ต้องยอมรับว่า “เสื้อยืดวินเทจ” คือหนึ่งในไอเทมที่ได้รับความนิยมในทุกยุคสมัย เพราะไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ผู้คนก็ยังหลงใหลและชื่นชอบการสวมใส่ไอเทมชิ้นนี้อยู่ตลอดเวลา กระแสที่มีมานานและไม่เคยจางหายไป ส่วนนึงอาจเป็นเพราะเหล่าแฟชั่นนิสต้าผู้ทรงอิทธิพลหลายคนหยิบมันมาสวมใส่มากขึ้น ก็ยิ่งทำให้ร้านเสื้อวินเทจในบ้านเราเกิดขึ้นตามมาเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตามสำหรับหนุ่ม ๆ ที่ชื่นชอบการตามหาเสื้อวงปีหายากหรือเสื้อยืดวินเทจในสไตล์ที่อยากครอบครอง แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะต้องไปที่ไหน วันนี้ UNLOCKMEN อยากมาชี้เป้า 5 ร้านเสื้อยืดวินเทจที่คุณควรไปเยือนสักครั้ง หากคุณไม่พลาดของแรร์และงานคุณภาพดีไป จะมีร้านไหนบ้างมาชมไปพร้อมกันเลย ร้านแรกที่เราอยากแนะนำคือ Know Where Studio อาณาจักรเสื้อยืดวินเทจของ โย-โยธิน พูนสำโรง เจ้าของร้านผู้ใส่ใจในทุกรายละเอียดตั้งแต่การจัดร้านที่ออกมาสวยงามไม่ต่างจากการจัด exhibition โชว์ของหายาก รวมถึงการตามหาของเข้าร้านที่เรียกได้ว่ามีของปีลึก ของหายาก ของออกคล่อง ครบทุกสไตล์ในแห่งเดียว ที่ Know Where Studio เราจะได้เห็นกองทัพเสื้อวินเทจถูกจัดเรียงเอาไว้อย่างสวยงาม ไม่ว่าจะเป็นเสื้อวง เสื้อทัวร์ เสื้อแนวสปอร์ตเรโทร รวมไปมอสกีโต้เฮด และเสื้อยืดลายตัวการ์ตูนที่มีให้เลือกจำนวนมาก ล่าสุดเพิ่งเปิดสาขาใหม่ใกล้กับ BTS สะพานควาย หนุ่ม ๆ ที่อยากรู้จักเสื้อวินเทจให้ดีขึ้นสามารถแวะเวียนไปเยี่ยมชมและเลือกซื้อกันได้เลย Facebook: www.facebook.com/Knowwherestudio Instagram: www.instagram.com/knowwherestudio/
เมื่อคุณต้องการนาฬิกาที่มีกลไกเที่ยงตรงแบบ Swiss Made รวมเข้ากับความอึดทนเทคโนโลยีกันกระแทกของ G-shock จากญี่ปุ่น ไอเดียนั้นกลายเป็นจริงในที่สุด จะเรียกว่าเป็น Independent Watch ชนิดนึงก็ได้ นี่คือ ‘Swiss Shock’ ผลงานการ Custom โดย Wolfensohn ซึ่งไม่ใช่ชื่อแบรนด์บริษัทนาฬิกาใหญ่โตอะไร เค้าเป็นเพียงผู้ชายที่มีชื่อว่า Wolfensohn Michael อายุ 35 ปี ผู้ชื่นชอบในเรื่องของงานดีไซน์ แฟชั่น มอเตอร์ไซค์ และนาฬิกา โปรเจคนี้ก็เกิดขึ้นเมื่อวันนึง Wolfensohn เกิดหลงรัก full-metal G-Shock GMW-B5000D-1 เวอร์ชั่นวัสดุ Limited เข้าเต็มเปา แต่พอจะซื้อก็กลับพบว่ามัน Sold Out จึงคิดว่าอยากได้นาฬิกาที่กลไกล้ำสมัย และวัสดุเคสรวมถึงหน้าปัดมีความหรูหราเหมือนในนาฬิกาจาก Switzerland Wolfensohn จึงเลือกใช้ตัวเครื่อง ETA 2824-2 automatic movement ที่มีชื่อเสียงในด้านความซับซ้อนและความเที่ยงตรงระดับ f +/-4 sec/day up
