ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าในปัจจุบันพฤติกรรมของหนุ่ม ๆ ที่เริ่มหันมาให้ความสนใจเกี่ยวกับเรือนเวลาบนข้อมือกันมากขึ้น โดยเฉพาะนาฬิกาข้อมือประเภท Smartwatch ที่เข้ามามีส่วนช่วยอำนวยความสะดวกสบายให้กับชีวิตคนยุคใหม่ ซึ่งมีกิจกรรมแสนยุ่งเหยิงในแต่ละวัน มาลองดูกันว่าในวันนี้ UNLOCKMEN จะมีนาฬิกาอัจฉริยะอะไรเจ๋ง ๆ มาแนะนำกัน HUBLOT BIG BANG REFERENCE FIFA WORLD CUP RUSSIA เรือนเวลารุ่นล่าสุดที่เพิ่งจะเปิดตัวในงาน Basel World 2018 ซึ่งนับเป็นรุ่นที่สามเพื่อต้อนรับมหกรรมฟุตบอลโลกโดยเฉพาะ ความพิเศษของนาฬิกา HUBLOT BIG BANG REFERENCE FIFA WORLD CUP RUSSIA คือจำนวนจำกัดที่มีเพียง 2018 เรือนเท่านั้น แถมออกแบบหน้าปัดเพื่อเอาใจแฟนคลับ พร้อมกล่องที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละชาติที่ได้เข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลโลกอีกด้วย สำหรับตัวเรือนทำมาจากไทเทเนียมขนาด 49.0 มิลลิเมตร พร้อมระบบดิจิทัลด้วยจอภาพเทคโนโลยี AMOLED ความละเอียด 400 x 400 พิกเซล และระบบปฎิบัติการ OS จาก Google แถมการเปลี่ยนสายที่เด่นด้วยระบบ One
เรียกได้ว่าอีเว้นท์เดียว BAPE เล่นสะจนพรุน ตั้งแต่ออกคอลเลคชั่นพิเศษกับ adidas ก่อนหน้านี้ในชื่อ “Winning Collection” ซึ่งมีทีเด็ดอยู่ที่รองเท้า Gazelle สีแดงสวยงาม แต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่หนำใจ เพราะล่าสุด Bape ได้ปล่อยรวดเดียว 3 คอลเลคชั่น โดยทั้งหมดล้วนสอดคล้องกับช่วงเทศกาลบอลโลก มาดูกันว่ามีอะไรกันบ้าง เริ่มกันที่ Capsule คอลเลคชั่นตัวแรกคือการทำเสื้อยืดสุดพิเศษสองสี สองลายกราฟิค และลูกบอลที่ผลิตขึ้นมาเพื่อคอลเลคชั่นนี้โดยเฉพา สำหรับจุดเด่นจะอยู่ที่ลวดลาย Camo ที่ถูกนำมามาเลือกใช้เพื่อสามารถสื่อสารกับ Tagline ที่ชื่อว่า A Bathing Ape Performance โดยนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นการปูทางไปสู่การเปิดไลน์เสื้อผ้าใหม่ในอนาคตหรือเปล่า แต่รับรองว่าไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ซึ่งสนนราคาของเสื้อยืดกราฟิคอยู่ที่ $62 (2,0xx บาท) และราคาลูกบอล $80 (2,7xx บาท) สามารถสั่งเสื้อได้ทาง BAPE ออนไลน์ และ Retailer ชั้นนำ มาต่อกันที่คอลเลคชั่นที่สอง ซึ่งทำออกมาต้อนรับมหกรรมบอลโลกอีกเช่นกัน โดยจะเน้นหนักไปที่ความเป็นสปอร์ตแวร์ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อบอล Jersey, เสื้อ High
“กลิ่น” คือเสน่ห์สำคัญของผู้ชาย ใครกลิ่นตัวหอมยวนใจมาตั้งแต่เกิดก็โชคดีไป แต่เราเชื่อว่าผู้ชายส่วนใหญ่ไม่ได้มีกลิ่นหอมกระชากใจติดตัวมาจากท้องแม่ ดังนั้นนอกจากการดูแลรักษาความสะอาดของร่างกาย “น้ำหอม” จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ชายอย่างเราควรมีติดตัวไว้ เพื่อเสริมสร้างบุคลิกภาพและมีกลิ่นหอมเป็นเสน่ห์ดึงดูดเพศตรงข้ามให้อยากอยู่ใกล้ไม่รู้เบื่อ แต่ไม่ใช่ว่าสักแต่ดม ๆ กลิ่นไหนถูกใจแล้วจะคว้ามาได้ เพื่อ UNLOCK ความเข้าใจไปอีกขั้น วันนี้ UNLOCKMEN จะพามาทำความรู้จักกับความเข้มข้นของน้ำหอม 5 ระดับที่จะทำให้ผู้ชายอย่างเราอ่านฉลากน้ำหอมได้เข้าใจกว่าเดิม และสามารถเฟ้นหาน้ำหอมแบบที่ใช่ให้ตัวเองหรือคนข้างกายได้แบบเชี่ยวชาญกว่าที่เคย PARFUM (PERFUME) : ความเข้มข้น 20-30% เรามักจะเรียกผลิตภัณฑ์ฉีดสร้างความหอมให้กับร่างกายรวม ๆ ว่า Perfume แต่จริง ๆ แล้วน้ำหอมที่มีระดับความเข้มข้นเต็มสูบมากพอที่จะเรียกว่า Parfum หรือ Perfume ได้คือพวกที่มีความเข้มข้นของน้ำหอม 20-30% เท่านั้น โดยความเข้มข้นระดับนี้กลิ่นจะติดทนนานอยู่ได้ มากกว่า 8 ชั่วโมง เหมาะกับผู้ชายที่ไม่ได้อยู่ติดที่ ต้องออกไปทำกิจกรรมข้างนอกนาน ๆ ฉีด Parfum ครั้งเดียวตอนเช้า ก็หอมฟุ้งอยู่ได้จนถึงเย็นถึงค่ำแน่นอน ด้วยความเข้มข้นของหัวน้ำหอมระดับนี้จึงทำให้ราคาสูงตามไปด้วยและหาซื้อไม่ได้ง่ายนัก EAU DE PARFUM (EDP) :
พอล สมิธ ร่วมมือกับ นิวบาลานซ์ เพื่อสร้างสรรค์แคปซูล คอลเลคชั่น ในรุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่น สำหรับรองเท้าสตั๊ด รองเท้ากีฬา และลูกฟุตบอล ในช่วงฤดูกาลการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ ณ ประเทศรัสเซีย การร่วมมือกันในครั้งนี้ ได้นำเอาดีไซเนอร์ที่มีชื่อเสียงชาวอังกฤษ ร่วมมือกับบริษัทรองเท้าสัญชาติอเมริกัน เพื่อสร้างสรรค์สินค้าคอลเลคชั่นพิเศษ ที่รวบรวมเอาความเป็นต้นแบบและความทันสมัยไว้ด้วยกัน ด้วยเทคนิคการผลิตอันก้าวล้ำจากนิวบาลานซ์ จับคู่กับความโดดเด่นในการใช้สีและกราฟฟิคลายทางของ พอล สมิธ ดาวเด่นของการร่วมมือกันในครั้งนี้ อยู่ที่รุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่นของรองเท้าสตั๊ด New Balance x Paul Smith MiUK-One ที่ด้านบนของรองเท้าทำจากหนังจิงโจ้ เนื้อนุ่ม พร้อมลายทางอันเป็นเอกลักษณ์ของ พอล สมิธ บนพื้นด้านในของรองเท้า ลิ้นรองเท้า และส่วนที่ป้องกันส้นรองเท้า รองเท้าสตั๊ดรุ่น MiUK-One ถือเป็นรองเท้าสตั๊ดรุ่นแรกของนิวบาลานซ์ ที่ผลิตขึ้นที่โรงงาน ของบริษัทในเมืองฟลิมบี มณฑลคัมเบรีย จึงยิ่งทำให้เป็นไอเท็มชิ้นเด่นสำหรับนักสะสม รองเท้าสตั๊ดรุ่น MiUK-One ได้รับการขนานนามจากนิวบาลานซ์ ว่าเป็นรองเท้าสตั๊ดคลาสสิกที่มาพร้อมความทันสมัย
