ถ้าพูดถึงนาฬิกาคู่ใจสำหรับผู้ชาย เชื่อว่าคงมีไม่กี่แบรนด์ที่ครองใจหนุ่ม ๆ หลายคนอยู่ตอนนี้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าหนึ่งในไม่กี่แบรนด์นั้นต้องมี G-SHOCK อยู่อย่างแน่นอน แบรนด์นาฬิกาสุดเท่จากแดนอาทิตย์อุทัยรายนี้ได้รับความนิยมมาหลายยุคหลายสมัยจวบจนปัจจุบัน โดยเฉพาะซีรีส์ CASIO ที่เรียกได้ว่าโดดเด่นทั้งดีไซน์และไม่ทิ้งจุดเด่นของแบรนด์ในด้านความแข็งแรงทนทาน เมื่อไม่นานมานี้ G-SHOCK เพิ่งเปิดตัวโมเดลรุ่นล่าสุดอย่าง ‘CASIO GA-2100’ มาพร้อมตัวเรือนบางเฉียบ น้ำหนัก 51 กรัม และความหนาเพียง 11.8 มิลลิเมตร ทำให้นาฬิกาเรือนนี้ขึ้นแท่นเรือนเวลาที่บางที่สุดของค่าย G-SHOCK ไปโดยปริยาย สำหรับผู้ชายที่หลงใหลในความเรียบง่าย คมเท่ และรูปแบบงานดีไซน์ที่ไม่หวือหวาจนเกินไป คงต้องบอกว่า CASIO GA-2100 เรือนนี้ตอบโจทย์คุณเป็นอย่างยิ่ง ด้วยตัวเรือนที่ดีไซน์มาเป็น 8 เหลี่ยมพร้อมสายเรซินแบบดั้งเดิม ทำให้นาฬิกาสะท้อนความร่วมสมัย แถมยังแฝงกลิ่นอายมินิมัลผ่าน 3 เฉดสีเรียบเท่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ เสริมความแข็งแกร่งด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ที่ห่อหุ้มตัวเรือน สายเรซินคุณภาพสูง และโครงสร้างป้องกันแกนกลางระดับพรีเมียม ช่วยให้นาฬิกาเรือนนี้ทนทานต่อแรงกระแทกและมีความสามารถในการกันน้ำได้ลึกถึง 200 เมตร ภายใต้กระจกมิเนอรัลสุดแกร่งยังซ่อนจอ LED สองชั้น บรรจุไฟ Super Illuminator และ Auto Light
สำหรับผู้ชายที่เติบโตมากับภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่คงไม่มีใครไม่รู้จักตัวละครจาก X-Men ที่ชื่อว่า Logan และมีฉายาว่า Wolverine อย่างแน่นอน เพราะเราเห็น Hugh Jackman สวมบทเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ผู้มีพลังพิเศษสามารถเยียวยาบาดแผลได้รวดเร็ว จมูกไว หูดี มีสัญชาตญาณของสัตว์ป่า รวมถึงกรงเล็บเหล็กทำจาก Adamantium ที่ได้มาจากการทดลองเถื่อน บุคลิกห่าม ๆ ของตัวละครและคาริสม่าของ Hugh Jackman ทำให้ใครหลายคนจดจำตัวละครตัวนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะตัวละครนี้ถือเป็นฮีโร่ที่เติบโตมาพร้อมกับใครหลายคน รวมถึงแฟชั่นหลายยุคสมัยตั้งแต่หนุ่มจนถึงวาระสุดท้ายของเขาที่เต็มไปด้วยความน่าสนใจ จึงทำให้ UNLOCKMEN อยากพาทุกคนไปรู้จักกับสไตล์ของชายคนนี้ไปพร้อมกัน การปรากฏตัวของ Logan ในโลกภาพยนตร์เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2000 ในภาพยนตร์รวมทีมฮีโร่มนุษย์กลายพันธุ์ X-Men (2000) พาเราไปทำความรู้จักกับนักสู้ใต้ดินไร้ความทรงจำ แต่จับพลัดจับผลูมาเป็นคนที่มีส่วนช่วยโลกให้พ้นภัย หลายคนคาดเดาว่า Logan ฉบับหนังอาจเกิดปี 1837 เพราะภาค X-Men Origins: Wolverine (2009) เขาเป็นทหารร่วมรบอยู่ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ราวปี 1914 ต่อมาได้ช่วยชีวิตทหารหนุ่มชาวญี่ปุ่นไว้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เมืองนางาซากิ ในปี 1945
The Residences at Mandarin Oriental จับมือ ไอคอนสยาม ซูเปอร์ลักซ์ เรสซิเดนซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด และแมนดาริน โอเรียนเต็ล โฮเทล กรุ๊ป เปิดตัวโครงการฯ มูลค่า 1.1 หมื่นล้านบาท สุดยิ่งใหญ่ ด้วยอาคารสูง 52 ชั้น ที่อยู่อาศัยริมน้ำสุดอลังการ จำนวน 146 ยูนิต โครงการแรกภายใต้แบรนด์แมนดาริน โอเรียนเต็ล ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นโครงการที่อยู่อาศัยอันดับที่ 7 ของโลก ออกแบบเชิงสถาปัตยกรรมอย่างโดดเด่น ออกแบบภายใน โดย “จอยซ์ แวง” นักตกแต่งระดับโลก ครบครันด้วยบริการหรู สมบูรณ์แบบทั้งกลิ่นอาย บรรยากาศ และประสบการณ์ความเป็นไทย อบอุ่น เดินทางสะดวก พร้อมต้อนรับทั้งผู้อยู่อาศัย และผู้มาเยือน เปิดให้ครอบครองแล้ววันนี้ ภายในงาน ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ River Clubhouse
หลังจากที่ดีไซเนอร์หนุ่มไฟแรงอย่าง Virgil Abloh เจ้าของแบรนด์ Off-White แฟชั่นสตรีตชื่อดังไปร่วมออกแบบสินค้ากับ IKEA และเปิดตัวไอเทมของเขาไปแล้วเมื่อกลางปี 2019 ตอนนี้เขาได้สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนอีกครั้งด้วยการออกคอลเลกชันของใช้และของตกแต่งบ้านในแบรนด์ของตัวเอง คอลเลกชันที่ว่าจะถูกแยกออกมาจากหมวดแฟชั่นสตรีตของ Off-White แล้วมาอยู่ในหมวดดีไซน์ภายใต้คอลเลกชันพิเศษที่ชื่อว่า Home ซึ่งเป็นคอนเซ็ปต์สุดมินิมัลสีขาวครีมสบายตา โดยไอเทมแต่งบ้านสไตล์มินิมัลเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยเรื่องราวของแบรนด์ Off-White จะถูกแบ่งออกเป็นสามไลน์ด้วยกันคือ ส่วนห้องนอน ห้องน้ำ และ เซรามิก UNLOCKMEN จะขอเริ่มจากส่วนของห้องนอนกันก่อน เพราะห้องนอน เตียงนุ่ม ๆ และผ้าห่มผืนโปรดถือเป็นส่วนหนึ่งที่สร้างพื้นที่แสนสุขสำหรับเหล่ามนุษย์ทำงานผู้เหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน โดย Off-White ออกไอเทมได้ครบครัน ทั้งชุดเครื่องนอน ปลอกหมอน ผ้านวม ผ้าปูที่นอนสีขาวครีม และผ้าคลุมเตียงสีแดงที่ฉีกแนวออกจากไอเทมชิ้นอื่น นอกจากนี้โลโก้ลูกธนูไขว้อันโด่งดังของ Off-White จะถูกปักไว้บนไอเทมทุกชิ้นเพื่อความพิเศษกว่าใครตามที่ Virgil Abloh เฝ้าย้ำมาตลอด ไลน์เซรามิกถือเป็นหมัดเด็ดที่ Off-White Home ตั้งใจปล่อยออกมาเลยก็ว่าได้ เพราะดีไซเนอร์หนุ่มจัดเต็มทั้งของใช้บนโต๊ะอาหาร ทั้งชุดจานสำหรับอาหารเช้าและชุดอาหารเที่ยงที่เข้ากันไม่ว่าจะเป็น จาน ชาม ถ้วย แก้วกาแฟ แก้วน้ำ เหยือก ถาดใส่เซตอาหาร ไปจนถึงที่เขี่ยบุหรี่