Squaring หรือตัวเลขยกกำลังสองที่ทวีคูณเพิ่มเป็นเท่าตัว เปรียบเสมือนการยอมรับว่าไอเดียหนึ่งสามารถอยู่ร่วมกันกับอีกไอเดียได้ สำหรับฤดูกาล Pre-Fall 2020 หลุยส์ วิตตอง เปิดตัวคอลเล็คชั่น LV2 – ‘Louis Vuitton squared’ – คอลเล็คชั่นพิเศษที่เป็นความร่วมมือระหว่าง เวอร์จิล อาโบลห์ ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์แห่งหลุยส์ วิตตอง และ นิโกะ ดีไซเนอร์ชื่อดังจากแดนอาทิตย์อุทัย ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Human Made และก่อนหน้านี้ได้ก่อตั้งแบรนด์ BAPE และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ Billionaire Boys Club โดยนับเป็นแคปซูลคอลเล็คชั่นที่รวมการรังสรรค์เสื้อผ้าเรดี้ทูแวร์ เครื่องหนัง รองเท้า และแอ็คเซสซอรี่ ที่นำเสนอการตีความบทใหม่ของลวดลายกราฟฟิคอันเป็นไอคอนนิคของหลุยส์ วิตตอง ซึ่งเวอร์จิลได้เชื้อเชิญดีไซเนอร์ชาวญี่ปุ่นผู้ก่อตั้งแบรนด์ Human Made มาร่วมออกแบบผลงานในไลน์พิเศษที่ผสมผสานเอกลักษณ์ความเป็นตัวตนของทั้งคู่ การเล่นกับเรื่องราวการเดินทางที่เป็นหัวใจสำคัญของแบรนด์นำมาสู่แรงบันดาลใจให้กับคอลเล็คชั่น LV2 ที่นำสไตล์ของผู้ชายในแบบ London Mod era มาเสนอผ่านมุมมองของเลนส์ในแบบฉบับหนุ่มโตเกียว การผสมผสานข้ามเชื้อชาติสร้างมู้ดแอนด์โทนใหม่ให้กับเสื้อผ้าสไตล์แบบเทเลอร์ ซึ่งนำมาจากรูปแบบเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ของ นิโกะ (Nigo) ดีไซเนอร์ผู้ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากซับคัลเจอร์ในลอนดอน ในขณะที่ดีไซน์จากคอลเล็คชั่น
เชื่อว่าหนุ่ม ๆ หลายคนคงคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตในวันร้อน ๆ ของอากาศบ้านเรา ที่แม้จะหยิบเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นมาใส่แต่ก็ยังรู้สึกอบอ้าวอยู่ดี นั่นเพราะไม่ใช่แค่การเลือกเสื้อผ้าผิดประเภทที่ทำให้เรารู้สึกร้อนกว่าปกติ เพราะไอเทมสำคัญอย่างรองเท้าก็มีส่วนกับเรื่องนี้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวัสดุที่ระบายอากาศไม่ดี หรือดีไซน์ที่ไม่ตอบโจทย์การสวมใส่ที่สะดวกสบาย อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ชายที่อยากมีรองเท้าเท่ ๆ ใส่แล้วเย็นสบาย เหมาะจะใช้งานในวันอากาศร้อน STYLE GUIDE วันนี้เรามาแนะนำรองเท้า 5 สไตล์ที่ครอบคลุมตั้งแต่การใส่เดินในบริเวณบ้าน ไปจนถึงออกงานคู่กับชุดทางการ แต่ละคู่จะเหมาะสมด้วยเหตุผลอะไร มาทำความรู้จักไปพร้อมกันได้เลย เริ่มต้นกับรองเท้าที่หนุ่ม ๆ ทุกคนต้องพึ่งพาอย่างรองเท้าแตะ (Sandals) ผู้ชายอย่างเราใช้งานรองเท้าชนิดนี้ตั้งแต่อยู่ในบ้าน ไปซื้อของ รวมถึงใช้ในการแต่งตัวแบบลำลอง เช่นเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น แต่สำหรับคนที่ไม่ต้องการให้ลุคสวมรองเท้าแตะของตัวเองดูธรรมดาจนเกินไป Leather Scandals คือรองเท้าอีกชนิดที่เราอยากแนะนำ Leather Scandals หรือรองเท้าแตะหนัง คือรองเท้าแตะที่เราแนะนำว่าควรลงทุนกับมัน จุดเด่นของมันคือการใช้งานที่หลากหลาย ให้ลุค Smart Casual เมื่อจับคู่กับ Resortwear ชิ้นอื่นไม่ว่าจะเป็น เสื้อโปโล กางเกงชิโน่ขาสั้น รวมถึงเข้ากันได้ดีกับทั้งเสื้อยืดโทนเพลนและเสื้อที่มีสีสันลวดลายได้อย่างลงตัว อย่างไรก็ตามอาจต้องระวังการสวมใส่ในวันที่มีฝนตก และหลีกเลี่ยงการโดนน้ำ เพื่อรักษาหนังไม่ให้เสื่อมสภาพเร็วเกินไป รองเท้าคู่ต่อมาที่อยากแนะนำคือ Knitted Trainers
อีกหนึ่งไอเทมคลาสสิคจากแฟชั่นทหารอากาศ สู่รันเวย์แฟชั่นที่ทุกคนต้อง
สกินเฮด ทรงผมตัดเกรียนติดหนังหัว ที่มีต้นกำเนิดมาจากวัฒธรรมการต่อต้านสังคมของวัยรุ่นชาวอังกฤษชนชั้นแรงงาน ฐานะยากจน ผู้ซึมซับวัฒนธรรมจากชาวจาไมก้าที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศอังกฤษ เริ่มจากดนตรีไปจนถึงแฟชั่น ความนิยมสวมเสื้อแขนสั้นคู่กับกางเกงขายาวทรงตรงจึงถือกำเนิดขึ้น ก่อนจะปรับให้มีความเป็นทางการมากขึ้น ด้วยการสวมแจ๊คเก็ทหนังและรองเท้าบูตสีดำ ต่อมาในช่วงยุค 70 ที่วงการเพลงในยุคนั้นเริ่มเกี่ยวข้องกับในเรื่องของการเมืองมากขึ้น แนวเพลงสกาได้เปลี่ยนไปเป็นเรกเก้ ที่มีความเกี่ยวข้องกับสังคมและการปกครองประเทศอาณานิคมของอังกฤษ ลุกลามไปถึงการแบ่งแยกชนชั้น ฐานะ และการเหยียดสีผิวอย่างรุนแรง ซึ่งแน่นอนว่าเนื้อหาของเพลงที่เปลี่ยนไปนั้น มีอิทธิพลทำให้อารมณ์และความรู้สึกของเหล่าสกินเฮดมีความรุนแรงมากขึ้น รวมไปถึงภาพลักษณ์การแต่งตัวของชาวสกินเฮดที่ดูแข็งกร้าวขึ้นด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นกางเกงยีนส์ รองเท้าบู๊ทหัวเหล็ก แจ็คเก็ตหนัง เสื้อสเวทเตอร์สีดำ ที่ตอกย้ำความดุดันของชาวสกินเฮดเพิ่มขึ้นไปอีก นับว่าเป็นทรงผมที่เป็นตำนานแห่งความเท่ ที่ได้รับความนิยมอยู่เรื่อย ๆ ในทุกยุคสมัย เราจึงได้หยิบเอาสไตล์การแต่งตัวเท่ ๆ ของชาวสกินเฮดมาให้ได้ชมกัน Bomber Jackets ไอเท็มเด็ดของชาวสกินเฮด Bomber Jacket หรือเรียกอีกชื่อว่า MA-1 Jacket มีต้นกำเนิดในช่วงปี 1950 เป็นเสื้อที่สร้างมาให้กับนักบินในช่วงสงครามโลกความความคล่องแคล่วนในการเคลื่อนไหว และให้ความอบอุ่นเมื่อเจออากาศเปลี่ยนแปลงเมื่อทำการบินเป็นระยะทางไกล ๆ แต่ด้วยดีไซน์ที่มีความเท่อย่างไร้ขีดจำกัด เมื่อเหล่าสกินเฮดหยิบมาสวมใส่ แมทช์เข้ากับกางเกงยีนส์และรองเท้าบูธ Dr Martens ก็ทำให้แจ็คเก็ตสไตล์นี้ได้รับความนิยมอย่างมากในวงการแฟชั่น จนกลายเป็นของที่ต้องมีติดตู้สำหรับผู้ชาย Bomber jacket กลายเป็น