ตื่นนอน หลังกินข้าว เข้าห้องน้ำ หลังจบกิจกรรมบนเตียงให้คีย์เวิร์ดมาแค่นี้ผู้ชายอย่างเราก็พอจะรู้แล้วว่ามันคือเวลาที่ผู้ชายอยากจะหยิบบุหรี่ขึ้นมาสักมวน ให้ปอดได้ลิ้มรสกลิ่นควันที่อบอวลเมื่อพ่นออกมา สำหรับคนที่ดูดบุหรี่ มันแทบจะอยู่เป็นของคู่กายแบบ 24/7 บางคนอาจจะใช้เป็นไฟแช็กบ้าง ซิปโป้บ้าง หรือจะเป็นแบบ USB เอาไว้พกเป็น Gadgets เท่ ๆ ก็มี แต่สิ่งที่ทุกคนคุ้นตาที่สุดคงจะเป็นไฟแช็กใช้แล้วทิ้งอันละไม่กี่บาท แต่ในเมื่อมันเป็นของที่เราใช้ออกจะบ่อย ทำไมเราถึงไม่เลือกใช้แบบที่ตีบวกความเท่ให้เราได้ด้วยล่ะ UNLOCKMEN อยากให้หนุ่ม ๆ ได้ลองดู THE LIGHTER จาก “KNNOX” ดีไซน์สุดเจ๋ง ชวนให้เราอยากจะหยิบมันขึ้นมาจุดบุหรี่แทบทุกชั่วโมง ปกติแล้วเราคงจะเคยชินกับไฟแช็กเอื้ออาทร ยืมเพื่อน เพื่อนยืม จนรู้สึกว่ามันคือสิ่งที่ซื้อมาหายไป ซื้อใหม่ได้อีกตลอด เพราะราคาถูก และดีไซน์เบสิก ๆ ที่เราคุ้นชินมาตั้งแต่เด็ก ดีไซน์ของมันไม่เคยทันสมัยตามเวลาเลย เท่ขึ้นมาหน่อยก็เป็นซิปโป้ที่มีลวดลายให้เลือกมากขึ้นกว่าไฟแช็กอันจิ๋วนั่น เราอยากให้ลืมภาพจำการจุดบุหรี่แบบเดิม ๆ ทิ้งไป จะดีแค่ไหนที่เราจะรู้สึกเท่ทุกครั้งที่หยิบบุหรี่ขึ้นมาจุด เวลาแค่ไม่กี่วินาทีก็สามารถเติมออร่าให้เราได้แบบไม่ต้องพยายามอะไร แค่หยิบ Gadget เท่ ๆ ขึ้นมาสักชิ้นอย่าง THE LIGHTER จาก “KNNOX”
เมื่อการเดินทางเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตแน่นอนว่า ชายหนุ่มอย่างเราจะต้องแพ็คกระเป๋าเพื่อเตรียมสิ่งของจำเป็น ซึ่งนอกจากเสื้อผ้าและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอื่น ๆ แล้ว อีกหนึ่งไอเท็มที่ผู้ชายควรให้ความสำคัญเป็นอย่างมากก็คือ นาฬิกา โดยเฉพาะสำหรับหนุ่มนักธุรกิจที่ต้องเดินทางเป็นประจำ การมีนาฬิกาที่สามารถบอกเวลาได้ 2 ไทม์โซนนั้นย่อมสามารถช่วยให้การใช้ชีวิตในต่างประเทศสะดวกมากยิ่งขึ้น ล่าสุดแบรนด์ผู้สร้างสรรค์ประดิษฐกรรมแห่งเรือนเวลาหรู ‘มิโด’ (Mido) ได้อวดโฉมเรือนเวลาดีไซน์ใหม่ ‘มัลติฟอร์ท จีเอ็มที’ (Multifort GMT) ที่มาพร้อมฟังก์ชั่น GMT กับการบอกเวลาที่ 2 หรือ T2 ผ่านการออกแบบบนรูปลักษณ์อันโฉบเฉี่ยวที่ผสานความหรูหราตามดีเอ็นเอของแบรนด์เอาไว้ได้อย่างลงตัว ‘มิโด’ (Mido) แบรนด์นาฬิกาในเครือ สวอทช์ กรุ๊ป (Swatch Group) ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 100 ปี ภายใต้ปรัชญาของการสร้างสรรค์แบรนด์ให้อยู่เหนือกาลเวลาด้วยแนวคิดการออกแบบที่ร่วมสมัย ผ่านการคัดเลือกวัสดุคุณภาพเยี่ยมที่มีความหรูหรา ทนทาน และยังคงไว้ซึ่งฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบถ้วน รวมถึงความเที่ยงตรงสูงซึ่งงได้รับการรับรองจาก Contrôle Officiel Suisse des Chronomètres (Official Swiss Chronometer Testing Institute) หรือ COSC. ‘มัลติฟอร์ท จีเอ็มที’
