นับเป็นข่าวดีสำหรับตากล้องสาย mirrorless เมื่อทาง Fujifilm ได้เปิดตัวกล้องไฮเอนด์ระดับพรีเมี่ยม รุ่นใหม่ชื่อว่า ‘GFX50S II’ ที่มาพร้อมกับเลนส์ GF35-70 mm F4.5-5.6 WR ซึ่งตอบโจทย์คนที่ชื่นชอบการถ่ายภาพอย่างจริงจัง เพราะตัวกล้องสามารถให้คุณภาพไฟล์ที่ดีเยี่ยม แถมยังมีขนาดเล็กน้ำหนักเบา ช่วยให้พกพาไปไหนมาไหนได้สะดวกอีกด้วย กล้อง FUJIFILM GFX50S II จะแตกต่างจากกล้อง GFX รุ่นก่อนหน้า คือ ได้รับการปรับปรุงฟังก์ชันการใช้งานให้มีความหลากหลายมากขึ้น มันมีน้ำหนักเบากว่าเดิมเพื่อให้ง่ายต่อการพกพา และยังมีคุณภาพไฟล์ภาพที่เหนือชั้นกว่ากล้อง Full Frame ทั่วไป (More than Full Frame) ตัวกล้องจะประกอบไปด้วย เซ็นเซอร์ที่มีขนาดใหญ่กว่าเซนเซอร์ของกล้อง Full Frame แบบ 35 มม. ถึง 1.7 เท่า ความละเอียดที่สูงถึง 51.4 ล้านพิกเซล ระบบประมวลผล X-Processor 4 และระบบป้องกันการสั่นไหวในบอดี้ 5 แกน สูงสุด
หลังจากที่เราได้นำเสนอเรื่องราวการ ‘ครบรอบ 150 ปี Continental หนึ่งในบริษัทผู้ผลิตยางยักษ์ใหญ่ และเก่าแก่ที่สุดในโลก’ กันไปแล้วในคราวก่อน วันนี้เรามีเรื่องราวเจ๋ง ๆ ของ Continental ที่หลายคนอาจจะไม่เคยรู้มาก่อนมาฝากกัน พวกเรารู้หรือไม่ว่า นอกจากผลิตยางรถยนต์แล้ว Continental ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญในการผลิตยางที่ใช้ในชิ้นส่วนและอุปกรณ์อื่น ๆ อีกมากมาย ยกตัวอย่างเช่น เบียร์ที่ผลิตในประเทศเยอรมัน Continental ถือว่ามีส่วนร่วมในขั้นตอนการผลิตเกือบจะทุกแบรนด์ เพราะโรงผลิตเบียร์ส่วนใหญ่เลือกใช้สายยางในการลำเลียงเบียร์ซึ่งผลิตโดยบริษัท Continental กันเกือบทุกราย และในวันนี้เราจะนำเอาเรื่องราวการ Collaboration ที่ Continental ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จกับแบรนด์และผลงานเท่ ๆ ที่อยู่ใกล้ตัวพวกเราทุกคนมาให้ได้ดูกัน แม้แต่ในโลกของแฟชั่น หนึ่งในการร่วมมือกันสร้างผลงานเป็นที่ประจักษ์มากที่สุดของ Continental คงจะเป็น Continental X Adidas ในการผลิตพื้นรองเท้าหลายต่อหลายรุ่นของ Adidas ออกมาสร้างความประทับใจกับฟีลลิ่งการสวมใส่ที่ยอดเยี่ยม ยกตัวอย่างรุ่นยอดฮิตอย่าง Adidas ‘UltraBoost’ ซึ่งบางคนเพิ่งจะมารู้ในช่วงหลัง ๆ ตอนที่กระแส Sneaker เริ่มบูมว่าพื้นรองเท้าผลิตโดยบริษัท Continental ซึ่งจริง ๆ แล้ว Continental กับ
พลังของการเชื่อมั่นในตัวเอง เป็น Mindset สำคัญที่หลายคนหลงลืมมันไปในยุคที่คนส่วนใหญ่สร้างกรอบทางเดินตามรอยเท้าคนอื่นโดยไม่รู้ตัว หลายคนเลือกจะเป็นเหมือนคนอื่นเพียงเพราะไม่กล้าที่จะเสี่ยง พยายามทำตามความสำเร็จของคนอื่นมากกว่าที่จะกล้าเผชิญกับความท้าทายใหม่ ๆ จนในที่สุดก็หลงลืมความต้องการของตัวเองไปอย่างน่าเสียดาย David Wagoner