นอกจากดีไซน์ที่ถูกใจ กลไกการบอกเวลาที่เที่ยงตรง ปัจจัยการเลือกเรือนเวลาคู่ใจของเหล่าคนรักนาฬิกา คงหนีไม่พ้นเรื่องราว ประวัติศาสตร์ของแบรนด์ ซึ่งถือเป็นเสน่ห์ที่ทำให้นาฬิกาไม่ได้เป็นแค่อุปกรณ์บอกเวลา หรือเครื่องระดับที่บ่งบอกฐานะ แต่มันเป็นสิ่งที่สามารถสร้างคุณค่าทางจิตใจให้กับผู้เป็นเจ้าของได้เป็นอย่างดี ซึ่ง Hamilton ถือเป็นอีกแบรนด์นาฬิกาที่มีหลากรุ่น หลายซีรี่ส์ที่มีเรื่องราวและประวัติอันยาวนาน ผ่านหน้าประวัติศาสตร์กว่า 125 ปี นับตั้งแต่การก่อตั้งแบรนด์ขึ้นที่เมืองแลงคาสเตอร์ รัฐเพนซิลวาเนีย ในปี 1892 โดยเริ่มต้นจากการผลิตนาฬิกาพกคุณภาพสูงในจำนวนน้อย ๆ จนก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในนาฬิกามาตรฐานของการทางรถไฟของสหรัฐอเมริกาในฐานะ “Watch of Railroad Accuracy” และ “The Railroad Timekeeper of America” นอกจากนี้ความยิ่งใหญ่ของเรื่องราวเมื่อครั้งอดีตยังได้ส่งต่อถ่ายทอด DNA มาถึงคอลเลคชั่นปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกาสำหรับกองทัพสหรัฐฯ ที่ Hamilton ผลิตในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ในรุ่น Khaki Field หรือคอลเลคชั่น Broadway ที่ตั้งชื่อมาจากนาฬิกาพกรุ่น Broadway ที่เคยสร้างชื่อเสียงให้กับ Hamilton เมื่อครั้งอดีต และเมื่อพูดถึงคอลเลคชั่นเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของ Hamilton ถ้าไม่พูดถึงรุ่น Ventura ก็คงไม่ได้
ถุงเท้า Paul Smith จัดเป็นหนึ่งไอเทมที่จะเข้ามาเพิ่มความสนุกให้กับการแต่งตัวของคุณได้ไม่ยาก และเติมแต่งลุคการแต่งตัวของคุณให้ดูแฟชั่นมากยิ่งขึ้น สำหรับแคมเปญ #shareyoursocks อีกหนึ่งในแคมเปญจาก Paul Smith ประเทศไทย โดยแคมเปญนี้ต่อยอดมาจากแคมเปญในประเทศอังกฤษ ซึ่งทาง Paul Smith ได้เลือกที่จะเล่นกับหนึ่งในสินค้าขายดีตลอดกาลนั่นก็คือ “ถุงเท้า” ที่ไม่เพียงแต่ผลิตจากเส้นใยคุณภาพดี แต่ยังมาพร้อมกับลวดลายที่โดดเด่น สีสันสะดุดตา เพื่อตอบโจทย์สไตล์ที่หลากหลาย เหมาะกับผู้ชายที่ชอบมิกซ์แอนด์แมทช์ เพราะถุงเท้าเองก็เป็นอีกหนึ่งไอเทมที่ผู้ชายสามารถนำมาทวิสต์ และพลิกแพลง ทำให้การแต่งตัวเรียบ ๆ ดูสนุก และมีซิกเนเจอร์ขึ้นมาได้ทันที STYLING FOR MEN เรามีวิธีการเลือกถุงเท้าลายซิกเนเจอร์ หรือ ลายแพทเทิร์น สีสันแสบ ๆ เพื่ออัพเดท everyday look ไม่ให้น่าเบื่อจนเกินไป โดยการลองจับคู่สีถุงเท้าให้เข้ากับสีแจ็คเก็ต หรือ รองเท้าหนังคู่โปรด ของคุณเพื่อให้ลุคที่ดูแบนราบ โดดเด่นออกมาชนิดหาตัวจับยาก สำหรับผู้ชายที่สนุกกับการแต่งตัวหรือใครที่เป็นแฟนของ Paul Smith ห้ามพลาดแคมเปญ #Shareyoursocks จาก Paul Smith นี้เด็ดขาด เพราะพวกเขาจะเปิดให้ร่วมสนุกและแชร์ไอเดียการสไตลิ่งถุงเท้าได้ตลอดทั้งเดือนพฤศจิกายน 2560