พลิกโฉมนาฬิกาคอลเลคชั่นจาก MIDO ถือเป็นครั้งแรกสำหรับแบรนด์นาฬิกาดังจากสวิตเซอร์แลนด์ กับการสร้างสรรค์นาฬิกาจักรกลรุ่นใหม่อย่าง Commander Gradient ที่มาพร้อมกับหน้าปัดเล่นแสงเงา และสีเทาควันบุหรี่ที่ไล่เฉดสีไปจนถึงเห็นความโปร่งใสสามารถมองทะลุได้ จนเห็นชุดเฟืองของกลไกสุดยอดเยี่ยมอย่าง Caliber 80 ที่อยู่ใต้หน้าปัดจากทั้งด้านหน้าและด้านหลังของตัวนาฬิกา ความเที่ยงตรงและการออกแบบที่มีความโดดเด่นของ Commander Gradient ทำให้เห็นถึงความแตกต่างที่ลงตัวในการดีไซน์ และชุดเข็มสีส้มที่เป็นโทนสีเอกลักษณ์ของ MIDO แนวคิดสถาปัตยกรรมที่อยู่เบื้องหลังสไตล์อันโดดเด่น เส้นสายที่เป็นเอกลักษณ์ และอยู่บนตัวเรือนของ Commander ถือเป็นภาพสะท้อนของเงาโครงสร้างหอไอเฟล และตัวเรือนที่มีจุดเด่นขอบบางเฉียบ รูปทรงแบบกลมแสดงให้เห็นถึงแนวโค้งของสถาปัตยกรรม หลักชั่วโมงและชุดเข็มที่เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า พร้อมกับการขัดเงาบนพื้นผิวที่เป็นโลหะ เปรียบเหมือนโครงเหล็กของตัวหอไอเฟล ที่มีความโดดเด่นเหนือกาลเวลาและยืนท้าทายความเปลี่ยนแปลงของเวลามานานถึง 5 ทศวรรษ Mido ผลิตคอลเล็กชั่นออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องนับจากรุ่นแรกที่เปิดตัวออกมาเมื่อปี 19591 เฉกเช่นเดียวกับหอไอเฟลที่มีชื่อเสียงของชาวปารีส คอลเล็กชั่น Commander ถือเป็นสัญลักษณ์แท้จริงของ MIDO เลยก็ว่าได้ ความแปลกใหม่ แต่ยังเผยให้เห็นถึงความดั้งเดิม หน้าปัดแบบโปร่งใสของ Commander Gradient ที่ชวนให้จับจ้องไปที่ชิ้นส่วนกลไกข้างใน แต่ยังคงความคล้ายหน้าปัดดั้งเดิมที่เป็นสีเทาควันบุหรี่ แต่เพิ่มความน่าสนใจด้วยการไล่เฉดสีออกไปทางขอบนอกของหน้าปัด ดีไซน์ช่องวันที่ในตำแหน่ง 3 นาฬิกาถูกจัดวางอย่างลงตัว แผงหน้าปัดควบคุมระบบทั่วไปที่สามารถมองเห็นรายละเอียดได้อย่างชัดเจนเมื่ออยู่ในที่มืด หลักชั่วโมงที่ขัดเงา และชุดเข็มชั่วโมง-นาที ออกแบบให้มีรูปทรงแบบไดมอนด์คัต