นักกวีชาวอเมริกันเคยพูดถึงความสำคัญของการฟังเสียงตัวเองในผลงานชื่อ “The Hero with One Face” ที่ผ่านมาพวกเราเติบโตโดยฟังคำแนะนำจากคนรอบข้างมาตลอด เริ่มตั้งแต่ที่บ้าน ที่โรงเรียน ที่ทำงาน เพื่อน แฟน หลายครั้งเราเลือกที่จะทำตามคำแนะนำที่คนอื่นบอกว่าควรจะทำแบบนี้ ควรจะเลือกแบบนั้น มากกว่าเชื่อเสียงในใจของตัวเอง สิ่งเหล่านี้ค่อย ๆ เป็นเบ้าหล่อหลอมให้ตัวเรารู้สึกกลัวที่จะลุยเดินไปข้างหน้าตามที่ตัวเองต้องการ เป็นสาเหตุที่หลายคนเติบโตพร้อมกับความไม่มั่นใจ ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ไม่สามารถตัดสินใจเองได้ หรือถึงขั้นไม่เชื่อความรู้สึกลึก ๆ ข้างในของตัวเอง การรับมือกับการไม่เชื่อมั่นในตัวเอง (Self-limiting beliefs) ที่คอยฉุดรั้งไม่ให้เราใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ เริ่มได้ด้วยการปรับ Mindset ให้เรามีความกล้าที่จะแตกต่าง และเชื่อมั่นในเส้นทางที่เลือก เมื่อถึงเวลาต้องตัดสินใจครั้งสำคัญ เราแนะนำให้ลอง หยุดถามคนรอบข้าง ฟังเสียงตัวเองให้มากขึ้น และกล้าที่จะท้าทายลุยไปมันมันให้ถึงที่สุด ซึ่งเป็นวิธีที่ Richard Madden นักแสดงชายมากฝีมือใช้ในการเดินทางของตัวเอง Richard Madden เชื่อในความสามารถด้านการแสดงและเลือกที่จะทุ่มสุดตัว จากเด็กหนุ่มรูปร่างอ้วน นิสัยขี้อาย
เข้าใกล้โลกอนาคตในอุดมคติของ Mark Zuckerberg ไปอีกก้าว กับการเปิดตัวแว่นตาอัจฉริยะ Smart Glasses ที่ร่วมมือกันพัฒนาระหว่าง Facebook และ Ray-Ban ในชื่อ “Ray-Ban Stories” ความเจ๋งของแว่นตา Ray-Ban Stories ที่ดูจะเท่กว่าอดีต Google Glasses โปรเจคที่โดนพับจากความล้มเหลวไปก่อนหน้านี้หลายปี เพราะนอกจากความสามารถจากเทคโนโลยีสุดล้ำ ด้านดีไซน์ แว่นตาอัจฉริยะรุ่นใหม่เลือกใช้โครงจาก 3 รุ่นดัง Wayfarer, Round และ Meteor แว่นทรงยอดนิยมที่ใครใส่ก็เท่ ที่สำคัญคือฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามา แว่น Ray-Ban Stories สามารถถ่ายภาพนิ่งและวีดีโอได้ด้วยกล้องความละเอียด 5 Megapixels – high resolution photos (2592×1944 pixels) and quality video (1184×1184 pixels at 30 frames per second) พร้อม
ความสุขของผู้ชายมักมีที่มาจากความสำเร็จในชีวิตของพวกเขา เช่น หน้าที่การงานก้าวหน้า (ได้เลือนขั้น หรือ ธุรกิจประสบความสำเร็จ) ได้ซื้อรถยนต์คันใหม่ หรือ เจอกับเหตุการณ์ที่ทำให้กลายเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืนอย่างการถูกลอตเตอรี่ เป็นต้น แม้เหตุการณ์เหล่านี้จะทำให้ชีวิตเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เรามีความสุขยาวนานเลย นานวันไป ความรู้สึกดีก็ค่อย ๆ ลดลงไปตามกาลเวลา จนสุดท้ายเราก็รู้สึกเฉยชากับมันในที่สุด เราเรียกปรากฎการณ์ที่ความสุขค่อยลดลงตามกาลเวลาว่าเป็น ลู่วิ่งแห่งความสุข (Hedonic Treadmill) Hedonic Treadmill เกิดขึ้นได้อย่างไร ? ในช่วงยุค 1970s สองนักจิตวิทยาที่มีชื่อเสียง ได้แก่ Philip Brickman และ Donald Thomas Campbell ได้แนะนำให้โลกได้รู้จักกับคอนเซ็ปท์ของ Hedonic Adaptation หรือ ความสามารถของมนุษย์ในการปรับตัวให้เข้ากับความสุขที่ตัวเองได้รับ จนรู้สึกไม่ยินดียินร้ายกับมันในที่สุด กล่าวคือ เวลาที่เราเจอกับเหตุการณ์ที่ทำให้หัวใจเราพองโต อารมณ์และความรู้สึกจากเหตุการณ์นั้นจะค่อย ๆ จางหายไป จนสุดท้าย เราจะรู้เฉยชาเหมือนก่อนเกิดเหตุการณ์นั้นในที่สุด สาเหตุที่ทำให้กลไกนี้อยู่คู่กับมนุษย์ อาจเกี่ยวข้องกับการเอาตัวรอด ถ้าเรามีความรู้สึกที่มากเกินไป เช่น ดีใจเกินไป หรือ
เขาเริ่มต้นเส้นทางนักแสดงจากการเป็นนักเต้น เล่นละครเวทีเดอะมิวสิคัล จนก้าวเข้าสู่วงการฮอลลีวูดตั้งแต่ยังวัยกระเตาะ สำหรับ Thomas Stanley Holland หรือ Tom Holland สไปเดอร์แมนหนุ่มร่างเล็ก วัย 25 ปี ซึ่งนอกจากฝีมือการแสดงที่น่าชื่นชมแล้ว เขายังมีสไตล์การแต่งตัวที่ชวนหลงใหล ทั้งเรื่องของสไตล์ที่บ่งบอกความเป็นตัวตน การเลือกสีเครื่องแต่งกายให้แมทช์กันอย่างไร้ที่ติ รวมไปถึงการเลือกทรงผมเผยโครงหน้าที่ดูจะเหมาะเจาะไปซะทุกครั้งที่เขาต้องปรากฎกายต่อหน้าสาธารณะชน วันนี้ Style Guide เราจะเจาะจุดเด่นการเลือกแต่งกายของพ่อหนุ่ม Spider-Man คนนี้กัน เชื่อว่าจะสร้างสไตล์สีสันให้กับผู้ชายร่างเล็กหลาย ๆ คนได้อย่างแน่นอน Tom Holland คือชายที่มีชั้นเชิงในการแต่งกายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าลีลาการแสดง เขามักจะมีเสื้อตัวนอกที่เป็นส่วนเติมเต็มลุคอยู่เสมอ โดยเฉพาะแจ็คเก็ตโทนหลัก 3 สี ยีนส์ ดำ น้ำตาล ที่ก็แทบจะ finish ได้ทุกลุคของผู้ชายอย่างเรา ๆ แล้ว แจ็คเก็ตสียีนส์ที่มาช่วยคลุมเสื้อยืดสีขาวด้านใน กับกางเกงผ้าลายตารางแบบฉบับหนุ่มอังกฤษยุค 60S’ ดึงดูดสายตาด้วยสนีกเกอร์สีขาว เรียกได้ว่าขยี้ซะลุคนี้ออกมาโคตรคูล ส่วนแจ็คเก็ตดำเข้าตำรา All Black คลุมโทนดำขรึมทั้งลุค หรือบางวันก็หยิบไอเท็มสุดคลาสสิคอย่างเสื้อยืดขาวมาตัดความทะมึน พร้อมกับสวม
แม้จะผ่านทัวร์นาเมนต์ยูโรยุคโควิด 2020 มาได้สักพักแล้ว แต่ถ้าชาว UNLOCKMEN สังเกตดี ๆ จะพบว่ามีอีกหนึ่งควันหลงที่ยังคงไม่จางหาย และได้กลายมาเป็นเทรนด์สุดคูล สำหรับแฟชั่นทรงผมสุดกระแทกตา “Gazza Style 96” ซึ่งมาจากการที่เจ้าหนู Phil Foden ดาวรุ่งทีมชาติอังกฤษ นึกสนุกอยากลองเปลี่ยนลุคก่อนลุยทัวร์นาเมนต์ใหญ่ ประกอบกับทัพ The Three Lions ทะลุไปถึงตำแหน่งรองแชมป์ รวมถึงการที่ Jorginho กองกลางชาวอิตาลีผู้สมหวังจากนัดชิงชนะเลิศกลับมาที่แคมป์สโมสรด้วยลุคที่ใครมองก็ต้องร้องว่า นี่มันแกสซ่าชัดๆ เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมทีมวัยเก๋า