โอเมก้า (OMEGA) สุดยอดแบรนด์นาฬิกาหรูระดับโลก สัญชาติสวิสที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 169 ปี เปิดตัวเรือนเวลาสุดพิเศษ โอเมก้า สปีดมาสเตอร์ 38 มม. “ออร์บิส” (OMEGA Speedmaster 38 mm “Orbis”) ซึ่งโอเมก้าผลิตขึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือองค์กรระดับโลกอย่าง Orbis International โอเมก้า สปีดมาสเตอร์ 38 มม. “ออร์บิส” มาในตัวเรือนและสายสเตนเลส สตีล และขอบตัวเรือนประดับสเกลทาคีมิเตอร์บนวงแหวนอลูมิเนียมสีน้ำเงิน พื้นหน้าปัดซันบรัชสีน้ำเงินถูกเติมเต็มด้วยสามหน้าปัดย่อยรูปไข่แนวนอนสีฟ้าอ่อน และช่องหน้าต่าง ณ ตำแหน่ง 6 นาฬิกา เสริมความโดดเด่นด้วยอินเด็กซ์บอกเวลาเคลือบโรเดียม เข็มบอกเวลาเคลือบโรเดียมหรือสีฟ้าเคลือบเงา ขับเคลื่อนการทำงานด้วยกลไกโอเมก้า โค-แอ๊กเซียล คาลิเบอร์ 3330 (OMEGA Calibre 3330) สนนราคา 169,000 บาท ตั้งแต่ปี 2011 โอเมก้า และองค์กรไม่แสวงผลกำไรอย่าง Orbis International ได้ร่วมแชร์ความมุ่งมั่นในการช่วยเหลือรักษาภาวะตาบอดและโรคทางตาในประเทศที่ยากไร้และประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลกเสมอมา โดยมอบการรักษาที่มีประสิทธิภาพและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญผ่าน Flying
สำหรับ Sneakers of the week เรายังคงเกาะกระแสอยู่กับ ตูน Bodyslamทำให้วันนี้ทีมงาน UNLOCKMEN จะขอพาไปส่องรองเท้าวิ่งเจ๋ง ๆ ที่เคยผ่านเท้าของ ตูน Bodyslam สืบเนื่องมาจากโปรเจควิ่งช่วยชาติที่ปัจจุบันเขาสามารถรับบริจาคเงินได้มากกว่า 150 ล้านบาทแล้ว ซึ่งเราก็ขอเอาใจช่วยให้ ตูน Bodyslam รับยอดบริจาคได้ตามเป้าหมาย และนำไปส่งต่อให้กับโรงพยาบาลทั้ง 11 จังหวัดทั่วประเทศ Nike Lunarepic Flyknit Shield iD “รุ่งอรุณ” สำหรับรองเท้าคู่นี้เป็นรองเท้าที่ตูน Bodyslam สั่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อใช้ในโครงการวิ่ง ก้าวคนละก้าว เมื่อปีที่ผ่านมา จาก กรุงเทพมหานคร ถึง อ.บางสะพาน จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ ด้วยระยะทางกว่า 400 กิโลเมตร ซึ่งความพิเศษของรองเท้ารุ่นนี้คือจะเป็นรองเท้าวิ่งที่ใช้วัสดุผ้าถักทอแบบโครงสร้างชิ้นเดียวในลักษณะหุ้มข้อ จึงมีความยืดหยุ่น และระบายกาศได้อย่างดี แถมยังใช้พื้นกลางที่เรียกว่า Lunarlon นิ่มตอบสนองการยุบตัวในจังหวะเท้ากระทบพื้นได้เป็นอย่างดี และนวันกรรม Shield ที่สามารถกันน้ำได้ด้วย จึงจัดว่าเป็นรองเท้ารุ่นโหดเหมาะสำหรับสายวิ่งแบบ extreme
เวลาเปลี่ยนคนเปลี่ยน หน้าของเราก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาเช่นกัน ยกเว้นแต่ Pharrell Williams ศิลปินเจ้าของรางวัลแกรมมี่ที่สามารถสตาฟหน้าตัวเองให้ดูเด็กจนใครหลายคนแอบสงสัยว่าเขาเป็นแวมไพร์ หรืออย่างไร และมีเคล็ดลับอะไรในการดูแลหน้าให้ดูอ่อนกว่าวัยทั้งที่ปัจจุบัน Pharrell กำลังจะอายุครบ 45 ปีแล้ว สำหรับคนที่ไม่รู้จัก Pharrell Williams เลย เราขอสรุปเรื่องราวของเขาเพียงสั้น ๆ ว่าเป็น Multi-talented หรืออัจฉริยะหลายด้าน เพราะเขาเป็นทั้งนักดนตรีชื่อดังการันตีผลงานมากมาย อีกทั้งยังเป็นนักธุรกิจที่ชาญฉลาดในการเลือกลงทุน รวมถึงยังควบตำแหน่งดีไซน์เนอร์ที่มีผลงานโดดเด่นชนิดหาตัวจับยาก ซึ่งถ้าอยากรู้เรื่องของเขาเพิ่มเติมสามารถเข้าไปอ่านได้ที่ content และอย่างที่เราทราบว่า Pharrell ยังคงเป็นคนที่ขึ้นชื่อในเรื่องสไตล์การแต่งตัว ดังนั้นวันนี้ทีมงาน UNLOCKMEN ได้ถอดบทสัมภาษณ์ของเขาจาก Dazed ถึงเคล็ดลับในการแต่งตัวรวมถึงวิธีการดูแลตัวเองให้หน้าตาดูอ่อนกว่าวัย เพื่อจะเป็นประโยชน์สำหรับทุกคน คุณมองหาอิทธิพลการแต่งตัวจากไหน Pharrell : ผมได้แรงบันดาลใจมาจากทุกคน ผมจะสังเกตคนจากท้องถนนที่พบเจอ เพราะว่าเนี่ยหละคือของจริง ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม บางทีมันอาจจะเกิดเพียงแค่ความจำเป็น หรือฟังก์ชั่นการใช้งาน แต่พอเป็นสไตล์แล้วมันโคตร Swagger เลย ตัวอย่างเช่นเมื่อประมาณ 20 ปีก่อนผมใส่หมวก Trucker Hat เพราะผมไปเห็นคนขับรถบรรทุกใส่กัน ซึ่งมันโคตรจะเท่เลย แค่นั้นเองสำหรับเรื่องของสไตล์ และมีแบรนด์ดีไซน์เนอร์คนไหนที่ชื่นชอบเป็นแรงบันดาลใจให้กับคุณ
แม้ช่วงหลัง ๆ มานี้ ชื่อของ Robert Pattinson อดีตแวมไพร์สุดฮ็อทจากภาพยนตร์มหากาพย์ Twiight จะดูดร็อปลงไปทั้งในเรื่องผลงาน และชื่อเสียง อาจเพราะว่าเขาไม่สามารถสลัดภาพบทบาท Edward Cullen ที่เป็นภาพจำสำหรับทุกคนไปได้ ทำให้ผลงานของเขาไม่เป็นที่พูดถึงมากนัก จนแทบจะไม่มีข่าวคราวใด ๆ ออกมาเลย แต่จากการที่เราเฝ้าสังเกตไลฟ์สไตล์การแต่งตัวของหนุ่มคนนี้ กลับพบว่ามีความสอดคล้องกับนิสัยคนไทยอย่างน่าประหลาดใจ กับการที่ไม่ชอบแต่งตัวอะไรเยอะแยะ เน้นความเรียบง่ายเป็นหลัก จนบางทีก็ดูเหมือนจะเป็นคนขี้เกียจยุ่งยากในการแต่งตัว เน้นง่ายเข้าว่า หยิบจับอะไรได้ก็เอามาใส่ แต่ภายใต้ความง่ายก็ยังมีเซ้นส์ในการ Mix & Match สร้างสไตล์ที่เหมาะสมอยู่พอสมควร ดังนั้นทีมงานจึงได้พยายามรวบรวมสไตล์การแต่งตัวของ Robert Pattinson ว่ามีลุคไหนที่ชาว UNLOCKMEN จะสามารถนำมาเป็นไอเดียแต่งตัวสบาย ๆ ตามสไตล์หนุ่มสายชิลล์ Bomber Jacket เรียกได้ว่าเป็นไอเทมชิ้นโปรดของ Robert Pattinson ที่มักจะเลือกมาสวมใส่อยู่เป็นประจำ ซึ่งเราสามารถนำมาแต่งตามได้โดยอาจจะหา bomber jacket ที่มีเนื้อผ้าบาง เหมาะสำหรับอากาศบ้านเรา จากนั้นใส่ควบคู่กับเสื้อยืด และเพิ่มพร็อพอย่างหมวกไหมพรมสำหรับวันที่อากาศดี หรือจะเปลี่ยนเป็นหมวกแก๊บในวันที่อากาศร้อนก็ไม่ผิด ส่วนกางเกงใส่เป็นผ้าชีโน่ทรงหลวมเพื่อความคล่องตัวในการเคลื่อนไหวไม่อึดอัด สำหรับผู้ชายสายชิลล์เหมือนกับ Robert
ไม่ว่าใครก็มีสิ่งที่ตัวเองหลงใหลมากกว่าหนึ่ง และถ้าเป็นไปได้ เราก็อยากทำให้สิ่งที่หลงใหลนั้นรวมเข้าด้วยกันได้ จะถือว่าเป็นที่สุดของการใช้ชีวิต เจเรมี่ มอนแทโร (Jeremy Monteiro) นักดนตรีชื่อดังระดับโลก ก็เป็นอีกคนที่สามารถนำเอาสิ่งที่ตนเองหลงใหลมารวมอยู่ด้วยกัน นั่นก็คือ J. Monteiro แบรนด์นาฬิกาที่มี DNA จาก Music และ Timepiece ซึ่งสามารถไปด้วยกันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ Jeremy Monteiro เป็นนักเปียโนแจ๊สที่มากไปด้วยความสามารถระดับต้น ๆ ของเอเชียคนหนึ่ง เขาไม่ได้เป็นเพียงแค่นักเปียโนที่เก่งกาจ แต่เขายังเป็นนักแต่งเพลง นักร้องและโปรดิวเซอร์ที่ศิลปินนานาประเทศอยากร่วมงานด้วยจนได้สมยานามว่า “Singapore’s King of Swing” “ดนตรีแจ๊สไม่ได้เป็นสิ่งเดียวที่เจเรมี่หลงใหล เครื่องบอกเวลาอย่างนาฬิกา ก็เป็นสิ่งที่เขาหลงใหลด้วยเช่นกัน” ย้อนกลับไปในอดีต เขาได้รับนาฬิกาข้อมือเป็นของขวัญวันเกิดจากคุณพ่อตอนอายุ 16 ปี หลังจากที่ได้รับของขวัญชิ้นนั้น มันทำให้เขาเริ่มก้าวเข้ามาศึกษาเรื่องของกลไกลบอกเวลาควบคู่ไปกับการสั่งสมประสบการณ์ทางด้านดนตรีจนกลายมาเป็นนักเปียโนแจ๊สระดับโลก วันหนึ่ง Jeremy ไปเยี่ยมสตูดิโอของนักดนตรีแจ๊สท่านหนึ่งที่ร่วมงานด้วย ทำให้ได้เห็นโครงร่างของการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ สิ่งนั้นเหมือนเป็นการจุดประกายแรงบันดาลใจครั้งใหม่ให้ Jeremy มันทำให้ต่อมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และภาพนาฬิกาที่เดินตามจังหวะดนตรีก็ปรากฏขึ้นในหัวทันที วินาทีนั้นเขารู้แค่ว่าอยากทำให้ภาพในหัว ณ ตอนนั้น เกิดออกมาเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น และทั้งหมดนี้ก็คือจุดเริ่มต้นของเรือนเวลาที่ชื่อ “J. Monteiro” “J. Monteiro”
ลมหนาวผ่านมาไม่ทันไร เราก็สัมผัสได้ถึงไอร้อนที่เตรียมกลับมาปกคลุมประเทศไทยอีกครั้ง แต่จากที่เราได้ติดตามข่าวสารจากกรมอุตุนิยมวิทยามา อย่างน้อยดูเหมือนเราจะยังได้สูดลมเย็น ๆ ไปอีกอย่างน้อยหลายวัน จึงเป็นโอกาสอันดีที่หนุ่ม ๆ จะหยิบเอาเสื้อกันหนาวที่ซื้อมาแสนแพงมาสวมใส่ ก่อนที่จะไม่มีโอกาส แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เราสังเกตมาตลอดว่าผู้ชายไทยมักจะตกม้าตาย และรู้สึกเคอะเขินเมื่อต้องสวมเสื้อหลาย ๆ layer อาจเพราะความไม่คุ้นชินกับการใส่เสื้อหลายชั้นจากสภาพอากาศในประเทศที่ไม่เคยเอื้ออำนวย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าหนุ่ม ๆ จะออกอาการสับสนจนเลือกไม่ถูกว่าจะแต่งตัวออกมาเช่นไรในหน้าหนาว และจบด้วยการมิกซ์อะไรก็ได้ออกมา ดังนั้นทีมงาน UNLOCKMEN อยากนำไอเดียการแต่งตัวสนุก ๆ มาให้ทุกคนได้ลองพลิกแพลงกันดู เผื่อหน้าหนาวนี้จะได้มีลุคหล่อ ๆ ไว้ใส่ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกสักครั้ง Formal Office สำหรับออฟฟิศที่มียูนิฟอร์มชัดเจน และตายตัวเราคงไม่สามารถคาดหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสไตล์การแต่งตัวได้มากนัก ซึ่งโดยส่วนมากก็จะถูกบังคับให้สวมเสื้อเชิ้ต กางเกงสแล็ครองเท้าหนัง ดังนั้นเราอาจจะเพิ่มลูกเล่นด้วยการใส่เสื้อกั๊กไหมพรม (vest) หรืออาจจะเป็น คาร์ดิแกนก็ช่วยเติมลุคให้ดูสนุกมากยิ่งขึ้นสำหรับหนุ่มออฟฟิศจ๋า Semi – Formal Office สำหรับออฟฟิศที่มีความยืดหยุ่นในเรื่องของเครื่องแบบ แต่ก็ไม่ได้ชิลล์ถึงขั้นใส่อะไรก็ได้ เราขอแนะนำเป็นเสื้อ sweater คอ solid crew neck (คอกลม) สวมทับด้วยเสื้อยืด หรือถ้าจะให้ออกมาเรียบร้อย และดูมีชั้นเชิงในการแต่งตัวเสื้อเชิ้ตก็เป็นตัวเลือกทำให้คุณโดดเด่นกว่าคนอื่นได้ ซึ่งเราสามารถนำมาแต่งรวมกับกางเกงยีนส์ผ้าดิบ และรองเท้าบู้ทอย่าง
แม้จะมีผลวิจัยมากมายยืนยันว่าผิวผู้ชายนั้นแข็งแกร่ง เสื่อมโทรมได้ยากกว่าผู้หญิง เพราะฮอร์โมนเพศชายนั้นมีส่วนสำคัญในการสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นเส้นใยที่ยึดโยงให้เซลล์ผิวของมนุษย์เต่งตึง ทำให้มนุษย์ผู้ชายอย่างเรา ๆ มีข้อได้เปรียบในเรื่องของผิวที่เสื่อมโทรมได้ช้ากว่าผิวของสาว ๆ ทั้งหลาย แต่ก็ใช่ว่าจะย่ามใจในความได้เปรียบของเพศสภาพ ไม่ดูแลบำรุงอะไรทั้งสิ้น ปล่อยเซอร์จนหน้าโทรมหมดสง่าราศีก็คงไม่ไหว เพราะต้องไม่ลืมว่าทุกวันนี้มลภาวะ ฝุ่น ควัน และแสงแดดแผดเผาของประเทศไทย ต่างก็ง้างหมัดรอที่จะเข้ามารุมทำร้ายผิวหน้าได้ทุกเมื่อ ยิ่งเป็นผู้ชายยุคใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์หนักหน่วง ใช้ชีวิตเต็มที่ในทุกด้าน ตอนทำงานก็ทุ่มเทเคร่งเครียด เวลาพักผ่อนก็กินดื่มเที่ยวเล่นสุดเหวี่ยงตะลุยไปทุกที่แบบไม่กลัวพลังหมด ยิ่งมีโอกาสที่ผิวหน้าจะอ่อนล้า อ่อนแรง แห้งเหี่ยวก่อนวัยอันควร ทางที่ดีเราแนะนำให้หมั่นดูแลตั้งแต่เนิ่น ๆ ด้วย 3 วิธีง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก ที่เราอยากให้หนุ่ม