โลดแล่นมากว่า 10 ปี วันนี้ Porsche Macan EV ก็เปิดตัวมาในขุมพลังไฟฟ้าล้วนเป็นครั้งแรก พัฒนาบน Premium Platform Electric (PPE) platform ที่รองรับไฟฟ้าสูงสุด 800-volt electrical architecture ซึ่งคิดค้นร่วมกับ Audi เป็นครั้งแรก และคาดว่าจะใช้ platform นี้กับ Audi A6, Q6 และ Cayenne EV โมเดลต่อไปด้วยเช่นกัน แบตเตอรี่ของ Macan EV ใช้เป็น Lithium-Nickel Manganese Cobalt cells ทั้งหมด 12 modules ให้ความจุไฟฟ้ารวม 100 kWh ได้ Range ไกลสุดราว 380 mile หรือ 600 km ต่อการชาร์จ มีสองระดับความแรงให้เลือก
เผลอแป้ปเดียว Omega Dark Side of the Moon ก็มีอายุครบ 10 ปีแล้ว เผยโฉมครั้งแรกในปี 2013 สำหรับ Speedmaster โทนสีดำล้วนสุดเท่ซึ่งมีปล่อยออกมาหลายรุ่น และในโมเดลอัพเดทใหม่นี้ก็ผ่านการปรับรายละเอียดที่น่าสนใจบนพื้นฐานของ Speedmaster Dark Side of the Moon Apollo 8 ตัวเรือนยังคงมีขนาด 44.25 mm black ceramic case หน้าปัดสวยงามด้วยการออกแบบกึ่ง skeletonized และ Moon-textured plates ซึ่งได้แรงบันดาลใจจาก DSOTM Apollo 8 ตัดกับเข็มและชื่อรุ่นสีเหลืองบนหน้าปัดได้อย่างสวยงาม โดยฝั่งด้านหน้าจะโชว์พื้นผิวดวงจันทร์ที่เรามองเห็นได้จากโลก และด้านหลังจะเป็นด้านที่มืดกว่าของดวงจันทร์ สะท้อนมุมมองที่นักบินอวกาศของ Apollo 8 ได้เห็นขณะปฏิบัติภารกิจในปี 1968 และที่โดดเด่นที่สุดในรุ่นนี้ก็คือเข็มทรง Saturn V rocket บน small seconds ที่ผลิตจากวัสดุ
เชื่อว่าไม่น่าจะมีใครคุ้นตา BMW คันนี้กันมากนัก หรือบางคนอาจจะคิดว่ามันเป็นเพียงภาพจำลองในอดีต ที่จริงแล้ว BMW M12 สุดลึกลับคันนี้ คือรถที่เคยถูกสร้างขึ้นในฐานะ Concept car สามารถใช้งานได้ทุกอย่าง และเกือบจะถูกส่งต่อไปในขั้นตอน pre-production model เพื่อขายให้ลูกค้าทั่วไป แต่น่าเสียดาย ที่รถคันนี้ไม่ได้ถูกขึ้นไลน์ผลิตสู่สาธารณะในปี 1991 BMW Nazca M12 รถยนต์ที่ BMW ได้มอบหมายให้ Giorgetto Giugiaro และ Fabrizio Giugiaro เจ้าของ Italdesign สำนักออกแบบรถยนต์อันโด่งดังเป็นผู้ดีไซน์เพื่อนำไปจัดแสดงในงาน Geneva Motor Show ซึ่งในปีนั้นทุกสื่อต่างพูดถึงชื่อ BMW Nazca M12 และถูกนำไปพาดหัวข่าวกันอย่างครึกโครม Italdesign สำนักออกแบบสุดเนื้อหอมมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน มีผลงานระดับตำนานผ่านมือมาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน เช่น 1976 Lotus Esprit, 1981 DeLorean DMC-12, 1984 Saab 9000, 2004