Thiago Silva ที่ดูวัยรุ่นขึ้นไม่น้อยกับทรงผมใหม่ เหมือนเป็นการสานต่อเทรนด์นี้ เป็นอีกสาเหตุที่ส่งให้แฟชั่นผมสีบลอนด์ติดหัวสไตล์แกสซ่ายิ่งเป็นที่แพร่หลายมากขึ้นในวงการฟุตบอล INSPIRED BY GAZZA STYLE ต้นฉบับความซ่านี้คือ Paul Gascoigne อดีตนักฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ เจ้าของฉายา “Gazza” ด้วยลีลา พรสวรรค์ และวีรกรรมสุดแสบ ทำให้เขาเป็นที่กล่าวขานทั้งเรื่องฝีเท้าในสนาม รวมถึงความซ่านอกสนาม เขาเริ่มต้นด้วยการเป็นนักเตะเจ้าเนื้อผมสีน้ำตาลดำธรรมดาๆ จนเริ่มมีชื่อเสียง บวกกับความเป็นขบถลูกหนังตัวเป้ง จึงเริ่มจัดการเปลี่ยนลุคตัวเองในช่วงปี 1995 ผมสั้นเตียนเกือบติดหนังหัว
หากใครเป็นคอหนังภาพยนตร์ไซไฟคงคุ้นเคยกับ ‘ไซบอร์ก’ หรือ สิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นจากการผสมผสานระหว่างคนและเครื่องจักรเป็นอย่างดี หลายคนน่าจะรู้จักมันเป็นครั้งแรกจากภาพยนตร์สุดคลาสสิก เช่น RoboCop และ Terminator แต่อาจไม่รู้ว่าในโลกเราก็มีมนุษย์ไซบอร์กตัวจริงเหมือนกัน หนึ่งในนั้น คือ Neil Harbisson ชายชาวสเปนผู้เติบโตมาพร้อมกับโรค achromatopsia หรือ ที่เราเรียกว่าภาวะตาบอดสีแบบ 100% เขามองเห็นโลกมีเพียงสีขาวดำมาตลอด จนกระทั่งวันที่เทคโนโลยีกับเขาเริ่มกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน กว่าจะมาเป็นไซบอร์ก Neil Harbisson เกิดและเติบโตใน Mataro เมืองชายฝั่งแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ในบาเซโลน่า ประเทศสเปน เขามีความสามารถด้านดนตรีตั้งแต่เด็ก หลังจากได้เรียนรู้การเล่นเปียโนที่บ้านเกิด เขาก็สามารถแต่งประพันธ์เพลงของตัวเองได้ตั้งแต่อายุเพียง 11 ปี เมื่ออายุได้ 16 ปี เขาได้เรียนวิจิตรศิลป์ (Fine Art) ในสถาบัน Institut Alexandre Satorras และได้รับอนุญาตให้สร้างสรรค์งานศิลปะแบบไม่ใช้สีได้ ผลงานศิลปะในช่วงแรกของชีวิตเขาเป็นสีขาวดำทั้งหมด แต่ชีวิตของ Harbisson ก็ต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล เมื่อเขาอายุ 19 ปี และได้ไปศึกษาเรื่องการประพันธ์เพลงที่ Dartington College
ผู้ชายไทยส่วนใหญ่มักไม่ค่อยจะให้ความสนใจในเรื่องของทรงผมกันมากนัก หรือไม่ก็จะทำตัวตามกันไปหมดจนแทบจะแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร เห็นเค้าว่าทรงนี้ดี ทรงนี้กำลังฮิต ก็ทำตามกันโดยไม่ได้รู้ที่มาที่ไป หรือดูความเหมาะสมกับสไตล์ของตัวเอง ซึ่งอย่างที่เราเคยบอกไปหลายครั้งว่าเรื่องของทรงผมนั้น “ไม่มีกฎตายตัว” ไม่มีใครฟันธงได้ว่าแบบไหนถูกหรือผิด ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมเข้ากันระหว่างสไตล์ที่เลือกใช้ กับคาแรคเตอร์ บุคลิก และตัวตนของคุณมากกว่า ขอแค่คุณหาตัวเองจนพบว่าจริง ๆ ชอบอะไร