ๆ UNLOCKMEN เริ่มทำกันเสียตั้งแต่วันนี้ เพื่อผิวหน้าดี ๆ คงความเท่เอาไว้ได้อย่างยืนยาว ความสะอาดคือพื้นฐานของการดูแลผิวหน้า การล้างหน้าคือขั้นตอนพื้นฐานง่าย ๆ ที่ผู้ชายหลายคนมองข้าม มักจะปล่อยปละละเลย เน้นเร็ว เน้นสะดวกเข้าว่า จนทำให้หยิบอะไรก็ได้ที่พอจะหาเจอในห้องน้ำ แล้วทำให้เกิดฟองได้ เอามาละเลงล้างหน้า กะว่าให้หน้าหายมันเป็นพอ ซึ่งนั่นคือเรื่องผิดมหันต์ ถ้าผิวหน้าดีผิวหน้าแข็งแกร่งอยู่แล้วเป็นทุน อาจยืดระยะเวลาของปัญหาผิวออกไปให้นานหน่อย แต่ถ้าเป็นผู้ชายที่มีปัญหาผิวอยู่แล้ว ทั้งหน้าแห้ง หน้ามัน หน้าแพ้ง่าย
ปฎิเสธไม่ได้ว่า topic ที่เป็นกระแสพูดถึงมากที่สุดในบ้านเราขณะนี้ คงจะหนีไม่พ้นโปรเจ็คต์วิ่งเพื่อชาติของร็อกเกอร์หนุ่มชื่อดังอย่าง ตูน-อาทิวราห์ คงมาลัย หรือ ตูน Bodyslam ที่ตั้งเป้าหมายจะเป็นคนไทยคนแรกที่สามารถวิ่งจากจุดใต้สุดไปยังจุดเหนือสุดของประเทศ เพื่อร่วมบริจาคเงินช่วยเหลือ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ ซึ่งในจุดนี้ทีมงาน UNLOCKMEN ต้องขอคารวะและเอาใจช่วยให้ คุณ ตูน Bodyslam สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งใจเอาไว้ เพราะต้องยอมรับว่าการที่คน ๆ หนึ่งจะลุกขึ้นมาใช้ร่างกายของตัวเองเสียสละเพื่อส่วนรวม มันเป็นการกระทำที่น่ายกย่องอย่างมาก แต่วันนี้เราจะไม่ขอมาพูดหรือถกเถียงเหมือนที่ในโลกโซเชียลจุดประเด็นต่าง ๆ เกี่ยวกับการวิ่งครั้งนี้ เพียงแต่เราจะมาเจาะลึกไอเทมต่าง ๆ ที่ ตูน Bodyslam สวมใส่ เพราะปฎิเสธไม่ได้เลยว่าสิ่งของเหล่านี้คือปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้เขาสามารถบรรลุเป้าหมายได้ นอกเหนือจากการเตรียมความพร้อมของร่างกาย ทีมพยาบาลที่คอยสนับสนุน #Firstgear มาเริ่มกันที่ชิ้นแรกซึ่งเปรียบได้กับหัวใจสำคัญในการนำพา ตูน Bodyslam ไปให้ถึงยังแม่สายอย่างปลอดภัยนั่นคือ รองเท้าที่จะต้องทำหน้าที่ปกป้องเท้า ช่วยเซฟอาการบาดเจ็บต่าง ๆ จากการวิ่งระยะทางไกลกว่า 2,191 กิโลเมตร โดยทาง ตูน Bodyslam ได้เลือกใช้รองเท้า Nike Zoom Vaporfly 4%
หากพูดถึงแฟชั่นยุค 70’s ยุคที่แฟชั่นผู้ชายมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมหลังผ่านช่วง Mid-Century ยุคสมัยที่แฟชั่นผู้ชายมีพัฒนาการอย่างรวดเร็ว แรงบันดาลใจจากการแสดงความเป็นตัวเองออกมา ความหลากหลายของ Sub-culture ที่วางรากฐานสไตล์ผู้ชายมาถึงปัจจุบัน ดังนั้นแฟชั่นในยุค 70’s จึงเติบโตบนความ Rebellion & Individuality อย่างเต็มที่ มันจึงเต็มไปด้วยความหลากหลาย และการลองผิดลองถูกของสไตล์การแต่งตัว บางคนก็บอกว่ามันเป็นยุคเฟื่องฟูของแฟชั่น บางคนก็มองว่ามันเป็นยุคแห่งการลองผิดลองถูก