดีขึ้นได้ จริง ๆ แล้วเรื่องนี้อาจจะไม่ได้ยาก หรือต้องใช้ความคิดอะไรมากมายอย่างที่หลายคนกำลังขวนขวายหาคำตอบอยู่ เพียงแค่คุณลองเปลี่ยนบรรยากาศจากการอยู่เงียบ ๆ เพียงลำพัง หรือเปลี่ยนจากการกลับบ้านเพื่อเปิดทีวีดูซีรี่ส์ชื่อดังแบบที่เคยทำเป็นประจำ เป็นการชวนเพื่อนสนิทสักคนมานั่งแลกเปลี่ยนบทสนทนาหลังจากวันที่เหนื่อยล้า โดยอาจจะมาพร้อมแก้วอีก 2 ใบ ใส่เครื่องดื่มสีเหลืองอำพันบาง ๆ และสิ่งสุดท้ายที่ขาดไปไม่ได้ก็คือ การเปิดเพลงขับกล่อมเบา ๆ ด้วยดนตรีคุณภาพ ที่เราเรียกมันว่าดนตรี Blues ถ้าหากคุณอยากได้ความสุนทรีย์ และผ่อนคลายแบบใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มช่วงเวลาที่ผ่อนคลายให้กันชีวิตที่ตึงเครียดแบบนี้ เราคงช่วยอะไรคุณได้ไม่มากไปกว่าการจัด Playlist ดนตรี Blues เจ๋ง ๆ ให้คุณได้นำไปลิ้มลอง และเคลิบเคลิ้มไปกับจังหวะที่เรียบง่ายของดนตรีสไตล์ Downtempo นี้ แล้วคุณจะรู้ว่าการเสพดนตรี Blues ไปพลาง คุยกับเพื่อนไปพลาง
อาชีพศิลปินดีเจเป็นอะไรที่ฮอตฮิตอย่างมากในปัจจุบัน เพราะไม่ว่าจะเป็นงานเทศกาลดนตรีต่าง ๆ ทั่วโลก ศิลปินประเภท EDM ล้วนกลายเป็นแม่เหล็กในการดูดคนเข้างาน จึงไม่น่าแปลกใจหากช่วงนี้จะเป็นนาทีทองให้พวกเขาได้โกยรายได้อย่างอู้ฟู่ขึ้นกว่าแต่ก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่สามารถทำเพลงฮิตออกมาเขย่าชาร์ตเพลงได้ รายได้ของดีเจที่ถือว่าดีกว่านักดนตรีคือ พวกเขาสามารถตะลอนทัวร์ไปทั่วโลกได้อย่างง่ายดายเพียงแค่พก flashdrive หรือ laptop เท่านั้น เสียบเข้ากับเครื่องเล่นเท่านี้ก็เปิดการแสดงได้ จนสามารถมีโชว์ได้มากกว่า 200 โชว์ต่อปี ล่าสุด Forbes มีการจัดอันดับรายได้ประจำปี 2017 ของเหล่าดีเจบิ๊กเนม มาลองดูกันว่าปีที่ผ่านมาใครสามารถทำเงินไปมากน้อยเท่าไหร่ แถมมีหน้าใหม่เข้ามาด้วย Calvin Harris อันดับหนึ่งยังคงเป็นของศิลปิน นักแต่งเพลงชาวสก็อต ที่ปีล่าสุดกดรายได้รวมไปที่ $48 ล้านเหรียญสหรัฐ (1,5xx ล้านบาท) แม้ว่าตัวของ Calvin Harris จะไม่ได้มีงานแสดงโชว์มากมาย แต่รายได้หลักของเขาน่าจะมาจากการขายเพลงที่ตัวเขาเองเป็นคนโปรดิวซ์ รวมถึงมีงานเปิดเพลงประจำคลับดังในอเมริกา Tiesto อันดับสองเป็นของดีเจรุ่นเก๋าอย่าง Tiesto ที่ช่วงหลังกลับมาโหมงานหนักเดินสายทัวร์เป็นว่าเล่นชนิดวันเว้นวันไม่ปล่อยให้เด็กรุ่นหลังทำมาหากินกันเลย อีกทั้งค่าจ้างต่อโชว์ที่สูงลิบ ทำให้เขากวาดรายไปเพิ่มขึ้นจนตอนนี้มีเงินในกระเป๋าราว ๆ $39 ล้านเหรียญ (1,2xx ล้านบาท) The Chainsmokers อันดับสามถือว่าก้าวกระโดดอย่างมาก