‘เซ็นทรัล อินเตอร์เนชั่นแนล วอทช์ แฟร์ 2019’ งานมหกรรมเรือนเวลาแห่งภูมิภาคเอเชีย สำหรับงานในปีนี้ G-SHOCK จัดเต็มด้วยการจำลองกลิ่นอายของโรงตีดาบ “กัซซัน” (GASSAN) ต้นตำหรับจากประเทศญี่ปุ่น เพื่อให้ผู้ที่เข้าชมได้สัมผัสถึงกลิ่นอายและเอกลักษณ์เฉพาะตัวของนาฬิกาไฮไลท์อย่าง MRG-G2000GA-1A จากตระกูลกันกระแทกอันโด่งดัง MR-G (Majesty Reality G-SHOCK) โดยนาฬิการุ่นนี้ป็นรุ่นพิเศษที่เกิดจากความร่วมมือกับกัซซัน ตระกูลช่างตีดาบจักรพรรดิ์เก่าแก่ของประเทศญี่ปุ่น ที่สืบสานตำนานและฝีมือจากรุ่นสู่รุ่นมานานกว่า 800 ปี และได้มีการผลิตให้สะสมเพียง 300 เรือนทั่วโลกเท่านั้น ตัวเรือนผลิตจากไทเทเนียมเพื่อความแข็งแกร่ง และยังมาพร้อมกับผิวสัมผัสที่สวยงามหรูหรา ผ่านทักษะของช่างฝีมือที่สร้างสรรค์คุณลักษณะของดาบอันประณีต นาฬิกา G-SHOCK MR-G Series รุ่น MRG-G2000GA-1A มาพร้อมกับกรอบ COBARION® ที่มีลวดลายของ Kissaki (ปลายดาบ) ตัวเรือนไทเทเนียมผ่านกระบวนการรีคริสตัลไลซ์ ซึ่งให้ความรู้สึกเสมือนลายคลื่นบนตัวดาบ และ เทคนิคการลงสีแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม ผสมผสานกับเทคนิคการเคลือบ AIP® (Arc Ion Plating) สีม่วงเข้มที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสีอาภรของชนชั้นสูงของญี่ปุ่นและขึ้นรูปโดดเด่นด้วยตัวเรือนและกรอบแบบ COBARION® ที่ตัดกันอย่างลงตัวกับสายไทเทเนียมอันมีลักษณะเฉพาะตัวของ Nakago (ด้ามดาบ) ช่วงกลางของสายมีลาย
หลังจากที่ลือกันมาพักใหญ่ว่าแบรนด์เครื่องกีฬาชื่อดังอย่าง Adidas เตรียมออกรองเท้าผ้าใบคอลเลกชันสุดพิเศษที่ได้ฟรอนต์แมนในตำนานอย่าง Liam Gallagher มาร่วมดีไซน์ด้วย หลายคนต่างคาดเดาไปทางเดียวกันว่าสนีกเกอร์คู่นี้จะต้องเต็มไปด้วยความวินเทจสุดคลาสสิกตามแบบฉบับป๋าเลียมอย่างแน่นอน และตอนนี้ก็ไม่ทำให้ทุกคนต้องผิดหวังเมื่อได้เห็น Adidas Spezial สีครีมที่เต็มไปด้วยเรื่องราวและสไตล์ยอดศิลปินจากเกาะอังกฤษ Adidas Spezial เดิมทีเป็นรองเท้ากีฬาสำหรับลงสนาม แต่ด้วยดีไซน์ที่เข้ากันได้ดีกับกางเกงหลากประเภททั้งกางเกงยีนส์ กางเกงวอร์ม กางเกงสแลค รวมถึงความทนทานบวกกับวัสดุหนังกลับสุดเท่ และพื้นยางที่ยืดเกาะทุกพื้นถนนทำให้รองเท้ากีฬากลายเป็นสนีกเกอร์แฟชั่นที่ใคร ๆ ต่างก็อยากมีไว้ครอบครอง