แม้ Mercedes จะไม่สร้างตัวถัง AMG G63 Convertible ออกมา แต่ก็หยุดความต้องการของสำนัก Refined Marques ไม่ได้ โดยจุดเริ่มต้นของไอเดียนี้มาจากลูกชายที่ขับ Brabus G700 แล้วปรึกษาพ่อว่าอยากทำหลังคา soft-top roof ความเป็นพ่อที่มีและมีกำลังทรัพย์สูง จึงนำไอเดียนี้ไปรวมทีมเพื่อสร้างแบบ One-off ให้ลูกชาย เพื่อพบว่ามีลูกค้าอีกมากมายต้องการ G63 Cabriolet เช่นกัน จึงเปิดรับออเดอร์ในจำนวนจำกัดเพียง 20 คันเท่านั้น ความเจ๋งของไอเดียนี้คือบอดี้ที่ดัดแปลงให้เข้าออกได้สะดวกกว่า G500 Cabriolet Final Edition 200 limited 200 คัน เครื่อง 5.5-liter V8 388 แรงม้า ซึ่งทาง Refined Marques เลือกใช้ประตู suicide doors เพื่อความสะดวกสบาย หลังคา soft-top ที่เปิดและปิดง่ายกว่า และที่สำคัญคือขุมพลัง 4.0-liter twin-turbo
ท่ามกลางการแข่งขันของรถยนต์ EV ที่กำลังร้อนแรง ซึ่งหลายคนต่างโฟกัสไปที่ราคา รวมไปถึงตัวเลขเร้าใจต่าง ๆ จากตารางสเปค แต่จริง ๆ แล้วยังมีอีกหลายปัจจัยในการตัดสินใจเลือกซื้อยนตรกรรมพลังไฟฟ้ามาใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นชื่อชั้นของแบรนด์ ความพร้อมในการให้บริการหลังการขาย รวมไปถึงรางวัลระดับโลกที่สามารถการันตีความมั่นใจได้อีกขั้น และการมาของ IONIQ 5 รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกจาก HYUNDAI ค่ายรถยักษ์ใหญ่แดนโสมที่พกพาเอาชื่อเสียง ความนิยม และรางวัลมากมาย พร้อมลุยตลาดในไทยอย่างเป็นทางการ น่าจะทำให้หลายคนที่รอคอยการเป็นเจ้าของ mid-size CUV พลังไฟฟ้าคันนี้สมหวังกันถ้วนหน้า แต่สำหรับใครที่กำลังลังเลว่าว่าจะควักกระเป๋าออกใบจองทันที หรือจะรอเก็บข้อมูลประกอบการตัดสินใจไปอีกสักพัก วันนี้ UNLOCKMEN จึงขออาสา สรุป 5 เหตุผล ที่ตอกย้ำว่า IONIQ 5 ควรค่าแก่การครอบครองมากขนาดไหน เริ่มต้นที่เหตุผลแรกกับงานออกแบบอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของ IONIQ 5 ภายใต้คอนเซปต์ Retrofuturistic โดย Giorgetto Giugiaro นักออกแบบยานยนต์ชื่อดังชาวอิตาลีที่เคยร่วมงานกับ HYUNDAI ผู้กลับมาปลุกตำนานรถยนต์คลาสสิกอันโด่งดังให้กลับมาโลดแล่นอีกครั้งในฐานะยนตรกรรมพลังไฟฟ้าแห่งอนาคต ด้วยการนำดีไซน์ของรุ่นคลาสสิกอย่าง HYUNDAI PONY ซึ่งเป็นรถยนต์รุ่นแรกของค่ายที่ส่งออกทั่วโลกในปี 1975 มาผสานกับรถยนต์ไฟฟ้าต้นแบบ
เหมือนจะทิ้งทวนก่อนเข้าสู่ยุคของการจูนรถไฟฟ้า Manhart ถึงได้จัดเต็มสร้าง M5 ที่แรงที่สุดเท่าที่สำนักเคยทำมา รหัส MH5 900 สื่อถึงตัวเลขแรงม้าทะลุ 928 horsepower (ปกติมีแต่คนปัดขึ้น แต่ Manhart ปัดเลขแรงม้าลง) 914 lb-ft of torque จากขุมพลัง 4.4-liter twin-turbo V8 engine ในจำนวนจำกัดเพียง 5 คันเท่านั้น เครื่องยนต์ S63 ถูกนำมาอัพเกรดระบบและไส้ในใหม่ทั้งหมด จัดเต็มทุกจุดไม่ว่าจะเป็น carbon fiber intake, Wagner Tuning intercooler, Carillo forged pistons, H-shaft connecting rods สามารถรองรับแรงม้าได้สูงสุดถึง 1,200 HP ระบบไอเสีย racing downpipes พร้อมท่อ stainless steel และปรับจูน ECU เต็มระบบ