ผู้ชายสายลุยอาจต้องอดลุยกันมาพักใหญ่ ๆ เนื่องจาก COVID-19 แม้ตอนนี้หลายสถานที่ในประเทศจะเริ่มกลับมาเปิดตามปกติ และการคลายมาตรการบางส่วนทำให้เราออกเดินทางไปต่างจังหวัดได้บ้างแล้ว แต่ก็ต้องบอกตามตรงว่าไม่รู้เมื่อไรเราถึงจะกลับมาผจญภัย ออกเดินทาง หรือมีทริปแบบปกติ ๆ เหมือนก่อน COVID-19 มาเยือนได้อีก UNLOCKMEN เข้าใจหัวอกสายลุยดียิ่งกว่าดี จึงไม่มีอะไรเยียวยาได้ตรงจุดไปกว่า SPACE by Ecocapsule® เพราะนี่คือบ้านแคปซูลขนาดกะทัดรัด ดีไซน์ล้ำ ฟังก์ชันคูลที่ให้ความรู้สึกเหมือนการไปตั้งแคมป์ (แถมจะไปตั้งที่ไหนก็ได้เพราะไม่ง้อไฟฟ้า) ไม่ต้องคอยระวังอะไรเหมือนไปพักตามรีสอร์ทอีกต่างหากว่าเราเผลอละเมิดกฎ New Normal อะไรไปบ้างหรือเปล่า ส่วนใครเบื่อ ๆ บรรยากาศในบ้าน จะเอามาตั้งในสวนแยกตัวมามีเวลาส่วนตัวแบบคูล ๆ ก็ไม่ผิดกติกา เรียกว่าดีต่อใจสายลุยในวันที่ไม่ได้ออกไปลุยมานานได้กริบทุกมิติจริง ๆ วัสดุภายนอก SPACE by Ecocapsule® ทำจากเปลือกไฟเบอร์กลาสหุ้มฉนวนโครงเหล็ก มาพร้อมระบบการผลิตพลังงานที่สายรักษ์โลกก็ต้องรัก ส่วนสายลุยก็ยิ่งชอบเพราะไม่ต้องกังวลว่าจะไปตั้งที่ไหน มีไฟฟ้าไหม? เดินไฟให้วุ่นวายหรือเปล่า? SPACE by Ecocapsule® ใช้ระบบการผลิตพลังงานจากแผงเซลล์แสงอาทิตย์ที่มีประสิทธิภาพสูงติดตั้งบนเสาแบบยืดหดได้ ให้กำลังไฟ 200W ส่วนระบบความร้อนและการระบายอากาศนั้น SPACE by Ecocapsule® ดีไซน์หน้าต่างที่สามารถเปิดเป็นช่องรับลมไม่ว่าจะตั้งอยู่ที่ไหน
เมื่อความลึกลับและความแข็งแกร่งของบุรุษเพศเป็นของคู่กันแล้ว ย่อมไม่มีสิ่งใดต้านทานเสน่ห์อันน่าหลงใหลนี้ ไปได้ ด้วยเหตุนี้ “Gucci” (กุชชี่) จึงรังสรรค์น้ำหอมกลิ่นใหม่ล่าสุดรวบรวมไว้ในไอคอนนิคคอลเลคชั่นอย่าง Guilty กับการเปิดตัว Gucci Guilty Pour Homme Eau de Parfum (กุชชี่ กิลตี้ ปูร์ ออมม์ โอ เดอ พาร์ฟูม) ที่ครั้งนี้ จงใจหยิบเอากลิ่นซิกเนเจอร์ดั้งเดิมมาเรียงร้อยและตีความใหม่ จนกลายเป็นผลลัพธ์อันน่าทึ่งยิ่งขึ้นและไม่เหมือนใครของน้ำหอมเพื่อสุภาพบุรุษที่จะมาเติมเต็มเสน่ห์อันน่าค้นหาและเผยความไร้กฎเกณฑ์ที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวตน อีกทั้งความหาญกล้าในการแสดงออกซึ่งอิสรภาพ ผ่านเรื่องราวของ #ForeverGuilty ที่ยังคงนำเสนอเพื่อตอกย้ำและเฉลิมฉลองให้กับทุกความเป็นอิสระบนโลกใบนี้ โดดเด่นด้วยรหัสลับของกลิ่นหอมแปลกใหม่อันมีเอกลักษณ์จากพริกที่สร้างความเร้าใจ ผสานกลิ่นฟลอรัลหอมรัญจวนของมวลหมู่ดอกกุหลาบ ให้เหล่าหนุ่มกุชชี่คอมพลีทลุค ทรงเสน่ห์ได้ไม่ซ้ำใคร Gucci Guilty Pour Homme Eau de Parfum มาพร้อมกลิ่นหอมแนวอบอุ่น สดชื่น ขณะเดียวกันก็ให้ความเผ็ดร้อนแสนเย้ายวนใจที่เปี่ยมไปด้วยพลังของชายชาตรี เกิดจากแรงบันดาลใจของกลิ่นหอมที่มีเอกลักษณ์ร่วมสมัยในยุค 70s นำเอาคุณค่าของดอกกุหลาบ (Rose) และพริก (Chili Pepper) มาเป็นส่วนผสมหลักแห่งท็อปโน๊ตแทนที่กลิ่นหอมดั้งเดิมอย่างพริกไทยสีชมพู (Pink Pepper) และมะนาวอิตาลี (Italian Lemon) เพื่อมอบสัมผัสอันไม่คาดคิดเสมือนอยู่ในบรรยากาศย้อนยุค