แต่ไม่ว่ายังไงก็ต้องยอมรับว่า 70’s men style เป็นอีกรากฐานที่ทำให้เกิดแนวทางแฟชั่นผู้ชายที่ลงตัวในปัจจุบัน สำหรับเราแล้ว ยุค 70’s ถือว่ายอดเยี่ยมไม่แพ้กับยุคไหน ๆ เรียกว่าเป็นยุคแห่ง individuality ที่คนมีอิสระด้านการแต่งตัวที่สุด ถ้าหากเราย้อนกลับไปในช่วงเวลาดังกล่าว ความอิสระนี้ทำให้วงการแฟชั่นได้รู้จักกับผ้ายืด Spandex หรือแม้กระทั่งผ้า Nylon ที่ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายอยู่ในปัจจุบัน อีกทั้งมันยังเป็นขวบปีที่เสื้อผ้าสีสันฉูดฉาด กางเกงขาม้าได้รับความนิยมอย่างมาก จนใคร ๆ หลายคนอาจจะจดจำ และเรียกแทนยุคนี้ว่า ยุค Disco ซึ่งใครเป็นแฟนซีรีย์ชื่อดัง “ That 70’s Show ” ที่ทำให้ Ashton
ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่มาแรงในปีนี้ สำหรับการแต่งตัวด้วยเสื้อเชิ้ตที่มีลวดลายไม่ว่าจะเป็น ฮาวาย ลายดอก โพลคาดอท และอีกมากมาย แต่การแต่งตัวแบบสีสันจัดจ้านล้วนต้องอาศัยความกล้า และความพอดีที่จะจัดวางไอเทมต่าง ๆ ให้ออกมาอย่างลงตัว เพราะบ่อยครั้งการที่เรายัดประโคมทุกอย่างลงไปอาจจะไม่ได้เป็นผลดีต่อภาพรวมเมื่อออกมาเป็น Outfit ที่เสร็จสมบูรณ์ ในทางกลับกันแล้วถ้าชาว UNLOCKMEN สามารถเลือกได้อย่างเหมาะสม การแต่งตัวด้วยเสื้อลายปริ้นท์ก็จะทำให้เราโดดเด่น Outstanding และดูเป็นคนแต่งตัวเก่งขึ้นมาในทันที ดังนั้นเพื่อเป็นการเกาะกระแสนี้ ทีมงาน UNLOCKMEN ขอนำวิธีการมิกซ์แอนด์แมทช์เสื้อปริ้นท์ออกมาอย่างไรให้ดูเฉียบไม่ตกเทรนด์ เลือกไซส์ที่ใช่สำหรับตัวคุณ การซื้อเสื้อลายปริ้นท์ควรเลือกให้มีขนาดพอดี หากหลีกเลี่ยงได้การใส่แบบรัดติ้วพอดีตัวจะเป็นอะไรที่โอเคมากเพราะคงไม่มีใครอยากโดนเพื่อนแซวว่าเตรียมตัวใส่เสื้อลายพร้อยไปเล่นสงกรานต์แน่ ๆ และถ้าหากคุณชอบที่จะดูมีสไตล์ที่แตกต่างการเลือกเสื้อปริ้นท์แบบโอเวอร์ไซส์ขึ้นมาหน่อยนิดหนึ่งจะช่วยให้ลุคการแต่งตัวของคุณมีมิติมากยิ่งขึ้น เลือกโทนสีให้เหมาะกับสีผิว โทนของเสื้อลายปริ้นท์นั้นมีสีให้เลือกค่อนข้างเยอะมาก หากคุณเป็นคนขี้อาย และไม่มีไอเดียในการแต่งตัวมากนักก็ไม่ควรจะเลือกให้มันฉูดฉาด เพราะจะทำให้นำมามิกซ์เข้ากับกางเกง และรองเท้าได้ยาก ดังนั้นสีที่ทีมงาน UNLOCKMEN ว่าใส่แล้วรอดเกือบทุกคน ได้แก่ เสื้อที่มีสีพื้นเป็น แดง น้ำเงิน ขาว ดำ ส่วนสีสันลวดลายก็เลือกตามความเหมาะสม แต่ไม่ควรจะเลือกเสื้อที่มีสีปนกันอยู่บนตัวมากเกินกว่า 3-4 สีขึ้นไป ระวังลวดลายของดอกบนเสื้อ ถ้าคุณเป็นคนตัวใหญ่ก็ควรจะเลี่ยงลายดอกใหญ่ ๆ เด็ดขาด เพราะมันเหมือนการไปเน้นสัดส่วนให้ดูตัวใหญ่มากขึ้นไปอีก ทางออกง่าย ๆ เพียงแค่หาลายดอกเล็ก