ความโดดเด่นคือสไตล์สุดวินเทจของเหล่าชายหนุ่มจากยุค 80 หลายคนหลายวงการที่ต่างก็สวมใส่กันทั้งวงการกีฬาฟุตบอล หรือเหล่าชาวสตรีตในนิวยอร์กที่ใส่ Spezial เพราะเห็นสมาชิกวง Hiphop ชื่อดังอย่างวง Run DMC ใส่รองเท้ารุ่น Spezial รวมถึงกลุ่มคนผู้ชื่นชอบดนตรีแนว Britpop ในอังกฤษที่เห็น Nole Gallagher วง Oasis สวมใส่ Spezial ก็เลยพากันหาซื้อรองเท้าแบบเดียวคนที่ตัวเองชื่นชอบมาใส่ตาม ถึงแม้จะอยู่คนละมุมโลกและมีความชอบที่แตกต่าง แต่แฟชั่นสามารถร้อยเรียงกลุ่มคนหลากหลายให้มีจุดร่วมเดียวกันได้ สำหรับสนีกเกอร์ Spezial ที่ทาง Adidas ออกแบบร่วมกับ Liam Gallagher จะใช้สีครีมโทนเข้มและอ่อนแต่งแต้มลงบนวัสดุหนังกลับตั้งแต่บริเวณ unper เชือกรองเท้าไปจนถึงพื้นยาง
ย้อนไปในปี 1987 ถ้าหนุ่ม ๆ ยังพอจำกันได้ ‘Predator’ ภาพยนตร์แอ็กชันผสมนวนิยายวิทยาศาสตร์สุดสยอง ได้เข้าฉายและทำรายได้มากถึง 60 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ด้วยกระแสนิยมล้นหลามและความสำเร็จของหนังที่ทะลุเกินยอดจนทำให้ทีมผู้สร้างต้องปลุกปั้นภาคต่ออีก 2 ภาคตามมา นอกจากภาพจำที่มีต่ออสุรกายและเหล่านักรบพร้อมยุทโธปกรณ์ไฮเทคจากนอกโลก เราคงลืมโฉมหน้านักแสดงนำอย่างอาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ ไปไม่ได้เลย แล้วหากหนุ่ม ๆ สังเกตดี ๆ บนข้อมือของพระเอกหนุ่มผู้กล้าก็ถูกประดับด้วยเรือนเวลาสุดเท่ที่ยังคงเสน่ห์เหนือกาลเวลา ‘SEIKO PROSPEX SOLAR DIVER SNJ028’ นาฬิกาดำน้ำสุดคลาสสิกแห่งยุค 80s ถูกชุบชีวิตอีกครั้ง ซึ่งรุ่นใหม่นี้ดีไซน์มาให้แข็งแกร่งกว่ารุ่น ‘ARNIE’ ในปี 1982 ตัวเรือนมีขนาด 47.8 มิลลิเมตร ใช้กลไกการเคลื่อนไหวระบบควอตซ์ Seiko H851 ที่ทำให้บอกเวลาได้อย่างเที่ยงตรงและแม่นยำ แถมยังรองรับการชาร์จด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ นาฬิกาทำจากสเตนเลสสตีล ก่อนจะเคลือบด้วยชุด DLC (Diamond Like Carbon) ทำให้นาฬิกาเรือนนี้คงทนต่อการเสียดสีและเกิดรอยขีดข่วนได้ยาก ตัวเรือนดีไซน์มาเป็นสีดำด้าน ในขณะที่กรอบและไฮไลต์บนหน้าปัดเป็นสีทอง จุดเด่นคือสามารถกันน้ำได้ถึง 200 เมตร พร้อมเคลือบหน้าปัดนาฬิกาด้วย
ดูเหมือนทาง Adidas และศิลปินอย่าง Pharrell Williams จะตั้งใจให้รองเท้ารุ่น Pharrell x adidas Solar Hu Glide ทำออกมาให้ครบทุกโทนสี CMYK เพราะล่าสุดพวกเขาเตรียมส่งรองเท้า 4 คู่ใหม่ออกมาแล้วในชื่อ Rainbow Pack ก่อนหน้านี้ค่ายสามขีดเพิ่งประกาศเปิดตัว Pharrell x adidas Solar Hu Glide “Grayscale Pack” ออกมาแบบสด ๆ ร้อน ๆ ด้วย Solar Hu Glide 4 คู่ในโทนสีพื้นไม่ว่าจะเป็น White ( ขาว), Off White (ขาวครีม), Grey (เทา) และ Core Black (ดำ) เรียกว่าตั้งใจปล่อยออกมาเรียกเงินในกระเป๋าหนุ่ม ๆ ที่ชื่นชอบรองเท้าโทนสีพื้นโดยเฉพาะ แต่เพื่อตอบโจทย์ให้ครบทุกรสนิยมทุกโทนสี พวกเขาก็ตัดสินใจปล่อยรองเท้าในโมเดลเดียวกันออกมาอีก 4