หากพูดแบรนด์ที่กำลังมาแรงสุด ๆ ในขณะนี้ ต้องยอมรับว่า Burberry ถือมีขวบปีที่ยอดเยี่ยมเสียเหลือเกิน จนเราเองก็ยังประหลาด เพราะไม่ว่าจะมองไปยัง Reference ต่างประเทศ ต่างเห็นลวดลาย Check อันเป็นซิกเนเจอร์ของพวกเขากลับมาโลดแล่นตามสื่ออีกครั้ง ซึ่ง UNLOCKMEN เคยได้วิเคราะห์ถึงการกลับมาผงาดอีกครั้ง (link) หลังการเข้ามารับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของดีไซน์เนอร์มือฉมังอย่าง ริคคาร์โด ทิชชี่ (Ricarrdo Tisci) พร้อมปฎิวัติแบรนด์ให้มีความเป็นสตรีทแวร์และเข้าถึงกับไลฟ์สไตล์ได้มากขึ้น ดังนั้นวันนี้เราจะลองนำ Style Guide การแต่งตัวแบบ Check ของ Burberry อย่างไรให้ออกมาเข้ากับประเทศไทย #Look1 ลุคแรกถือว่าเป็นการผนวกสตรีทแฟชั่นเข้าไป โดยได้แรงบันดาลใจมากจากเสื้อผ้าของ โกชา รุบชินสกี้ (Gosha Rubchinskiey) ที่มาทำไอเทมกางเกงขาสั้นลาย Check จับคู่กับเสื้อเชิ้ตแขนสั้น ดูเป็นลุคที่แตกต่างจากแนวทางของ Burberry ที่ผ่านมา ซึ่งจะเน้นไปถึงอารมณ์คลาสสิคเป็นหลัก โดยสามารถจบลุคนี้ได้อย่างสมบูรณ์ด้วยการนำสร้อยมาใส่เป็นเครื่องประดับ พร้อมหมวก Bucket Hat หรือ Duckbill Cap #Look2 สำหรับลุคที่ 2
เปิดตัวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับ โครงการที่ 3 ย่านเอกมัยจาก เสนา ฮันคิว คอนโดสุดลักชูรี่ “ปีติ เอกมัย (PITI EKKAMAI)” มูลค่ารวม 5,000 ล้านบาท ที่ได้ดึงหลักปรัชญาชีวิตจากแนวคิดญี่ปุ่น “lKIGAI (อิคิไก)” จุดประกายการใช้ชีวิตให้มีความสุขและมีคุณค่า เผตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ทางบริษัท ฮันคิว ร่วมทุนพัฒนาโครงการกับทางบริษัทเสนามาแล้ว 2 โครงการ ประกอบด้วย นิช โมโน สุขุมวิท – แบริ่ง และ นิช ไพรด์ เตาปูน – อินเตอร์เชนจ์ รวมมูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท ปัจจุบันทั้ง 2 โครงการที่เป็นที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก ล่าสุดได้พัฒนาโครงการที่ 3 ร่วมกันเป็นโครงการระดับลักชูรี่แบรนด์ใหม่ที่มีมูลค่าสูงสุดในปีนี้ ซึ่งมีความมั่นในความเป็นมืออาชีพของทางเสนาเป็นอย่างมากและเชื่อว่าโครงการนี้จะประสบความสำเร็จเหมือนโครงการที่ผ่าน ๆ มาอย่างแน่นอน และทางฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ปฯ เองได้มองถึงแผนการพัฒนาโครงการร่วมกันในระยะยาวต่อจากนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยครึ่งปีหลัง 2561