หากพูดถึง true icon ของ Volkswagen ต้องยกให้ Golf โมเดลเก่าแก่ที่มาช่วยเติมเต็มตำนานต่อจาก Beetle เปิดประตูสู่โลกแห่ง compact cars ครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์วงการรถยนต์ของโลก และขณะที่พวกเรากำลังเข้าสู่ปีใหม่ ซึ่ง VW Golf จะมีอายุครบ 50 ปีบริบูรณ์ ความสำคัญของ VW Golf ตั้งแต่เปิดตัวในปี 1974 หลังใช้เวลาพัฒนานานถึง 20 ปี ผ่านการทดสอบผ่าน prototypes มานับไม่ถ้วน จนได้ผลลัพธ์ทีดีที่สุดสำหรับโจทย์ ณ ตอนนั้น คือการเป็นโมเดลที่เปลี่ยนถ่ายระหว่างยุคเครื่อง air-cooled วางหลังขับหลังใน Beetle สู่ยุคของเครื่องยนต์ water-cooled วางหน้าขับหน้าได้อย่างสวยงาม เป็นโมเดลที่ราคาเอื้อมถึงได้ง่าย มันจึงเป็นรถคันแรกของหลาย ๆ บ้านที่อึด ถึก ทน ดูแลรักษาง่าย และไว้ใจได้เสมอในทุกการเดินทาง ซึ่งหากเราอยู่ในยุค 50 ปีที่แล้ว มันถือเป็นโมเดลที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ ของ
The Ultra Rare BMW 333i E30 ตัวหายากจากการร่วมมือกันระหว่าง BMW South Africa และ Alpina รูปทรงบอดี้เดิม เพิ่มเติมคือเครื่องยนต์ M30B32 6 สูบเรียง จากรุ่นใหญ่อย่าง 533i, 633CSi และ 733i ทำให้มันแรร์ยิ่งกว่า E30 M3 เพราะมีเพียง 210 คันในโลก รวม prototypes และรถเทส สาเหตุที่ BMW South Africa มี E30 รุ่นพิเศษแบบนี้วางขายแค่ที่เดียว เป็นเพราะคนที่นั่นก็ชื่นชอบและบ้า BMW มากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก แต่รถยนต์เป็นพวงมาลัยขวาเหมือนบ้านเรา และในเมื่อ M3 E30 หรือ Alpina B6 3.5S เป็นพวงมาลัยซ้าย จึงยากที่จะทำตลาดเพราะต้องกลับพวงมาลัย ทาง BMW
“Dream Project #2” Ref. G-D001 ได้รับแรงบันดาลใจมาจากธีมการพัฒนาที่มีชื่อว่า “BREAK THE BOUNDARY” โปรเจ็กต์ใหม่นี้เดินตามรอย Dream Project ก่อนหน้านี้ที่เป็นที่ระลึกการครบรอบ 35 ปีของ G-SHOCK ออกแบบโดยใช้ AI เข้ามาช่วยปรับแต่งดีไซน์ภายนอก ตัวเรือน กรอบ และสายใช้วัสดุทอง 18K ผ่านการขัดเงาด้วยมืออย่างละเอียดและพิถีถันโดยช่างฝีมือชั้นเลิศ ซึ่งลงลึกไปถึงจุดที่ยากต่อการเข้าถึงทำให้ส่วนประกอบมีความเงางามอย่างน่าเหลือเชื่อ การออกแบบดีไซน์แบบ Generative ที่ใช้ประโยชน์จาก AI ถูกนำมาใช้กับกระบวนการออกแบบภายนอก ข้อมูลที่สะสมมานานกว่า 40 ของการพัฒนา G-SHOCK