หนุ่ม ๆ ทั้งหลายคงไม่พลาดดูซีรีส์ตีแผ่วงการหนังผู้ใหญ่ของญี่ปุ่นยุค 80 กับเรื่อง The Naked Director จากช่อง Netflix เพื่อล้วงลึกและเข้าใจถึงโลกของการทำหนัง AV ที่เหนือจินตนาการ ทว่าในวันนี้ UNLOCKMEN จะไม่ได้มาพูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับหนัง AV แต่จะพูดถึงแฟชั่นแสนสะดุดตาของ Muranishi Toru พร้อมกับบอกเล่าเรื่องราวในช่วงเวลาดังกล่าวของญี่ปุ่นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แฟชั่นยอดนิยมของชายหนุ่มช่วงเวลานั้นเป็นอย่างไร คนญี่ปุ่นมีแนวคิดเกี่ยวกับการแต่งตัวแบบไหน รับวัฒนธรรมการแต่งตัวมาจากใคร เพื่อเผยให้เห็นว่าอะไรบ้างที่มีส่วนทำให้สไตล์การแต่งตัวของราชาหนังเอวีโดดเด่นไม่แพ้ใครในเรื่อง ความเนี้ยบและลุคสุดทางการตั้งแต่หัวจรดเท้าคือสิ่งสำคัญของผู้ชายญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นถือเป็นชนชาติที่ให้ความสำคัญกับการแต่งตัวเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขาคิดเสมอว่าการก้าวออกจากบ้านจะต้องพบเจอกับผู้คนมากมาย ดังนั้นเสื้อผ้า หน้า ผม ทุกอย่างจะต้องเนี้ยบและพร้อมเสมอสำหรับทุกสถานการณ์ จึงทำให้ผู้ชายญี่ปุ่นวัยทำงานส่วนใหญ่จะแต่งตัวเคร่งเครียดคล้ายกันไปเสียหมด หลายครั้งที่มีคนพยายามหาคำตอบเรื่องความเนี้ยบที่ทำกันจนเคยชินของคนญี่ปุ่นว่ามันมีจุดเริ่มต้นมาจากไหน คำตอบที่ได้ค่อนข้างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเพราะได้รับการปลูกฝังกันมานาน หรือค่านิยมของการให้เกียรติตัวเองและผู้อื่น ทำให้คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่คำนึงถึงการแต่งตัวให้เหมาะสมเวลาจะออกจากบ้าน ว่ากันว่าแฟชั่นจะเติบโตพร้อมกับเศรษฐกิจ หลังจากปี 1945 ที่ประเทศญี่ปุ่นยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขในสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้สูญเสียทั้งประชากร เมือง เงิน เป็นหนี้จำนวนมหาศาล ช่วงหลังสงครามโลกญี่ปุ่นแทบไม่เหลืออะไรเหลือเลยนอกจากซากปรักหักพัง ตอนนั้นคงไม่มีใครหน้าไหนในประเทศสนใจการแต่งตัวก่อนเรื่องปากท้องอย่างแน่นอน เหล่าผู้คนที่อยู่รอดจะต้องเอาตัวรอดให้ได้พร้อมกับขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ก้าวต่อไป และกว่าญี่ปุ่นจะฟื้นตัวขึ้นมาได้อย่างทุกวันนี้ก็ปาเข้าไปช่วงปลายโชวะ ระหว่างรอยต่อของต้นยุคเฮเซ (1986-1991) กว่าหลายสิบปีญี่ปุ่นเปลี่ยนฐานะจากประเทศที่แพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 เขยิบขึ้นมาเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจดีอันดับต้น ๆ