จากภาพยนตร์โลกอนาคตหลาย ๆ เรื่อง มักจะนำเสนอเกี่ยวกับยุคของหุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่ครองโลกจนไม่มีพื้นที่ให้มนุษย์ที่มีเลือดเนื้อ จนมาถึงปี 2018 นี้ที่กระแส AI จะมาแทนที่แรงงานมนุษย์มาแรงและเข้าใกล้ความเป็นจริงเข้าไปทุกที ซึ่งก็ยังเป็นเรื่องที่ยังคงต้องถกเถียงถึงความเหมาะสมกันต่อไป UNLOCKMEN ขอแนะนำความสามารถของ AI ที่จะช่วยให้ชีวิตเราง่ายขึ้นอีกเยอะ อย่าง “Noise2Noise” ที่จะมาลด Noise ในภาพถ่ายได้แบบเหนือชั้น มาทำความรู้จักกับมันแบบ Before It Was Cool กันดีกว่า ผู้พัฒนาจาก Nvidia, MIT, และ Aalto University กำลังซุ่มปั้นโปรเจ็กต์แจ่ม ๆ ที่ชื่อ “Noise2Noise” ที่นำระบบ AI มาลบ Noise ในภาพถ่าย ทางทีมได้นำภาพจำนวน 50,000 ภาพจาก ImageNet เพื่อให้ระบบ AI ได้ทดสอบการลบ Noise และมันก็ทำออกมาได้ดีจริง ๆ โดยสามารถลบ Noise
ย้อนกลับไปเมื่อสักประมาณ 5-6 ปี ก่อนนี้ หากเรากำลังพูดถึงแบรนด์ชื่อว่า Burberry ภาพจำในอดีตคือความไอคอนิกพร้อมซิกเนเจอร์ของตัวเองที่ชัดเจน ไม่ต่างจากแบรนด์ไฮเอนด์อื่น ๆ ทว่าในขณะที่คู่แข่งกำลังรุดหน้าวิ่งลงมาจับตลาดสตรีทแวร์ พร้อมขยายฐานตัวเองลงมาสู่ E-commerce แต่ Burberry ยังคงทำทุกอย่างเหมือนเดิมยึดมั่นในความคลาสสิคจนดูไม่ร่วมสมัย เกิดช่องระหว่างวัยของผู้บริโภค เมื่อเด็กรุ่นใหม่ ๆ ไม่รู้จัก Burberry อีกต่อไป ส่งผลให้ยอดขายของแบรนด์ตกลงพอสมควร ซึ่งเมื่อพวกเขาเริ่มขยับตัวในตลาด E-commerce ช้ากว่าแบรนด์อื่น ๆ จึงเหมือนกับการเดินตามคู่แข่งคนอื่น ๆ ในตลาด แต่ที่แย่ที่สุดคือยอดขายในสหรัฐอเมริกา ตามบรรดาห้างร้านค้าต่าง ๆ ก็ไม่ค่อยสู้ดีนัก แม้ว่าจะพยายามออกคอลเลคชั่นพิเศษออกมากระตุ้นช่วยแล้วก็ตาม ทำให้ Burberry ต้องมานั่งขบคิดปรับกลยุทธ์กันอย่างจริงจังขยายฐานลูกค้าตัวเองไปสู่กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา แต่มีกำลังซื้อสูงมาก โดยการเพิ่มพันธมิตรที่ชำนาญในเรื่องออนไลน์โดยตรง จากนั้น Burberry ค่อย ๆ ดีขึ้นมาเรื่อย ๆ ภายใต้การนำของ CEO คนใหม่ที่ดูจะเน้นกับตลาดในประเทศจีนเสียเหลือเกิน ถึงขนาดเปิดโอกาสให้ คริส วู (Kris Wu) นักแสดงชาวจีนมาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ พร้อมกับร่วมออกแบบคอลเลคชั่นเสื้อผ้าเป็นของตนเอง จนสามารถตีตลาดในเอเชียได้อย่างดีเยี่ยม