ทำอะไรแล้วรู้สึกมั่นใจ เพราะบางครั้งการทำผมแบบดาราในดวงใจ ผมที่ได้ชื่อฮิตอันดับหนึ่งของโลก ก็ไม่ได้ช่วยให้คุณกลายเป็นคนที่มีสไตล์ดีขึ้นได้ถ้ามันไม่ใช่ตัวตนของคุณ เพื่อเป็นการแนะนำสำหรับคนที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร สไตล์ทรงผมแบบไหนที่เหมาะสมกับตัวเอง เพราะการพัฒนาสไตล์ถือเป็นหนึ่งวิธีที่จะช่วยเสริมสร้างความเป็นตัวเองได้ง่ายที่สุด วันนี้เรามีแนวทางมาช่วยแนะนำผู้ชายทุกคนที่ต้องการจะพัฒนาบุคลิกตัวเองให้ดีที่สุดด้วยการ “Find the right hairstyle for you” PICK THE BEST HAIRSTYLE เติมเต็มสไตล์ของตัวเอง นอกจากเสื้อผ้า เรื่องทรงผมก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะเป็นส่วนสำคัญในการเติมเต็มสไตล์และคาแรคเตอร์ของเราให้สุดทาง สามารถเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ภายนอกได้อย่างสิ้นเชิง ต่อให้แต่งตัวดีแค่ไหน แต่ถ้าเลือกทรงผมไม่เข้ากับสไตล์และรูปหน้า หรือเซ็ทผมออกมาได้ไม่ดี ก็ทำให้ภาพรวมดูขัดใจได้ง่าย ๆ เหมือนกัน ทรงผมผู้ชายมีให้เลือกหลากหลายสไตล์ แต่ไม่ใช่ว่าเราจะเหมาะกับผมทุกทรง ซึ่งเราแนะนำให้เลือกทรงผมที่ใช่ โดยใช้รูปหน้าเป็นจุดหลักในการช่วยตัดสินใจ จะทำให้ได้ไอเดียช่วยเลือกและจัดแต่งทรงผมได้ง่ายขึ้น รูปทรงไข่ (Oval Face) คือทรงหน้าที่น่าอิจฉา เพราะมีอัตราส่วนค่อนข้างสมบูรณ์แบบ
Audemars Piguet แบรนด์เครื่องบอกเวลาชั้นสูงจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ได้นำเสนอนาฬิการอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ 3 โมเดลใหม่ที่พัฒนาจากรุ่นดั้งเดิมในปี 1993 รังสรรค์ด้วยวัสดุที่แตกต่างกัน ได้แก่ สเตนเลส สตีล (Stainless steel) ไทเทเนียม(Titanium) และพิ้งค์โกลด์ 18 กะรัต ถึงแม้จะคงไว้ซึ่งรายละเอียดสำคัญของนาฬิการุ่นดั้งเดิม ทว่าเรือนเวลาขนาดหน้าปัด 42 มิลลิเมตรทั้ง 3 เรือนนี้มาพร้อมกลไกเซลฟ์ไวนด์ดิ้ง ฟลายแบ็ก โครโนกราฟ (Selfwinding Flyback Chronograph) คาลิเบอร์ล่าสุดจากโอเดอมาร์ ปิเกต์ รวมถึงระบบถอดเปลี่ยนสายด้วยตนเองแบบใหม่ อีกทั้งยังมีการปรับดีไซน์หน้าปัดเล็กน้อย พร้อมยังนำฝาหลังแซฟไฟร์กลับมาใช้อีกครั้งเพื่อนำเสนอกลไกโครโนกราฟซึ่งรังสรรค์อย่างประณีต แม้รังสรรค์ขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากนาฬิการอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ รุ่นดั้งเดิมจากปี 1993 ทว่านาฬิกา 3 เรือนใหม่ในขนาดหน้าปัด 42 มิลลิเมตร มาพร้อมกลไกเซลฟ์ไวนด์ดิ้ง ฟลายแบ็ก โครโนกราฟใหม่ล่าสุด และระบบถอดเปลี่ยนสายด้วยตนเอง อีกทั้งยังมีการปรับดีไซน์บนหน้าปัดเล็กน้อย การทำงานที่มีประสิทธิภาพมากกว่าที่เคย นาฬิการุ่นรอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ใหม่ทั้ง