‘ภูมิสถาปัตยกรรม’ หรือ Landscape Architecture เป็นการนำหลักศิลปวิทยาที่ว่าด้วยการออกแบบและจัดสรรพื้นที่ภายนอกอาคารมาปรับแต่งภูมิทัศน์โดยรอบของเมือง เริ่มตั้งแต่สวนสาธารณะ จัตุรัสกลางเมือง หรือแม้แต่ถนนเส้นเล็กที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อวิถีชีวิตของผู้คนที่อยู่แวดล้อม จริงอยู่ที่โลกเรานั้นเจริญก้าวหน้าและไม่เคยหยุดอยู่กับที่ แต่อีกปัญหาที่หลากประเทศเป็นกังวล คือสังคมผู้สูงอายุซึ่งกำลังย่างกรายเข้ามาและเติบโตโดยสมบูรณ์แล้วในบางประเทศ ด้วยเหตุนี้สมาคมภูมิสถาปนิกแห่งอเมริกา (American Society of Landscape Architects) ที่รวมเหล่าสถาปนิกราว 15,000 คน จึงนำการดีไซน์แบบสากลมาประยุกต์ใช้กับถนนหนทางและพื้นที่สาธารณะ เพื่อให้เหล่าผู้สูงอายุตลอดจนคนธรรมดามีสถานที่พักผ่อนและคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเดิม บางครั้งการออกแบบพื้นที่ไม่จำเป็นต้องสร้างขึ้นให้เลิศหรูอลังการ เพราะการแปลงโฉมและรังสรรค์สเปซด้วยความเรียบง่ายก็น่ายกย่องไม่แพ้กัน หากมันตอบโจทย์ความต้องการของคนเมืองได้จริง แล้วนี่คือ 3 ภูมิสถาปัตยกรรมที่มอบสิ่งปลูกสร้างธรรมดาเป็นพิเศษและพิชิตใจคนเมืองได้เต็มเปา Tongva Park, Santa Monica, California ชื่อ ‘Tongva Park’ ตั้งขึ้นจากการเฉลิมฉลองวัฒนธรรมประเพณีอันยาวนานของชาวตองกาพื้นเมือง ที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคแห่งนี้มานานนับ 1,000 ปี บนพื้นที่สาธารณะขนาด 6 เอเคอร์ ถูกจัดสรรให้เป็น 4 ส่วนหลักคือ Observation Hill, Discovery Hill, Garden Hill, และ Gathering Hill
สนีกเกอร์สีขาวถือเป็นสิ่งที่ไม่เคยตกยุคไปไหน ไม่ว่าเมื่อไหร่เรามักจะเห็นผู้คนจำนวนไม่น้อยสวมใส่สนีกเกอร์สีขาวกันเต็มไปหมด เพราะสีขาวคือความคลาสสิก ส่วนลวดลายสุดเฉพาะตัวอย่างหนังงูคือตัวแทนความหรูหรา ก็ยิ่งทำให้สนักเกอร์เรียบหรูและโดดเด่นไปพร้อมกัน ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ Nike ปล่อยสนีกเกอร์สุดวินเทจที่นำสีขาวและหนังงูมาเจอกัน แรงบันดาลใจจากความหรูหราที่ห่างหายกันไปพักใหญ่กับ Nike Blazer Mid Vintage หยิบแรงบันดาลใจจากรองเท้าของเหล่านักบาสเกตบอลจากยุค 70 ให้สนีกเกอร์เต็มไปด้วยดีไซน์สุดวินเทจที่เห็นเมื่อไหร่ก็ชวนให้ย้อนกลับไปสัมผัสความเท่ในวันเก่าก่อน