เคยตื่นขึ้นมาพร้อมความรู้สึกว่างเปล่ากันบ้างไหม? ของบางอย่างที่เคยมี คนใกล้ชิดที่อยู่ด้วยกันมาหลายสิบปีหรืออาจจะทั้งชีวิต พอพวกเขาตายจากไปเราถึงเข้าใจความรู้สึกนี้ได้ดีขึ้น ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่เคยอยู่ด้วยกันมาหลายปี วันหนึ่งกลับคล้ายไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่มีหลักฐานว่าพวกเขาเคยอยู่ตรงนี้ อย่างเดียวที่ยืนยันการมีอยู่ครั้งหนึ่งได้คงมีเพียงแค่ความทรงจำของเราเท่านั้น จะดีแค่ไหนถ้าเราสามารถเก็บความทรงจำที่สวยงามนั้นไว้ติดตัวเราได้ตลอดเวลา เชื่อว่าหลายคนคงคิดไม่ต่างกัน กระทั่งในที่สุดความคิดนี้ก็เกิดเป็นรูปเป็นร่างขึ้นจากการสร้างสรรค์ของ Gemories Thailand บริษัทจิวเวลรีไทยย่านสุขุมวิทที่เปลี่ยนอินทรียสารของคนที่เรารัก ไม่ว่าจะเป็นเถ้ากระดูก เส้นผม เส้นใยผ้า ดอกไม้ ฯลฯ ให้กลายเป็นรูปของผลึกพลอยเจียระไนแวววาวพร้อมสวมใส่ วันนี้ UNLOCKMEN โอกาสได้พูดคุยกับ คุณเบนซ์ – คุณปทิตตา หอมจันทร์ Marketing Director และเป็นหนึ่งในผู้บริหาร บริษัท เจมโมรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด แบบเอ็กคลูซีฟและได้เห็นทุกขั้นตอนกระบวนการผลิตที่ทำให้หายข้องใจว่า ส่วนประกอบต่าง ๆ จากคนที่เรารักสามารถแปรเป็นอัญมณีได้อย่างไร และทำไม Gemories ถึงต้องการสร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้ขึ้น บอกก่อนว่าทั้งหมดนี้เรามองในแง่วิทยาศาสตร์ ไม่ได้มุ่งเน้นเรื่องลี้ลับ อย่างไรก็ตามอย่าลืมใช้วิจารณญาณในการอ่านทุกบรรทัดด้วยนะ ถ้าจะบอกว่าธุรกิจที่นี่มีจุดเริ่มจาก “จุดจบ” ก็คงไม่ผิด คุณเบนซ์เล่าให้เราฟังว่า เดิมคุณพลอย-ภัสสร ภัสสรศิริ ผู้ริเริ่มธุรกิจ Gemories เคยทำธุรกิจเตาเผาไร้มลพิษและ Pet Master
Kinship คือวัฒนธรรมคนเอเชียมักจะอยู่รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นบ้านครอบครัวเดียวหรือรวมกันหลายครอบครัว หลาย generation เช่นเดียวกับในสิงคโปร์ ซึ่งเป็นความท้าทายในการออกแบบ Interior Design บ้านให้ตอบโจทย์หลายครอบครัวในพื้นที่จำกัด และนี่คือตัวอย่างบ้านโดย Ming Architects น่าจะเป็นไอเดียที่ดีสำหรับคนที่ชอบบ้านสไตล์ Modern Industrial Loft กับรายละเอียดโหด ๆ และต้องรองรับสมาชิกครอบครัวใหม่ที่เพิ่มขึ้นในอนาคต Venus House ไอเดียบ้านสไตล์ Modern สำหรับครอบครัวใหญ่ในสิงคโปร์ที่อาศัยอยู่ด้วยกันหลาย generation โดย layout บ้านทาวน์เฮาส์มีความคล้ายกับในประเทศไทย คือหน้าแคบแต่ลึก ความท้าทายคือการแบ่งพื้นที่ให้เป็นสัดส่วนเพียงพอสำหรับการใช้ชีวิตประจำวัน