ที่อ้างอิงตามกรอบการออกแบบที่สร้างสรรค์โดยมนุษย์ ได้รับการป้อนเข้าสู่ระบบ AI เพื่อสร้างโมเดล 3 มิติที่เหมาะสำหรับปัจจัยต่างๆ รวมถึงความแข็งแรงของโครงสร้าง ลักษณะของวัสดุ และวิธีการที่จะใช้ มีการแก้ไขซ้ำด้วยมนุษย์เพิ่มเติมหลังจากที่ได้คำแนะนำจาก AI เพื่อสร้างส่วนประกอบภายนอกที่ให้สัมผัสของการออกแบบที่สร้างสรรค์และเป็นต้นฉบับรวมถึงการใช้งานที่เหนือกว่า ในฐานะที่เป็นวัสดุสำหรับส่วนประกอบภายนอกที่สำคัญ ทองคำ 18k ได้รับการนำมาใช้เพื่อให้ความแวววาวที่ลึกซึ้งและสวยงาม รูปแบบที่ซับซ้อน ดั้งเดิม และแม่นยำของกรอบและสายสร้างขึ้นด้วยกระบวนการหล่อแบบ Lost-wax ที่มักจะใช้ในการทำเครื่องประดับและเครื่องใช้ชั้นดีอื่นๆ
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2506 ที่งานตูริน มอเตอร์ โชว์ (Turin Motor Show) ครั้งที่ 45 หนึ่งในงานมหกรรมยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกสมัยนั้น มาเซราติ ได้สร้างความตื่นเต้นด้วยการเปิดตัว “มาเซราติ ควอตโตรปอร์เต้ (Maserati Quattroporte)” สู่สาธารณชนเป็นครั้งแรก จนถึงปีนี้ นับว่าเป็นการครบรอบ 60 ปีพอดีที่รถยนต์ซีดานสุดหรูตระกูลนี้ยืนยงในวงการยานยนต์และได้ส่งรถรุ่นใหม่ลงตลาดต่อเนื่องมาแล้วถึง 6 เจเนอเรชั่น ในงานฉลองโอกาสพิเศษนี้ มาเซราติได้รวบรวมเหตุการณ์สำคัญของมาเซราติไว้ด้วยกันอย่างยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นด้านความก้าวหน้าด้านการผลิต ดีไซน์สุดล้ำ นวัตกรรม ความก้าวหน้าด้านเทคนิค และทุกองค์ประกอบที่ทำให้รถยนต์ของมาเซราติเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจมาตลอดกว่าสองศตวรรษที่ผ่านมา ควอตโตรปอร์เต เป็น ยนตรกรรมขั้นสุดที่ได้รวบรวมความโดดเด่นทุกด้านแห่งวงการยานยนต์มาไว้ในคันเดียว และเป็นซีดานหรูที่ตอบทุกโจทย์ของนักขับหลากหลายกลุ่มในสังคม รวมทั้งกลายมาเป็นเซกเมนต์ที่สำคัญของธุรกิจยานยนต์ด้วย เช่นเดียวกันกับรถที่เป็นไอคอนแห่งวงการในแต่ละยุค ควอตโตรปอร์เตได้รับการยกย่องและกลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงมาแล้วมากมายนับตั้งแต่เปิดตัวเป็นครั้งแรกในยุค 1960 ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ควอตโตรปอร์เตไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเองแบบไม่เกรงกลัวอะไร เป็นยนตรกรรมที่มุ่ง สรรค์สร้างความเป็นเลิศด้านดีไซน์ สมรรถนะ และสะท้อนจิตวิญญาณของมาเซราติซึ่งเป็นแบรนด์ที่สามารถสร้างสรรค์รถยนต์ที่เปี่ยมนวัตกรรมอยู่เสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร และตลอดกว่าร้อยปีที่ผ่านมา มาเซราติได้ผลิตควอตโตรปอร์เตออกสู่ตลาดแล้วกว่า 75,000 คัน