แต่ตัดเย็บโดยคำนึกถึงความต้องการของนักบาสเกตบอลยุคปัจจุบัน นอกจากนี้ Nike Blazer Mid Vintage ไม่ได้เป็นเพียงแค่สนีกเกอร์สำหรับใส่เล่นบาสเกตบอลแต่เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป ยังสามารถใส่ไปเล่นสเกตหรือใส่ไปเดินเที่ยวก็ได้ทั้งนั้น เพราะพื้นโฟมถูกออกแบบมาเพื่อรองรับแรงกระแทก แถมยังมีน้ำหนักเบา คงไว้ด้วยสไตล์วินเทจแต่ก็ทันสมัยมีสไตล์ไปพร้อมกัน ในตอนนี้ Nike Blazer Mid Vintage ก็กลับมาอีกครั้งให้หายคิดถึงพร้อมกับลายงูสุดเท่ สัตว์ร้ายที่เต็มไปด้วยพิษสงที่จะส่งให้ลุคดูดีเรียบหรูเมื่อสวมใส่ สไตล์วินเทจและหนังงูมีเสน่ห์ดึงดูดด้วยการใช้สีขาวเป็นหลัก โดดเด่นจากหนังงูที่บริเวณ swoosh สัญลักษณ์อันแสนคุ้นตาของแบรนด์ ประกอบกับลายหนังงูที่พาดผ่านสนีกเกอร์มายังบริเวณส้นรองเท้าเสริมภาพลักษณ์ให้ดูดีมีระดับ ที่เด็ดอยู่ที่คู่นี้เล่นสีเอิร์ธโทนของหนังงูที่นำมาวางบนพื้นสีขาวเพราะตามปกติหนังงูที่เราเคยเห็นมีหลายแนวหลายสี แต่ Nike ตั้งใจเลือกสีเอิร์ธโทน น้ำตาลอ่อน และน้ำตาลเข้ม เข้ากันได้ดีกับหนังสีขาวของบริเวณลิ้นรองเท้าที่แต้มสัญลักษณ์ swoosh ด้วยสีแดงสด ดีเทลจัดจ้านนี้มีส่วนทำให้เราเห็นรองเท้าคู่นี้มาแต่ไกล จากความใส่ใจที่น้อยแต่มาก คู่สีลงตัวทุกสัดส่วนอย่างนี้ ทำให้การหาเสื้อผ้ามาสวมเข้าชุดกันก็เป็นเรื่องง่ายสำหรับผู้ชายเรา NIKE BLAZER MID VINTAGE
ผู้ชายอย่างเราแต่ละคนต่างมีมุมมองในการเลือกซื้อรองเท้าแรงแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นตัวรุ่นหรืองานดีไซน์ รวมถึงสีสันบนรองเท้าแต่ละคู่ที่ดึงดูดให้เราเป็นเจ้าของ ขณะเดียวกันกระแสความนิยมของสนีกเกอร์ทั่วโลกทำให้แบรนด์จำนวนมากดีไซน์ออกมาหลากหลายสีสัน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนึ่งในโทนทีมาแรงที่สุดในปีคือ “โทนสีเขียว” ทั้งโทนเข้ม โทนสว่างเรืองแสง ด้วยความนิยมที่กำลังเพิ่มมากขึ้น วันนี้ UNLOCKMEN อยากแนะนำรองเท้า สายเขียว ที่น่าครอบครองในปีนี้ซึ่งจะมีจากค่ายไหนรุ่นอะไรกันบ้าง มาดูกันเลย Nike ZoomX Vaporfly NEXT% “Volt” เริ่มคู่แรกกันกับรองเท้าสายวิ่งจากค่าย Swoosh กับ Nike ZoomX Vaporfly NEXT% “Volt” สีเขียวเรืองแสง อาวุธคู่กายคู่ใหม่ของหนุ่ม ๆ ผู้รักการออกกำลัง พร้อมความนุ่มสบายที่มากกว่าเพราะเพิ่มการใช้โฟม ZoomX ขึ้นถึง 15 เปอร์เซ็นต์ มาพร้อมอัปเปอร์แบบ Flyknit ที่ระบายอากาศได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะใส่เดินหรือวิ่งก็ตอบโจทย์ความสบายในการใช้งานทั้งสองแบบ ค่าครอบครองโดยประมาณ : 11,000 บาท Pharrell x Adidas NMD Hu Gum “Solar Yellow” ต่อยอดรองเท้าตระกูล