Audemars Piguet เปิดตัวนาฬิการอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ ไดเวอร์ ขนาดหน้าปัด 42 มิลลิเมตรรุ่นใหม่ที่ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 300 เรือน เช่นเดียวกับนาฬิการอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ ไดเวอร์ 3 โมเดลที่เปิดตัวในช่วงต้นปีที่ผ่านมา นาฬิการุ่นลิมิเต็ดเรือนนี้ขับเคลื่อนด้วยคาลิเบอร์ 4308 ซึ่งเป็นกลไกเซลฟ์ไวนด์ดิ้ง (Selfwinding) ล่าสุดของโอเดอมาร์ ปิเกต์ อีกทั้งยังใช้ระบบถอดเปลี่ยนสายนาฬิกาด้วยตนเอง พร้อมดีไซน์หน้าปัดที่ตอบโจทย์ทุกการผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ไม่ว่าจะบนบกหรือใต้น้ำ กลไกที่พร้อมสำหรับทุกการผจญภัย นาฬิการอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ ไดเวอร์ รุ่นลิมิเต็ด อิดิชั่น มาพร้อมกลไกอัตโนมัติแบบล่าสุดของโอเดอมาร์ ปิเกต์ พร้อมการแสดงวินาทีและการแสดงวันที่แบบ Instant-Jump คาลิเบอร์ 4308 ถูกติดตั้งพร้อมกลไกที่ช่วยมอบเสถียรภาพและความแม่นยำเมื่อปรับฟังก์ชันของนาฬิกา สเกลเวลาการดำน้ำที่แสดงอยู่บนวงแหวนด้านในที่สามารถหมุนได้ของหน้าปัดสามารถเปิดใช้งานด้วยกลไกการคลิกแบบทิศทางเดียวที่ถูกติดตั้งให้เชื่อมกับเม็ดมะยมตรงที่ตำแหน่ง 10 นาฬิกา ฝาหลังแซฟไฟร์เผยให้เห็นเทคนิคการตกแต่งสุดประณีตของคาลิเบอร์ 4308 ไม่ว่าจะเป็นลาย โกตส์ เดอ เฌอแนฟ (Côtes de Genève) เทคนิคเทรตส์ ทิเรส์
เชื่อว่าสาวกเรือนเวลาทั้งหลายที่ชอบแสวงหาความแปลกใหม่ไม่จำเจ คงคุ้นเคยกับชื่อของ ALBA แบรนด์นาฬิกาดีไซน์สวย ซึ่งมีจุดเด่นเรื่องราคาที่สามารถจับต้องได้ภายใต้คุณภาพการผลิตที่การันตีโดย SEIKO แบรนด์นาฬิกาชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่ง ALBA นั้นถือเป็นแบรนด์น้อง ที่รวมพลังร่วมบุกตลาดในไทย ยืนหยัดเคียงข้างแบรนด์พี่ใหญ่อย่าง SEIKO มายาวนาน ล่าสุดในปี 2021 นี้ ทาง ALBA ได้กลับมาอีกครั้งพร้อมคอนเซ็ปต์ “The Reflection Of Japan” ด้วยงานดีไซน์ที่สะท้อนถึงคุณภาพความเป็น Japan Product โดยเน้นไปที่รูปลักษณ์ของเรือนเวลา Sport Style ที่หนุ่ม ๆ อย่างเราสามารถหยิบมาสวมใส่ได้ในทุกโอกาส และในวันนี้เราได้คัดเลือกเรือนเวลา 5 โมเดลใหม่ที่น่าสนใจจาก ALBA มาอวดโฉมความเท่ ให้ชาว UNLOCKMEN ได้สัมผัส และทำความรู้จักกับจุดเด่นของทั้ง 5 เรือนนี้ ที่พร้อมประทับลงบนข้อมือในฐานะไอเทมบอกเวลาคู่ใจซึ่งช่วยอัพความเท่ให้กับคุณได้ในทุกสถานการณ์ เริ่มต้นที่เรือนแรกซึ่งต้องบอกเลยว่าใครเห็นเป็นต้องสะดุดตา กับความหรูหราที่ผสานความสปอร์ตได้อย่างลงตัวกับ ALBA Automatic รุ่น AL4185X ตัวท็อปแห่งเรือนเวลาดีไซน์สปอร์ตขับเคลื่อนด้วยระบบออโตเมติก มาพร้อมหน้าปัดซันเรย์สีน้ำเงิน มีหลักชั่วโมงแบบพรายน้ำเหลือบทอง