นี่คือ Jingle เสียงจริงของรายการใน Youtube ที่มีชื่อว่า แงะlocker คนอ่าน UNLOCKMEN ที่โตมาในยุค 90s และชอบเล่นเกมแบบเข้าเส้นน่าจะรู้จักรายการนี้หลายคน เพราะมันมีอยู่รายการเดียวแหละที่ทำคอนเทนต์แคสเกมคลาสสิค 8 Bit จากเครื่อง Famicom พร้อมกับให้เกร็ดความรู้ประวัติศาสตร์สนุกสนานว่าด้วยความเป็นมาของเกมนั้น ๆ ไปพร้อมกับเล่นน็อคเกมไปพร้อมกับคนดู แต่ ถึงจะยังไม่รู้จักรายการนี้ เราก็ค่อนข้างเชื่อว่าคุณต้องรู้จักพิธีกร ผู้ดำเนินรายการ และเกมเมอร์ของช่อง ชายหนุ่มทรงผมแอฟโฟร่พร้อมแว่นตากันแดดสีทึบ ที่ชื่อว่า ดีเจ พล่ากุ้ง อย่างแน่นอน “พล่ากุ้ง Magenta / DJ พล่ากุ้ง / เป็นพิธีกร / มีวงดนตรีของตัวเอง / รับจ้างออกรายการ / พิธีกรตามอีเวนต์ / เล่นเกม / แคสเกม / ทำรายการเกม / แล้วก็มีของสะสมที่เป็นเกม / ตอนนี้เป็นเจ้าของรายการของตัวเอง ชื่อรายการ ‘แงะlocker’
วงการรถยนต์คือหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ไม่เคยหยุดนิ่งและเดินหน้าสร้างสิ่งใหม่ ๆ ตลอดเวลา โลกใบนี้จึงมีรถยนต์หลายรุ่นที่ประสบความสำเร็จและกลายมาเป็นต้นแบบให้กับรถยนต์ในยุคต่อมา แต่ถ้าพูดถึงรถยนต์จากญี่ปุ่น ประเทศซึ่งปัจจุบันเรารู้ต่างดีว่า พวกเขาคือหนึ่งในมหาอำนาจของวงการรถยนต์โลก แต่ทว่าจุดเริ่มต้นในการสร้างรถยนต์สมรรถนะสูงของพวกเขา เริ่มขึ้นในช่วงเวลาไหน วันนี้ THE ICONIC CAR จะพาทุกคนไปทำความรู้จักช่วงเวลาดังกล่าว รวมถึงหนึ่งในรถยนต์ที่มีอิทธิพลเป็นอย่างมากในเวลานั้น ชื่อของมันคือ Toyota 2000GT ย้อนกลับไปในปี 1960 ญี่ปุ่นก้าวเข้าสู่ช่วงเริ่มสร้างประเทศใหม่หลังยอมแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ช่วงเวลานั้นเป็นยุคแห่งความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมการผลิตทุกชนิด แน่นอนว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ก็เช่นกัน แต่ญี่ปุ่นในเวลานั้นไม่ได้เน้นเรื่องสมรรถนะเท่ากับการใช้งานที่เหมาะสม พูดง่าย ๆ คือ ณ ตอนนั้นพวกเขาไม่มีโมเดล 2 ประตูแรง ๆ เหมือนกับค่ายรถยนต์ทางฝั่งยุโรปแต่อย่างใด ยกตัวอย่าง รถของโตโยต้าในตระกูล Toyopet ซึ่งถือเป็นรุ่นแรกที่นำเข้าไปขายในสหรัฐอเมริกา แต่กลับได้รับฉายาว่า Toymotor เปรียบกับรถยนต์ของเล่น ทำให้เป็นการบ้านที่ต้องพัฒนารถยนต์คันใหม่เพื่อจะลบคำสบประมาทที่เคยได้รับ ขณะเดียวกันกระแสความสนใจรถยนต์และการแข่งรถในประเทศญี่ปุ่นก็เพิ่มสูงขึ้น เป็นผลพวงมาจากความสำเร็จของ Japanese Grand Prix ครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ซึ่งจัดขึ้นในปี 1963 และ 1964