โดยยังคงความเป็นส่วนตัวสำหรับแต่ละครอบครัว ทีมออกแบบจึงแก้ปัญหาด้วยการเจาะเพิ่มชั้นใต้ดินเพื่อเพิ่มพื้นที่ภายในบ้านได้มาอีก 1 ชั้น และเปิดพื้นที่กลางบ้านให้แสงเข้าจากด้านบนผ่าน glass skylight เพื่อเพิ่มแสงสว่างให้ลงมาอย่างทั่วถึง และยังช่วยเรื่องระบายอากาศ รวมถึงการออกแบบขั้นบันไดให้แสงส่องผ่านได้ แบ่งโซนต่าง ๆ ด้วยโทนสีและวัสดุการตกแต่งเพื่อสร้างความแตกต่างออกจากกันโดยอยู่ในโทนขาว ดำ เทา ตามสไตล์ Modern Industrial Loft แต่ที่เด็ดสุดของบ้านนี้คือสระว่ายน้ำ indoor บริเวณชั้นสองในห้อง Entertainment Room
ฝนโปรยลงมาอีกครั้ง ฤดูฝนมาเยือนอีกหน เมฆหม่น ฟ้าครึ้มอาจยิ่งทำให้บรรยากาศในบ้านทึมเทากว่าปกติ การพาตัวเองออกไปนอกบ้าน (ในเงื่อนไขที่ดูแลตัวเองอย่างปลอดภัยและถูกสุขอนามัย) บ้างก็ดีต่อสุขภาพจิตเหมือนกัน แต่จะไปห้างสรรพสินค้าฝ่าผู้คนในช่วงนี้ก็อาจไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะนัก กิจกรรมกลางแจ้งหลายอย่างก็ไม่เหมาะกับฤดูฝน UNLOCKMEN อยากชวนไปร้านหนังสือดูสักครั้ง โดยเฉพาะร้านหนังสืออิสระในวันฝนตก ที่เต็มไปด้วยกลิ่นหนังสือ ไออุ่นและความห่วงใยจากคนขายที่พร้อมให้คำแนะนำ ความเงียบสงบที่ชวนให้เป็นสุขบางแบบที่หาไม่ได้จากที่อื่น ถ้ายังนึกไม่ออกว่าบรรยากาศในร้านหนังสือนั้นน่าหลงใหลจนควรค่าแก่การชวนใครสักคนไปด้วยกันได้อย่างไร วันนี้เราหยิบหนังสือ 5 เล่มเกี่ยวกับหนังสือและร้านหนังสือมาให้คุณได้ลองลิ้มรสความละมุนละไมกันก่อน A Great Little Place Called Independent Bookshop เราอยากกระซิบบอกคุณว่า “ร้านหนังสือเดินทาง” เป็นอีกร้านหนังสืออิสระที่โรแมนติกที่สุดอีกแห่งหนึ่ง ถ้าคุณคือคนหนึ่งที่รู้จักร้านหนังสือในฐานะโซนหนึ่งในห้างสรรพสินค้าที่วางหนังสือเรียงรายใต้แสงนีออนชืด ๆ และไม่น่าเฉียดเข้าไปหมกตัวนาน ๆ เราอยากขอให้คุณรู้จักร้านหนังสือเดินทางแล้วคิดใหม่ แต่ถ้ายังไม่พร้อมไปเยือนร้านหนังสือเดินทางด้วยตัวเอง “A Great Little Place Called Independent Bookshop” เล่มนี้จะเป็นอีกเล่มที่พาคุณไปรู้จักร้านหนังสือร้านนี้จากปากเจ้าของร้านเอง เล่มนี้ไม่ได้เป็นแค่หนังสือที่พาไปสัมผัสบรรยากาศร้านหนังสือเท่านั้น แต่คือการเลาะลึกลงไปถึงแรงบันดาลใจ ความตั้งใจของมนุษย์คนหนึ่งที่หลงรักการอ่าน หลงรักหนังสือ และครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะนำสิ่งที่เขารักมาก ๆ มาเป็นอาชีพที่เลี้ยงตัวเองได้ ในวันฝนพรำการได้อ่านเล่มนี้จึงเป็นเหมือนเชื้อเพลิงทำให้ใจอุ่นชั้นยอด เพราะนอกจากภาพร้านหนังสือที่จะคอยปลอบประโลมเราตลอดเล่ม เรื่องราวของหนุ่ม