คงไม่มีใครไม่รู้จักแบรนด์นาฬิกาชั้นนำระดับโลกจากสวิตเซอร์แลนด์ Swatch (สวอท์ช) ที่ยังควหลักปรัชญาของแบรนด์ที่สะท้อนถึงสีสัน กลไก ความเบาสบาย และความโปร่งใส สู่เรือนเวลาคุณภาพของ Swatch ทุกเรือนมาโดยตลอด แน่นอนว่าในปัจจุบัน Swatch ยังคงดำเนินความเป็นผู้พัฒนานวัตกรรม และเรียกเสียงฮือฮาจากตลาดโลก ด้วยสินค้ารุ่นใหม่ คอลเลคชั่นใหม่ รวมถึงนาฬิการุ่นพิเศษที่นำเสนออย่างต่อเนื่อง Swatch ยังคงยืนหยัดตัวตนในโลกแห่งกีฬามาเสมอ ที่ยังคงสนับสนุนกีฬา Snowboard, Free Ski, Surfboard, วอลเล่ย์บอลชายหาด และจักรยานทางลาดวิบาก อีกทั้ง Swatch ยังสนันสนุนคุณค่าแห่งงานศิลปะ ด้วยการร่วมงานกับศิลปินมากมาย และหมายให้นาฬิกา Swatch เป็นแผ่นภาพที่สะท้อนผลงานการรังสรรค์ของศิลปินหลากหลายแขนงเช่นกัน ในปีนี้ Swatch ได้เปิดตัวนาฬิการุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง SKIN Irony ที่ได้สร้างมาตรฐานใหม่แห่งวงการนาฬิกาด้วยการผสานจุดเด่นแห่งดีไซน์ และความบางของคอลเลคชั่น Skin เข้ากับวัสดุที่มีความทนทานและสวยงามอย่าง Stainless Steel ด้วยความบางเพียง 5.8 มิลลิเมตรเท่านั้น และถือเป็นนาฬิการุ่นแรกที่ใช้ Stainless Steel เป็นวัสดุในการผลิตที่มีความบางที่สุดเท่าที่เคยผลิตมา ตอกย้ำความเป็นผู้บุกเบิกนาฬิกาแบบใหม่ที่ทันสมัยในยุคปัจจุบัน SKIN Irony การรวมตัวแห่งแนวคิด Minimal และนวัตกรรมแห่งเรือนเวลา
หากพูดถึงร้านสนีกเกอร์และสตรีทแวร์ที่มาแรงสุด ๆ ในบ้านเรา คงจะไม่มีใครกล้าปฎิเสธอีกแล้วว่า Carnival Store คือเบอร์หนึ่งในปัจจุบัน เนื่องจากช่วงขวบปีที่ผ่านมา การได้ Nike Tier Zero และ adidas consortium ล้วนเป็นเครื่องตอกย้ำชั้นดี โดยผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จเหล่านี้ คงจะหนีไม่พ้นหัวเรือใหญ่ คุณปิ๊น-อนุพงศ์ คุตติกุล ที่ปลุกปั้นแบรนด์ขึ้นมาเมื่อ 8 ปีก่อน จนกลายมาเป็นร้าน Multi-Fashion แถวหน้าของเอเชีย ซึ่งวันนี้ UNLOCKMEN ได้รับเกียรติจากคุณปิ๊นให้เดินทางไปพูดคุยเกี่ยวกับแง่คิด พร้อมทั้งประสบการณ์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเป็นนักสะสมรวมถึงหลักการณ์บริหาร ถึงออฟฟิศของ Carnival ที่ตั้งอยู่ใจกลางศูนย์การค้า สยามสแควร์ เพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจถึงผู้อ่านทุกคน A PART OF COLLECTOR อยากทราบเรื่องราวของคุณปิ๊นก่อนที่จะมาเริ่มทำ Carnival ปิ๊น Carnival : คือในวัยเด็กก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แต่เหมือนกับเรารู้ตัวว่าชอบที่จะค้าขาย บางทีก็ซื้อโน่นนี่มาขายบ้าง เวลาบ้าอะไรก็จะบ้าเป็นพัก ๆ ไม่ได้จริงจังอะไร จนจุดเริ่มต้นคือตอนที่ผมได้ไปเรียนปริญญาโทที่อังกฤษกับเพื่อนอีก 2 คน พอเราไปอยู่ที่นั่นปุ๊ป มันเป็นการเปิดโลก จนรู้ตัวเองว่าสนใจเรื่องของรองเท้า ชอบรองเท้า